LOGIN7
นังจิ้งจอกจอมเสแสร้ง
ย่านตรอกการค้าที่ผู้คนพลุกพล่านเนื่องด้วยตรอกนี้มีห้างการค้าสำคัญ ๆ อยู่ตั้งแต่หน้าตรอกยันท้ายตรอก ไหนจะหอนางโลมชื่อดังกลางตรอก
เจียงถิงถิงคนเก่าแทบไม่มีโอกาสได้ออกเที่ยวข้างนอกจึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับสถานที่แถบนี้มากนัก สองเท้าพาตนเองเดินไปตรงนั้นตรงนี้ด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่มีทางเห็นตอนอยู่ในคฤหาสน์สกุลหยุน
"ใยเจ้าจึงทำราวไม่เห็นเคย" อันอี้เฉินถามสตรีอวบอ้วนที่หันไปทางนั้นทีทางนี้ที น้ำเสียงฉงนทำให้ผู้ถูกถามรีบหันกลับมามองแล้วหยุดกระทำกิริยาลุกลี้ลุกลน
"ท่านเองก็น่าจะพอเดาได้ เหตุใดยังต้องถามข้าเล่า ท่านว่าประหนึ่งข้าสามารถออกจากบ้านได้บ่อย ๆ เช่นนั้นแหละ" เสียงหวานใสที่ไม่เข้ากับรูปร่างนางหันกลับมาตอบ ใบหน้างอง้ำราวกับเบื่อหน่ายคำถามประเภทนี้เหลือคณา แต่คนเห็นกลับชอบใจท่าทางเช่นนี้เสียอย่างนั้น
อันอี้เฉินเองก็ไม่รู้ว่าตนเองรู้สึกสบายใจยามเห็นเจียงถิงถิงทำหน้าไม่สบอารมณ์เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด..
“เจ้าอยากซื้อสิ่งใดกัน ข้าจะได้พาไปให้ถูกที่”
“พูดเหมือนเป็นเจ้าของที่อย่างนั้นแหละ” เจียงถิงถิงตอบเบา ๆ ก่อนจะเดินไปยังร้านที่เครื่องประดับวางเรียงอยู่มากมาย นางไม่ได้สนใจสายตาของผู้ที่มองมาแม้แต่น้อย หากเป็นเจียงถิงถิงคนเดิมคงรีบชวน ผู่เย่ว์กลับบ้านอย่างไม่ต้องสงสัย
บรรดาลูกสาวเจ้าขุนมูลนายส่วนมากมักถูกโจษจันกันถึงความฉลาด งดงาม เพียบพร้อมไปด้วยทุกสิ่งที่สตรีพึ่งมี แต่หาใช่นาง เจียงถิงถิงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านตามใจดั่งพี่น้องคนอื่น ด้วยเหตุที่นางมีรูปร่างผิดแปลกไปจากบรรดาลูกสาวคนอื่น ๆ จึงไม่เป็นที่ชื่นชอบ ซ้ำยังถูกสั่งให้กักตัวอยู่ในเรือน แม้จะมีข้าวปลาอาหารครบตามใจอยากแต่หมดสิ้นซึ่งอิสระในการใช้ชีวิตของตนเอง
กระทั่งสุดท้ายถึงถูกบังคับให้แต่งไปเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลหยุน หากเป็นครอบครัวปกติคงไม่กล้าทำการใดให้กระทบความสัมพันธ์ของสองตระกูลเพราะเกรงว่าครอบครัวจะเกิดอันตราย ซึ่งคำพูดนั้นก็ไม่สามารถใช้กับนางได้เช่นกัน เมื่อแต่งเข้าตระกูลหยุนแล้วแปลว่านางถูกทิ้งอย่างสมบูรณ์ ตระกูลหยุนมั่นใจว่าตระกูลเจียงจะไม่แทงข้างหลังเพราะมีตัวประกันซึ่งก็คือนาง แต่หากตระกูลเจียงจะตระบัดสัตย์ภายหลังก็ถือเสียว่าทิ้งนาง ไม่เสียสิ่งใดให้ต้องพะวง นางจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการแต่งเข้า
