“มากันหลายคนเลยนะพวกนั้น แต่ตอนนี้ฉันจะไปไหนได้ล่ะเนี่ย คงต้องหาที่หลบแล้วดูแผนที่ก่อน”
อาคุมุหนีออกมาในทันทีเมื่อมีการโจมตีโดยกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง ซึ่งถ้านับจากเสียงฝีเท้าที่อาคุมุได้ยินนั้น จำนวนคนคงไม่ต่ำกว่าสิบเป็นแน่แท้
เขาใช้การเคลื่อนที่ด้วยวงแหวนเวทเพียงครั้งเดียว ซึ่งก็คือเคลื่อนที่มาได้ 100 เมตร แล้วจึงหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ในป่าซึ่งบดบังเขาได้มิดชิด ทั้งยังรอบด้านมีพุ่มไม้เป็นส่วนใหญ่ บวกกับท้องฟ้าในช่วงหัวค่ำ แต่ต้องแลกมาด้วยการที่ไม่มีแสงไฟจากหมู่บ้าน
“รอบด้านมืดชะมัดเลย แต่เดี๋ยวนะ?!!”
ทันใดนั้นเขาก็ได้พบสิ่งที่ไม่เคยสังเกตมาก่อนหลังจากมีแต้ม B ซึ่งนั่นก็คือความสามารถการมองเห็นในที่มืดหรือในที่ที่มีแสงน้อย นี่คือความสามารถพื้นฐานแต่ในอนาคตมันอาจพัฒนาไปได้อีก แต่ในตอนนี้เขายังไม่พบความสามารถใหม่ ๆ ไปมากกว่าเท่าที่ใช้ได้
“แล้วก็ออร่ารอบตัวฉัน... ที่เป็นสีฟ้าเข้ม” เขาตั้งสมาธิพร้อมกับมองเพ่งไปยังร่างกายของตนเอง และค่อย ๆ ถ่ายเทพลังออกมา ซึ่งออร่ารอบ ๆ ตัวเขานั้นเป็นสีฟ้าเข้ม แน่นอนว่าด้วยแต้ม B ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก พลังและทักษะรอบด้านต่างพัฒนาขึ้นอย่างมากเช่นกัน
“ไม่มีจังหวะได้ทดสอบอะไรเลยนะเนี่ย ทั้งที่หลาย ๆ อย่างมันเพิ่มขึ้นมาอย่างมหาศาล แต่ตอนนี้ฉันต้องเข้าเมืองใหญ่ให้ได้ซะก่อน” ว่าแล้วเขาก็ดูแผนที่และหาตำแหน่งด้วยความตั้งใจ
“เจอแล้วล่ะ!”
จนกระทั่งเขาหาตำแหน่งบ้านในแผนที่พบ ซึ่งมันไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนแต่ระบุเป็นจุดใหญ่ ๆ ในเมืองนั้น ยังดีที่บ้านเขาอยู่ใกล้ป่า จึงคาดเดาตำแหน่งได้ง่ายขึ้นเล็กน้อย โดยบ้านของเขาจะอยู่ทางทิศใต้ของป่า และห่างไปเพียง 100 เมตร ส่วนป่าที่เขาซ่อนตัวอยู่ในตอนนี้นั้นอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองใหญ่ คาดว่าคงจะห่างจากตำแหน่งปัจจุบันอย่างน้อย 30 กิโลเมตร
“ไกลพอสมควรเลยนะเนี่ย ต้องใช้เวลาสักหน่อยแหละนะ แต่เพียงแค่ฉันเคลื่อนที่ขึ้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ.. เดินทางครั้งนี้จะใช้เวลามากน้อยขนาดไหนก็คงขึ้นอยู่กับสิ่งที่จะเจอแล้วก็สภาพร่างกายของฉันแล้วล่ะ”
ว่าแล้วเขาก็เก็บแผนที่ไว้ในกระเป๋าสะพาย พร้อมกับเงยหน้าขึ้นเตรียมจะตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ เพื่อความปลอดภัยในการเคลื่อนที่
ทันใดนั้นก็ได้มีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นขณะที่เขากำลังจะลุกยืน
ได้มีกลุ่มคนจำนวนหลายสิบคนเดินมาเป็นกองทัพ ซึ่งผู้ที่คาดว่าน่าจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มนี้นั้นได้ตะโกนจนมีเสียงดังขึ้นมาจากระยะที่ไกลพอสมควร
“พวกฉันคือทหารราบฝ่ายนอก! ต้องการให้นายมากับเราหน่อยน่ะเจ้าหนู!!”
