เสียงประตูไม้เก่าดังขึ้น หลินเยว่หันขวับไปตามเสียงโดยสัญชาตญาณและสบตากับน้องชายของเธอ หลินอวี่เด็กหนุ่มร่างเล็ก หน้าตาซีดเซียวแต่แฝงรอยยิ้มอ่อนโยนที่เธอคุ้นเคยมาตั้งแต่จำความได้
“พี่สาว… วันนี้อาการเป็นอย่างไรบ้าง?”
เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เปี่ยมด้วยความห่วงใย หลินเยว่ลอบถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ดีขึ้นมากแล้ว… แล้ว… ท่านแม่เล่า?”
หลินอวี่ยกยิ้มบาง ๆ ดวงตาสีดำหม่นยังคงฉายแววอบอุ่น “ท่านแม่ไปซักผ้าก่อน…ท่านคงหิวแล้วมาสิ ข้า… ได้หมั่นโถวมาด้วยนะ”
เด็กหนุ่มพูดจบก็ยื่นหมั่นโถวลูกกลมสีขาวนวลออกมาให้พี่สาว มือของเขาสั่นน้อย ๆ จากความอ่อนแรง แต่น้ำใจกลับมั่นคง
หลินเยว่เห็นหมั่นโถวแล้วก็รู้ทันที นี่คงเป็นของที่น้องชายได้รับตอนออกไปช่วยทำนากับคนอื่นๆ
หญิงสาวยิ้มจาง ๆ ส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนตอบเสียงอ่อน
“ท้องข้ายังปั่นป่วนอยู่มาก… เจ้ากินเถอะ”
ดวงตาของน้องชายสะท้อนความเป็นห่วงลึกซึ้ง แต่ก็พยักหน้าเบา ๆ ยอมรับคำของเธอ หลินเยว่มองภาพนั้นด้วยความรู้สึกอบอุ่นเจือเศร้า…
เด็กหนุ่มร่างเล็กที่สวมเสื้อผ้าเก่าและบางจนเห็นได้ชัดว่าต้องทนกับความหนาวเย็นอย่างยากลำบาก ฤดูหนาวปีนี้… คงจะโหดร้ายสำหรับพวกเขาแน่นอน
ในหัวหลินเยว่ผุดขึ้นมาทันทีถึงของจำเป็นสี่อย่าง ที่เธอสามารถเรียกออกมาจากมิติได้อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค สิ่งเหล่านี้คือความหวังเดียวที่จะปกป้องครอบครัวเล็ก ๆ ของเธอในโลกที่โหดร้ายนี้
นางมองหลินอวี่ค่อย ๆ กัดหมั่นโถวทีละคำด้วยความเงียบนัยน์ตาสะท้อนความหิวโหยแต่ก็พยายามไม่แสดงออกมา
หลินเยว่เม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกอยากจะหยิบบะหมี่ร้อน ๆ จากมิติออกมาให้น้องชายได้อิ่มบ้าง
แต่… เธอไม่อาจทำเช่นนั้นได้
“มันไม่มีเหตุผลพอ… ไม่มีคำอธิบายที่จะทำให้ทุกอย่างดูไม่แปลกประหลาด…”
หลินเยว่ได้แต่ลอบถอนหายใจเงียบ ๆ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความกังวลและตระหนัก นี่คือโลกใหม่ที่เธอจะต้องเรียนรู้จะอยู่กับมัน…
เสียงโวยวายเอะอะจากข้างนอกดังขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้ทั้งหลินเยว่และหลินอวี่ต่างชะงักงัน หลินอวี่เขาหันมามองพี่สาวพลางกล่าวเสียงเบา
“ข้าจะออกไปดู…”
ลางสังหรณ์บางอย่างบีบหัวใจหลินเย่ว นางลุกขึ้นตามน้องชายโดยไม่รั้งรอ ทั้งสองเดินออกไปนอกบ้านด้วยความกังวล
เพียงก้าวพ้นประตู หลินเยว่ก็เห็นภาพที่ทำให้หัวใจหล่นวูบ
ท่านย่า ยืนอยู่ด้วยใบหน้าตื่นตระหนก ข้าง ๆ กันคือมารดาของเธอที่ทรุดนั่งบนพื้น มือสั่นเทาจนเห็นได้ชัด