เช่นนี้นางจึงยอมถูกผู้อื่นกดขี่รังแก เพราะตนเองไม่มีผู้ใดอยู่เบื้องหลังคอยปกป้องเลยนอกเสียจากความตาย แต่บัดนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป นางไม่ใช่เจียงถิงถิงคนเดิมอีกต่อไปจากนี้นางจะทำทุกอย่างเพื่อหย่าขาดจากหยุนฮ่าวหรานและไปใช้ชีวิตด้วยตนเอง
“ผู้ใดจะรู้” อันอี้เฉินหันไปยิ้มให้บรรดาสตรีมากหน้าหลายตาที่คอยส่งสายตาให้ตามมารยาทของคุณชาย ช่างสมกับคำว่าคุณชายผู้งดงามเสียจริง ไม่เพียงใบหน้างดงามหมดจดอันอี้เฉินยังมากด้วยเงินทอง คุณสมบัติเช่นนี้มีหรือจะไม่เป็นที่หมายปอง แต่เหล่านางงามทั้งหมดล้วนต้องผิดหวังแม้จะไม่มีคู่หมั้นคู่หมายอันอี้เฉินก็ไม่มีทีท่าจะถูกใจสตรีบ้านใดเลย
สตรีเหล่านั้นแปลกใจจนแทบสิ้นสติเมื่อเห็นว่าคุณชายผู้งดงามเดินไปหาสตรีที่ไม่มีความงดงามใดบนร่างกายแม้แต่น้อย ใบหน้าไร้เครื่องประทินผิว ริมฝีปากขาวซีดแห้งแตกไม่มีร่องรอยของชาดทาปากแม้แต่เศษเสี้ยว
“ข้าอยากได้เมล็ดผักสักหน่อย อยู่ตรงไหนหรือ”
“ตามข้ามาสิ” อันอี้เฉินบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มที่ไม่ใช่ยิ้มตามมารยาทอย่างที่ยิ้มให้สตรีนางอื่น นั่นยิ่งทำให้เจียงถิงถิงถูกมองด้วยความรู้สึกเกลียดชังและสมเพชมากกว่าเดิม ทั้งที่นางไม่ได้ทำสิ่งใดให้ใครเลยแท้ ๆ นางเลือกจะไม่สนใจสายตาดูถูกดูแคลนจากบรรดาสตรีอื่น เดินตามอันอี้เฉินไปไม่นานนักก็ถึงหน้าร้านขายเมล็ดพันธ์ผักที่ต้องการ
“ข้าก็นึกว่าคนน่าสมเพชคนใดกัน ที่แท้ก็ฮูหยินนี่เอง” ร่างอวบอ้วนหยุดฝีเท้าเมื่อได้ยินน้ำเสียงเหยียดหยันคุ้นหู หันหน้าไปมองพร้อมทอดสายตามองคนพูดจากนั้นจึงถอนหายใจอย่างรำคาญ ตั้งใจออกมาให้ไกลจากคนน่ารังเกียจอย่างนางแล้วยังอุตส่าห์ตามมาเจอกันถึงนี่ ไม่รู้บุญหรือกรรมแต่ชาติใด
“นึกว่าใคร ที่แท้ก็นังจิ้งจอกจอมเสแสร้งนี่เอง เป็นอย่างไรเล่ารอยถูกตบดีขึ้นแล้วหรือยัง” ว่าจบก็ยกยิ้มร้ายซ่งเยี่ยนฟางผงะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตั้งสติขึ้นมาได้ นางไม่เคยคิดว่าเจียงถิงถิงที่เลือกสงบเสงี่ยมมาเกือบสองปี จะเปลี่ยนไปข้ามคืนเช่นนี้ได้
“ต้องขอบคุณฮูหยิน เพราะท่านแท้ ๆ ท่านพี่จึงได้ให้ข้ามาเลือกเครื่องประดับและอาภรณ์ใหม่มากมายเพียงนี้” ซ่งเยี่ยนฟางกล่าวด้วยน้ำเสียงเชื่องช้ากรีดกรายชี้ไม้ชี้มือไปทางกองอาภรณ์ด้านหลังที่ถูกเลือกไว้ในร้าน ในอดีตนี้ไม่มีใครบอกนางเลยหรืออย่างไรว่าท่าทีกรีดกรายเช่นนั้นมันดูน่าระอาเพียงใด เจียงถิงถิงคิดในใจก่อนจะขยับยิ้มมองอนุภรรยาด้วยสายตาแห่งความสมเพช นางกลัวสิ่งใดกันถึงได้มักมาหาเรื่องเจียงถิงถิงคนเดิม ทั้งที่ตัวนางเองงดงามราวบุปผาปานนั้น
