บทที่ 4
ภารกิจของฮูหยินน้อย
“ต่อไปท่านจะต้องไปเตรียมอาหารมื้อเช้าในครัว” เสียงเจื้อยแจ้วของอันหยินโพล่งขึ้นหลังซูเมิ่งเผลองีบหลับไปชั่วขณะ
“แต่ว่าเพิ่งได้น้ำค้างเพียงครึ่งถังเท่านั้น” ว่าพร้อมชะโงกไปดู
“ฮูหยินผู้เฒ่า ใต้เท้า ฮูหยินใหญ่ คุณชายใหญ่ คุณชายรอง และคุณหนูเล็กจะร่วมโต๊ะพร้อมกันตอนต้นของยามเฉิน[1] และไม่เคยเลยเวลานานกว่านั้น โดยที่บนโต๊ะจะต้องมีอาหารแปดชนิดไม่รวมของหวาน”
“มีคนช่วยงานข้ากี่คนกันล่ะ”
“ไม่มีเจ้าค่ะ” หญิงอวบวัยห้าสิบตอบกลับหน้าตาเฉย “ฮูหยินน้อยจะต้องรับผิดชอบหน้าที่นี้เพียงคนเดียว เป็นหน้าที่ที่สะใภ้ใหญ่แห่งตระกูลพึงปฏิบัติเพื่อดูแลสมาชิกในครอบครัวนะเจ้าคะ”
“แต่ว่า...”
“ขอให้ฮูหยินน้อยบริหารจัดการเวลาให้ดีนะเจ้าคะ เพราะหากปล่อยคุณหนูเล็กต้องทนหิวจนท้องร้องแล้วล่ะก็... จะหาว่าบ่าวไม่เตือนไม่ได้นะเจ้าคะ” พูดจบแล้วอันหยินก็สะบัดก้นกลมกลึงจากไป
ซูเมิ่งสับสนจนเริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูก จริงอยู่เมื่อครั้งอาศัยกินนอนกับบิดามารดาที่เรือนสกุลเจินก็ใช่ว่าจะสบายนัก แต่ก็ไม่เคยต้องอดตาหลับขับตานอนมาทำงานเพื่อดูแลคนมากมายเช่นนี้
อาหารตั้งมากมายถึงอย่างไรก็ควรจะมีคนคอยช่วยบ้าง หญิงสาวยืนสับสนอยู่กลางโรงครัวขนาดใหญ่หลังสาวใช้หน้างุ้มงอสองคนอย่าง ‘หงเอ๋อร์’ และ ‘ไห่เอ๋อร์’ เป็นผู้นำทางมาเช่นเคย คนอื่น ๆ ที่นั่งทำบางอย่างอยู่ก่อนหน้าพากันเดินออกไปจากที่นี่กันหมดอย่างพร้อมเพรียงเมื่อนางปรากฏตัวขึ้น ราวกับเป็นตัวเชื้อโรคที่ต้องการอยู่ห่างให้พ้นจากรัศมี
“หมดธุระของเราสองคนแล้ว ฮูหยินน้อยอย่ามัวแต่โอ้เอ้ รีบทำงานให้เสร็จโดยเร็วนะเจ้าคะ” สั่งทิ้งท้ายด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์แล้วพวกนางทั้งสองก็เดินจากไปอีก ทิ้งให้สะใภ้ใหญ่ยืนเคว้งคว้างเพียงลำพังเช่นก่อนหน้า
“แล้วต้องเริ่มจากอะไรก่อนดีล่ะ...” ซูเมิ่งพึมพำพลางถลกแขนเสื้อขึ้นเพื่อให้ทะมัดทะแมงยิ่งขึ้นก่อนจะหันไปคว้าถ่านไม้มาสุมไว้เพื่อเตรียมก่อเตา
อันหยินลอบส่งสัญญาณทางสายตาให้กับนายเหนือหัวของตนอย่างรู้กันเมื่อสำรับกว่าแปดชนิดจากโรงครัวโดยฝีมือปลายตะหลิวของสะใภ้ใหญ่ถูกนำมาวางเรียงรายอย่างพร้อมสรรพบนโต๊ะอาหารทรงกลมตรงหน้าด้วยเส้นยาแดงผ่าแปด เพราะโต้วชุนฮวาเริ่มออกอาการฉุนเฉียวจากความหิวแล้ว อีกไม่นานนางก็จะร้องโวยวายด้วยเสียงเล็กแหลมอย่างเคย
ถึงแม้จะดูซื่อ ๆ ไม่ประสาโลก แต่สิ่งที่ซูเมิ่งถนัดที่สุดก็คือการเข้าครัวทำอาหารเพราะมารดาของนางปลูกฝังเอาไว้เป็นอย่างดีตั้งแต่เด็ก ขอแค่นางคุ้นชินว่าอะไรอยู่ตรงไหน ไม่นานนางก็คงครองโรงครัวสกุลโต้วด้วยตัวเอง
“วันนี้กับข้าวดูแปลกตาน่ากินจัง กินกันเถอะขอรับ!” โต้วเชี่ยเฟิงร้องอย่างเริงร่าก่อนจะยกตะเกียบเอื้อมไปที่จานผัดเต้าหู้ตรงหน้าอย่างกะตือรือร้น แต่แล้วก็ต้องดึงมือกลับแทบไม่ทันเมื่อได้ยินเสียงกระแอมของท่านย่าและมารดาดังขรมออกมาพร้อมกัน
“เจ้าไม่กลัวเจ็บป่วยหลังจากสวาปามอาหารสำรับนี้รึ” ผู้เป็นน้องสาวหันไปย้อนพี่ชายคนรองซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ กัน
“ถูกของฮวาเอ๋อร์... เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันกินได้และรสชาติจะถูกปากพวกเรา” ฮูหยินผู้เฒ่าโต้วจูไห่ตั้งคำถามอย่างหวาดระแวงขึ้นบ้าง
ประมุขของจวนอย่างโต้วจื่อชวนกวาดสายตาคมมองไปรอบ ๆ ด้วยท่าทางสงบนิ่ง “หากสงสัยก็เพียงแค่ชิมมันเท่านั้นเองท่านแม่” ว่าแล้วก็ยกตะเกียบขึ้นไปคีบผัดถั่วลันเตาตรงหน้า
“แต่ว่าท่านพี่... ให้บ่าวไพร่ทดลองชิมมันดูก่อนก็ได้นี่เจ้าคะ ไม่เห็นต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง”
“คิดว่าตัวเองเป็นฮองเฮาหรืออย่างไรฮูหยิน...”
