LOGIN6
เจ้าคนแรกที่กล่าวว่าข้าไม่เหมาะกับรอยยิ้ม
หลังจากกินข้าวเช้ากันสองคนในเรือนเสร็จเจียงถิงถิงก็พาสาวใช้ออกไปเดินเล่นรอบ ๆ เรือน เท่าที่นางจำได้ในความทรงจำเก่า ๆ ภายในเรือนด้านข้างมีแต่พื้นที่ว่างโล่ง ไม่มีความงดงามเลยสักนิด แม้จะเป็นภรรยาเอกแต่เจียงถิงถิงคนเก่ากลับไม่มีปากมีเสียงใดในเรือนเลย ทั้ง ๆ ที่หากต้องการจะทำนางย่อมทำได้
ตระกูลเจียงเป็นหนึ่งในตระกูลพ่อค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมือง เพราะตระกูลหยุนต้องการดึงตระกูลเจียงเข้าพวกจึงจำใจต้องให้บุตรชายคนโตแต่งงานกับลูกภรรยารองตระกูลเจียง ซึ่งคนผู้นั้นก็คือนาง
ตั้งแต่วันแต่งงานมาผู้เป็นสามีไม่เคยแตะต้องนางแม้เพียงปลายเส้นผม ซ้ำร้ายยังส่งให้นางมาอยู่เรือนเล็กกับสาวใช้ตามลำพัง การงานใดในเรือนล้วนเป็นซ่งเยี่ยนฟางดูแลทั้งสิ้น ถึงจะถูกกดขี่ข่มเหงแต่เจียงถิงถิงก็ยังคงจำทนต่อไปเพราะไม่ต้องการจะมีปัญหากับใครให้เป็นเรื่อง
"ผู่เย่ว์ เราทำสวนกันดีหรือไม่" ร่างอวบอ้วนหยุดเดินเมื่อเห็นลานดินว่างเปล่าเบื้องหน้า ใบหน้าอิ่มเหลียวมองบุรุษที่เดินเข้ามาในบริเวณเรือนของตนอย่างสนใจ ทำไมคน ๆ นี้ถึงได้มาแต่เช้าเช่นนี้ หรือจะสงสัยสิ่งใดในตัวข้าอีกล่ะ นางคิดในใจระหว่างยืนนิ่งรอให้คนตรงหน้าเดินมาหา
"คารวะคุณชายอันเจ้าค่ะ" ผู่เย่ว์ค้อมตัวคำนับบุรุษที่มาใหม่เมื่อเขามาหยุดยืนตรงหน้า ในมือบุรุษหนุ่มรูปงามที่ลือนามในหมู่สตรีถือกล่องไม้ใบเล็กมาด้วย
"คารวะพี่สะใภ้"
"คุณชายมาที่นี่แต่เช้า มีสิ่งใดให้ข้ารับใช้หรือ" ริมฝีปากสีซีดกล่าวถามบุรุษตรงหน้าด้วยท่าทางไม่ต่างจากสาวใช้ตนเองเลยแม้แต่น้อย นางตั้งใจทำตามผู่เย่ว์เพราะไม่อยากให้ใครจับได้ว่าตนเองไม่ใช่เจียงถิงถิงคนเดิม แต่เมื่อได้ลองทำอย่างที่คิดนางกลับระบายอาการต่อต้านบนใบหน้าเสียชัดเจน
อันอี้เฉินยกยิ้มขบขันเล็กน้อย ยื่นกล่องไม้ติดมือให้นางท่ามกลางสีหน้างุนงง สงสัย "ใครจะกล้าเรียกใช้พี่สะใภ้ได้เล่า ข้าเพียงแต่นำของมาให้ สองวันก่อนข้าต้องไปจัดการงานแลกเปลี่ยนข้าวของกับชาวโพ้นทะเล ชาวโพ้นทะเลนัยน์ตาสีฟ้า ผมสีทองกล่าวว่าสิ่งนี้ใช้บำรุงผิวพรรณได้ ข้าจึงนำกลับมาให้ท่านได้ลองดู" เสียงทุ้มกล่าวจบก็ยื่นกล่องไม้ขนาดพอดีมือให้กับสตรีอวบอ้วนที่ได้ชื่อว่าพี่สะใภ้ นางยื่นมือออกมารับกล่องไม้ไปด้วยสีหน้างุนงงไม่ต่างจากสาวใช้ของตนเลย
