รุ่งเช้าวันต่อมา หลินเยว่รู้สึกว่าร่างกายฟื้นตัวเต็มที่แล้ว นางตั้งใจจะออกไปช่วยงานตามปกติจะได้รู้สึกสถานการณ์เบื้องต้นของตัวเองด้วย ขณะที่ก้าวเท้าออกจากเรือนเล็ก เสียงของป้าสะใภ้ใหญ่ ซือซินก็ดังขึ้นแผ่วแต่ฟังแล้วเจือความเย็นชา
“เยว่เอ๋อร์… พึ่งหายป่วยได้ไม่นาน อย่าเพิ่งออกไปตากแดดตากลมเลย… ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวป่วยขึ้นมาอีก จะต้องเสียเงินเสียทองไปหาหมออีกนะ” ถ้อยคำที่ฟังเหมือนความห่วงใย แต่หลินเยว่รู้ดีว่ามันไม่ใช่ นางเม้มริมฝีปากก่อนตอบเสียงเรียบ
“ข้าหายดีแล้ว… ขอบคุณท่านป้าที่เป็นห่วง”
พูดจบ นางก็ไม่รอให้ใครพูดอะไรต่อ ก้าวเดินต่อไป
ซือซินเห็นท่าทางดื้อดึงของอีกฝ่าย ก็เผยแววไม่พอใจทันตา เอ่ยน้ำเสียงเริ่มแฝงความตำหนิ “นี่ข้าพูดสิ่งใด… เจ้าก็ไม่เชื่อฟังเลยหรือ...น้องสะใภ้… เจ้าอบรมบุตรสาวอย่างไร”
คำพูดนั้นทำให้ดวงตาของหลินเยว่ลุกวาวขึ้นทันที นางสูดหายใจลึกเพื่อระงับอารมณ์ ขณะที่มารดาชุนเสวี่ยรีบพูดแทรกเสียงอ่อนแรง
“ขออภัยพี่สะใภ้…เยว่เอ๋อร์เพียงแต่ห่วงจะไปช่วยงาน หาได้ตั้งใจขัดคำสั่งท่าน…เยว่เอ๋อร์…ในเมื่อป้าสะใภ้เป็นห่วงเจ้าก็อยู่แต่ในเรือนเถิดนะ”
น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนและพยายามประคับประคองบรรยากาศ
“เจ้าค่ะ…” หลินเยว่จำใจต้องพยักหน้ารับคำ
แล้วจึงหมุนกายกลับเข้าเรือนไป แม้จะไม่พอใจ นางก็รู้ดี…นี่ไม่ใช่เวลาที่เหมาะจะสร้างความบาดหมางกับคนในตระกูล
ซือซิน มองตามหลังหลินเยว่ที่เดินกลับเข้าห้องไปด้วยสายตาที่แฝงนัยบางอย่าง รอยยิ้มที่มุมปากของนางปรากฏขึ้นชั่วครู่แล้วจางหายไป หลังจากมื้อเช้าผ่านไป นางออกไปข้างนอกประมาณหนึ่งชั่วยาม ก่อนจะกลับมาพร้อมหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง ใบหน้าหญิงคนนั้นเปื้อนรอยยิ้มแต่แววตาเฉียบคม
ซือซินตรงไปเรียกหลินเยว่ด้วยน้ำเสียงหวานแปลกหู
“เยว่เอ๋อร์…ออกมาคารวะท่านป้าจางสิ”
หลินเยว่ลุกออกมาตามคำเรียก แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความระแวง สายตาเธอกวาดมองทั้งสองอย่างเงียบ ๆ ขณะครุ่นคิดถึงเจตนาของพวกนาง
ป้าจาง ยืนกอดอก มองหลินเยว่ตั้งแต่หัวจรดเท้า ดวงตากวาดสำรวจอย่างพิจารณาละเอียด ก่อนเอ่ยขึ้น
“ดูสิ…นายอำเภอคงพอใจแน่…”
คำพูดนั้นทำให้หลินเยว่ขมวดคิ้วทันที นางถามเสียงนิ่ง
“พวกท่าน…กำลังพูดเรื่องอะไรกัน”
ซือซิน รีบพูดเสียงหวานแต่ฟังแล้วคล้ายเย้ยหยัน
“ก็…ท่านนายอำเภอโจวน่ะสิ เขาต้องการหาอนุคนใหม่ ข้าคิดว่าเจ้าหน้าตางดงามนัก จึงไปขอร้องป้าจางให้ช่วยพามาดูตัว เจ้าต้องดีใจนะ น้อยคนนักหรอก ที่จะเป็นที่ถูกใจป้าจาง”
