หลิวเยว่ลืมตามองเพดานในความมืด นางรู้ดีว่าอนาคตคงไม่ราบเรียบนักแต่ยังไม่คาดคิดว่าตัวเองจะถูกขายให้เป็นอนุผู้อื่น นางไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนจะหลับตาลงแล้วก็แสร้างร้องเสียงสะอื้น
“ท่านพ่อ… ท่านพ่อ… ทำไมท่านถึงทิ้งข้าไป…”
เสียงสะอึกสะอื้นนั้นปลุกชุนเสวี่ยให้สะดุ้งตื่น นางลุกขึ้นอย่างตื่นตระหนก “เยว่เอ๋อร์.. เจ้าฝันร้ายหรือ…”
หลินเยว่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แสร้งให้ดวงตาฉ่ำน้ำตา ก่อนจะเอ่ยเสียงสั่นเครือ “ท่านแม่… ข้าฝันเห็นท่านพ่อ… ท่านมาในฝัน บอกว่าเป็นห่วงพวกเรา กลัวว่าพวกเราจะลำบาก… ท่านเลยมอบของบางอย่างให้”
ชุนเสวี่ยขมวดคิ้วอย่างสงสัย แต่หลินเยว่ไม่รอช้า เธอหลับตาครู่หนึ่งแล้วเอื้อมมือไปคว้ากล่องเล็ก ๆ จากอากาศบะหมี่พรีเมี่ยมรสทะเล ปรากฏขึ้นในมือของเธอราวกับปาฏิหาริย์
หลินอวี่ที่พึ่งตื่นขึ้นมาเบิกตากว้าง ตะลึงพรึงเพริด
“พี่สาว… มันคืออะไรน่ะ…”
หลินเยว่แสร้งทำเป็นแปลกใจพอกัน ก่อนบอกด้วยเสียงแผ่ว ๆ
“ท่านพ่อบอกว่า… ขอเพียงใส่น้ำ ก็จะกลายเป็นอาหารที่ทำให้เราอิ่มท้อง…” จากนั้นนางก็ลุกขึ้นเทน้ำใส่
ไม่นานไอร้อนหอมกรุ่นลอยขึ้นมา กลิ่นทะเลสดใหม่ปะทะจมูก สองแม่ลูกมองกล่องบะหมี่ด้วยดวงตาเบิกกว้าง ชุนเสวี่ยมองกล่องบะหมี่ร้อนในมือบุตรสาว น้ำตาซึมจากความตื้นตันปนตกใจ มือเธอสั่นขณะที่ยื่นมาสัมผัสกล่องประหลาดนั้น
“ของวิเศษ… หรือว่า… ท่านพ่อของเจ้าจริง ๆ มอบสิ่งนี้มา…”
หลินอวี่ตักบะหมี่เข้าปากอย่างกระตือรือร้น เคี้ยวด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ บนใบหน้าซีดเซียว
“ข้ารู้… ท่านพ่อไม่มีทางทอดทิ้งพวกเรา…”
หลังจากที่ทั้งสองแม่ลูกกินบะหมี่จนรู้สึกอิ่มท้อง ความอบอุ่นเล็ก ๆ ในอกทำให้พวกเขาผ่อนคลายได้ชั่วครู่ หลินเยว่จ้องมองมารดาและน้องชายด้วยแววตาจริงจัง
“อย่างไร… เรื่องนี้คงให้คนอื่นรู้ไม่ได้…”
น้ำเสียงของเธอเรียบเย็นแต่หนักแน่น หลินอวี่พยักหน้ารับ ริมฝีปากเม้มแน่น เขารู้ดีว่าของวิเศษเช่นนี้ ถ้าแพร่งพรายออกไป อาจนำภัยใหญ่หลวงมาสู่ครอบครัว
หลินเยว่มองดูความกังวลในดวงตาน้องชาย ก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง ๆ “ท่านพ่อบอกว่า…จะไปหาของวิเศษมาให้พวกเราอีก…แต่อาจต้องใช้เวลา…”
ชุนเสวี่ยที่ฟังเงียบ ๆ อยู่นานเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนๆ
“แล้วเหตุใด… ท่านพ่อของเจ้าถึงไม่มาหาแม่บ้าง…”