“ข้าให้เจ้าอีกสักทีก็ไม่เป็นปัญหา หากเจ้าชอบ ถ้าเช่นนั้นเพื่อปลอบใจข้าจะซื้อผ้าไว้ห่อศพเจ้าอีกสักพับจะเป็นไรเยี่ยนฟาง” บรรดาลูกจ้างและผู้มาเดินในตรอกต่างพากันอ้าปากกว้างเมื่อเจียงถิงถิงว่าจบ ทุกคนหยุดยืนมองการสาดคำพูดใส่กันของสองสตรี แต่เชื่อเถิดต่อให้เจียงถิงถิงไม่ได้ผิดอันใดนางก็จะถูกบอกว่าผิดเพียงเพราะนางไม่ได้งดงามเท่าซ่งเยี่ยนฟาง
อันอี้เฉินหยุดหัวเราะให้กับประโยคเมื่อครู่จนถูกเจียงถิงถิงดุด้วยสายตา นางกำลังด่าคนอยู่เหตุใดจึงมาหัวเราะคำพูดนางกันเล่า เป็นสหายแบบไหนกัน
“คุณชายอันก็มาด้วยหรือ” ซ่งเยี่ยนฟางหันไปมองคนที่หัวเราะ เมื่อเห็นว่าเป็นญาติผู้น้องของสามีจึงเปลี่ยนเป็นใบหน้าเรียบร้อยอ่อนหวานเหมือนตอนอยู่กับหยุนฮ่าวหราน เจียงถิงถิงเห็นท่าทีของนางถึงกับยกมุมปากให้ความตีสองหน้าของนาง
“ข้าหรือ ข้าอยู่ตรงนี้มาตลอดแหละ ถิงถิงนางเป็นสหายข้า ข้าจึงพานางออกมาซื้อของเสียหน่อย แต่ไม่คิดว่าจะเจอเจ้าที่นี่ด้วย” ใบหน้าสวยราวบุปผาถอดสี เมื่อได้รู้ว่าอันอี้เฉินอยู่ตรงนั้นมาตลอด ยามอยู่ในคฤหาสน์นางมักจะทำตัวเรียบร้อย อ่อนหวาน แทบไม่หลุดให้ผู้ใดเห็นเลย ยกเว้นเสียแต่ภรรยาเอกอย่างเจียงถิงที่รู้ไส้รู้พุงนางมากที่สุด
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน ท่านพี่กำลังรออยู่เกรงจะรอนานเกินไป” เสียงหวานเล็กรีบกล่าวลาเมื่อรู้สึกว่าตนเองแสดงพิรุธมากมาย
29ตัดสินใจ“ข้าไม่ได้ขู่ท่าน ข้าเพียงเตือนท่านเท่านั้นว่าข้าจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำให้นางลำบากใจอีก”“ท่านมาตั้งแต่เมื่อใด” เจียงถิงถิงลุกจากที่นั่งแล้วเงยหน้าถามชายหนุ่มที่เข้ามาใหม่ นางมาที่นี่กับผู่เย่ว์ซึ่งรออยู่ด้านนอกเหตุใดอันอี้เฉินจึงพรวดพราดเข้ามาเช่นนี้อันอี้เฉินรู้จากคนงานที่ร้านบะหมี่ว่าเจียงถิงถิงนัดพบกับหยุนฮ่าวหรานที่โรงน้ำชาจึงรีบตามมา เขาเกรงว่านางจะถูกหยุนฮ่าวหรานบีบบังคับให้กลับไปยังสกุลหยุน“ข้ารีบตามมาเกรงว่าเจ้าจะถูกญาติผู้พี่รังแก”“เหตุใดข้าต้องรังแกนาง”“คนอย่างหยุนฮ่าวหรานจะทำสิ่งใดข้าได้เล่า ท่านคิดมากไปแล้ว ไม่รู้จักข้าหรืออย่างไร” เจียงถิงถิงตอบคำถามของอันอี้เฉินด้วยรอยยิ้มขบขัน นึกเอ็นดูสิ่งที่เขาห่วงนางไม่รู้ว่าเขาห่วงหรือหึงหวงนางกันแน่ แต่ภายในกลับรู้สึกดีจนสิ่งที่อยู่ด้านในเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ ใบหน้าขาวเนียนเปล่งสีแดงระเรื่อลามไปทั่วพวงแก้ม