ป้าจาง พยักหน้ารับพลางหัวเราะเบา ๆ
“ใช่แล้วล่ะ ทำตัวดี ๆ เชื่อฟังข้าอนุของนายอำเภอโจว ล้วนอยู่ดีกินดี เจ้าถือว่าวาสนาดีนัก แถมแม่เจ้าก็จะพลอยสบายไปด้วย…”
คำพูดเหล่านั้นราวคมมีดกรีดลึกลงในใจ
หลินเยว่ยืนเงียบ แต่ในใจกลับปะทุเพลิงโทสะ
“คนพวกนี้… หาเรื่องข้าจนได้…”
นางสูดลมหายใจลึก พยายามระงับอารมณ์ สายตาส่องประกายเย็นเยียบราวกับน้ำค้างกลางฤดูหนาว
ป้าจาง หันไปกำชับซือซินด้วยสีหน้าพึงพอใจ
“ช่วงนี้ก็ดูแลนางดี ๆ ล่ะ ให้ผิวพรรณเนียนละเอียดขึ้นอีกหน่อย ข้าจะไปแจ้งนายอำเภอ แล้วจะรีบมารับนาง”
ซือซิน ยิ้มอย่างยินดีใบหน้าเปี่ยมด้วยความทะเยอทะยาน
“ฝากท่านป้าจางด้วยนะเจ้าคะ”
ป้าจาง หัวเราะเบา ๆ แววตาเปี่ยมความมั่นใจ
“วางใจเถอะ… หากข้าเอ่ยปากแล้ว เรื่องเช่นนี้ล้วนสำเร็จทั้งนั้น”
คำพูดนั้นเหมือนตอกย้ำชะตากรรมที่ถูกกำหนดไว้
หลินเยว่ซึ่งพยายามอดกลั้นมาตลอด ทนไม่ไหวอีกต่อไป นางยืดตัวขึ้น เอ่ยเสียงเย็นแต่ชัดเจน
“ป้าสะใภ้… ท่านจะไม่ถามความเห็นท่านแม่ข้าก่อนหน่อยหรือ”
ซือซินเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี แววตากลับเปี่ยมความดูแคลน
“เรื่องน่ายินดีเช่นนี้… แม่เจ้าต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน...ฐานะอย่างเจ้าได้เป็นอนุนายอำเภอ...นับว่าสูงส่งเกินตัว และอย่าลืมล่ะวาสนานี้ล้วนเป็นข้าที่หามาให้เจ้าต้องกตัญญูข้าให้มากล่ะ”
หลินเยว่ค้านจะต่อปากต่อคำ
และตอนเย็น
“ข้าไม่ยินยอม!!” เสียงตะโกนของ ชุนเสวี่ยดังก้องแรงกล้าทว่ากลับเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความเด็ดเดี่ยวเป็นครั้งแรกที่นางเปล่งเสียงเช่นนี้
ซือซินหัวเราะเย้ยหยันใบหน้าฉายแววดูแคลน
“เจ้าไม่ได้มีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องนี้”
ชุนเสวี่ยน้ำตาเอ่อขึ้นในดวงตา นางสั่นเทาด้วยความคับแค้น
“ข้าพึ่งเสียสามีไป นี่พวกท่านยังจะมาขายบุตรสาวข้าอีกหรือ”
คำพูดนั้นทำให้ซือซินสีหน้าบึ้งตึง แววตาเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้าง “การแต่งงานของบุตรหลานในตระกูล ล้วนเป็นหน้าที่ของผู้อาวุโส ข้าเป็นพี่สะใภ้ย่อมมีสิทธิ์ตัดสินใจ อีกอย่าง ได้เป็นอนุของท่านนายอำเภอ นั่นถือเป็นวาสนาของนางแล้ว”
ชุนเสวี่ยกำหมัดแน่น สั่นเทาด้วยความโกรธแต่ไม่อาจกล่าวโทษถึงนายอำเภอได้ นางจึงเอ่ยเสียงเด็ดขาด น้ำเสียงสั่นเพราะความเจ็บปวดแต่เต็มไปด้วยความแน่วแน่
“ถึงอย่างไร… ข้าก็ไม่ยินยอม!!”