คำถามนั้นทำให้หลินเยว่ชะงักไปชั่วครู่ นางคิดอย่างรวดเร็ว ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“วิญญาณ…อาจจะติดต่อกับคนอย่างเราทุกคนไม่ได้ง่ายดายนัก บางที…อาจมีเงื่อนไขบางอย่างที่พวกเราไม่รู้”
คำตอบนั้นเรียบง่ายแต่ชวนให้เชื่อถือ ชุนเสวี่ยพยักหน้าช้า ๆ ดวงตาแดงก่ำแต่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในคำพูดของบุตรสาว
“แม่เข้าใจแล้ว…”
นางพึมพำเบา ๆ ราวกับกำลังพูดปลอบตัวเองไปด้วย
ชุนเสวี่ยก็เอื้อมมือไปลูบศีรษะของหลินอวี่เบา ๆ แล้วหันไปมองบุตรสาวคนโตด้วยแววตาอ่อนโยน
“ดึกแล้วพวกเรา..พักผ่อนกันก่อนเถอะ”
น้ำเสียงนั้นแผ่วนุ่มแต่เต็มไปด้วยความรัก หลินเยว่กับหลินอวี่สบตากันแล้วค่อย ๆ พยักหน้ารับคำสั่งของมารดา แม้จะยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนแต่ก็มีความอบอุ่นเล็ก ๆ แทรกอยู่ในค่ำคืนหนาวเหน็บนี้
ร้านอาหารหลงฮวา
เสียงหัวเราะเฮฮาดังคลอไปรอบห้องโถงของ ร้านหลงฮวา ขณะที่ บุตรชายนายอำเภอโจว และกลุ่มเพื่อนจากสำนักศึกษาเข้าใช้บริการในมื้อเย็น ห้องชั้นบนสุดของร้านถูกเปิดต้อนรับขุนนางหนุ่มเหล่านั้นด้วยชุดอาหารพิเศษ หรูหราตามที่เจ้าตัวสั่งไว้
“น้ำซุปเป็ดตุ๋นของร้านนี้ รสชาติดีจริง ๆ” หนึ่งในข้ารับใช้ออกปากชม ขณะยกช้อนขึ้นซดอีกคำ
ลู่ซ่าง เจ้าของร้านหลงฮวา ยืนส่งยิ้มอยู่ด้านข้าง เขาไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าคืนนี้ จะเปลี่ยนชีวิตทั้งตระกูลไปตลอดกาล
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “เดี๋ยวก่อน... นี่มันตัวอะไร?”
ทุกสายตาหันไปที่จานผัดเห็ดหอม เมื่อ บุตรชายนายอำเภอใช้ตะเกียบเขี่ยสิ่งแปลกปลอมขึ้นจากจานอาหาร หนอนสีขาวซีดดิ้นอยู่เพียงครู่ก่อนจะนิ่งไป ท่ามกลางแสงตะเกียงและความเงียบงันชั่วขณะ
เสียงโวยวายเกิดขึ้นทันที
“นี่เจ้าจะให้ข้ากินของสกปรกแบบนี้หรือ”
ไม่นาน เพื่อนคนหนึ่งของเขาก็ทรุดลงกับพื้น มือกุมท้อง น้ำเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด “ข้า... ท้อง... ไม่ไหวแล้ว...”
ข้ารับใช้ของนายอำเภอรีบพาตัวผู้ป่วยออกไป ในขณะที่ทหารเวรเข้าตรวจสอบทันที บรรยากาศในร้านเต็มไปด้วยความโกลาหล
ลู่ซ่างถูกควบคุมตัวไปสอบสวน โดยไม่ทันได้หาคำแก้ตัว
น้ำเสียงของเขาสั่นเครือเมื่อเห็นกลุ่มทหารเข้าค้นครัวหลังร้านและพบ เศษเนื้อไม่ทราบที่มาและของสดที่เน่าเสีย ปะปนอยู่กับของปรุงอาหาร
“นี่ไม่ใช่เนื้อของที่ร้าน!” เสียงของลู่ซ่างดังลอดความโกลาหลในห้องครัว เขาเอ่ยด้วยใบหน้าขาวซีดน้ำเสียงสั่นระคนตกใจ
“ใต้เท้าโปรดสอบสวน ข้าทำอาหารโดยเคร่งครัดที่สุดในเรื่องความสะอาด ขอให้สอบสวนให้ละเอียด!”