28หลักฐานผ่านพ้นวันเปิดร้านไปเพียงหนึ่งวันเจียงถิงถิงก็ให้คนนำเทียบเชิญไปส่งที่ตระกูลหยุน นัดหมายพูดคุยกับคนที่จ้างให้ผู้อื่นมาก่อกวนร้านนางเมื่อวาน พอเห็นใบหน้างดงามที่เฝ้านึกถึงมาตลอดแม้จะไม่สามารถมาพบได้หยุนฮ่าวหรานก็รีบลุกไปต้อนรับ“เจ้ามาแล้วหรือ มานั่งเถิด ข้าให้คนเตรียมชาเขียวไว้ให้ เจ้าอยากได้สิ่งใดเพิ่มหรือไม่”“ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อกินข้าวกับท่าน”“เช่นนั้นเจ้าส่งเทียบเชิญให้ข้าเพราะเหตุใด” หยุนฮ่าวหรานถามด้วยความสงสัยราวกับไม่รู้ว่านางส่งเทียบเชิญให้เขาเพราะสิ่งใด ใบหน้ายิ้มแย้มในคราแรกพลันหายไปเหลือเพียงใบหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก พอเห็นเทียบเชิญจากนางเขาก็รีบให้บ่าวคนสนิทไปตอบรับคำเชิญ แต่นางไม่ยอมไปที่ตระกูลจึงเปลี่ยนมาเจอกันในโรงน้ำชาใกล้ร้านบะหมี่แทน“ท่านไม่รู้หรือว่าข้ารู้เรื่องที่ท่านเป็นผู้จ้างคนมาป้ายสีร้านข้าใช่หรือไม่”
27ถิงถิง“ท่านบอกว่าเงินกินบะหมี่นี่เป็นเงินอีแปะสุดท้ายใช่หรือไม่” เมื่อนึกถึงตอนอยู่ในโรงน้ำชาได้นางจึงสอบถามเขาอีกครา นางจะเปิดโปงคนสารเลวผู้นั้นให้ได้ บังอาจมากที่มาทำเช่นนี้กับร้านของนาง“ใช่ทั้งเนื้อทั้งตัวข้ามีเงินเพียงหนึ่งอีแปะ หากไม่ใช่เพราะท่านคิดค่าบะหมี่เพียงครึ่งเดียวข้าจะมากินร้านท่านหรือ แต่หากรู้ว่าคิดราคาเพียงครึ่งแล้วสกปรกเช่นนี้ข้าก็คงไม่มาเช่นกัน”“เหลียวต่ง ไปค้นผ้าคาดท้องของบุรุษผู้นั้นทีมียี่สิบตำลึงอยู่หรือไม่” ราวกับล่วงรู้ว่าเจียงถิงถิงคิดจะทำสิ่งใดต่อไป อันอี้เฉินจึงหันไปสั่งบ่าวคนหนึ่งของตนซึ่งเป็นบุรุษเพียงสองคนในร้าน เหลียวต่งค้อมตัวรับคำผู้เป็นนายก่อนจะเดินเข้าไปหมายจะตรวจค้นร่างกายเขาตามที่ผู้เป๋นเจ้านายบอก ยังไม่ทันได้แตะตัวชายผู้นั้นก็ปัดป้องเป็นพัลวันราวกับกลัวว่าจะมีผู้ใดแตะต้องตนเอง ใบหน้าซีดเผือดหลบซ้ายหลบขวา เหลียวต่งไม่อยากใช้กำลังกับลูกค้าในร้า