ซือซินหัวเราะเย้ยหยัน
“เจ้าไม่มีสิทธิเลือกแล้ว! อีกไม่กี่วัน นายอำเภอก็จะให้คนมารับนางไป…ผู้อื่นล้วนใฝ่ฝันอยากเป็นอนุของนายอำเภอทั้งนั้น พวกเจ้าช่างตื้นเขินนัก น้องสะใภ้…เจ้าคิดให้ดีเถิด!” น้ำเสียงแฝงความถือดีและเหยียดหยาม
นางก้าวเข้ามาใกล้ สายตาจับจ้องชุนเสวี่ยอย่างกดดัน ก่อนหันไปเหลือบมองหลินเยว่ รอยยิ้มแฝงพิษปรากฏที่มุมปาก
“หลินเยว่… รูปร่างหน้าตางดงามนี้ แทนที่จะปล่อยให้สูญเปล่า ทำไมไม่ใช้สิ่งนี้ให้เป็นประโยชน์หากนางเป็นที่โปรดปรานของนายอำเภอแล้วล่ะก็ อนาคตของหลินอวี่…เจ้าจะต้องกังวลอีกหรือ”
แววตาหลินเยว่เปล่งแสงเย็นเฉียบในใจครุ่นคิด
“จะฆ่าป้าสะใภ้คนนี้หรือพวกนายอำเภอดี”
ตอนที่ 56 ปุ๋ยเกลือตระกูลชุนตระกูลชุนตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้วแม้กระทั่งผู้ที่มาส่งข่าวสารจากเมืองฉางโจวยังอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองด้วยความตื่นตะลึงในความเปลี่ยนแปลง ครอบครัวที่ครั้งหนึ่งเคยยากจนแทบไม่มีจะกิน บัดนี้กลับคึกคักดั่งเรือนคหบดีผู้มั่งคั่งเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากลานด้านใน หลินอวี่ก็รีบวิ่งออกมาต้อนรับ ใบหน้าที่เคยหม่นหมองกลับสดใสขึ้นมาก เด็กหนุ่มโค้งตัวรับข่าวด้วยความกระตือรือร้น ดวงตาวาววับ“พี่สาวกับพี่เขย...เป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”คนส่งสารมองดูเด็กหนุ่มตรงหน้า คนผู้หนึ่งที่ครั้งก่อนแทบไม่มีกำลังใจจะเงยหน้ามองผู้ใด บัดนี้กลับดูสง่างามขึ้นราวกับมีอนาคตสดใสรออยู่เบื้องหน้าเขากำลังจะเอ่ยถ้อยคำต่อ แต่ทันใดนั้นกลับมีร่างสตรีผู้หนึ่งก้าวตามออกมาจากในเรือน ข้างกายมีบ่าวตามมาผู้หนึ่งในแวบแรกเขายังนึกไม่ออกว่าเป็นใคร กระทั่งได้เพ่งมองอยู่นาน จึงนึกออกหญิงผู้นั้นคือ ชุนเสวี่ยสตรีผอมบางที่ครั้งหนึ่งเคยดูโรยรินเพราะแบกรับความทุกข์ยากมานานหลายปีบัดนี้แม้เครื่องแต่งกายยังเรียบง่ายไร้สิ่งหรูหรา แต่แววตาเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอ่อนละมุนราวแสงเช้าส่องผ่านม่านหมอก และทุกก้า
ตอนที่ 55 สำรวจพื้นที่ เมืองฉางโจวในยามนี้สงบเงียบ สายลมทะเลพัดเอื่อยชื่นเย็น หลินเยว่กับลู่เผยใช้เวลาว่างเดินเลาะชายหาด น้ำทะเลสะอาดใสราวกระจกสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ เสียงคลื่นซัดฝั่งแผ่วเบาผสมเสียงนกทะเลที่บินโฉบอยู่เหนือผิวน้ำทั้งสองเดินชมหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ก่อนจะมาถึงพื้นที่กว้างใหญ่ที่มีแอ่งน้ำเค็มเรียงราย นาเกลือของชาวบ้านนั่นเอง กลิ่นไอเค็มพัดมาแตะจมูก คนงานจำนวนหนึ่งกำลังกวักเกลือขึ้นจากร่องน้ำ แบกตะกร้าหนักไปวางเรียงไว้เป็นกองสายตาหลินเยว่พลันสะดุดกับกองเกลือที่ถูกเททิ้งไว้ด้านข้าง เธอหยุดก้าวขมวดคิ้วเล็กน้อย“นั่น...