บทที่ 3 เมื่อผมแต่งงานกับคนที่รักผม (มาก)
“พี่ปราชญ์ว่าชุดนี้สวยไหมครับ?” ผมหมุนตัวโชว์ให้พี่ปราชญ์ที่กำลังนั่งมองผมลองชุดแต่งงานด้วยสีหน้ามีความสุข เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงักพลางขยับแว่น แล้วชมเสียงดังว่า
“สวยครับ น้องพัชใส่ชุดอะไรก็สวย” เมื่อได้ยินผมก็ฉีกยิ้มกว้าง แอบเขินพี่พนักงานที่แอบอมยิ้มเหมือนกัน ก่อนจะเข้าไปเปลี่ยนชุดอีกชุดแล้วออกมา คราวนี้พี่ปราชญ์พอเห็นก็ขยับแว่นแล้วพยักหน้าหงึกหงักตอบเสียงดังก่อนผมจะถามเสียอีกว่า “พี่ชอบชุดนี้ครับสวยมากเลย” ใช่ ชุดที่ผมสวมเป็นชุดสูทลูกไม้แขนยาวผ่าหน้า เว้าหลังสวย รับกับกางขายาวสีขาว แน่นอนว่าชุดนี้ดูจะเปิดเผยเนื้อหนังไปหน่อย แต่ถ้าพี่ปราชญ์ว่าสวยผมก็โอเค
“งั้นเอาเป็นชุดนี้นะครับ” ผมเอ่ยกับพี่พนักงานก่อนที่เธอจะพยักหน้า แล้วผมก็เดินมาดึงพี่ปราชญ์ลุกขึ้นแล้วเอ่ยกับพี่พนักงานว่า “ต่อไปเป็นคนนี้ครับ รบกวนขอชุดสูทเข้ากับชุดนี้หน่อยนะครับ” พี่ปราชญ์จับมือผมแล้วย่นคิ้วลงพลางกระซิบกับผมเสียงเบาว่า
“พี่ใส่ชุดอะไรก็ได้ครับ” ผมมองพี่ปราชญ์ก่อนจะส่ายหน้าแล้วเอ่ยด้วยเสียงจริงจังว่า
“ไม่ได้สิครับ พี่เป็นว่าที่สามีพัชนะ จะใส่ชุดอะไรก็ได้ได้อย่างไรครับ?” ผมเอ่ยพลางมองหน้าพี่ปราชญ์ที่เหมือนลังเล ก่อนที่พี่พนักงานจะเลื่อนราวชุดสูทสำหรับผู้ชายมา ผมก็เลยจัดการเลือกให้พี่ปราชญ์เข้าไปเปลี่ยน ก่อนจะหัวเราะอย่างมีความสุขเมื่อพี่ปราชญ์หัวหมุนกับชุดที่ผมเลือกให้เปลี่ยน สุดท้ายเราก็เลือกเป็นชุดสูทธรรมดาที่ไม่ธรรมดาสีขาวครีมคู่กับเฉดสีเดียวกับผม และหูกระต่ายสีดำแทน พี่ปราชญ์เลยแอบปาดเหงื่อแล้วยกยิ้มให้ผมเหมือนไม่ได้เหนื่อยอะไร แต่ผมรู้ว่าคนไม่ชอบแต่งตัวแบบพี่ปราชญ์ต้องไม่ชอบอะไรแบบนี้แน่นอน แต่ที่ยังยิ้มได้เพราะอยากเอาใจผม
ดูสิ คนอะไรน่ารักชะมัด ตอนนั้นผมตาบอดไม่เลือกเขาได้อย่างไรนะ
หลังจบทริปลองชุดแต่งงาน พี่ปราชญ์ก็พาผมมาทานข้าวที่ร้านอาหารจีนที่ผมชอบ ผมยังคงเดิมถ่ายรูปก่อนกิน ให้พี่ปราชญ์ถ่ายรูปผม แล้วสุดท้าย เราสองคนก็ถ่ายรูปคู่กัน พร้อมแคปชั่นอวดผัวของผม
‘คนอะไรน่ารักที่สุด’
