“ในเมื่อเราเป็นพันธมิตรกันแล้ว เราควรจะต้องเริ่มจากอะไร? ถ้ามีแผนแล้วตอนนี้แผนของนายคืออะไรงั้นเหรอเจ้าหนู?” เรย์กล่าวถามกับอาคุมุ
ซึ่งอาคุมุเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะตอบกลับ
“ผมต้องถามก่อนว่ารถม้าจะมุ่งหน้าไปที่ไหนเหรอครับ? แล้วก็ตั้งแต่แรกเริ่มแท้จริงแล้วจะส่งตัวผมให้กับใคร?”
“เดิมทีรถม้าพวกฉันจะตรงไปยังเมืองบาระ ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ใกล้ ๆ เมืองชิโตเสะนี่แหละ แล้วก็เรื่องส่งตัว.. เห้อ! เด็กอะไรฉลาดเป็นบ้า ไม่ได้มีการคุยกันแค่เพียงเล็กน้อยหรอก พวกฉันจะต้องส่งตัวนายให้หน่วยสอบสวนของนักเวท แล้วก็ดูเหมือนว่า...” เรย์พูดแล้วก็หยุดไป
‘ส่งตัวฉันให้นักเวทจริง ๆ ด้วย’
“ดูเหมือนว่าอะไรเหรอครับ?” เมื่อได้ยินอย่างนั้นอาคุมุจึงถามกลับไป
“ดูเหมือนว่าองค์จักรพรรดิจะต้องการตัวนายน่ะสิ แล้วก็ไม่อยากรอนานนัก จึงให้พวกฉันพานายตรงไปยังพระราชวังที่เมืองหลวงเลย แล้วก็ต่อจากนี้จะเป็นขั้นตอนไหนฉันก็ไม่รู้ เพราะทหารราบฝ่ายนอกอย่างพวกฉันมีสิทธิ์ทำได้แค่เข้าไปส่งตัวคนสักคนหนึ่งจากสถานที่ห่างไกลเพียงเท่านั้น แต่ฉันรู้มาว่าหน่วยสอบสวนของนักเวทน่ะ... โหดร้ายมากเลยล่ะ”
‘แบบนี้ก็เข้าทางฉันสิ’
“ในเมื่อเป็นแบบนั้น ตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรที่จะต้องทำหรอกครับ แค่รอเวลาที่จะเข้าเมืองหลวง เพราะผมตั้งใจให้เป็นไปในทิศทางนั้นอยู่แล้ว ว่าแต่อีกไกลไหมครับกว่าจะถึง” เรย์ที่ได้ยินอย่างนั้นจึงตะโกนถามกับสารถี [2] หรือคนขับรถม้า เพราะด้วยความที่รถม้าเป็นแบบปิดด้านหน้า จึงไม่สามารถพูดคุยกับคนขับรถม้าได้
“อีกไกลไหมกว่าจะถึงเมืองหลวงน่ะ”
ซึ่งเขาไม่ได้คำตอบใด ๆ กลับมา และไม่มีการพูดอะไรเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่คนขับรถม้าก็เป็นนายทหารในหน่วยของเรย์ และเมื่อเรย์คิดจะเอ่ยปากถามอีกครั้ง ก็ได้มีคำตอบที่ทำให้ทุกคนในรถม้านั้นเกิดความผวาไปตาม ๆ กัน
“ไกลมากเลยล่ะกว่าถึงเมืองหลวง แต่ถ้าเป็นตำแหน่งในการฆ่าล้างหน่วยที่ 7 ของแกล่ะก็... มันไม่ไกลเลยนะ ฮะ ฮะ ฮ่า!” ชายคนนั้นตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัว พร้อมกับรถม้าที่กำลังจะหยุดนิ่ง
“น.. นักเวท?! อย่าบอกนะว่า 3 คนเลยเหรอ?”