“นี่คือสิ่งใดกันคุณชายอี้เฉิน” เจียงถิงถิงกล่าวเสียงเบา นางหยิบกล่องไม้เล็ก ๆ ในมือมาพลิกไปมาแต่ก็ไม่ยอมเปิดออกดู เกรงว่ารับของจากญาติผู้น้องของสามีจะไม่เป็นการดีต่อตนเอง แต่ช่างมันเสีย ทั้งคฤหาสน์นี้ก็มีเพียงแต่เขาที่ดีกับนางอย่างจริงใจ
"ขอบคุณคุณชายอี้เฉิน ท่านมาหาข้ามีธุระเท่านี้ใช่หรือไม่ หากหมดธุระข้าขอไปทำธุระตนเองต่อ" ขอบคุณเสร็จนางก็หมายจะเดินจากไปแต่ดูท่าบุรุษตรงหน้าจะไม่ยอมปล่อยนางไป เขาเดินตามนางเพื่อวนดูรอบๆ เรือน
"ท่านตามข้ามาด้วยเหตุใด มีอะไรอยากจะพูดอีกหรือไม่"
"ไม่ ข้าเพียงอยากรู้ว่าธุระของเจ้าคือสิ่งใด" พูดจบก็หันมองกำแพงข้างเรือนผู้เป็นพี่สะใภ้ที่มีเถ้าหญ้าต่าง ๆ เลื้อยเกาะจนดูไม่ต่างจากเรือนร้าง เขามาเรือนนางก็หลายคราแต่ไม่เคยสังเกตรอบข้างว่าความเป็นอยู่ของนางแทบไม่ต่างจากสาวใช้เลย
"ข้าก็แค่เบื่ออยากหาอะไรทำแก้เบื่อ เลยว่าจะปลูกผักปลูกหญ้า ลงดอกไม้ไว้ดูเล่น" น้ำเสียงหวานตอบเอื่อยเฉื่อยพลางมองไปรอบข้าง นี่คงจะเป็นงานหนักงานหนึ่งของนางแน่
อันอี้เฉินมองการกระทำของสหายต่างเพศแล้วยิ่งมั่นใจว่านางไม่ใช่เจียงถิงถิงคนเดิม เจียงถิงถิงคนเดิมเกลียดการทำอะไรให้ตนเองต้องเปรอะเปื้อนเป็นที่สุด
"เช่นนั้นมีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือไม่"
"คุณหนูชวนคุณชายอันไปซื้อของที่ตรอกการค้าสิเจ้าคะ" ผู่เย่ว์กระซิบกระซาบคนเป็นเจ้านาย นางจำได้เมื่อคืนคุณหนูบ่นว่าอยากไปซื้อของที่ตรอกการค้า แต่หากไปเองเกรงจะถูกคนอื่นหาเรื่องอีกได้
"เจ้าสองคนพูดสิ่งใดกันอยู่ กระซิบกันแบบนั้นมันเสียมารยาท รู้หรือไม่" ดูเหมือนบุรุษตรงหน้าจะกลัวถูกนินทาจึงเอ่ยเตือนสตรีทั้งสองตรงหน้า
"เช่นนั้นก็ดี ข้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาออกไปตามท่าน ข้าอยากออกไปตลาดท่านพาไปได้หรือไม่" เจียงถิงถิงกล่าวเสียงนุ่มกับบุรุษตรงหน้า แม้จะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับบุรุษใดอีกแต่หากนางตัดเยื่อใยจากอันอี้เฉินผู้เป็นสหายเพียงหนึ่ง ผู้คนคงพากันคิดว่านางแปลกประหลาดเป็นแน่
"ไหนเจ้าเคยว่าไม่อยากออกไปไหนกับข้า เพราะผู้คนจะพากันมองว่าตนเองน่าเกลียดอย่างไรเล่า เดี๋ยวนี้ไม่คิดเช่นนั้นแล้วหรือ"
"ผู้ใดอยากคิดสิ่งใด เป็นเรื่องของพวกเขาข้าจะไปห้ามคนพวกนั้นได้อย่างไร แต่ข้าสามารถบอกตนเองได้ว่าข้าดีแล้ว" เจียงถิงถิงพูดพร้อมยกมือขึ้นแตะหน้าอกตนเองด้วยความภูมิใจในตนเอง อันอี้เฉินเห็นท่าทีแปลก ๆ ของนางก็นึกขันในใจแต่ก็พยักหน้าเห็นด้วยกับนาง