“หืม? ทหาร.. ทหารราบงั้นเหรอ? หึหึ” อาคุมุมองไปยังเหล่าทหารร่างใหญ่ซึ่งกำลังเดินตรงมาที่เขา และขณะนั้นก็เผยให้เห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเขา... ความเจ้าเล่ห์ที่อยู่ในใจ
ทันทีที่ทหารราบมาถึงตัวอาคุมุ ซึ่งนั่งอยู่นิ่ง ๆ โดยไม่มีท่าทีที่แสดงถึงพิรุธใด ๆ เลยแม้แต่น้อย เพราะสิ่งที่ผิดสังเกตนั้นเขาไม่จำเป็นต้องทำ แค่เขานั่งนิ่งเกินไปโดยไม่ตกใจ หรืออยู่คนเดียวในเวลาแบบนี้รวมถึงในที่แบบนี้ เพียงเท่านี้ก็เป็นสิ่งที่ผิดปกติและเป็นพิรุธแล้ว
หัวหน้าของพวกเขาที่มีหน้าตาที่ดูดุดัน ร่างกายกำยำและมีสีผิวคล้ำเล็กน้อย มีแผลเป็นทางใบหน้าซีกขวาซึ่งคือรอยมีดที่บริเวณใกล้กับหางตายาวลงมาถึงแก้ม อายุคงราว ๆ 40 ปีได้
เขาพูดกับอาคุมุด้วยน้ำเสียงที่ดูดุดัน และท่าทางของเขาที่ดูเร่งรีบ
“เจ้าหนู ฉันว่านายคงจะรู้จักชายคนหนึ่งในหมู่บ้านนี้ รายละเอียดค่อยคุยกัน ตอนนี้ไปกับเราก่อนได้ไหม?”
“เอ่อ... ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าพวกลุงหมายถึงใคร แต่ผมไปด้วยก็ได้ครับ ถ้าผมพอช่วยอะไรได้” อาคุมุตอบกลับไปในทันที ซึ่งทหารทุกคนต่างหันมองหน้ากัน ราวกับว่ากำลังแปลกใจและงุนงงในสิ่งที่ได้ยิน
“ขอบใจมากเจ้าหนู รถม้าอยู่ทางด้านโน้น เราไปกันเถอะ” ว่าแล้วหัวหน้าทหารก็เดินนำหน้าไป ซึ่งอาคุมุได้ยินอย่างนั้นจึงลุกขึ้นและเดินตามไปติด ๆ
เขาตั้งใจจะเดินอยู่ด้านหลัง แต่ท้ายที่สุดก็มีทหารเดินประกบทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รวมไปถึงด้านข้างทั้งสองฝั่ง เขาจึงจำต้องเดินอยู่ตรงกลางอย่างนั้น
‘ฉันยังไม่ได้คิดจะทำอะไรสักหน่อย แค่อยากเดินอยู่ด้านหลังเพราะคนพวกนี้น่ากลัวชะมัด ล้อมขนาดนี้นี่แท้จริงแล้วฉันเป็นคนมีชื่อเสียงหรือเปล่า? เจ้าพวกบ้าเอ๊ยฉันก็แค่เด็กคนเดียว’
อาคุมุคิดในใจด้วยความรู้สึกที่ค่อนข้างจะหงุดหงิด เพราะด้วยทั้งสายตาและกิริยาท่าทางของทหารแต่ละคนที่แสดงออกนั้น ราวกับว่าเด็กอายุ 6 ปีอย่างเขาไม่ใช่คน แต่เป็นปีศาจหรือสัตว์ร้ายที่ทหารไม่ชอบนัก
‘แต่เดี๋ยวนะ... พวกนี้คือทหารทั้งที่มีนักเวทงั้นเหรอ?’ อาคุมุเกิดนึกบางอย่างขึ้นได้ และมันเป็นสิ่งที่เขาควรจะนึกได้นานแล้ว เพราะนี่คือโลกแห่งเวทมนตร์ แต่ที่อยู่รอบตัวเขาในตอนนี้คือทหารซึ่งในมือต่างก็ถือปืน และไม่มีแนวโน้มว่าจะสามารถใช้พลังเวทได้เลยแม้แต่คนเดียว