แต่ไม่มีใครฟังคำแก้ต่างของเขา... ทหารเวรและเจ้าหน้าที่ตรวจพิษเดินเข้าออกอย่างเร่งรีบ ค้นกล่องไม้ ถังเก็บเนื้อ และเครื่องปรุงสารพัด
หนึ่งในเจ้าหน้าที่หยิบถังเก็บเนื้อขึ้น ก่อนจะส่งเสียงเย็นชา
“ในถังนี้... มีเศษเนื้อสัตว์ที่เน่าเสียปะปนอยู่ และมีร่องรอยยาเบื่อบางชนิด มีคนท้องเสียหลังจากรับประทานอาหารเมื่อครู่ คาดว่าได้รับสารพิษจากสิ่งนี่”
ลู่ซ่างแทบทรุด หัวใจเขาเต้นแรงราวกับจะระเบิดออกจากอก ขาของเขาก้าวไม่ออก ขณะที่ถูกทหารสองนายเข้าคว้าต้นแขน
“จับกุมตัวไว้ก่อน นำตัวไปสอบสวนที่ศาลาว่าการ”
ลู่เผย พุ่งตรงจากข้างนอก ใบหน้าของเขาร้อนรนอยู่บ้าง
“ท่านพ่อ...เกิดอะไรขึ้น”
สิ่งที่เห็นคือบิดาของเขาถูกจับลากออกไปจากร้านโดยไม่มีแม้แต่คำอธิบาย ท่ามกลางสายตาผู้คนที่มุงดูเต็มสองข้างทาง เสียงกระซิบกระซาบ
“ได้ยินว่ามีหนอนในจาน...”
“ว่าแต่... เขาแอบใส่อะไรลงไปกันแน่?”
ลู่เผยชะงักไปเพียงครู่ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเข้าไปเบื้องหน้าเจ้าหน้าที่ เขาค้อมศีรษะลงเล็กน้อยพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่หนักแน่น
“ใต้เท้า โปรดเมตตา สกุลลู่ของข้าประกอบกิจการโดยสุจริตมาโดยตลอด ขอท่านได้โปรดพิจารณาอย่างเป็นธรรม”
จากนั้นชายหนุ่มก็แนบถุงผ้าเล็ก ๆ ไว้ในแขนเสื้อของเจ้าหน้าที่ทั้งสองคน การกระทำราบเรียบแนบเนียนน้ำหนักของมันพอเพียงให้สีหน้าขึงตึงของเจ้าหน้าที่เปลี่ยนเป็นผ่อนคลาย
“เรื่องนี้ต้องให้นายอำเภอไต่สวนเสียก่อน...จำเป็นต้องควบคุมคน” เจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งกล่าวขึ้น
ลู่เผยพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปมองบิดา “ท่านพ่อไม่ต้องกังวล ข้าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเอง”
ลู่ซ่างมองบุตรชายด้วยสายตาเต็มไปด้วยความแปลกใจ ไม่คาดคิดว่าบุตรที่สุภาพดูอ่อนโยนจะเผชิญเหตุเช่นนี้ได้อย่างนิ่งสงบ
เขาพยักหน้ารับเบา ๆ แล้วเอ่ย “ฝากเจ้าด้วย”
เจ้าหน้าที่ไม่กล่าวสิ่งใดอีก เพียงพาตัวลู่ซ่างออกไปตามขั้นตอนของทางการ ลู่เผยยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นมองบิดาจนลับตาก่อนจะหันหลังกลับไปสั่งการคนในร้านทีละส่วน