"ใช่ เจ้าดีที่สุดแล้ว" วาจาที่กล่าวออกไปอย่างไม่คิดของบุรุษตรงหน้า ไหนจะรอยยิ้มงดงามบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาราวเทพสร้างทำให้เจียงถิงถิงตกอยู่ในภวังค์ไปวูบหนึ่ง ก่อนนางจะสะบัดศีรษะไล่ความคิดประหลาดของตนเองออกไป
"ท่านหยุดยิ้มเสียเถอะ"
"เจ้าว่าอย่างไร"
"ท่านหยุดยิ้มเสียเถอะ มันดูไม่เข้ากับท่านเลย" เจียงถิงถิงกล่าวจบก็หมุนตัวเดินออกห่างจากชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นญาติผู้น้องของสามี นางรีบยกมือขึ้นมาจับหน้าอกที่ขยับขึ้นลงรวดเร็วของตนเอง "เธอไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อหาสามีใหม่ยัยภาพวาด ยัยโง่" กล่าวกับตนเองจบก็หมายจะหันกลับไปเอ่ยเร่งเขาอีกรอบ
"เพิ่งมีเจ้าคนแรกที่กล่าวว่าข้าไม่เหมาะกับรอยยิ้ม หึหึ"
"ใช่ ต่อไปห้ามยิ้มให้ข้าอีก แล้วก็จะพาข้าไปข้างนอกหรือไม่" หันกลับไปพบรอยยิ้มบุรุษที่เป็นดั่งสหายก็ต้องรีบหันกลับมาอีกครั้งนางไม่สามารถทนมองเขานาน ๆ ได้ ไม่แน่ใจว่าเพราะเจ้าของร่างเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจหรือไม่ เมื่อครู่หัวใจนางจึงเต้นแปลกนัก
"ไปสิ เจ้าไปเตรียมตัวเถิดข้าจะไปเตรียมรถม้า"
29ตัดสินใจ“ข้าไม่ได้ขู่ท่าน ข้าเพียงเตือนท่านเท่านั้นว่าข้าจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำให้นางลำบากใจอีก”“ท่านมาตั้งแต่เมื่อใด” เจียงถิงถิงลุกจากที่นั่งแล้วเงยหน้าถามชายหนุ่มที่เข้ามาใหม่ นางมาที่นี่กับผู่เย่ว์ซึ่งรออยู่ด้านนอกเหตุใดอันอี้เฉินจึงพรวดพราดเข้ามาเช่นนี้อันอี้เฉินรู้จากคนงานที่ร้านบะหมี่ว่าเจียงถิงถิงนัดพบกับหยุนฮ่าวหรานที่โรงน้ำชาจึงรีบตามมา เขาเกรงว่านางจะถูกหยุนฮ่าวหรานบีบบังคับให้กลับไปยังสกุลหยุน“ข้ารีบตามมาเกรงว่าเจ้าจะถูกญาติผู้พี่รังแก”“เหตุใดข้าต้องรังแกนาง”“คนอย่างหยุนฮ่าวหรานจะทำสิ่งใดข้าได้เล่า ท่านคิดมากไปแล้ว ไม่รู้จักข้าหรืออย่างไร” เจียงถิงถิงตอบคำถามของอันอี้เฉินด้วยรอยยิ้มขบขัน นึกเอ็นดูสิ่งที่เขาห่วงนางไม่รู้ว่าเขาห่วงหรือหึงหวงนางกันแน่ แต่ภายในกลับรู้สึกดีจนสิ่งที่อยู่ด้านในเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ ใบหน้าขาวเนียนเปล่งสีแดงระเรื่อลามไปทั่วพวงแก้ม