แน่นอนว่ากว่าจะมาถึงบ้านก็ดึกแล้ว ป๊าคงเข้านอนไปแล้วตามประสาคนนอนเร็ว ผมนั่งอยู่ที่ฝั่งคนขับก่อนจะมองพี่ปราชญ์ที่กำลังจอดรถ ก่อนที่ผมจะเอ่ยขึ้นว่า “ขอบคุณนะครับที่วันนี้ตามใจพัชทั้งวันเลย” พี่ปราชญ์หันหน้ามามองผม ก่อนจะส่ายหน้าแล้วเอ่ยด้วยเสียงอ่อนลงว่า
“ไม่ต้องขอบคุณเลยครับ เพราะการตามใจพัชถือเป็นสิ่งที่พี่เต็มใจทำ” ผมยิ้มกว้าง ก่อนจะใจกล้าโน้มตัวไปโอบรอบคอพี่ปราชญ์แล้วยืดตัวจุ๊บแก้มเจ้าตัวทำเอาพี่ปราชญ์เขินจนหน้าแดง “น้องพัช!” ผมอมยิ้มมองท่าทางเขินอายอย่างน่ารักของพี่ปราชญ์ ก่อนจะเป็นฝ่ายเอ่ยด้วยเสียงเย้ายวนว่า
“ดึกแล้ว พี่ปราชญ์ไม่อยากค้างที่ห้องพัชหรือครับ?” ผมเอ่ยด้วยสีหน้าและแววตาเชิญชวน ใช่ ถ้าพี่ปราชญ์ตกลงผมก็พร้อมที่จะพลีกายให้พี่ปราชญ์คืนนี้มันเลย อะไร? คนเคยๆ มาแล้วจะมาอายอะไร? อีกอย่าง อีกไม่กี่สัปดาห์เราก็จะแต่งงานกันแล้วมีอะไรที่ผมต้องอายหรือไม่กล้าบ้าง? “ขับรถกลับตอนนี้อันตรายนะครับ?” ผมเอ่ยเย้าอีกครั้งทำเอาพี่ปราชญ์หน้าแดง ก่อนที่เจ้าตัวจะเสหลบตาผมแล้วเอ่ยด้วยเสียงเบาลงเหมือนกระซิบว่า
“ไม่ดีเลยครับน้องพัช เรายังไม่ได้แต่งงานกันเลย” ผมอมยิ้มเมื่อได้ยิน ก่อนจะผละออกอย่างงอนๆ แล้วเอ่ยด้วยเสียงหงุดหงิดว่า
“ทำไมครับ หรือพี่ปราชญ์ไม่อยากนอนกับพัช?” ผมกอดอกไม่มองหน้าพี่ปราชญ์แต่ในใจกำลังกระหยิ่มยิ้มย่อง คิดว่าอย่างไรเสียคืนนี้พี่ปราชญ์ต้องเสร็จผมแน่นอน หึหึ
“ไม่ คือ พี่อยากนอนกับน้องพัชครับ แต่พี่แค่อยากให้เกียรติน้องพัช พี่.....” ผมเม้มปากเมื่อได้ยิน อยากจะแกล้งต่อก็ตัดใจกลัวพี่ปราชญ์บ่อน้ำตาแตกเพราะกลัวผมงอนจริง ผมเลยหันไปมองหน้าพี่ปราชญ์ที่หดเหลือสองนิ้ว ก่อนจะโน้มตัวไปโอบรอบคอแล้วชิดใบหน้าเข้าด้วยกันพลางเอ่ยขึ้นว่า
“โอเคครับ พัชเข้าใจแล้ว พัชแกล้งพี่เล่นไปแบบนั้นไม่ร้องนะครับ?” ผมเอ่ยหยอกเย้าด้วยรอยยิ้มกว้างทำเอาพี่ปราชญ์ลอบถอนหายใจโล่งอก ก่อนจะพยักหน้ารับ แล้วเอ่ยด้วยเสียงดีขึ้นว่า
“ครับ” ผมมองพี่ปราชญ์ด้วยความมันเขี้ยวก่อนจะกดจูบที่ริมฝีปากพี่ปราชญ์จนเจ้าตัวแข็งทื่อ ผมพยายามบดคลึงเปิดปากแต่พี่ปราชญ์ที่ตัวแข็งทื่อทำเอาผมหมดอารมณ์จริงๆ ผมถอนจูบออกก่อนจะหรี่ตาลงแล้วเอ่ยด้วยเสียงเหมือนคำสั่งว่า
“เปิดปากครับ พัชอยากจูบพี่!”