เพียงแค่ได้ยินประโยคแบบนั้นก็รู้ได้ในทันทีแล้วว่าคนคนนั้นเป็นนักเวทอย่างไม่ต้องสงสัย ในเมื่อจำนวนของรถม้าคือ 3 แล้ว แน่นอนว่าคนขับก็ต้อง 3 เช่นกัน
“ทำไมพวกแกถึงได้?... บ้าจริง”
ซึ่งเรย์นั้นเกิดความวิตกกังวลเล็กน้อย เพราะครั้งล่าสุดที่เขาได้สู้กับนักเวทนั้นทำให้เขารู้ว่าทหารธรรมดาที่ฝึกฝนได้เพียงทางด้านร่างกายและการต่อสู้ กับนักเวทที่ได้รับการฝึกฝนมาหลากหลายรูปแบบมีความห่างชั้นกันอย่างมาก มากเสียจนแค่เป็นคนที่มีพลังเวทก็สามารถฆ่าทหารร่างยักษ์ได้อย่างง่ายดาย
“จะเอายังไงดีล่ะ... พ่อวีรบุรุษคนสุดท้ายของตระกูลคาอิดะ” นักเวทผู้นั้นกล่าว พร้อมกับรถม้าที่หยุดนิ่ง
ไม่มีเสียงของเกือกม้ากระทบกับพื้น ไม่มีเสียงจากล้อของรถม้า ไม่มีเสียงใด ๆ เลยแม้แต่น้อย
“แผนที่วางไว้ต้องทำยังไงถึงจะสำเร็จนะ... เพราะดูเหมือนว่าตระกูลใหญ่ที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานจะจบลงตรงนี้แล้วล่ะ ฮิ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” หนึ่งในนักเวททั้งสามเอ่ยปากพูดขึ้นมา ซึ่งเหล่าทหารทั้งหลายนั้นต่างก็หวาดกลัวเป็นอย่างมากจนร่างกายแทบจะไม่สามารถขยับได้
‘พวกนี้เป็นนักเวทและรู้จักตระกูลคาอิดะเป็นอย่างดี... แต่ว่าฉันเหลือเพียงคนเดียวงั้นเหรอ? ฉันไม่ได้คิดหรอกนะว่าพ่อฉันตายแล้วน่ะ หึหึ’
อาคุมุยังคงนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหว ขณะนี้เขากำลังใช้ความคิดเพื่อค้นหาวิธีที่จะรับมือกับสถานการณ์ในตอนนี้
“เฮ้ย! พวกนายเป็นชายชาตินักรบ.. อย่าเพิ่งขวัญอ่อนกันสิโว้ย!!” เรย์ตะโกนออกมาด้วยพลังเสียงที่มหาศาล เขาพูดปลุกใจให้เหล่าทหารในหน่วยของเขาไม่คิดเกรงกลัวและมีแรงกล้า ซึ่งแน่นอนว่ามันได้ผลดีเป็นอย่างมาก
“แล้วนายจะทำยังไงต่อน่ะเจ้าหนู? นายเป็นใครกันแน่เนี่ยตามที่พวกนั้นพูด” เรย์กล่าวถามอาคุมุ
“เรื่องของผมเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังนะครับ ตอนนี้ให้ผมจัดการกับเจ้าพวกนี้ก่อน” ว่าแล้วอาคุมุก็ลุกขึ้นพร้อมกับเดินลงไปจากรถม้า
“พวกคุณว่าไงนะครับ? พ่อผมตายแล้วเหรอ?” เขากล่าวพร้อมกับมองไปยังนักเวททั้งสาม
ซึ่งทั้งสามคนนั้นมีลักษณะภายนอกที่คล้ายคลึงกันราวกับว่าเป็นพี่น้องที่คลานตามกันมาแบบติด ๆ และลืมตาดูโลกในเวลาที่ไล่เรี่ยกัน สีผมดกดำ ร่างกายค่อนข้างที่จะสมส่วน ทั้งสามสวมเสื้อคลุมสีม่วงและต่างก็เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้