คืออะไรหรือ”ชาวนาเกลือที่อยู่ใกล้เงยหน้าขึ้น รีบตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ“เกลือฉีไฉขอรับ”หลินเยว่เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ชายผู้นั้นจึงรีบอธิบายเพิ่มเติม “มันเป็นเกลือที่ใช้ไม่ได้ขอรับ รสขมปนฝาด เค็มจนเกินทน จึงต้องทิ้งไว้เช่นนี้”หลินเยว่นิ่งคิด สายตาจับจ้องกองเกลือสีหม่นนั้น ความรู้จากชาติก่อนแล่นวาบขึ้นในใจทันที “หรือว่า...นี่จะคือเกลือบิทเทิน?”สิ่งหนึ่งแวบวาบขึ้นมาในห้วงความคิด หลินเยว่หันไปหาชาวนาเกลือทันที “ข้าขอซื้อเกลือฉีไฉพวกนี้ทั้งหมดได้หรือไม่”ชา
ตอนที่ 54 รางวัลที่มอบฝุ่นควันลอยคลุ้งเต็มลาน หุบเขาดังกึกก้องราวกับโกรธเกรี้ยว ทหารต้าเชี่ยจำนวนมากล้มลงไม่ทันตั้งตัวความโกลาหลปะทุขึ้นทันทีในความวุ่นวายนั้น ไป๋จิ้งหานคว้าปืนไรเฟิลจากหลังขึ้นมาอย่างมั่นมือเขาหลบหลังแนวต้นไม้ แล้วยกขึ้นเล็ง ดวงตาเย็นเฉียบจับจ้องเพียงหนึ่งเป้าหมายแม่ทัพใหญ่ของต้าเชี่ยยังนั่งอยู่บนหลังม้ามั่นใจเกินตัว คำรามสั่งการไม่หยุดเพียงหนึ่งลมหายใจ...เสียงลั่นแผ่วเบาดังขึ้นจากใต้เงาไม้ปัง!แม่ทัพใหญ่นั้นตัวกระตุก ก่อนจะร่วงจากหลังม้าไปอย่างหมดสิ้นเลือดไหลอาบลงพื้น เหล่าทหารต้าเชี่ยพากันแตกตื่นอย่างแทบไม่เชื่อสายตา“แม่ทัพ...! แม่ทัพตายแล้ว!!”การตายของผู้นำทำให้ขวัญทัพแตกกระเจิงไป๋จิ้งหานวางปืนลง หันไปพยักหน้าให้จ้าวเทียนที่ซุ่มอยู่ไม่ไกลจ้าวเทียนรับคำทันที พลันจุดพลุส่งสัญญาณสีแดงทะยานขึ้นฟ้าเมื่อแสงสีแดงกระจายกลางอากาศจากอีกฟากของหุบเขา แม่ทัพไป๋เจี้ยนเห็นสัญญาณใบหน้าที่เคยเคร่งขรึมฉายแววเข้มแข็งขึ้นในทันใดเขาเงื้อแขนขึ้นสูง ก่อนตะโกนก้อง“เคลื่อนพล—!!”เสียงกลองศึกเริ่มต้นขึ้นกองทัพเยี่ยนโจวเคลื่อนพลอย่างพร้อมเพรียงครั้งนี้...ถึงเวลาตอบโต้!
ตอนที่ 53 ควรจบได้แล้วแม่ทัพของต้าเชี่ยยืนอยู่เบื้องหน้ากระดานวางแผน ศีรษะเชิดขึ้นด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมเขารู้ดี รู้จำนวนไพร่พลของศัตรูที่ค่ายเมืองฉางโจว กองกำลังของเยี่ยนโจวในตอนนี้มีเพียงสองหมื่นกว่านาย ขณะที่เขา…มีทัพพลเกือบแสน“ไม่ว่าเจ้าจะใช้แผนไหน ก็ไม่มีวันชนะ” เขาพึมพำกับตนเองด้วยแววตาเย็นชาเขาสั่งให้นายกองคนสนิทออกไปสำรวจภูมิประเทศรอบเมืองโดยเร็ว โดยเฉพาะเส้นทางที่ลัดเลาะไปตามแนวเขา “หากจะมีทางรอด พวกมันคงใช้ซุ้มโจมตีเป็นเดิมพันสุดท้าย”“ให้คนจับตาทุกช่องเขา ทุกหุบแคบ อย่าให้แม้แต่หนูยังเล็ดลอด”แววตาแม่ทัพของต้าเชี่ยวาวโรจน์ ทหารบางคนร้องเตือนว่าอีกฝ่ายมี หน้าม้า ฝีมือเก่งกล้า เคลื่อนไหวรวดเร็วจนน่าหวาดหวั่นแต่แม่ทัพหาได้ใส่ใจไม่“หน้าม้าไม่กี่สิบคน จะทำอะไรทัพแสนของข้าได้?”เสียงหัวเราะของเขาเย็นเยียบดังขึ้นในกระโจมบัญชาการ“ไป๋เจี้ยน…เจ้ากล้าเกินตัวนัก ข้าให้โอกาสเจ้าอยู่เฉย ๆ ยังเลือกจะบุกลอบมาท้าทายชะตา หากเช่นนั้น…ก็จงเตรียมใจรับมันเถอะ”แววตาเขาแข็งกร้าวราวเหล็กกล้าศึกครั้งนี้ ขุนพลเยี่ยนโจว…จะแพ้โดยไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะร้องขอความเมตตา เมื่อกองทัพต้าเชี่