“น้องพัช!!” พี่ปราชญ์เขินจนแก้มแดง นัยน์ตาเรียวรีหลังแว่นเบิกโพลงอย่างน่ารัก ผมอมยิ้ม ก่อนที่พี่ปราชญ์จะยกมือขึ้นกอดผมแล้วเอ่ยด้วยเสียงกึ่งดุเล็กๆ ว่า “ทำไมวันนี้น้องพัชซนจังครับ” เมื่อได้ยินผมก็หัวเราะก่อนจะวางคางบนอกของพี่ปราชญ์แล้วเอ่ยด้วยเสียงทะเล้นว่า
“หรือพี่ปราชญ์ก็ไม่อยากจูบพัชอีก?” ผมพูดพลางเลิกคิ้วมองหน้าพี่ปราชญ์ทำเอาเจ้าตัวเม้มปากก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเบาว่า
“เรื่องแบบนี้พี่ต้องเริ่มหรือเปล่าครับ?” เมื่อได้ยินผมก็กลั้นยิ้มจนปวดแก้ม ก่อนจะขยับตัวใกล้ชิดพี่ปราชญ์มากขึ้นแล้วหลับตาลงเปิดปากเล็กๆ ก่อนจะหัวเราะในลำคอเมื่อสัมผัสได้ถึงสัมผัสนุ่มหยุ่นที่ริมฝีปาก แล้วผละออก ผมลืมตาพลางมองพี่ปราชญ์ที่เขินจนหน้าแดงก่ำ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงหยอกล้อว่า
“ไหนจูบครับ พัชเห็นแต่จุ๊บ” เมื่อได้ยินพี่ปราชญ์ก็หน้าแดง แต่ยังไม่ทันจะอ้าปากค้านอะไร ผมก็เป็นฝ่ายโน้มตัวลงไปจูบพี่ปราชญ์ก่อน ทำให้ริมฝีปากของเราบดคลึงกันอย่างนุ่มนวล และกว่าที่จะผละออกก็เป็นพี่ปราชญ์ที่หายใจเกือบไม่ทัน ทำเอาผมจุ๊บแก้มอีกฝ่ายไปทีด้วยความมันเขี้ยว คนอะไรเขินยังน่ารัก “จุ๊บ ฝันดีนะครับ ฝันหวานถึงพัชด้วย” ผมผละออกก่อนจะยกยิ้มกว้างให้พี่ปราชญ์ที่เขินจนหน้าแดง
“ครับ น้องพัชเองก็ฝันดีนะครับ” พี่ปราชญ์ขยับตัวก่อนจะจัดแว่น แล้วเอ่ยกับผมเสียงเบา ดูเหมือนจะยังเขินอยู่ ผมเม้มปากกับความน่ารักขี้เขินนั่นของพี่ปราชญ์ ก่อนจะลงจากรถแล้วยกมือบ๊ายบ่ายพี่ปราชญ์ มองดูท้ายรถจนขับออกไปลับสายตา ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านด้วยอารมณ์ดี วันนี้ผมต้องนอนหลับฝันดีแน่นอน ฮึฮึ
......................................
งานแต่งงานเริ่มต้นตั้งแต่ตีสี่ ผมตื่นมาแต่งหน้าทำผมตั้งแต่ตีสี่ กว่าจะเสร็จก็ปาไปตีห้ากว่า ครอบครัวพี่ปราชญ์มาถึงที่นี่ตอนหกโมงกว่าเพราะต้องมาใส่บาตรร่วมกันตอนเจ็ดโมง ผมอยู่ในชุดไทยแบบโจงกระเบนประยุกต์สีขาวครีม รับกับพี่ปราชญ์ในชุดคล้ายกัน แน่นอนว่าครอบครัวพี่ปราชญ์ต้องประกอบด้วยคุณลุงศิลป์ ป้าปรีญา และพี่ปรัช พิพิศภักดี ทั้งสามคนมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ไม่ใช่พี่ปรัชที่มองผมด้วยสายตาราบเรียบไร้อารมณ์ ผมทำเมินไม่สนใจ แล้วจับมือพี่ปราชญ์จับทัพพีตักใส่บาตรพระอย่างชื่นมื่นได้ยินเสียงแซวแว่วๆ ว่าดูเหมือนครอบครัวนี้ผมจะเป็นผู้นำกลายๆ
และเมื่อเจ็ดโมงเกือบแปดโมง ก็เริ่มตั้งขบวนขันหมากที่หน้าซอยบ้านผม เราเลือกแต่งแบบไทยในตอนเช้า แล้วค่อยยกน้ำชาเรียบง่ายในตอนสายแทน และตอนเย็นเป็นงานเลี้ยงที่โรงแรมอีกที เพราะฉะนั้นหลังตักบาตรเสร็จผมก็เข้ามารอพี่ปราชญ์ที่ห้องนอนของตัวเองที่บ้าน ส่วนพี่ปราชญ์ก็ออกไปตั้งขบวนขันหมากที่ด้านนอก กว่าจะเสร็จ กว่าขบวนจะเริ่มก็ปาเข้าไปเก้าโมงเก้านาทีตามฤกษ์งามยามดีที่คุณป้าบอก เสียงแห่ขันหมากดังขึ้นที่หน้าบ้าน แน่นอนว่าเพื่อทำให้พวกน้ำเหนือกระอักเลือด ผมเลยเลือกที่จะเชิญ เก้า นิล และยี่หวามากั้นประตูเงินประตูทองแทน เพราะทั้งสามคนนี้ผมไม่ได้สนิทมาก แต่เคยทำงานกลุ่มด้วยกันและพบว่าทัศนคติของอีกฝ่ายดีมาก