ได้ยินดังนั้นโต้วหนิงอันก็งับปากลงโดยพลัน
“หากข้าคิดว่าตัวเองเป็นฮ่องเต้ไปด้วย แค่หัวเดียวคงไม่พอชดใช้โทษฐานนี้... หากไม่สบายใจข้าจะชิมให้พวกเจ้าดูเองว่ากินแล้วไม่ตาย อาหารพวกนี้ยังหน้าตาดีเกินมาตรฐานในกองทัพที่ชายแดนไปมากโข” พูดจบโดยไม่มีใครขัดแล้วอดีตบุคคลสำคัญแห่งราชสำนักก็คีบกับข้าวเข้าปาก
ท่ามกลางสายตาของสมาชิกในครอบครัวอีกสี่ชีวิตที่จ้องมองอย่างลุ้นระทึก รวมถึงสายตาของแม่ครัวอย่างซูเมิ่งที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านหลังด้วย
“ดี! ทำได้ดี!”
เสียงชมเชยกึกก้องนี้ทำให้หัวใจของแม่ครัวเต้นรัวขึ้นมาด้วย นางเผยรอยยิ้มกว้างออกมาได้ในที่สุด
“เหตุใดตงหมิงยังไม่มากินข้าวด้วยกันอีก”
“เมื่อวานนี้ลูกน่าจะเหน็ดเหนื่อย ให้นอนต่ออีกสักพักเถิดเจ้าค่ะท่านพี่”
คำตอบของแม่สามีทำให้ซูเมิ่งรู้สึกสับสน ทั้งที่ตัวเองนั่งรออยู่ในห้องหอจนถึงเช้ามืดก็ยังไม่เห็นสามีตัวเองปรากฏตัวแม้แต่เงา แล้วเขาไปนอนอยู่ที่ไหนกันล่ะ
“ถ้าอย่างนั้นซูเมิ่งจะยืนอยู่ทำไม เข้ามานั่งกินข้าวด้วยกันสิ”
“เอ่อ เรียนใต้เท้า...!” ผู้จัดการบ้านจอมจัดแจงรีบโพล่งแทรกโดยที่คนถูกเรียกยังไม่ทันขยับปากตอบรับ “ฮูหยินน้อยจัดการตัวเองเรียบร้อยตั้งแต่ในครัวแล้ว ตอนนี้นางมีภารกิจต้องทำต่อ ขอเชิญใต้ท้าวและฮูหยินสำราญกับมื้อเช้า บ่าวขอตัวพานางออกไปทำอย่างอื่นต่อก่อนนะเจ้าคะ”
และโดยไม่รอฟังคำตอบอันหยินก็ดันร่างอันแสนบอบบางของสะใภ้ใหญ่ออกจากห้องโถงกลางไป โดยไม่วายจะหันมาลอบส่งรอยยิ้มแห่งแผนการณ์เจ้าเล่ห์ให้กับนายหญิงของตัวเอง
“แต่ข้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย” ซูเมิ่งร้องบอกเมื่อถูกลากออกมาจนถึงอาคารปีกซ้าย
“แต่งานของฮูหยินยังไม่แล้วเสร็จจะกินข้าวได้เยี่ยงไรเจ้าคะ”
“ข้ายังต้องทำอะไรอีกงั้นหรือ”
“ทำความสะอาดจวนอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
ซูเมิ่งกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ที่รายล้อมด้วยอาคารไม้หลายหลังอย่างหวาดระแวง
“อย่าบอกนะว่า...”