อาคุมุมองไปยังทหารทุกคนที่อยู่รอบตัวเขา แน่นอนว่าเขามองเพื่อต้องการที่จะเห็นออร่าพลังเวทรอบ ๆ ตัวของทหารเหล่านี้... แต่นั่นไม่ใช่วิธีที่ได้ผล เพราะเขาไม่สามารถรับรู้และมองไม่เห็นอะไรเลยที่จะบ่งบอกถึงพลังเวทในตัว
‘แปลกชะมัด’
“เอาล่ะ ขึ้นไปได้เลยเจ้าหนู” ในตอนนี้ได้มาถึงรถม้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีรถม้าอยู่ทั้งหมด 3 หลัง โดยอาคุมุได้ขึ้นไปพร้อมกับผู้เป็นหัวหน้าทหาร
“ฉันคือหัวหน้าทหารราบฝ่ายนอกหน่วยที่ 7 เป็นทหารราบระดับ 3 มีนามว่า "ไอซาโอะ เรย์" นายล่ะชื่ออะไรเหรอเจ้าหนู?” เรย์กล่าวหลังจากที่ตนและอาคุมุขึ้นมาบนรถม้าแล้ว ซึ่งอาคุมุถึงกับแปลกใจเมื่อได้ยินระดับของเขา
‘ระดับ? คงจะเป็นยศของทหารในโลกนี้สินะ’
“ผมชื่อว่าอาคุมุครับ แล้วก็ระดับ 3 คือระดับไหนเหรอครับ?” อาคุมุตอบกลับไปพร้อมกับคำถามที่เกี่ยวกับระดับของทหาร ซึ่งเขามีความอยากรู้พอสมควร ทั้งที่นี่คือโลกแห่งเวทมนตร์แต่กลับมีทหาร แล้วทหารจะสามารถต่อสู้ได้ดีกว่านักเวทหรืออย่างไร?
“ก็... ระดับ 3 ของฉันถ้านับแค่ทหารราบก็สูงพอประมาณ แต่ถ้านับโดยรวมแล้วมันเทียบไม่ได้กับทหารอากาศและทหารเรือเลยล่ะ นี่ฉันยังไม่ได้รวมถึงพวกนักเวทนะ แค่นี้ทหารราบอย่างพวกฉันก็โดนกดมามากพอแล้ว!” เรย์พูดด้วยน้ำเสียงที่ราวกับว่ากำลังโกรธแค้นอย่างสุดขั้วหัวใจ เขากำมือไว้แน่น และแววตาของเขาที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
**ระดับของทหารราบ
-ทหารราบระดับ 1
-ทหารราบระดับ 2
-ทหารราบระดับ 3
-ทหารราบระดับ 1 ดาว
-ทหารราบระดับ 2 ดาว
-ทหารราบระดับ 3 ดาว
“เอ่อ... หัวหน้าเรย์ครับ ใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ” ทหารหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ
“อืม ขอบใจมาก แล้วก็ที่นายถามฉันน่ะฉันก็ตอบไปหมดแล้วล่ะนะเจ้าหนู” เรย์พูดจบก็เงียบไป ดูเหมือนว่าเขากำลังมีอะไรบางอย่างที่วุ่นวายอยู่ในใจ แต่ไม่สามารถพูดมันออกมาได้ และไม่สามารถทำอะไรได้
‘นี่อาจจะเป็นโอกาสดีของฉันก็ได้... หึหึ’
บทที่ 60 : มอบรางวัลด้วยเลือด [จบเล่ม 2]การต่อสู้จบลง สนามประลองแบบจำลองก็ได้หายไป อาคุมุลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเขาอยู่ที่สนามประลองของจักรวรรดิไดจิเสียแล้ว เขามองไปรอบ ๆ ขณะเดียวกันกับเสียงตอบรับที่ดังมาจากผู้ชมทั่วทั้งสนามประลองอย่างครึกครื้น“อาคุมุชนะจริง ๆ ด้วย?!!”“เขาสู้แบบนั้นได้ยังไงกันนะ? โดนรุมนั่นน่ะ”“เจ้าเด็กคนนี้ต้องแข็งแกร่งขนาดไหนกันเนี่ย?! แน่ใจนะว่าไม่ใช่นักเวทของจักรวรรดิ?”