หลินเยว่รีบก้าวเข้าไปประคองร่างมารดาขึ้นมา น้ำเสียงแผ่วสั่นสะท้อนความห่วงใย
“ท่านแม่… เกิดอะไรขึ้น…”
มารดาของเธอเงยหน้าขึ้นมา
ดวงตาแดงก่ำเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา ก่อนจะโผเข้ากอดหลินเยว่แน่น ตัวสั่นเทาด้วยความเศร้าจนหญิงสาวสัมผัสได้
ขณะเดียวกัน เสียงของลุงใหญ่หลินจ้าวซานดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเงียบงัน “เมื่อสักครู่… มีคนจากทางการมาแจ้งข่าว… หลินอันเสียชีวิตในสนามรบแล้ว…”
ถ้อยคำนั้นเหมือนฟ้าผ่าลงมากลางใจ หลินเยว่รู้สึกตัวชาไปทั้งร่าง ดวงตากะพริบช้าเหมือนกำลังพยายามเข้าใจ ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น
หลินอวี่เงียบไปเขาเพียงยื่นมือมากุมมือพี่สาวแน่น ไม่เอ่ยวาจาใด ๆ
สายตาของหลินเยว่เหลือบไปเห็นในมือเหี่ยวย่นของท่านย่า ถุงเงินก้อนหนึ่ง นางรู้ทันทีว่านั่นคงเป็น เงินชดเชยที่ทางการมอบให้ครอบครัวทหารผู้ล่วงลับสิ่งเดียวที่หลงเหลือจากชีวิตของบิดา…
ป้าสะใภ้ใหญ่ซือซิน เดินเข้ามาด้วยสีหน้าฉายแววเห็นใจแม้ดวงตาจะไม่สะท้อนความเศร้าเท่าใดนัก
“น้องสะใภ้… ทำใจเถิด เจ้าต้องเข้มแข็งเพื่อลูกชายและลูกสาวที่ยังอยู่กับเจ้านะ”
ถ้อยคำนั้นแฝงความห่างเหินและเสแสร้ง หลินเยว่รับรู้ถึงรอยร้าวในน้ำเสียงนั้นทันที นางปรายตามองป้าสะใภ้ใหญ่ด้วยแววตาเย็นชา ก่อนหันไปประคองมารดา
“ท่านแม่… ไปพักข้างในกันเถอะเจ้าค่ะ”
ชุนเสวี่ยพยักหน้าอย่างเชื่องช้า น้ำตายังคงเปียกแก้ม นางลุกขึ้นให้หลินเยว่ประคองก้าวออกไปจากวงล้อมของคนในตระกูล
ซือซินลอบเหยียดมุมปากบางเบา แต่แล้วก็กลับมายิ้มจาง ๆ พลางหันไปพูดกับย่า
“ท่านแม่… โปรดระงับความโศกเศร้าเถิดเจ้าค่ะ จะไม่ดีต่อสุขภาพ”
บรรยากาศในลานบ้านแผ่คลื่นเย็นยะเยือกชั่วขณะ ก่อนที่ทุกคนจะค่อย ๆ แยกย้ายกลับไปทำหน้าที่ของตน ราวกับข่าวร้ายเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น
ในเรือนหลัก
ซือซินจ้องมองสามีด้วยแววตาคาดคั้นเสียงของนางแผ่วแต่แฝงความคมกริบ “ในเมื่อน้องสามเสียชีวิตไปแล้ว เช่นนั้นต่อไปนี้เราจะไม่ได้เบี้ยหวัดอีก อย่างนี้…มิใช่ว่า..พวกเราต้องเลี้ยงดูสตรีกับเด็กสองคนนั้นตลอดไปอย่างนั้นหรือ”
หลินจ้าวซาน ขมวดคิ้วริมฝีปากเม้มแน่นกล่าวด้วยความลังเล
“นี่เจ้าจะให้ข้าขับไล่พวกนางออกไป...จะทำอย่างนั้นได้อย่างไร”
ซือซินแสร้งถอนหายใจมือเรียวลูบชายเสื้อช้า ๆ ราวกับไม่อยากจะพูด “ข้าพูดก็เพื่อครอบครัวของเราเอง…เหออวี่ก็กำลังจะสอบซิ่วไฉ ต้องใช้เงินจำนวนมาก พวกเราจะมีเงินพอเลี้ยงดูผู้อื่นไปพร้อมกันได้หรือ…”