28หลักฐานผ่านพ้นวันเปิดร้านไปเพียงหนึ่งวันเจียงถิงถิงก็ให้คนนำเทียบเชิญไปส่งที่ตระกูลหยุน นัดหมายพูดคุยกับคนที่จ้างให้ผู้อื่นมาก่อกวนร้านนางเมื่อวาน พอเห็นใบหน้างดงามที่เฝ้านึกถึงมาตลอดแม้จะไม่สามารถมาพบได้หยุนฮ่าวหรานก็รีบลุกไปต้อนรับ“เจ้ามาแล้วหรือ มานั่งเถิด ข้าให้คนเตรียมชาเขียวไว้ให้ เจ้าอยากได้สิ่งใดเพิ่มหรือไม่”“ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อกินข้าวกับท่าน”“เช่นนั้นเจ้าส่งเทียบเชิญให้ข้าเพราะเหตุใด” หยุนฮ่าวหรานถามด้วยความสงสัยราวกับไม่รู้ว่านางส่งเทียบเชิญให้เขาเพราะสิ่งใด ใบหน้ายิ้มแย้มในคราแรกพลันหายไปเหลือเพียงใบหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก พอเห็นเทียบเชิญจากนางเขาก็รีบให้บ่าวคนสนิทไปตอบรับคำเชิญ แต่นางไม่ยอมไปที่ตระกูลจึงเปลี่ยนมาเจอกันในโรงน้ำชาใกล้ร้านบะหมี่แทน“ท่านไม่รู้หรือว่าข้ารู้เรื่องที่ท่านเป็นผู้จ้างคนมาป้ายสีร้านข้าใช่หรือไม่”
27ถิงถิง“ท่านบอกว่าเงินกินบะหมี่นี่เป็นเงินอีแปะสุดท้ายใช่หรือไม่” เมื่อนึกถึงตอนอยู่ในโรงน้ำชาได้นางจึงสอบถามเขาอีกครา นางจะเปิดโปงคนสารเลวผู้นั้นให้ได้ บังอาจมากที่มาทำเช่นนี้กับร้านของนาง“ใช่ทั้งเนื้อทั้งตัวข้ามีเงินเพียงหนึ่งอีแปะ หากไม่ใช่เพราะท่านคิดค่าบะหมี่เพียงครึ่งเดียวข้าจะมากินร้านท่านหรือ แต่หากรู้ว่าคิดราคาเพียงครึ่งแล้วสกปรกเช่นนี้ข้าก็คงไม่มาเช่นกัน”“เหลียวต่ง ไปค้นผ้าคาดท้องของบุรุษผู้นั้นทีมียี่สิบตำลึงอยู่หรือไม่” ราวกับล่วงรู้ว่าเจียงถิงถิงคิดจะทำสิ่งใดต่อไป อันอี้เฉินจึงหันไปสั่งบ่าวคนหนึ่งของตนซึ่งเป็นบุรุษเพียงสองคนในร้าน เหลียวต่งค้อมตัวรับคำผู้เป็นนายก่อนจะเดินเข้าไปหมายจะตรวจค้นร่างกายเขาตามที่ผู้เป๋นเจ้านายบอก ยังไม่ทันได้แตะตัวชายผู้นั้นก็ปัดป้องเป็นพัลวันราวกับกลัวว่าจะมีผู้ใดแตะต้องตนเอง ใบหน้าซีดเผือดหลบซ้ายหลบขวา เหลียวต่งไม่อยากใช้กำลังกับลูกค้าในร้า
26ก่อกวนเปิดร้านวันแรกผู้คนก็พากันมาลองลิ้มชิมรสจนร้านเต็มตั้งแต่เปิด เจียงถิงถิงนางแทบไม่ได้พักเหนื่อยเลย เถ้าแก่อีกคนของร้านจึงเดินไปยืนด้านหลังขณะที่นางกำลังตักน้ำแกงใส่บะหมี่ ผ้าเช็ดหน้าผืนบางสีขาวสะอาดถูกยื่นมาซับเหงื่อบนใบหน้างดงามเบามือ นางชะงักมือตกใจก่อนจะหันกลับไปมองผู้ที่เข้ามาด้านหลังโดยที่นางไม่รู้ตัว“ท่านเอง ข้านึกว่าผู้ใด