‘ออร่าสีฟ้าเข้มทั้ง 3 คน... ส่งคนมาแบบนี้คิดจะฆ่าล้างหน่วยจริง ๆ สินะเนี่ย แต่เดี๋ยวนะ?’ เขาสังเกตเห็นพลังเวทของทั้งสามคนนั้น ซึ่งเป็นพลังเวทชนิดเดียวกัน
“โว้ว! เด็กน้อยเสียพ่อไปโดยไม่รู้ตัวงั้นเหรอ แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ เดี๋ยวนายก็ได้ตายตามพ่อไปแล้วล่ะเจ้าหนูน้อย ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
‘หัวอ่อนชะมัด’
“เห? อย่าบอกนะว่าที่มากัน 3 คนโดยทุกคนมีพลังเวทเป็นเวทแห่งน้ำเนี่ย เพื่อที่จะมาจัดการกับเด็ก 6 ขวบอย่างผมโดยเฉพาะเหรอครับ? น่าตลกจังเลยนะว่าไหม ฮ่า ฮ่า ฮ่า” อาคุมุตอบกลับไปด้วยสีหน้าและท่าทางที่เผยให้เห็นว่าเขาไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่ตรงหน้าเขาคือนักเวทสามคนที่มีแต้ม B 1,000 แต้มขึ้นไปทุกคน
“แกพูดว่ายังไงนะ?!” นักเวทคนหนึ่งพูดขึ้นมาพร้อมกับกัดฟันและกำมือไว้แน่น เขาเป็นคนที่รู้สึกโกรธรวมถึงโมโหที่สุดเมื่อได้ยินคำพูดแบบนั้นออกมาจากปากของอาคุมุ
“น้องรองใจเย็นก่อน” นักเวทอีกคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา ซึ่งดูเหมือนว่าทั้งสามคนนี้จะเป็นพี่น้องกันอย่างไม่ต้องสงสัย
“แกพูดเหมือนแกจะทำอะไรพวกฉันได้อย่างงั้นแหละ ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนห๊ะ? มังกรไฟตัวเล็ก ๆ อย่างแกน่ะแค่เจอพลังเวทแห่งน้ำของพวกฉันก็ดับแล้ว จะจุดยังไงให้ติดได้ล่ะตอนที่แกเปียกโชกไปทั้งตัว ถึงพลังพวกฉันจะเป็นแค่น้ำธรรมดาแต่ไม่ว่าจะวิธีไหนก็ดับไฟอ่อน ๆ ของแกได้ล่ะนะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า... ใช่ไหมล่ะเจ้าหนูพลังมังกรไฟ”
อาคุมุที่ได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มอย่างผู้ชนะในทันที ซึ่งนั่นทำให้นักเวททั้งสามต่างทวีคูณความโกรธรวมถึงปนความแปลกใจไปในเวลาเดียวกัน
“ถึงเวลาตายแล้วแกยังยิ้มได้อีกหรือไง?”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! เพิ่งรู้นะครับว่าเหล่านักเวททั้งหลายมีความไม่ฉลาดอยู่ลึก ๆ ด้วย เพื่อดับไฟอ่อน ๆ ของผมแต่กลับส่งมาถึง 3 คน ทั้งที่การแพ้ทางธาตุอาจไม่มีความสำคัญในการต่อสู้ตรง ๆ แต่ที่มากไปกว่านั้นคือส่งมาแต่คนที่มีพลังเวทแห่งน้ำเนี่ยนะ? จะเป็นยังไงล่ะครับถ้าพลังเวทของผม... มันไม่ใช่ไฟน่ะ หึหึ” อาคุมุตอบกลับไป ซึ่งทำให้ทั้งสามต่างก็ตกใจไปตาม ๆ กัน
“เหลวไหลชะมัด! พลังเวทของแกมันจะไม่ใช่มังกรไฟได้ไงกัน?!”