ตระกูลลู่ เช้าตรู่ แสงแรกของวันยังไม่ทันเล็ดลอดพ้นยอดไม้ เสียงล้อที่บดผ่านลานหินกรวดในยามเงียบสงบ รถม้าหรูคันหนึ่งก็มาหยุดอยู่หน้าประตูใหญ่ของจวนสกุลลู่ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์อื้อฉาวในร้านอาหารหลงฮวา จวนสกุลลู่ก็ตกอยู่ในความเงียบเหงาไร้แขกเหรื่อมาเยือน ครานี้รถม้าคันงามมาหยุดอยู่หน้าบ้านพ่อค้าตกอับ ยิ่งดึงดูดสายตาของผู้คนฮูหยินลู่ก็เก็บตัวเงียบอยู่แต่ในเรือน ไม่ออกไปพบปะใคร สีหน้าหม่นหมอง เมื่อสาวใช้เข้ามาแจ้งว่า“คนจากจวนแม่ทัพไป๋เจ้าค่ะ” สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันทีมึนงง สับสน ไม่แน่ใจว่าฝันร้ายกำลังจะจบ หรือเพิ่งเริ่มต้นกันแน่“เจ้าว่าอะไรนะ?”นางถามซ้ำอีกครั้ง สีหน้าเคร่งเครียดบ่าวหญิงค้อมศีรษะต่ำ “เป็นคนจากจวนแม่ทัพไป๋มาเยือนเจ้าค่ะ ตอนนี้คุณชายใหญ่กำลังต้อนรับอยู่ห้องโถงรับแขกเจ้าค่ะ” “พวกเขามาด้วยเรื่องอะไร” น้ำเสียงของนางหวาดหวั่น“บ่าวก็ไม่ทราบ”ฮูหยินลู่รีบบอกสาวใช้ “รีบมาช่วยข้าแต่งตัวไปรับแขก” ที่เรือนรับแขกลู่เผยฟังคำพูดของอีกฝ่าย ก็เข้าใจนัยแฝงทันที ไป๋ฮูหยินต้องการให้สกุลลู่ส่งแม่สื่อไปสู่ขอหลินเยว่สตรีผู้นั้นคนที่เขาช่วยเหลือ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนจะช
หลินเยว่ก้าวขึ้นมานั่งด้วยท่าทีประหม่า สายตาเธอไม่กล้าสบชายหนุ่มตรงหน้าโดยตรงนัก ภายในรถม้าอบอุ่นด้วยกลิ่นชาจาง ๆ และเสียงล้อที่กลิ้งไปบนเส้นทางดินกรัง ลู่เผยยื่นถ้วยชาหอมกรุ่นมาตรงหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม “คุณหนูหลินคงตกใจไม่น้อย ดื่มชาสักหน่อยเถิด จะช่วยให้จิตใจสงบขึ้น”หลินเยว่รับถ้วยมาด้วยสองมือ เอ่ยเบา ๆ“ขอบคุณเจ้าค่ะ” ตอนนี้เหมือนจะผิดแผนนางค่อนข้างตกใจอยู่บ้างจริงๆ ชาที่อุ่นกรุ่นปล่อยกลิ่นหอมจาง ๆ แตะจมูก รสขมนิด ๆ ปลายลิ้นช่วยให้นางสงบใจได้บ้าง พอเริ่มได้ไตร่ตรอง“บุรุษผู้นี้ดูไม่ใช่คนธรรมดา ทั้งกิริยาและวาจาล้วนสำรวมสุภาพ… แต่นั่นแหละยิ่งอันตราย...เขาช่วยข้าเพราะอะไรกัน ต้องเกี่ยวกับทหารเมื่อสักครู่แน่ ๆ และคนเหล่านั้นก็น่าจะเกี่ยวข้องกับบิดา”หญิงสาวก้มหน้าดื่มชาอีกคำแสดงท่าทีไม่อยากเอ่ยอะไรลู่เผยเองก็เข้าใจไม่เอ่ยวาจาอีก เพียงแค่ขมวดคิ้วเพราะกลิ่นจากหญิงสาวเป็นกลิ่นที่เขาไม่แน่ใจว่าคือสิ่งใดรถม้าเคลื่อนตัวอย่างมั่นคงบนเส้นทางสายเล็ก มุ่งหน้าสู่โรงเตี้ยมเซิ่งฟง ขณะฟ้ายามย่ำเย็นเริ่มคลี่เงาเทาทับลงมาทีละน้อยโรงเตี้ยมเซิ่งฟง ลู่เผยพา