“ตามดูเจ้าหนูนี่มาตั้งแต่วันแรก ไม่ทำให้ผิดหวังเลย!”…“ในรอบนี้เราสามารถหาผู้ชนะเลิศได้เลยล่ะครับทุกท่าน! ผู้ชนะการประลองของจักรวรรดิไดจิในครั้งนี้คือ… คาอิคะ อาคุมุ!!!” ผู้คุมสนามประกาศออกไปอย่างเป็นทางการด้วยผลการต่อสู้ที่เป็นเอกฉันท์กลางสนามประลองที่มีผู้ชมเป็นจำนวนมาก คู่ต่อสู้ทั้งหกคนของอาคุมุนั้นนอนบาดเจ็บอยู่ที่พื้น โดยมีอาคุมุยืนอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้น แม้การบาดเจ็บจะไม่ได้สาหัสมากนัก แต่ร่องรอยบาดแผลตามที่เห็นคงต้องใช้เวลาพอสมควร‘ไม่มีใครตายเพราะเมื่อพลังชีวิตแบบจำลองหมดไปก็จะถูกส่งออกมาทันทีสินะ’ อาคุมุที่ไม่ได้เข้าใจเกี่ยวกับทักษะสร้างภาพลวงตาของราชันจอมเวทอาวุโสนี้มากนัก ทำได้เพียงวิเ
บทที่ 59 : หนึ่งรุมหกการโจมตีที่รุนแรงและรวดเร็วของรินนั้นทำให้ฮิบาริไม่สามารถหลบหลีกหรือป้องกันได้ทั้งหมด ทำให้เขาต้องรับการโจมตีไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งพลังชีวิตแบบจำลองเป็นศูนย์ในตอนนี้ฮิบาริได้ถูกคัดออกจากการประลองแบบกลุ่มแล้ว ซึ่งทำให้กลุ่มของอาคุมุนั้นเหลือเพียงสามคน และภายในทักษะหมอกเพลิงสีชาดของรินนี้… เหลือเพียงอาคุมุและรินเท่านั้น“นายจะทำยังไงดีล่ะเจ้าหนูอาคุมุ? สู้กับฉันตัวต่อตัวไหวไหมนะ? อืม… ฉันมีสมาชิกอยู่ข้างล่างทั้งหมด 5 คนเนี่ยสิ คงจะเอาชนะฉันได้ไม่ง่ายหรอกมั้ง” รินพูดขึ้นมา ซึ่งนั่นทำให้อาคุมุแปลกใจในทันที“ว่าไงนะ? ทั้งหมดห้าคนนี่หมายความว่าอะไร?” อาคุมุถามกลับไป“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! นายนี่น่าขำจริง ๆ เลย คิดว่าเจ้าพวกที่เหลืออยู่จะมั่นใจในตัวนายแล้วไม่สนผลประโยชน์หรือไงกัน?” รินตอบกลับมา“หรือว่านั่นคือ…”“ใช่แล้วล่ะ! ฉันแค่เสนอให้พวกมันมาร่วมมือกับฉัน ข้อแลกเปลี่ยนคือการเข้าร่วมกลุ่มจันทราแดง ถึงจะถูกคัดออกและไม่ชนะเลิศในการประลอง แต่มีเงินใช้ง่าย ๆ ต่อจากนี้… ใครจะไม่ชอบกันล่ะ ลองดูนั่นสิ” รินพูดจนจบและชี้ลงไปยังข้างล่าง ซึ่งสิ่งที่เห็นนั้นคือสมาชิกกลุ่มของอาคุมุที
บทที่ 58 : ผู้ที่ถูกคัดออกคนแรกในตอนนี้ สถานการณ์ของอาคุมุและฮิบารินั้นไม่สู้ดีนัก พวกเขาถูกปิดล้อมไปด้วยทักษะหมอกเพลิงสีชาดของริน อีกทั้งยังถูกล้อมไปด้วยสมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุ่มของรินจากภายนอก ซึ่งสามารถโจมตีเข้ามาได้โดยตรง เรียกได้ว่าถูกบีบให้จนมุมทั้งอย่างนั้น‘ซวยจริง ๆ แล้วไง’“ออกไปเฉย ๆ ไม่ได้เลย!” ฮิบาริกำลังพยายามจะดันตัวเองออกไปจากทักษะของริน‘ไอ้บ้านี่มันแกล้งทำเป็นไม่รู้เหรอ?’