“ก็พลังเวทของผม... มันคือมังกรสายฟ้าไงล่ะครับ”
-------------------------------------------------------
[2] สารถี (สาระถี) น. หมายถึง คนขับรถ, คนบังคับม้า หรือคนที่ทำหน้าที่บังคับพาหนะให้เคลื่อนไป
*แต่ไรท์จะใช้เป็นคำว่า “คนขับรถม้า” แล้วกันนะครับ เผื่อไรท์ลืมเองแล้วใส่ทั้ง 2 อันเลยเอาความหมายของคำนี้มาแปะไว้
บทที่ 60 : มอบรางวัลด้วยเลือด [จบเล่ม 2]การต่อสู้จบลง สนามประลองแบบจำลองก็ได้หายไป อาคุมุลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเขาอยู่ที่สนามประลองของจักรวรรดิไดจิเสียแล้ว เขามองไปรอบ ๆ ขณะเดียวกันกับเสียงตอบรับที่ดังมาจากผู้ชมทั่วทั้งสนามประลองอย่างครึกครื้น“อาคุมุชนะจริง ๆ ด้วย?!!”“เขาสู้แบบนั้นได้ยังไงกันนะ? โดนรุมนั่นน่ะ”“เจ้าเด็กคนนี้ต้องแข็งแกร่งขนาดไหนกันเนี่ย?! แน่ใจนะว่าไม่ใช่นักเวทของจักรวรรดิ?”“ตามดูเจ้าหนูนี่มาตั้งแต่วันแรก ไม่ทำให้ผิดหวังเลย!”…“ในรอบนี้เราสามารถหาผู้ชนะเลิศได้เลยล่ะครับทุกท่าน! ผู้ชนะการประลองของจักรวรรดิไดจิในครั้งนี้คือ… คาอิคะ อาคุมุ!!!” ผู้คุมสนามประกาศออกไปอย่างเป็นทางการด้วยผลการต่อสู้ที่เป็นเอกฉันท์กลางสนามประลองที่มีผู้ชมเป็นจำนวนมาก คู่ต่อสู้ทั้งหกคนของอาคุมุนั้นนอนบาดเจ็บอยู่ที่พื้น โดยมีอาคุมุยืนอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้น แม้การบาดเจ็บจะไม่ได้สาหัสมากนัก แต่ร่องรอยบาดแผลตามที่เห็นคงต้องใช้เวลาพอสมควร‘ไม่มีใครตายเพราะเมื่อพลังชีวิตแบบจำลองหมดไปก็จะถูกส่งออกมาทันทีสินะ’ อาคุมุที่ไม่ได้เข้าใจเกี่ยวกับทักษะสร้างภาพลวงตาของราชันจอมเวทอาวุโสนี้มากนัก ทำได้เพียงวิเ
บทที่ 59 : หนึ่งรุมหกการโจมตีที่รุนแรงและรวดเร็วของรินนั้นทำให้ฮิบาริไม่สามารถหลบหลีกหรือป้องกันได้ทั้งหมด ทำให้เขาต้องรับการโจมตีไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งพลังชีวิตแบบจำลองเป็นศูนย์ในตอนนี้ฮิบาริได้ถูกคัดออกจากการประลองแบบกลุ่มแล้ว ซึ่งทำให้กลุ่มของอาคุมุนั้นเหลือเพียงสามคน และภายในทักษะหมอกเพลิงสีชาดของรินนี้… เหลือเพียงอาคุมุและรินเท่านั้น“นายจะทำยังไงดีล่ะเจ้าหนูอาคุมุ? สู้กับฉันตัวต่อตัวไหวไหมนะ? อืม… ฉันมีสมาชิกอยู่ข้างล่างทั้งหมด 5 คนเนี่ยสิ คงจะเอาชนะฉันได้ไม่ง่ายหรอกมั้ง” รินพูดขึ้นมา ซึ่งนั่นทำให้อาคุมุแปลกใจในทันที“ว่าไงนะ? ทั้งหมดห้าคนนี่หมายความว่าอะไร?” อาคุมุถามกลับไป“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! นายนี่น่าขำจริง ๆ เลย คิดว่าเจ้าพวกที่เหลืออยู่จะมั่นใจในตัวนายแล้วไม่สนผลประโยชน์หรือไงกัน?” รินตอบกลับมา“หรือว่านั่นคือ…”“ใช่แล้วล่ะ! ฉันแค่เสนอให้พวกมันมาร่วมมือกับฉัน ข้อแลกเปลี่ยนคือการเข้าร่วมกลุ่มจันทราแดง ถึงจะถูกคัดออกและไม่ชนะเลิศในการประลอง แต่มีเงินใช้ง่าย ๆ ต่อจากนี้… ใครจะไม่ชอบกันล่ะ ลองดูนั่นสิ” รินพูดจนจบและชี้ลงไปยังข้างล่าง ซึ่งสิ่งที่เห็นนั้นคือสมาชิกกลุ่มของอาคุมุที