ตอนที่ 6 ยุ่งยากอีกขั้นเสียงฝีเท้าม้าหยุดลงตรงจุดที่กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้งในอากาศ จ้าวเทียนควบม้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว เบื้องหน้าคือร่างไร้ลมหายใจห้าร่างกระจัดกระจายอยู่ในพงหญ้า ท่ามกลางร่องรอยการต่อสู้ที่ยังใหม่สดเขากระโดดลงจากหลังม้า ก่อนกวาดตามองโดยรอบอย่างชำนาญ“ตรวจสอบให้ละเอียด” เสียงสั่งเด็ดขาดดังขึ้น ทหารติดตามแยกย้ายกันตรวจสอบ จ้าวเทียนเข้ามาดูศพอย่างละเอียด ทหารที่กำลังตรวจบาดแผลกล่าวขึ้น“ใต้เท้า...ร่องรอยอาวุธลับเช่นนี้ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนขอรับ...ผู้ใช้ต้องเป็นคนที่กำลังภายในสูงผู้หนึ่ง...จึงจะสามารถดันมันเข้ามาในร่างกายแบบนี้ได้”กระสุนปืนเป็นเหล็ก ย่อมเป็นของผิดแปลกสถานที่มันเลยหายไปเรียบร้อยแล้วพวกเขาเห็นเพียงร่องรอยที่ร่างกายถูกเจาะเป็นรู“ใต้เท้าจ้าว...มีร่องรอยคนหนีไปทางนั้นขอรับ”จ้าวเทียนพยักหน้าก่อนออกคำสั่ง “เก็บรายละเอียดให้หมด”แล้วเขาก็ควบม้าตามรอยอย่างรวดเร็วส่วนหลินเยว่วิ่งออกไปยังถนน ร่างกายเต็มไปด้วยรอยเปื้อนและเลือด ทว่าใบหน้างดงามยังคงแฝงความเด็ดเดี่ยวทว่าพอคนรถม้าคันหนึ่งกำลังเคลื่อนมา สีหน้านางก็ปรับเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกคนขับรถม้า เห็นร่างของหญิงสาว
ตอนที่ 5 เรียกความสนใจชายแดนตะวันออก ค่ายทหารแคว้นเยี่ยวโจว แม่ทัพใหญ่ ไป๋เจี้ยน ฟื้นคืนสติจากอาการบาดเจ็บกลางสมรภูมิ ความเจ็บปวดในกายยังแล่นอยู่ แต่สิ่งแรกที่เขานึกถึงคือผู้ใต้บังคับบัญชาที่รับดาบและปกป้องเขา เขาเอ่ยเสียงแหบแผ่ว “หลิวอัน…ตอนนี้เป็นเช่นไรบ้าง…”ทหารรับใช้ขานตอบเสียงเรียบ “นายกองหลิวอัน… ได้ทำหน้าที่ของตนสมบูรณ์แล้วขอรับ…”ไป๋เจี้ยนหลับตาลงชั่วครู่ ก่อนเอ่ยเสียงขรึม “เขาได้ฝากข้า…ให้ช่วยดูแลครอบครัว…ขอให้ข้ารับบุตรสาวของเขาเข้าจวน…”ตอบแทนบุญช่วยชีวิตนี่ไม่นับว่าหนักเกินไป “อายุข้ามากแล้ว… หากรับนางเป็นอนุ คงเป็นเวรกรรมเสียมากกว่า…ทว่าข้ารับปากไปแล้ว”ไป๋เจี้ยนหันไปมองบุตรชายของตน“ไป๋จิ้งหาน... เจ้าก็รับนางเป็นอนุเถิด”ไป๋จิ้งหานรองแม่ทัพหนุ่ม หน้าตาคมคาย เขาพยักหน้ารับคำอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ ชายหนุ่มยกมือประสานรับคำสั่ง“ขอรับ…ข้าจะรีบให้คนไปจัดการ” ชายหนุ่มหันไปพยักหน้าให้ทหารคนสนิท จากนั้นพวกเขาก็จัดคนเตรียมไปรับคนไปไว้ที่จวนในเมืองหลวงเจียงหนิงในยามดึกสงัด หลังจากทุกคนหลับสนิท หลินเยว่ค่อยก้าวเท้าเบาออกจากเรือนขึ้นไปนั่งบนหลังค