อย่างน้อยก็ดีกว่าของน้ำเหนือ ต้าและมิ้นมากนั่นแหละ
เพราะฉะนั้นเสียงบอกกั้นประตูเงินประตูทองจึงดังขึ้น ได้ยินเสียงพี่ปราชญ์คนขี้เขินตะโกนบอกรักผม แล้วผมก็อมยิ้มจนแก้มแทบแตก ก่อนที่จะนั่งรอพี่ปราชญ์เข้ามาในห้อง และเมื่อประตูเปิดผมก็โผเข้าหาพี่ปราชญ์ที่ยกยิ้มจนแว่นเกือบหลุดจนผมต้องขยับแว่นให้เข้าที่ “พี่ปราชญ์พัชตื่นเต้น!” ผมเอ่ยเสียงเบาก่อนที่พี่ปราชญ์จะพยักหน้าแล้วเอ่ยด้วยเสียงเบาไม่ต่างจากผมว่า
“พี่เองก็ตื่นเต้นเหมือนกันครับ” ผมหัวเราะกับความตื่นเต้นของเราทั้งคู่ ก่อนจะลงไปที่ด้านล่าง แล้วเริ่มพิธีนับสินสอดและสวมแหวน ในฐานะที่พี่ปราชญ์เลือกแต่งเข้าตระกูลผม สินสอดที่ป๊าจัดให้จึงเต็มไปด้วย เงินสิบล้านบาท ทองสิบล้าน เครื่องเพชร และที่ดินอีกจำนวนหนึ่ง เรียกได้ว่าลูกเขยที่แต่งเข้ามีแต่ได้กับได้ คุณลุงกับคุณป้ายิ้มหน้าบานไม่รับเงินสินสอดแม้แต่บาทเดียว แต่ยกให้พี่ปราชญ์และผมทั้งหมด ผมยกยิ้มไหว้ขอบคุณผู้หลักผู้ใหญ่อย่างนอบน้อม ก่อนที่พิธีสวมแหวนจะเริ่มขึ้น ตอนแรกผมไหว้พี่ปราชญ์ที่ตัก ก่อนที่พี่ปราชญ์จะรับไหว้ผมอย่างอ่อนโยน
แต่เมื่อถึงคราวพี่ปราชญ์เจ้าตัวเองก็ไหว้ผมอย่างนอบน้อมจนผมเขินหน้าแดง ได้ยินเสียงโห่แซวจากทุกคนจนผมเขินหน้าแดงไปหมด สุดท้ายผมก็ตีพี่ปราชญ์ไปทีแก้เขิน ก่อนจะเริ่มพิธีต่อไป ใช่เมื่อใกล้ห้าโมงเช้าเกือบเที่ยง ผมและพี่ปราชญ์ก็เปลี่ยนเป็นชุดแต่งงานแบบจีนสีแดง แล้วมายกน้ำชาให้ป๊า กับคุณลุงคุณป้าตามลำดับ ป๊าอวยพรเสียงสั่นทำเอาผมน้ำตาซึมไม่ได้ว่า
“ขอให้อาพัชมีความสุขมากๆ หนักนิดเบาหน่อยก็ต้องรู้จักผ่อนปรน ค่อยๆ หันหน้าคุยกัน หากคนหนึ่งเป็นไฟให้อีกคนเป็นน้ำคอยปลอบโยนซึ่งกันและกัน นะอาพัช อาปราชญ์”
ผมน้ำตาซึมกอดป๊าแน่น เพราะคำอวยพรนี้ก่อนตายผมก็ได้รับมัน แต่ตอนนั้นทำเมินไม่สนใจ แต่คราวนี้ผมตอบรับคำอวยพรของป๊าจากใจ หลังจากนั้นเราก็เปลี่ยนเป็นอีกชุดเพื่อเตรียมตัวไปงานเลี้ยงที่โรงแรม เนื่องจากเป็นเจ้าภาพเราต้องไปสแตนด์บายรอแขกก่อนแน่นอนอยู่แล้ว “เหนื่อยไหมครับน้องพัช?” พี่ปราชญ์เอ่ยถามผมเมื่อเราออกมาเจอกันที่โรงแรม พี่ปราชญ์ในชุดสูทหยิบเอากล่องคุกกี้ออกมาแล้วยื่นให้ผมพลางเอ่ยว่า “ทานอะไรรองท้องหน่อยนะครับ” ผมอมยิ้มก่อนจะนั่งลงที่ม้านั่งของทางเดินแล้วนั่งทานคุกกี้กับพี่ปราชญ์ โดยมีตากล้องแอบถ่ายเราจากมุมหนึ่งเพื่อเก็บภาพ
ก่อนที่เราจะมาต้อนรับแขกที่หน้าแบล็กดรอป ผมยืนอยู่เกือบชั่วโมงก่อนที่ป๊ากับคุณลุงคุณป๊าจะให้เราออกไปพักกัน พี่ปราชญ์ประคองผมมานั่งพักที่ห้องรับรอง ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าผมแล้วถอดรองเท้าผมออก “พี่ปราชญ์!” ผมหดเท้าตกใจกับการกระทำนั้น ก่อนที่พี่ปราชญ์จะวางเท้าผมบนตักแล้วเงยหน้าเอ่ยกับผมว่า