26ก่อกวนเปิดร้านวันแรกผู้คนก็พากันมาลองลิ้มชิมรสจนร้านเต็มตั้งแต่เปิด เจียงถิงถิงนางแทบไม่ได้พักเหนื่อยเลย เถ้าแก่อีกคนของร้านจึงเดินไปยืนด้านหลังขณะที่นางกำลังตักน้ำแกงใส่บะหมี่ ผ้าเช็ดหน้าผืนบางสีขาวสะอาดถูกยื่นมาซับเหงื่อบนใบหน้างดงามเบามือ นางชะงักมือตกใจก่อนจะหันกลับไปมองผู้ที่เข้ามาด้านหลังโดยที่นางไม่รู้ตัว“ท่านเอง ข้านึกว่าผู้ใด มาไม่บอกไม่กล่าว ข้าตกใจหมด”“จะมีผู้ใดกล้าเข้าใกล้เจ้าเช่นนี้อีก”“ผู่เยว์อย่างไรเล่า”“ไม่เหนื่อยหรือ พักบ้างเถิดเจ้าทำบะหมี่มาครึ่งค่อนวันแล้ว” ซับเหงื่อไปก็บ่นไปทั้งที่ถูกตำหนิแท้ ๆ แต่เจียงถิงถิงกลับมีใบหน้าเปื้อนยิ้มนางมีความสุขเพราะตนเองได้ทำสิ่งที่อยากทำโดยไม่ต้องคิดถึงชื่อเสียงผู้ใด นางไม่คิดว่าจะมีร้านบะหมี่เล็ก ๆ จะมีลูกค้าจนไม่ได้พักเช่นนี้“เถ้าแก่ บะหมี่ได้หรือยัง”
25เปิดร้านเพียงหกวันชั้นล่างโถงกลางของตึกไม้ด้านหน้าก็ถูกเจียงถิงถิงตกแต่งให้เป็นร้านบะหมี่ขนาดเล็ก มีโต๊ะให้นั่งกินบะหมี่สี่ตัว นางไม่ได้ต้องการมีร้านใหญ่โตจึงไม่ได้ใช้พื้นที่ในเรือนไม้ทั้งหมด นางใช้พื้นที่เพียงหนึ่งในห้าของเรือนเท่านั้น“ท่านว่าเท่านี้ พอหรือไม่” เจียงถิงถิงร้องถามชายหนุ่มที่ยืนอยู่มุมด้านในสุดของร้าน เขายืนมองนางวางถาดใส่กาชาบนโต๊ะทุกตัวจนเสร็จ พอเสร็จก็หันมาถามเขาหลายหน อันอี้เฉินมองนางอย่างขบขันเขาคิดว่านางคงกำลังคิดมากเรื่องเปิดร้านวันพรุ่งนี้จึงได้ย้ายกาชายกเก้าอี้ไปทางนั้นทีทางนี้ที“นี่เจ้าย้ายมันรอบที่สิบแล้ว”“ข้ากลัวว่ามันยังดีไม่พอ”“เจ้าไม่ได้เปิดภัตตาคารเสียหน่อย กังวลสิ่งใดกัน แค่บะหมี่อร่อยก็เพียงพอแล้วสำหรับร้านขายบะหมี่ และบะหมี่ของเจ้าอร่อยที่สุดเท่าที่ข้าเคยกินมา หากเปิดแล้วเกรงว่าร้านคงไม่พอให้ผู้คนนั่งแน
24ข้าก็เป็นครั้งแรกของเจ้ารถม้าสามคันที่อันอี้เฉินจ้างมาขนของมุ่งตรงไปยังตรอกการค้าที่ผู้คนพลุกพล่าน จากสกุลหยุนมาถึงตรอกการค้ากลางเมืองใช้เวลาครึ่งชั่วยาม รถม้าทั้งหมดหยุดลงที่หน้าเรือนไม้ ซึ่งบัดนี้กลายเป็นที่ทำงานสำหรับผู้คนยากไร้ไม่มีที่ไป สามด้านถูกปิดล้อมไว้หมดมีเพียงด้านหน้าที่เปิดให้เข้าออกได้ข้าวของต่าง ๆ รวมถึงสินเดิมของเจียงถิงถิงถูกยกเข้าผ่านทางเข้าเล็ก ๆ และผ่านตัวเรือนไม้หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าเข้าไปถึงเรือนหลัง ที่มีเรือนไม้ขนาดไม่ใหญ่มากกลางเก่ากลางใหม่ตั้งอยู่ด้านหลังเรือนไม้ ตรงกลางเป็นที่ดินโล่ง ๆ เหมาะแก่การทำแปลงผักของนางยิ่งนัก“ทำไมที่นี่จึงเปลียนไปมากมายเช่นนี้ หนก่อนที่ข้ามาที่ดินโล่ง ๆ นั่นยังไม่มีแปลงผักเลย” เจียงถิงถิงเอ่ยถามชายหนุ่มข้างกายขณะที่ทั้งสองเดินผ่านเรือนชั้นนอกเข้ามาชั้นใน พร้อม ๆ กับที่คนงานรับจ้างขนของเข้าไปวางไว้หน้าเรือน“ไม่กี่วันก่อนข้าให้คน