“ถ้าออกไปได้ง่าย ๆ เขาจะสร้างขึ้นมาทำไมล่ะครับคุณฮิบาริ?” อาคุมุถามกลับไป“พวกนายฟังฉันนะ! ทักษะหมอกเพลิงสีชาดนี้จะสามารถใช้ได้ 30 นาที หลังจากนั้นจะสามารถใช้ทักษะนี้ได้อีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปอีก 30 นาที” รินพูดขึ้นมา“แล้ว... บอกทำไมเหรอครับ?” อาคุมุที่ได้ยินอย่างนั้นจึงถามกลับไป“เพราะว่า... ฉันสามารถเอาชนะพวกนายได้ใน 30 นาทีนี้ไงล่ะ!! กระสุนเพลิงสีชาด!!!” รินตอบกลับมาพร้อมกับยิงกระสุนเพลิงเข้าใส่อาคุมุและฮิบาริด้วยความเร็ว“ตาข่ายอัสนี!”ตู้มมมม!!!“อึ่ก! บ้าจริง”ถึงแม้อาคุมุจะใช้ทักษะป้องกันไว้ได้ทัน แต่ความเสียเปรียบนั้นปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน เพราะตาข่ายอัสนีของอาคุมุนั้นถูกทำลายได้โดยการ
บทที่ 57 : ความได้เปรียบเป็นศูนย์รินและสมาชิกอีกสามคนได้มาถึงที่ตำแหน่งของอาคุมุ ซึ่งรินนั้นปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับอาวุธคู่กายอย่างปืนพกเช่นเดิม ส่วนอีกสามคนนั้นก็คือนักเวทชุดขาวเป็นผู้ชายสองคนและผู้หญิงอีกหนึ่งคน โดยทุกคนนั้นมีกระเป๋าสะพายอยู่ข้างหลัง“อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิดเลยล่ะครับ... ทุกอย่างเลย” สิ่งที่อาคุมุคิดไว้นั้นเป็นจริงทุกอย่าง ซึ่งก็คือการที่นักเวทชุดขาวทั้งสามนั้นเปลี่ยนชุดก่อนจะเข้ามายังสนามประลองแบบจำลองนี้“แต่ว่า... จะทำไปเพื่ออะไรเหรอครับ? เตรียมชุดมาเปลี่ยนตอนเข้ามาในนี้แล้วเนี่ย?” อาคุมุถามออกไป“ก็ถ้าพวกฉันอยู่ในบทบาทของนักเวทชุดขาวตั้งแต่ตอนที่อยู่ข้างนอกล่ะก็... คงจะโดนประท้วงพอดีน่ะสิ” หนึ่งในนักเวทชุดขาวตอบกลับมา“ฉันควรจะแนะนำตัวอีกครั้งไหมนะ? ฉันคือ อากาเนะ ริน เป็นเพียงคนที่กำลังจะได้เป็นจอมเวทระดับ 3 แล้วล่ะนะ!!” รินพูดขึ้นมาพร้อมกับจับปืนพกทั้งสองกระบอกไว้แน่น ลมจากแรงของพลังเวทปะทะเข้ากับร่างของอาคุมุโดยตรง‘กำลังจะได้เป็นจอมเวทระดับ 3 งั้นเหรอ? สีของออร่าพลังเวทกำลังจะเป็นสีแดงแล้วสินะ แข็งแกร่งขึ้นมากจริง ๆ ด้วย’“สุดยอดไปเลยนะครับ สมแล้วกับตำแหน่งรอ