“เราเมื่อยใช่ไหม เดี๋ยวพี่นวดให้ครับ” พี่ปราชญ์เอ่ยทำเอาน้ำตาซึมกับความใจดีของพี่ปราชญ์ จนผมโน้มตัวไปกอดพี่ปราชญ์แน่น
“เดี๋ยวผลัดกันนะครับ เดี๋ยวพัชนวดให้พี่ด้วย”
“ไม่ต้องครับ พี่ไม่ได้เมื่อยเลย แต่ถ้าน้องพัชใจดีพี่ขอหนุนตักงีบสักสิบนาทีได้ไหมครับ?” เมื่อได้ยินผมพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงกระตือรือร้นว่า
“พัชให้สิบห้านาทีเลย!” ผมเอ่ยจบพี่ปราชญ์ก็หัวเราะ ก่อนจะก้มหน้านวดเท้าให้ผมอย่างอ่อนโยนทำเอาผมใจฟูไปหมด ดูสิพี่ปราชญ์น่ารัก และใจดีขนาดนี้ผมมันโง่จริงๆ ที่มองไม่เห็น ฮึ่ม
หลังจากพี่ปราชญ์ได้งีบตามที่ขอกับผมไว้ เราก็ออกมาต้อนรับแขกชุดสุดท้าย ก่อนจะเริ่มงานเลี้ยงบนเวทีตามที่พิธีกรประกาศ แน่นอนว่าต้องมีเรื่องราวความรักของเราสองคนด้วย “ว่าแต่คู่นี้ ใครเป็นฝ่ายเริ่มรักก่อนนะครับ?” เมื่อได้ยินคำถามจากพิธีกร ผมเม้มปาก ก่อนที่พี่ปราชญ์จะขยับแว่นแล้วหยิบไมค์ขึ้นมาพูดว่า
“เป็นผมเองครับ ผมเองที่เริ่มเข้าหาน้องพัชก่อน” เมื่อได้ยินก็ได้เรียกเสียงแซว แต่แน่นอนว่ามีคนหนึ่งที่ไม่ยิ้มกับคำตอบ คนคนนั้นคงเป็นพี่ปรัชที่หน้าบึ้งหงิกงอยิ่งกว่าอะไร เห็นแล้วขัดลูกตาจนผมไม่อยากมอง ผมไม่สนใจว่าการเข้าหาของพี่ปราชญ์จะเริ่มเมื่อไร ตอนที่ผมยังหมั้นอยู่ไหม รู้แค่เพียงพี่ปราชญ์ดีกับผมเสมอมาเท่านั้นเป็นพอ แล้วหลังจากนั้นเราก็ตัดเค้ก และเริ่มแจกให้คนในงาน แน่นอนว่าเพื่อเพิ่มความกระอักเลือดในอกให้ดิ้นเร่าๆ ของสามหน่อน้ำเหนือ มิ้นและต้าแล้วนั้น ผมเองก็ส่งบัตรเชิญให้สามคนนั้นด้วย แน่นอนว่าพอมาก็ทำหน้าบอกบุญไม่รับจนผมอยากถีบออกจากงาน
แต่ต้องแข็งใจไว้เพราะผมอยากให้ทั้งสามคนนั้นได้เห็น เห็นว่าผมมีความสุขจนแสงออกปากขนาดไหนกับคนที่พวกนั้นไม่ชอบ และงานก็เลิกหลังจากนั้นไม่นาน พี่ปราชญ์ขับรถพาผมกลับบ้าน พร้อมคุณลุงคุณป้า และป๊าของผมมาที่เรือนหอที่เดิมที่ผมกะจะใช้กับพี่ปรัช แต่ผมสั่งรีโนเวทใหม่ทั้งหมดก่อนหน้านี้แล้ว และตอนนี้ผมจะใช้มันกับพี่ปราชญ์ “ดูแลอาพัชด้วยนะอาปราชญ์” ป๊าเอ่ยก่อนจะตบไหล่พี่ปราชญ์ปุๆ ที่หน้าห้อง ก่อนที่คุณลุงคุณป้าจะเอ่ยขึ้นว่า
“ดูแลน้องด้วยนะปราชญ์”
“ครับคุณพ่อคุณแม่” พี่ปราชญ์เอ่ยด้วยเสียงหนักแน่น พลางโอบเอวผมด้วยท่าทางจริงจัง ผมอมยิ้มก่อนจะโบกมือลาป๊าตาละห้อย แล้วเข้ามาในห้องหอ ผมเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงที่ปูด้วยกลีบกุหลาบจนแตกกระจายไปหมด ก่อนจะเอ่ยบ่นกับพี่ปราชญ์ว่า
“พัชขี้เกียจอาบน้ำแล้วพี่ปราชญ์” ผมเอ่ยงอแงเพราะเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวไปหมดเพราะต้องเริ่มงานตั้งแต่ตีสี่ พี่ปราชญ์เดินมานั่งที่ด้านข้าง ก่อนที่สัมผัสเย็นๆ จะทำให้ผมลืมตา “พี่ปราชญ์ทำอะไรครับ?”