ตอนที่ 4 ไม่ยินยอมรุ่งเช้าวันต่อมา หลินเยว่รู้สึกว่าร่างกายฟื้นตัวเต็มที่แล้ว นางตั้งใจจะออกไปช่วยงานตามปกติจะได้รู้สึกสถานการณ์เบื้องต้นของตัวเองด้วย ขณะที่ก้าวเท้าออกจากเรือนเล็ก เสียงของป้าสะใภ้ใหญ่ ซือซินก็ดังขึ้นแผ่วแต่ฟังแล้วเจือความเย็นชา“เยว่เอ๋อร์… พึ่งหายป่วยได้ไม่นาน อย่าเพิ่งออกไปตากแดดตากลมเลย… ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวป่วยขึ้นมาอีก จะต้องเสียเงินเสียทองไปหาหมออีกนะ” ถ้อยคำที่ฟังเหมือนความห่วงใย แต่หลินเยว่รู้ดีว่ามันไม่ใช่ นางเม้มริมฝีปากก่อนตอบเสียงเรียบ“ข้าหายดีแล้ว… ขอบคุณท่านป้าที่เป็นห่วง”พูดจบ นางก็ไม่รอให้ใครพูดอะไรต่อ ก้าวเดินต่อไปซือซินเห็นท่าทางดื้อดึงของอีกฝ่าย ก็เผยแววไม่พอใจทันตา เอ่ยน้ำเสียงเริ่มแฝงความตำหนิ “นี่ข้าพูดสิ่งใด… เจ้าก็ไม่เชื่อฟังเลยหรือ...น้องสะใภ้… เจ้าอบรมบุตรสาวอย่างไร”คำพูดนั้นทำให้ดวงตาของหลินเยว่ลุกวาวขึ้นทันที นางสูดหายใจลึกเพื่อระงับอารมณ์ ขณะที่มารดาชุนเสวี่ยรีบพูดแทรกเสียงอ่อนแรง“ขออภัยพี่สะใภ้…เยว่เอ๋อร์เพียงแต่ห่วงจะไปช่วยงาน หาได้ตั้งใจขัดคำสั่งท่าน…เยว่เอ๋อร์…ในเมื่อป้าสะใภ้เป็นห่วงเจ้าก็อยู่แต่ในเรือนเถิดนะ”น้ำเสียงนั้นอ่อ
ตอนที่ 3 ฝันร้าย หลิวเยว่ลืมตามองเพดานในความมืด นางรู้ดีว่าอนาคตคงไม่ราบเรียบนักแต่ยังไม่คาดคิดว่าตัวเองจะถูกขายให้เป็นอนุผู้อื่น นางไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนจะหลับตาลงแล้วก็แสร้างร้องเสียงสะอื้น “ท่านพ่อ… ท่านพ่อ… ทำไมท่านถึงทิ้งข้าไป…”เสียงสะอึกสะอื้นนั้นปลุกชุนเสวี่ยให้สะดุ้งตื่น นางลุกขึ้นอย่างตื่นตระหนก “เยว่เอ๋อร์.. เจ้าฝันร้ายหรือ…”หลินเยว่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แสร้งให้ดวงตาฉ่ำน้ำตา ก่อนจะเอ่ยเสียงสั่นเครือ “ท่านแม่… ข้าฝันเห็นท่านพ่อ… ท่านมาในฝัน บอกว่าเป็นห่วงพวกเรา กลัวว่าพวกเราจะลำบาก… ท่านเลยมอบของบางอย่างให้”ชุนเสวี่ยขมวดคิ้วอย่างสงสัย แต่หลินเยว่ไม่รอช้า เธอหลับตาครู่หนึ่งแล้วเอื้อมมือไปคว้ากล่องเล็ก ๆ จากอากาศบะหมี่พรีเมี่ยมรสทะเล ปรากฏขึ้นในมือของเธอราวกับปาฏิหาริย์หลินอวี่ที่พึ่งตื่นขึ้นมาเบิกตากว้าง ตะลึงพรึงเพริด“พี่สาว… มันคืออะไรน่ะ…”หลินเยว่แสร้งทำเป็นแปลกใจพอกัน ก่อนบอกด้วยเสียงแผ่ว ๆ“ท่านพ่อบอกว่า… ขอเพียงใส่น้ำ ก็จะกลายเป็นอาหารที่ทำให้เราอิ่มท้อง…” จากนั้นนางก็ลุกขึ้นเทน้ำใส่ไม่นานไอร้อนหอมกรุ่นลอยขึ้นมา กลิ่นทะเลสดใหม่ปะทะจมูก สองแม่