บทที่ 56 : เริ่มการประลองแบบกลุ่มในตอนนี้ ผู้คุมสนามได้ทำการสร้างสนามประลองแบบจำลองเสร็จสิ้นแล้ว เป็นทักษะที่มีความเหมือนจริงเป็นอย่างมาก ถึงได้ชื่อว่าเป็นภาพลวงตา และด้วยความแข็งแกร่งระดับราชันจอมเวทอาวุโส การที่สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ก็คงจะไม่เกินจริงนัก...ที่สนามประลอง ภายนอกทักษะภาพลวงตา“สิ่งที่ทุกคนเห็นอยู่ตรงหน้านี้... คือสิ่งที่เกิดขึ้นภายในนั้นครับ” เสียงของผู้คุมสนามได้ดังกึกก้องไปทั่วทั้งสนามประลองด้วยทักษะพลังเวทของพิธีกร เสียงตอบรับจากคนดูก็เกิดขึ้นในทันที“น... นี่เหมือนฉันดูการประลองผ่านจอเลยนะ”“ข้างในนั้นจะไม่เป็นอะไรแน่เหรอ?”“ดูนั่นสิ! อาคุมุอยู่นั่นล่ะ!!”“ที่นั่นมันคือจำลองเมืองไหนหรือเปล่า? ที่ไหนในจักรวรรดิหรือเปล่านะ?”...สิ่งที่ทุกคนเห็นอยู่ตรงหน้านั้น คือลูกบาศก์ขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยออร่าของพลังเวทสีม่วง ลอยอยู่ในอากาศตรงกลางสนามประลอง ทั้งสี่ด้านนั้นเผยให้เห็นภาพจากมุมมองของแต่ละคนและมุมมองภาพรวมภายในนั้น ราวกับว่ากำลังดูผ่านจอขนาดยักษ์“สถานที่ภายในนั้นคือเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในจักรวรรดิ มีชื่อว่าเมืองชิโตเสะครับ... ขอให้ทุกคนเพลิดเพลินไปกับการประลองในครั้ง
บทที่ 55 : ราชันจอมเวทอาวุโส?กฎและกติกาการแข่งขันในรอบ 8 คนสุดท้ายนั้น ได้ถูกเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันโดยไม่ได้มีการประกาศล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เข้ารอบหรือผู้ชมทั่วทั้งสนามประลอง ไม่เคยมีใครคิดไว้ว่าจะถูกเปลี่ยนเป็นการประลองแบบกลุ่ม“เริ่มจากการจัดกลุ่ม กลุ่มที่ 1 จะมีผู้ชนะจากสายการต่อสู้เดิมก็คือสาย A, B, C และ D ส่วนกลุ่มที่ 2 ก็จะมีผู้ชนะจากสายการต่อสู้เดิมคือสาย E, F, G และ H ครับ”พิธีกรได้ประกาศวิธีการแบ่งกลุ่มให้กับทั้ง 8 คน‘ฉันพอเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงแบ่งกลุ่มง่าย ๆ แบบนี้...’‘...เพราะรินอยู่ในกลุ่มที่ 2 สินะ? การคาดเดาของฉันถูกต้องอย่างแน่นอน!’สิ่งที่อาคุมุคิดไว้นั้นมีเพียงความได้เปรียบของฝั่งตรงข้าม ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด และในสถานการณ์ตรงหน้านี้ ความได้เปรียบที่ว่าก็คงจะหนีไม่พ้นการที่กลุ่มนั้นมีคนอย่างรินอยู่ด้วยนั่นเอง“ก่อนที่จะเข้าสู่ลำดับถัดไป...” พิธีกรพูดยังไม่ทันจบประโยค เสียงจากแท่นด้านบนก็ดังขึ้นมาในทันทีตึ้ง!!ซึ่งเป็นเสียงขององค์จักรพรรดิที่ใส่พลังเวทเข้าไปในแท่นข้าง ๆ ตัว สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ทำให้ทุกคนต่างก็ตกใจกันไปตาม ๆ กัน“องค์จักร