บทที่ 58 : ผู้ที่ถูกคัดออกคนแรกในตอนนี้ สถานการณ์ของอาคุมุและฮิบารินั้นไม่สู้ดีนัก พวกเขาถูกปิดล้อมไปด้วยทักษะหมอกเพลิงสีชาดของริน อีกทั้งยังถูกล้อมไปด้วยสมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุ่มของรินจากภายนอก ซึ่งสามารถโจมตีเข้ามาได้โดยตรง เรียกได้ว่าถูกบีบให้จนมุมทั้งอย่างนั้น‘ซวยจริง ๆ แล้วไง’“ออกไปเฉย ๆ ไม่ได้เลย!” ฮิบาริกำลังพยายามจะดันตัวเองออกไปจากทักษะของริน‘ไอ้บ้านี่มันแกล้งทำเป็นไม่รู้เหรอ?’“ถ้าออกไปได้ง่าย ๆ เขาจะสร้างขึ้นมาทำไมล่ะครับคุณฮิบาริ?” อาคุมุถามกลับไป“พวกนายฟังฉันนะ! ทักษะหมอกเพลิงสีชาดนี้จะสามารถใช้ได้ 30 นาที หลังจากนั้นจะสามารถใช้ทักษะนี้ได้อีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปอีก 30 นาที” รินพูดขึ้นมา“แล้ว... บอกทำไมเหรอครับ?” อาคุมุที่ได้ยินอย่างนั้นจึงถามกลับไป“เพราะว่า... ฉันสามารถเอาชนะพวกนายได้ใน 30 นาทีนี้ไงล่ะ!! กระสุนเพลิงสีชาด!!!” รินตอบกลับมาพร้อมกับยิงกระสุนเพลิงเข้าใส่อาคุมุและฮิบาริด้วยความเร็ว“ตาข่ายอัสนี!”ตู้มมมม!!!“อึ่ก! บ้าจริง”ถึงแม้อาคุมุจะใช้ทักษะป้องกันไว้ได้ทัน แต่ความเสียเปรียบนั้นปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน เพราะตาข่ายอัสนีของอาคุมุนั้นถูกทำลายได้โดยการ
บทที่ 57 : ความได้เปรียบเป็นศูนย์รินและสมาชิกอีกสามคนได้มาถึงที่ตำแหน่งของอาคุมุ ซึ่งรินนั้นปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับอาวุธคู่กายอย่างปืนพกเช่นเดิม ส่วนอีกสามคนนั้นก็คือนักเวทชุดขาวเป็นผู้ชายสองคนและผู้หญิงอีกหนึ่งคน โดยทุกคนนั้นมีกระเป๋าสะพายอยู่ข้างหลัง“อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิดเลยล่ะครับ... ทุกอย่างเลย” สิ่งที่อาคุมุคิดไว้นั้นเป็นจริงทุกอย่าง ซึ่งก็คือการที่นักเวทชุดขาวทั้งสามนั้นเปลี่ยนชุดก่อนจะเข้ามายังสนามประลองแบบจำลองนี้“แต่ว่า... จะทำไปเพื่ออะไรเหรอครับ? เตรียมชุดมาเปลี่ยนตอนเข้ามาในนี้แล้วเนี่ย?” อาคุมุถามออกไป“ก็ถ้าพวกฉันอยู่ในบทบาทของนักเวทชุดขาวตั้งแต่ตอนที่อยู่ข้างนอกล่ะก็... คงจะโดนประท้วงพอดีน่ะสิ” หนึ่งในนักเวทชุดขาวตอบกลับมา“ฉันควรจะแนะนำตัวอีกครั้งไหมนะ? ฉันคือ อากาเนะ ริน เป็นเพียงคนที่กำลังจะได้เป็นจอมเวทระดับ 3 แล้วล่ะนะ!!” รินพูดขึ้นมาพร้อมกับจับปืนพกทั้งสองกระบอกไว้แน่น ลมจากแรงของพลังเวทปะทะเข้ากับร่างของอาคุมุโดยตรง‘กำลังจะได้เป็นจอมเวทระดับ 3 งั้นเหรอ? สีของออร่าพลังเวทกำลังจะเป็นสีแดงแล้วสินะ แข็งแกร่งขึ้นมากจริง ๆ ด้วย’“สุดยอดไปเลยนะครับ สมแล้วกับตำแหน่งรอ