“ล้างหน้าให้น้องพัชครับ นอนเฉยๆ เลยเดี๋ยวพี่ทำให้ครับ” ผมอมยิ้มกับการดูแลของพี่ปราชญ์ก่อนจะหลับตาปล่อยให้พี่ปราชญ์ล้างเครื่องสำอางออกจากใบหน้าอย่างอ่อนโยน และเมื่อเสร็จผมก็ตาปรือมองพี่ปราชญ์ ก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนว่า
“ถ้าง่วงน้องพัชนอนเลยครับ เดี๋ยวพี่เปลี่ยนเสื้อผ้าเช็ดตัวให้” แล้วผมที่เหนื่อยมาทั้งวันจะทำอะไรได้นอกจากปล่อยให้พี่ปราชญ์จัดการตัวเอง
“ขอบคุณนะครับ พัชขอนอนก่อน เหนื่อยมาก!” แล้วผมก็ผล็อยหลับไปท่ามกลางการดูแลของพี่ปราชญ์
ชายหนุ่มจ้องมองคนน้องที่ผล็อยหลับไปเพราะความเพลีย ก่อนจะค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าแล้วเช็ดตัวอีกฝ่ายอย่างเบามือ พร้อมสวมชุดนอนให้อีกฝ่ายอย่างเบามือ ก่อนจะเริ่มไปจัดการตัวเองในห้องน้ำแล้วออกมานอนกอดน้องอย่างมีความสุข แล้วผล็อยหลับไปในเวลาไม่นาน ก่อนที่ปราชญ์จะสะดุ้งตื่นเมื่อสัมผัสได้ว่ามีใครกำลังทำอะไรอยู่ที่ด้านล่างของตัวเอง ก่อนที่ปราชญ์จะเปิดผ้าห่มแล้วต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็น “อรุณสวัสดิ์ครับพี่ปราชญ์ อื้ม”
“ซี๊ด น้องพัช!!” ปราชญ์ทิ้งตัวลงนอนเหม่อมองเพดานด้วยสีหน้าแดงก่ำ พลางมองผ้าห่มขยับขึ้นลง ก่อนจะเม้มปากแล้วเอ่ยด้วยเสียงเบาว่า “อรุณสวัสดิ์ครับเด็กดื้อ ฟู่ว”
“อื้อ อ่อก อั๊บ” แล้วเช้านั้นปราชญ์ก็ได้รับของขวัญการปลุกอย่างถึงใจเต็มใบหน้าของคนน้อง....
+++++
Lady Zombie
28/10/67
บทสุดท้าย เมื่อผมกลายเป็นภรรยาและหม่าม้าที่ดีเข้าเดือนเมษายนที่แสนร้อนระอุ เป็นช่วงปิดเทอมของเด็กๆ และเป็นปีที่เจ้าแฝดต้องเข้าเรียนด้วย เราเลยตกลงกันว่าจะพาเด็กๆ ไปที่ทะเลในช่วงนี้แทน เพราะฉะนั้นเหตุการณ์วุ่นวายจึงเกิดขึ้น ผมนั่งเก็บกระเป๋าให้ตัวเองและพี่ปราชญ์ในห้อง แต่เด็กๆ วิ่งเข้ามาทีละคนแล้วชูของในมืออย่างอารมณ์ดีพลางถามว่า“หม่าม้าโปรดเอากางเกงในสีเหลืองเป็ดไปได้ไหม?”“หม่าม้าเปลี่ยมเอารองเท้าผ้าใบคู่นี้ไปด้วยได้ไหม?”“หม่าม้าปลื้มไม่รู้จะเอาอะไรไป หม่ามาเก็บกระเป๋าให้ปลื้มได้ไหมครับ?”“หม่าม้าปกเอาของเล่นไปด้วยได้ไหม?”“ปักษ์เอาคุณเสือไปด้วยนะหม่าม้า”“.....................” นั่นแหละครับ ผมเลยทำได้เพียงต้อนเด็กๆ กลับห้องแล้วเก็บกระเป๋าให้ทีละคน พลางคิดในใจว่าเมื่อไรจะเปิดเทอม!! ก่อนจะเดินเข้าไปเก็บของให้น้องปันเป็นคนสุดท้าย แล้วเดินกลับห้องไปเก็บกระเป๋า ก่อนที่เสียงรถยนต์จะทำให้เด็กๆ วิ่งกรูกันลงไปข้างล่างพลางส่งเสียงดังไปตลอดทางว่า“พ่อมาแล้วววววววววว”ผมนวดขมับ ก่อนจะเก็บของชิ้นสุดท้ายลงกระเป๋าแล้วเดินลงไปข้างล่าง ทันเห็นว่าพี่ปราชญ์กำลังถูกเด็กๆ ล้อมหน้าล้อมหลังวุ่นวายไปหมด