นางเว้นวรรคลมหายใจแผ่วลงเพียงครู่ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราวกับกระซิบ “แต่ว่า… เยว่เอ๋อร์ รูปร่างหน้าตาไม่เลวเลยนะ ข้าเห็น… ท่านนายอำเภอชอบเด็กสาววัยนี้อยู่ไม่น้อย หากขายนางไป… คงได้เงินมาช่วยครอบครัวของเราพอให้ผ่านไปได้”
หลิวจ้าวซานสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
“น้องสะใภ้สาม… ไม่มีทางยินยอม”
ซือซินหรี่ตามองสามี
“ท่านเป็นประมุขของตระกูล…นางไม่ยอม…ก็ต้องยอม”
ตอนที่ 56 ปุ๋ยเกลือตระกูลชุนตระกูลชุนตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้วแม้กระทั่งผู้ที่มาส่งข่าวสารจากเมืองฉางโจวยังอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองด้วยความตื่นตะลึงในความเปลี่ยนแปลง ครอบครัวที่ครั้งหนึ่งเคยยากจนแทบไม่มีจะกิน บัดนี้กลับคึกคักดั่งเรือนคหบดีผู้มั่งคั่งเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากลานด้านใน หลินอวี่ก็รีบวิ่งออกมาต้อนรับ ใบหน้าที่เคยหม่นหมองกลับสดใสขึ้นมาก เด็กหนุ่มโค้งตัวรับข่าวด้วยความกระตือรือร้น ดวงตาวาววับ“พี่สาวกับพี่เขย...เป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”คนส่งสารมองดูเด็กหนุ่มตรงหน้า คนผู้หนึ่งที่ครั้งก่อนแทบไม่มีกำลังใจจะเงยหน้ามองผู้ใด บัดนี้กลับดูสง่างามขึ้นราวกับมีอนาคตสดใสรออยู่เบื้องหน้าเขากำลังจะเอ่ยถ้อยคำต่อ แต่ทันใดนั้นกลับมีร่างสตรีผู้หนึ่งก้าวตามออกมาจากในเรือน ข้างกายมีบ่าวตามมาผู้หนึ่งในแวบแรกเขายังนึกไม่ออกว่าเป็นใคร กระทั่งได้เพ่งมองอยู่นาน จึงนึกออกหญิงผู้นั้นคือ ชุนเสวี่ยสตรีผอมบางที่ครั้งหนึ่งเคยดูโรยรินเพราะแบกรับความทุกข์ยากมานานหลายปีบัดนี้แม้เครื่องแต่งกายยังเรียบง่ายไร้สิ่งหรูหรา แต่แววตาเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอ่อนละมุนราวแสงเช้าส่องผ่านม่านหมอก และทุกก้า
ตอนที่ 55 สำรวจพื้นที่ เมืองฉางโจวในยามนี้สงบเงียบ สายลมทะเลพัดเอื่อยชื่นเย็น หลินเยว่กับลู่เผยใช้เวลาว่างเดินเลาะชายหาด น้ำทะเลสะอาดใสราวกระจกสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ เสียงคลื่นซัดฝั่งแผ่วเบาผสมเสียงนกทะเลที่บินโฉบอยู่เหนือผิวน้ำทั้งสองเดินชมหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ก่อนจะมาถึงพื้นที่กว้างใหญ่ที่มีแอ่งน้ำเค็มเรียงราย นาเกลือของชาวบ้านนั่นเอง กลิ่นไอเค็มพัดมาแตะจมูก คนงานจำนวนหนึ่งกำลังกวักเกลือขึ้นจากร่องน้ำ แบกตะกร้าหนักไปวางเรียงไว้เป็นกองสายตาหลินเยว่พลันสะดุดกับกองเกลือที่ถูกเททิ้งไว้ด้านข้าง เธอหยุดก้าวขมวดคิ้วเล็กน้อย“นั่น...