มาไม่บอกไม่กล่าว ข้าตกใจหมด”“จะมีผู้ใดกล้าเข้าใกล้เจ้าเช่นนี้อีก”“ผู่เยว์อย่างไรเล่า”“ไม่เหนื่อยหรือ พักบ้างเถิดเจ้าทำบะหมี่มาครึ่งค่อนวันแล้ว” ซับเหงื่อไปก็บ่นไปทั้งที่ถูกตำหนิแท้ ๆ แต่เจียงถิงถิงกลับมีใบหน้าเปื้อนยิ้มนางมีความสุขเพราะตนเองได้ทำสิ่งที่อยากทำโดยไม่ต้องคิดถึงชื่อเสียงผู้ใด นางไม่คิดว่าจะมีร้านบะหมี่เล็ก ๆ จะมีลูกค้าจนไม่ได้พักเช่นนี้“เถ้าแก่ บะหมี่ได้หรือยัง”
25เปิดร้านเพียงหกวันชั้นล่างโถงกลางของตึกไม้ด้านหน้าก็ถูกเจียงถิงถิงตกแต่งให้เป็นร้านบะหมี่ขนาดเล็ก มีโต๊ะให้นั่งกินบะหมี่สี่ตัว นางไม่ได้ต้องการมีร้านใหญ่โตจึงไม่ได้ใช้พื้นที่ในเรือนไม้ทั้งหมด นางใช้พื้นที่เพียงหนึ่งในห้าของเรือนเท่านั้น“ท่านว่าเท่านี้ พอหรือไม่” เจียงถิงถิงร้องถามชายหนุ่มที่ยืนอยู่มุมด้านในสุดของร้าน เขายืนมองนางวางถาดใส่กาชาบนโต๊ะทุกตัวจนเสร็จ พอเสร็จก็หันมาถามเขาหลายหน อันอี้เฉินมองนางอย่างขบขันเขาคิดว่านางคงกำลังคิดมากเรื่องเปิดร้านวันพรุ่งนี้จึงได้ย้ายกาชายกเก้าอี้ไปทางนั้นทีทางนี้ที“นี่เจ้าย้ายมันรอบที่สิบแล้ว”“ข้ากลัวว่ามันยังดีไม่พอ”“เจ้าไม่ได้เปิดภัตตาคารเสียหน่อย กังวลสิ่งใดกัน แค่บะหมี่อร่อยก็เพียงพอแล้วสำหรับร้านขายบะหมี่ และบะหมี่ของเจ้าอร่อยที่สุดเท่าที่ข้าเคยกินมา หากเปิดแล้วเกรงว่าร้านคงไม่พอให้ผู้คนนั่งแน
24ข้าก็เป็นครั้งแรกของเจ้ารถม้าสามคันที่อันอี้เฉินจ้างมาขนของมุ่งตรงไปยังตรอกการค้าที่ผู้คนพลุกพล่าน จากสกุลหยุนมาถึงตรอกการค้ากลางเมืองใช้เวลาครึ่งชั่วยาม รถม้าทั้งหมดหยุดลงที่หน้าเรือนไม้ ซึ่งบัดนี้กลายเป็นที่ทำงานสำหรับผู้คนยากไร้ไม่มีที่ไป สามด้านถูกปิดล้อมไว้หมดมีเพียงด้านหน้าที่เปิดให้เข้าออกได้ข้าวของต่าง ๆ รวมถึงสินเดิมของเจียงถิงถิงถูกยกเข้าผ่านทางเข้าเล็ก ๆ และผ่านตัวเรือนไม้หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าเข้าไปถึงเรือนหลัง ที่มีเรือนไม้ขนาดไม่ใหญ่มากกลางเก่ากลางใหม่ตั้งอยู่ด้านหลังเรือนไม้ ตรงกลางเป็นที่ดินโล่ง ๆ เหมาะแก่การทำแปลงผักของนางยิ่งนัก“ทำไมที่นี่จึงเปลียนไปมากมายเช่นนี้ หนก่อนที่ข้ามาที่ดินโล่ง ๆ นั่นยังไม่มีแปลงผักเลย” เจียงถิงถิงเอ่ยถามชายหนุ่มข้างกายขณะที่ทั้งสองเดินผ่านเรือนชั้นนอกเข้ามาชั้นใน พร้อม ๆ กับที่คนงานรับจ้างขนของเข้าไปวางไว้หน้าเรือน“ไม่กี่วันก่อนข้าให้คน