บทที่ 19 เมื่อผมได้กลับมาอยู่กับครอบครัวที่รักผมมองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกแปลกๆ จำได้ว่าเพิ่งนั่งรถกลับบ้านหลังไปส่งเด็กๆ ที่โรงเรียน? แล้วทำไมผมกลับมาที่บ้านได้? ผมก้าวเดินไปที่ห้องนั่งเล่นก่อนจะพบว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายผมกำลังนั่งที่เก้าอี้โยกในห้องนั่งเล่น เธอนั่งลูบท้องในขณะที่กำลังยกยิ้มพลางฮัมเพลงในลำคอ ก่อนจะเงยหน้าหันมามองผมแล้วเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “สวัสดีค่ะน้องพัช” เมื่อได้ยินผมรู้สึกสั่นไหวในใจ ก่อนจะก้าวขาไปหาอีกฝ่าย แล้วนั่งลงบนพื้นตรงขาของอีกฝ่าย แล้วเอ่ยด้วยเสียงสั่นไหวว่า“ม้า?” ผู้หญิงที่ผมมักจะเห็นในรูปยกยิ้มหวานให้ผม ก่อนจะมือขึ้นมาลูบศีรษะผมอย่างอ่อนโยน แล้วเอ่ยด้วยเสียงเบาว่า“ค่ะ หม่าม้าดีใจนะคะที่ได้เห็นน้องพัชมีความสุข” ผมเม้มปากน้ำตาคลอ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงกลั้นน้ำตาว่า“แต่พัชจะมีความสุขกว่านี้ถ้าม้าอยู่กับพัชด้วย” หม่าม้ายกยิ้มก่อนจะส่ายหน้าแล้วเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนว่า“ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่หม่าม้าเฝ้ามองน้องพัชมาตลอดเลยนะคะ” ผมเงยหน้ามองหม่าม้า ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงสั่นเทาว่า“ถ้าอย่างนั้นหม่าม้าก็คงเห็นว่าพัชเป็นคนดีใช่ไหมครับ?” เมื่อ
บทที่ 18 เมื่อผมต้องไปงานแข่งกีฬาสีโรงเรียนของลูกปีนี้น้องโปรดขึ้นชั้นป.1 แล้ว แน่นอนว่ามีกิจกรรมหนึ่งที่พลาดไม่ได้ งานกีฬาสีที่จัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน น้องโปรดแข่งวิ่ง 100 เมตร กับวิ่งผลัด และลงแข่งฟุตบอลตัวสำรองด้วย วันเวลาที่ผ่านมาผมมองเห็นได้ว่าน้องโปรดตั้งใจมากกับงานกีฬาสีครั้งแรกนี้ของตัวเอง ส่วนเด็กๆ คนอื่นก็เติบโตขึ้นเป็นอย่างดีด้วยความรักของผมและพี่ปราชญ์ น้องปลื้มอายุได้ 5 ขวบตอนี้ขึ้นอนุบาลหนึ่ง น้องเปลี่ยม 3 ขวบ และเจ้าแฝด 1 ขวบ ส่วนพี่ปราชญ์กับผมก็มีความสุขดีครับ วันนี้เป็นวันศุกร์กีฬาสีจัดขึ้นวันแรก ผมในฐานะหม่าม้าจึงขนเด็กๆ และพี่ปราชญ์มาให้กำลังใจน้องโปรด ที่โรงเรียน “ปก ปักษ์อย่าดิ้นครับ” พี่ปราชญ์ที่อุ้มลูกชายสองคนไว้ในมือเอ่ยขึ้นเมื่อเจ้าแฝดพยายามจะดิ้นออกจากพี่ปราชญ์“หาพี่” น้องปกเอ่ยพลางชี้นิ้วไปที่น้องโปรดที่กำลังเดินขบวน ก่อนที่น้องปักษ์จะเบะปากแล้วเอ่ยด้วยเสียงไม่ชัดเจนนักว่า“พี่โปด หาพี่โปด” พี่ปราชญ์เลยต้องปลอบเจ้าแฝดยกใหญ่ น้องปลื้มหยิบเอาป้ายกระดาษแข็งที่นั่งวาดหลายวันมานี้ขึ้นชู แล้วมีน้องเปลี่ยมเอ่ยเสียงดังเป็นลำโพงเล็กๆ ว่า“พี่โปรดฉู้ๆ พี่โปรด!!!” ผม
บทที่ 17 เมื่อผมคลอดลูกแฝดหลังสงกรานต์ผมเตรียมตัวซื้อเสื้อผ้าให้น้องปลื้มเพื่อเตรียมไปโรงเรียนเดือนหน้านี้ ส่วนน้องโปรดกำลังขึ้นอนุบาลสอง ผมซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้น้องโปรดอีกชุด เพราะชุดเก่าเจ้าตัวคับแน่นไปหน่อย ช่วยไม่ได้ที่น้องโปรดกำลังโตก็แบบนี้ เนื่องด้วยผมท้องลูกแฝดท้องจึงใหญ่กว่าปกติจนน่ากลัว ผมเลยเคลื่อนไหวน้อยมาก และโชคดีที่มีพี่นิ้งคอยดูเด็กๆ ในช่วงนี้ เดือนเมษายนไม่มีอะไรมากไปกว่าความซนของเด็กๆ ที่เพิ่มขึ้น จนกระทั่งเปิดเทอมในเดือนต่อมา น้องโปรดและน้องปลื้มต้องไปโรงเรียน แน่นอนว่าวันแรกผมอยากไปส่งลูกที่โรงเรียน แต่เพราะหน้าท้องที่ใหญ่มากทำให้เคลื่อนไหวไม่สะดวก ผมจึงทำได้เพียงมองป๊าพาเด็กๆ ไปส่งที่โรงเรียนแทน“บ๊ายบ่ายฮะหม่าม้า” น้องปลื้มพูดพลางกลั้นน้ำตาสุดชีวิต ผมเดินไปลูบหัวก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงปลอบโยนว่า“เดี๋ยวพี่โปรดไปส่งที่ห้องนะครับ น้องปลื้มไม่ต้องร้องนะ” น้องโปรดเข้ามากอดน้องปลื้มก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอารมณ์ดีว่า“เดี๋ยวพี่ไปส่งที่ห้องเรียนน้าน้องปลื้ม”“อื้ม” น้องปลื้มปาดน้ำตา ก่อนจะยกยิ้มจับมือพี่ชายเดินขึ้นรถตู้ตามด้วยป๊าที่อารมณ์ดีทำหน้าที่ไปส่งหลาน พี่ปราชญ์ไปทำงานตั้ง