คืออะไรหรือ”ชาวนาเกลือที่อยู่ใกล้เงยหน้าขึ้น รีบตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ“เกลือฉีไฉขอรับ”หลินเยว่เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ชายผู้นั้นจึงรีบอธิบายเพิ่มเติม “มันเป็นเกลือที่ใช้ไม่ได้ขอรับ รสขมปนฝาด เค็มจนเกินทน จึงต้องทิ้งไว้เช่นนี้”หลินเยว่นิ่งคิด สายตาจับจ้องกองเกลือสีหม่นนั้น ความรู้จากชาติก่อนแล่นวาบขึ้นในใจทันที “หรือว่า...นี่จะคือเกลือบิทเทิน?”สิ่งหนึ่งแวบวาบขึ้นมาในห้วงความคิด หลินเยว่หันไปหาชาวนาเกลือทันที “ข้าขอซื้อเกลือฉีไฉพวกนี้ทั้งหมดได้หรือไม่”ชา
ตอนที่ 54 รางวัลที่มอบฝุ่นควันลอยคลุ้งเต็มลาน หุบเขาดังกึกก้องราวกับโกรธเกรี้ยว ทหารต้าเชี่ยจำนวนมากล้มลงไม่ทันตั้งตัวความโกลาหลปะทุขึ้นทันทีในความวุ่นวายนั้น ไป๋จิ้งหานคว้าปืนไรเฟิลจากหลังขึ้นมาอย่างมั่นมือเขาหลบหลังแนวต้นไม้ แล้วยกขึ้นเล็ง ดวงตาเย็นเฉียบจับจ้องเพียงหนึ่งเป้าหมายแม่ทัพใหญ่ของต้าเชี่ยยังนั่งอยู่บนหลังม้ามั่นใจเกินตัว คำรามสั่งการไม่หยุดเพียงหนึ่งลมหายใจ...เสียงลั่นแผ่วเบาดังขึ้นจากใต้เงาไม้ปัง!แม่ทัพใหญ่นั้นตัวกระตุก ก่อนจะร่วงจากหลังม้าไปอย่างหมดสิ้นเลือดไหลอาบลงพื้น เหล่าทหารต้าเชี่ยพากันแตกตื่นอย่างแทบไม่เชื่อสายตา“แม่ทัพ...! แม่ทัพตายแล้ว!!”การตายของผู้นำทำให้ขวัญทัพแตกกระเจิงไป๋จิ้งหานวางปืนลง หันไปพยักหน้าให้จ้าวเทียนที่ซุ่มอยู่ไม่ไกลจ้าวเทียนรับคำทันที พลันจุดพลุส่งสัญญาณสีแดงทะยานขึ้นฟ้าเมื่อแสงสีแดงกระจายกลางอากาศจากอีกฟากของหุบเขา แม่ทัพไป๋เจี้ยนเห็นสัญญาณใบหน้าที่เคยเคร่งขรึมฉายแววเข้มแข็งขึ้นในทันใดเขาเงื้อแขนขึ้นสูง ก่อนตะโกนก้อง“เคลื่อนพล—!!”เสียงกลองศึกเริ่มต้นขึ้นกองทัพเยี่ยนโจวเคลื่อนพลอย่างพร้อมเพรียงครั้งนี้...ถึงเวลาตอบโต้!
ตอนที่ 53 ควรจบได้แล้วแม่ทัพของต้าเชี่ยยืนอยู่เบื้องหน้ากระดานวางแผน ศีรษะเชิดขึ้นด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมเขารู้ดี รู้จำนวนไพร่พลของศัตรูที่ค่ายเมืองฉางโจว กองกำลังของเยี่ยนโจวในตอนนี้มีเพียงสองหมื่นกว่านาย ขณะที่เขา…มีทัพพลเกือบแสน“ไม่ว่าเจ้าจะใช้แผนไหน ก็ไม่มีวันชนะ” เขาพึมพำกับตนเองด้วยแววตาเย็นชาเขาสั่งให้นายกองคนสนิทออกไปสำรวจภูมิประเทศรอบเมืองโดยเร็ว โดยเฉพาะเส้นทางที่ลัดเลาะไปตามแนวเขา “หากจะมีทางรอด พวกมันคงใช้ซุ้มโจมตีเป็นเดิมพันสุดท้าย”“ให้คนจับตาทุกช่องเขา ทุกหุบแคบ อย่าให้แม้แต่หนูยังเล็ดลอด”แววตาแม่ทัพของต้าเชี่ยวาวโรจน์ ทหารบางคนร้องเตือนว่าอีกฝ่ายมี หน้าม้า ฝีมือเก่งกล้า เคลื่อนไหวรวดเร็วจนน่าหวาดหวั่นแต่แม่ทัพหาได้ใส่ใจไม่“หน้าม้าไม่กี่สิบคน จะทำอะไรทัพแสนของข้าได้?”เสียงหัวเราะของเขาเย็นเยียบดังขึ้นในกระโจมบัญชาการ“ไป๋เจี้ยน…เจ้ากล้าเกินตัวนัก ข้าให้โอกาสเจ้าอยู่เฉย ๆ ยังเลือกจะบุกลอบมาท้าทายชะตา หากเช่นนั้น…ก็จงเตรียมใจรับมันเถอะ”แววตาเขาแข็งกร้าวราวเหล็กกล้าศึกครั้งนี้ ขุนพลเยี่ยนโจว…จะแพ้โดยไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะร้องขอความเมตตา เมื่อกองทัพต้าเชี่