ตอนที่ 52 ข่าวศึกสถานการณ์ชายแดนเริ่มตึงเครียดขึ้นทุกขณะ ชาวบ้านต่างเร่งหาที่หลบภัย บางส่วนก็ทยอยอพยพออกนอกพื้นที่เช้าตรู่เสียงเคาะประตูดังขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เจ้าของบ้านที่หลินเยว่เช่าอยู่เดินเข้ามาพร้อมสีหน้าเคร่งเครียด“พวกเจ้าได้ข่าวหรือยัง? ตอนนี้กองทัพของต้าเชี่ยกำลังจะเข้ามาใกล้เมืองแล้ว หากไม่มีธุระสำคัญก็รีบออกจากที่นี่เถอะ ข้านำค่าเช่าส่วนต่างมาคืนให้ พวกข้าก็กำลังจะออกเดินทางเหมือนกัน”ลู่เผยรับถุงเงินไว้ก่อนจะยื่นคืน “พวกข้าก็กำลังจะออกเดินทางเช่นกัน เงินนี้ท่านป้าเก็บไว้เถอะ ถือเป็นการช่วยเหลือกันในยามยาก”หญิงชราเบิกตากว้างเล็กน้อย มองพวกเขาด้วยความซาบซึ้ง“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ขอให้เดินทางปลอดภัย”เมื่อประตูปิดลงอีกครั้ง หลินเยว่หันไปเอ่ยเสียงแผ่ว“สงคราม...ไม่เคยเมตตาผู้ใดเลย” นางกำลังทำผิดหรือไม่ลู่เผยยิ้มปลอบเบา ๆ “ที่ใดมีผลประโยชน์ ที่นั่นย่อมมีความขัดแย้ง แต่หากตกลงกันได้ ก็ย่อมดีกว่าการใช้กำลัง” หลินเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ “หวังว่าสิ่งที่ข้ากำลังทำ จะพาเรื่องราวทั้งหมดคลี่คลายไปในทางที่ดี”ชายหนุ่มพยักหน้า “ศึกระหว่างสองเมืองนี้...ไม่ว่าอย่างไรก็ต
ตอนที่ 51 จัดการพวกมัน เสียงกลองเตือนภัยรัวก้องสะท้อนไปทั่วเมืองฉางอี้ คบเพลิงนับสิบถูกชูสูงบนกำแพง พวกเขาเห็นกลุ่มหลินเยว่ได้ทันที ประตูเมืองถูกเปิดออก “พวกมันอยู่นั่น! ไล่ตามไป!” เสียงตะโกนของทหารดังสนั่น ก่อนกลุ่มธนูไฟพุ่งออกมาเป็นสายแสงสีแดงฉานหลินเยว่หันมามองพวกพ้อง “ได้เวลาหนีแล้ว!”พวกเขาไม่จำเป็นต้องเก็บปืนทำให้สามารถปลีกตัวได้อย่างรวดเร็ว ไป๋จิ้งหานกับซูเหยียนขึ้นม้าด้วยท่วงท่าฉับไว ก่อนชักบังเหียนบังคับให้ม้าควบห่างออกไป ทหารเมืองฉางอี้หลายสิบคนรีบวิ่งกรูลงจากกำแพงพร้อมคบเพลิง ไล่ตามฝูงม้าที่กำลังแล่นเร็วเป็นสายลมเสียงเกือกม้ากระทบพื้นดังก้อง “ตึก ตึก ตึก!” ฝุ่นดินฟุ้งกระจายคลุ้งไปทั้งแนวทุ่ง เสียงธนูและหอกที่ไล่ตามมาดังแหวกอากาศเฉียดผ่านหูอย่างน่าหวาดเสียวหลินเยว่หันกลับไปเหนี่ยวไกอีกนัด “ปัง!” เสียงก้องสะท้อนกลางความมืด ลูกกระสุนพุ่งฝังใส่เกราะทหารที่วิ่งนำจนร่างนั้นล้มทั้งยืน เลือดสาดเปรอะพื้น เหล่าผู้ไล่ล่าพลันชะงักไปชั่วครู่ แต่เสียงตะโกนโกรธเกรี้ยวยังคงดังก้อง“จับพวกมัน! อย่าให้หนีไปได้!”หลินเยว่กระโดดขึ้นม้าอย่างคล่องแค