บทที่ 16 เมื่อผมกำลังทำลูกกับพี่ปราชญ์ตามธรรมชาติ“อ๊ะ อ๊า.....” ผมกรีดร้องเสียงดังเมื่อพี่ปราชญ์จับไหล่ผม แล้วดึงไปข้างหลัง พลางกระแทกกระทั้นเข้ามาในตัวผมอย่างรุนแรง ผมนัยน์ตาพร่ามัวก้มหน้าลงยันแขนกับเตียง ก่อนจะกรีดร้องเมื่อแก่นกายของพี่ปราชญ์เข้ามากระแทกย้ำๆ ที่ปากมดลูกจนผมเสียวไปทั้งตัว ก่อนจะปล่อยออกมารอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ผมตัวอ่อนเหลวไปกับเตียง ก่อนที่แก่นกายของพี่ปราชญ์จะหลุดออกจากช่องทางของผม จนน้ำด้านในไหลทะลักออกมาข้างนอก ผมนอนหอบหายใจเสียงดัง ก่อนจะถูกพี่ปราชญ์พลิกตัวกลับมานอนหงาย “พี่ปราชญ์?” ผมเอ่ยเรียกพี่ปราชญ์เสียงเบา เมื่ออีกฝ่ายจับขาผมพาดไว้กับไหล่ทั้งสองข้าง ก่อนจะถูไถแก่นกายที่กำลังอ่อนตัวที่ปากทางของผมที่กำลังอ้าออก เพราะหุบไม่ลง“อีกรอบนะคะเผื่อลูกไม่ติด” ผมเม้มปากก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงออดอ้อนไปว่า“จูบพัชหน่อย” เมื่อได้ยินพี่ปราชญ์ก็ก้มลงจูบผมก่อนจะค่อยๆ สอดแก่นกายที่กำลังแข็งตัวเข้ามาในร่างกายของอีกครั้งอย่างช้าๆ แล้วเริ่มขยับเข้าออกช้าๆ “อื้อ” ผมร้องครางพลางหลับตาก่อนจะหมดสติไปเพราะความอ่อนเพลีย แล้วผมก็ไม่รู้แล้วว่าต่อจากนั้นพี่ปราชญ์ทำอะไรต่อ เพราะหลับไปตื่
บทที่ 15 เมื่อผมต้องดูแลพี่ปราชญ์“คนไข้ดูเหมือนจะมีบุคลิกแตกแยกครับ” ผมมองหน้าหมออย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะเม้มปากกอดตัวเอง แน่นแล้วเอ่ยถามเสียงสั่นว่า“หมายถึงพี่ปราชญ์อีกคนหรือครับ?” คุณหมอพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยเสียงเครียด“จากการส่งตรวจเอกซเรย์สมองพบว่าคนไข้ปกติดีครับ แต่จากการสอบถามทางจิตวิทยาพบว่าคนไข้เหมือนจะแตกแยกบุคลิกออกมาอีกหนึ่งบุคลิกครับ หมอสงสัยว่าอาจจะเพราะสมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงส่งผลให้ส่วนของความจำและบุคลิกมีปัญหา เลยทำให้คนไข้สร้างเรื่องราวใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเอง....”“ถ้าอย่างนั้นมีโอกาสหายไหมครับ?” ผมเอ่ยถามหมอเสียงเครือ พลางปาดน้ำตาออกจากหางตา“แน่นอนครับ แต่ญาติต้องอดทนหน่อยนะครับ เพราะดูเหมือนเรื่องราวที่คนไข้สร้างขึ้นมาจะเป็นในแง่ลบทั้งสิ้นส่งผลให้จำเป็นต้องดูแลอย่างใกล้ชิด”“ครับ” ผมเอ่ยเสียงตอบรับก่อนจะพูดคุยอีกนิดหน่อยก็ออกมา แล้วเดินกลับที่ห้องพักของพี่ปราชญ์ พอเข้าไปเจ้าตัวกำลังนั่งอ่านอะไรบางอย่างในไอแพด ก่อนจะกดปิดหน้าจอฯ เมื่อเห็นผมเข้ามาแล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า“หมอว่าอย่างไรบ้าง?” ผมเม้มปากกลั้นน้ำตา เพราะความเย็นชาห่างเหินที่พี่ปราชญ