ตอนที่ 52 ข่าวศึกสถานการณ์ชายแดนเริ่มตึงเครียดขึ้นทุกขณะ ชาวบ้านต่างเร่งหาที่หลบภัย บางส่วนก็ทยอยอพยพออกนอกพื้นที่เช้าตรู่เสียงเคาะประตูดังขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เจ้าของบ้านที่หลินเยว่เช่าอยู่เดินเข้ามาพร้อมสีหน้าเคร่งเครียด“พวกเจ้าได้ข่าวหรือยัง? ตอนนี้กองทัพของต้าเชี่ยกำลังจะเข้ามาใกล้เมืองแล้ว หากไม่มีธุระสำคัญก็รีบออกจากที่นี่เถอะ ข้านำค่าเช่าส่วนต่างมาคืนให้ พวกข้าก็กำลังจะออกเดินทางเหมือนกัน”ลู่เผยรับถุงเงินไว้ก่อนจะยื่นคืน “พวกข้าก็กำลังจะออกเดินทางเช่นกัน เงินนี้ท่านป้าเก็บไว้เถอะ ถือเป็นการช่วยเหลือกันในยามยาก”หญิงชราเบิกตากว้างเล็กน้อย มองพวกเขาด้วยความซาบซึ้ง“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ขอให้เดินทางปลอดภัย”เมื่อประตูปิดลงอีกครั้ง หลินเยว่หันไปเอ่ยเสียงแผ่ว“สงคราม...ไม่เคยเมตตาผู้ใดเลย” นางกำลังทำผิดหรือไม่ลู่เผยยิ้มปลอบเบา ๆ “ที่ใดมีผลประโยชน์ ที่นั่นย่อมมีความขัดแย้ง แต่หากตกลงกันได้ ก็ย่อมดีกว่าการใช้กำลัง” หลินเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ “หวังว่าสิ่งที่ข้ากำลังทำ จะพาเรื่องราวทั้งหมดคลี่คลายไปในทางที่ดี”ชายหนุ่มพยักหน้า “ศึกระหว่างสองเมืองนี้...ไม่ว่าอย่างไรก็ต
ตอนที่ 51 จัดการพวกมัน เสียงกลองเตือนภัยรัวก้องสะท้อนไปทั่วเมืองฉางอี้ คบเพลิงนับสิบถูกชูสูงบนกำแพง พวกเขาเห็นกลุ่มหลินเยว่ได้ทันที ประตูเมืองถูกเปิดออก “พวกมันอยู่นั่น! ไล่ตามไป!” เสียงตะโกนของทหารดังสนั่น ก่อนกลุ่มธนูไฟพุ่งออกมาเป็นสายแสงสีแดงฉานหลินเยว่หันมามองพวกพ้อง “ได้เวลาหนีแล้ว!”พวกเขาไม่จำเป็นต้องเก็บปืนทำให้สามารถปลีกตัวได้อย่างรวดเร็ว ไป๋จิ้งหานกับซูเหยียนขึ้นม้าด้วยท่วงท่าฉับไว ก่อนชักบังเหียนบังคับให้ม้าควบห่างออกไป ทหารเมืองฉางอี้หลายสิบคนรีบวิ่งกรูลงจากกำแพงพร้อมคบเพลิง ไล่ตามฝูงม้าที่กำลังแล่นเร็วเป็นสายลมเสียงเกือกม้ากระทบพื้นดังก้อง “ตึก ตึก ตึก!” ฝุ่นดินฟุ้งกระจายคลุ้งไปทั้งแนวทุ่ง เสียงธนูและหอกที่ไล่ตามมาดังแหวกอากาศเฉียดผ่านหูอย่างน่าหวาดเสียวหลินเยว่หันกลับไปเหนี่ยวไกอีกนัด “ปัง!” เสียงก้องสะท้อนกลางความมืด ลูกกระสุนพุ่งฝังใส่เกราะทหารที่วิ่งนำจนร่างนั้นล้มทั้งยืน เลือดสาดเปรอะพื้น เหล่าผู้ไล่ล่าพลันชะงักไปชั่วครู่ แต่เสียงตะโกนโกรธเกรี้ยวยังคงดังก้อง“จับพวกมัน! อย่าให้หนีไปได้!”หลินเยว่กระโดดขึ้นม้าอย่างคล่องแค