บทที่ 56 : เริ่มการประลองแบบกลุ่มในตอนนี้ ผู้คุมสนามได้ทำการสร้างสนามประลองแบบจำลองเสร็จสิ้นแล้ว เป็นทักษะที่มีความเหมือนจริงเป็นอย่างมาก ถึงได้ชื่อว่าเป็นภาพลวงตา และด้วยความแข็งแกร่งระดับราชันจอมเวทอาวุโส การที่สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ก็คงจะไม่เกินจริงนัก...ที่สนามประลอง ภายนอกทักษะภาพลวงตา“สิ่งที่ทุกคนเห็นอยู่ตรงหน้านี้... คือสิ่งที่เกิดขึ้นภายในนั้นครับ” เสียงของผู้คุมสนามได้ดังกึกก้องไปทั่วทั้งสนามประลองด้วยทักษะพลังเวทของพิธีกร เสียงตอบรับจากคนดูก็เกิดขึ้นในทันที“น... นี่เหมือนฉันดูการประลองผ่านจอเลยนะ”“ข้างในนั้นจะไม่เป็นอะไรแน่เหรอ?”“ดูนั่นสิ! อาคุมุอยู่นั่นล่ะ!!”“ที่นั่นมันคือจำลองเมืองไหนหรือเปล่า? ที่ไหนในจักรวรรดิหรือเปล่านะ?”...สิ่งที่ทุกคนเห็นอยู่ตรงหน้านั้น คือลูกบาศก์ขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยออร่าของพลังเวทสีม่วง ลอยอยู่ในอากาศตรงกลางสนามประลอง ทั้งสี่ด้านนั้นเผยให้เห็นภาพจากมุมมองของแต่ละคนและมุมมองภาพรวมภายในนั้น ราวกับว่ากำลังดูผ่านจอขนาดยักษ์“สถานที่ภายในนั้นคือเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในจักรวรรดิ มีชื่อว่าเมืองชิโตเสะครับ... ขอให้ทุกคนเพลิดเพลินไปกับการประลองในครั้ง
บทที่ 55 : ราชันจอมเวทอาวุโส?กฎและกติกาการแข่งขันในรอบ 8 คนสุดท้ายนั้น ได้ถูกเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันโดยไม่ได้มีการประกาศล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เข้ารอบหรือผู้ชมทั่วทั้งสนามประลอง ไม่เคยมีใครคิดไว้ว่าจะถูกเปลี่ยนเป็นการประลองแบบกลุ่ม“เริ่มจากการจัดกลุ่ม กลุ่มที่ 1 จะมีผู้ชนะจากสายการต่อสู้เดิมก็คือสาย A, B, C และ D ส่วนกลุ่มที่ 2 ก็จะมีผู้ชนะจากสายการต่อสู้เดิมคือสาย E, F, G และ H ครับ”พิธีกรได้ประกาศวิธีการแบ่งกลุ่มให้กับทั้ง 8 คน‘ฉันพอเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงแบ่งกลุ่มง่าย ๆ แบบนี้...’‘...เพราะรินอยู่ในกลุ่มที่ 2 สินะ? การคาดเดาของฉันถูกต้องอย่างแน่นอน!’สิ่งที่อาคุมุคิดไว้นั้นมีเพียงความได้เปรียบของฝั่งตรงข้าม ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด และในสถานการณ์ตรงหน้านี้ ความได้เปรียบที่ว่าก็คงจะหนีไม่พ้นการที่กลุ่มนั้นมีคนอย่างรินอยู่ด้วยนั่นเอง“ก่อนที่จะเข้าสู่ลำดับถัดไป...” พิธีกรพูดยังไม่ทันจบประโยค เสียงจากแท่นด้านบนก็ดังขึ้นมาในทันทีตึ้ง!!ซึ่งเป็นเสียงขององค์จักรพรรดิที่ใส่พลังเวทเข้าไปในแท่นข้าง ๆ ตัว สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ทำให้ทุกคนต่างก็ตกใจกันไปตาม ๆ กัน“องค์จักร