“เห็นทีจะเข้าใจถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ งานเลี้ยงเมื่อวานมีแขกเหรื่อเข้ามาเยี่ยมเยียนมากมายหลายร้อยคน ทำให้จวนของเราสกปรกมอมแมมยิ่งนัก ฮูหยินน้อยจะต้องปัดกวาดเช็ดถูเรือนทุกหลังให้สะอาดไร้เศษฝุ่น เพราะฮูหยินผู้เฒ่ามีภูมิแพ้เป็นโรคประจำตัว อายุอานามท่านเยอะแล้วจะปล่อยให้ล้มป่วยไม่ได้เด็ดขาด”
สิ้นประโยคแนะนำแล้วหงเอ๋อร์กับไห่เอ๋อร์ก็ยกอุปกรณ์ทำความสะอาดมาวางตรงหน้าทันทีอย่างรู้งาน
“หากทำความสะอาดเสร็จแล้ว ฮูหยินน้อยก็จะรับประทานมื้อเช้าได้เจ้าค่ะ บ่าวจะเก็บสำรับไว้จนถึงยามซื่อ[2] รบกวนกลับมาให้ตรงเวลาด้วยนะเจ้าคะ”
ยังไม่ทันที่ซูเมิ่งจะอ้าปากร้องขอความช่วยเหลือ ทั้งสามคนก็เดินนวยนาดจากไปอย่างเคย
มาถึงตอนนี้นางตระหนักได้แล้วว่ากำลังโดนกลั่นแกล้ง หากแต่เมื่อดึงดันจะแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้ใหญ่ที่นี่ให้ได้ก็ต้องอดทนรับสภาพให้จงได้ ท่านแม่จะทราบหรือไม่ว่าคนที่นี่รังเกียจบุตรสาวตนเองขนาดไหน แม้แต่บ่าวไพร่ยังปฏิบัติกับนางราวกับแรงงานทาสราคาถูก
ระหว่างที่ทำความสะอาดเรือนหลังเล็กหลังน้อยท้องก็ร้องคำรามกึกก้องตามไปด้วย นางต้องทำทุกอย่างอยู่คนเดียว ไม่ว่าจะเป็นปัดฝุ่น กวาดเศษผง ถูพื้นเรือน ทั้งที่มีบ่าวไพร่และคนรับใช้มากมายในจวน แต่พวกนั้นกลับทำเพียงมองมาที่นางด้วยสายตาว่างเปล่าโดยไม่คิดจะเข้ามาช่วยเหลือเลยสักนิด
หนำซ้ำแทนที่จะอำนวยความสะดวก แต่หงเอ๋อร์และไห่เอ๋อร์ผู้หน้าไม่ผูกมิตรตัวดี ยังจะเดินปัดเศษฝุ่นตามซอกประตูหน้าต่างลงมาซ้ำบริเวณที่ทำความสะอาดไปแล้วเสียอีก
“บ่าวเห็นว่ายังไม่เกลี้ยง ขอเชิญฮูหยินน้อยทำความสะอาดเพิ่มเติมนะเจ้าคะ” แล้วจู่ ๆ นางทั้งสองก็แสยะยิ้มชวนขนลุกออกมาราวกับพึงพอใจในสิ่งที่เพิ่งกระทำไป
จนในที่สุดอาการแพ้ท้องของซูเมิ่งก็กำเริบขึ้น นางชะโงกตัวออกไปอาเจียนนอกอาคารแต่กลับไม่มีใครสนใจใยดีนาง บางคนทำท่าจะเข้ามาช่วยแต่ก็ถูกเพื่อนรั้งแขนไว้ จนคนตั้งครรภ์ต้องหาที่พำนักใต้ร่มไม้ให้ตัวเองด้วยความอ่อนเพลีย
กลับมาที่โต๊ะกินข้าวอีกครั้งก็พบเพียงความว่างเปล่าไปเสียแล้ว ซูเมิ่งกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นแม้แต่กลิ่นของอาหารที่ตนเองเป็นผู้ลงมือเข้าครัวไปเมื่อเช้า
“น่าเสียดายจังเลยเจ้าค่ะ เพราะฮูหยินน้อยกลับมาช้าเกินกำหนด ตอนนี้บ่าวไพร่นำจานอาหารที่เหลือไปเทรวมให้สุกรและไก่ที่สวนหลังเรือนแล้วเจ้าคะ”
“ว่ะ ว่าไงนะ...!”
“ก็หมายความว่าหมดเวลาสำหรับมื้อเช้าของฮูหยินน้อยแล้วน่ะสิเจ้าคะ”
“แต่ข้ายังไม่ได้กินอะไรเลยสักคำ ข้าแพ้ท้องหนักจึงทำให้งานเสร็จช้า”
“อย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้... น้ำชาดอกเก๊กฮวยนี่ก็น่าพอจะทำให้ฮูหยินน้อยสดชื่นขึ้นมาได้บ้างนะเจ้าคะ”
“...!”
ซูเมิ่งอ้าปากค้างด้วยไม่อยากจะเชื่อ ถึงอย่างนั้นนางก็รับน้ำชาถ้วยนั้นมากระดกดื่มด้วยความอยากกระหาย แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่อิ่มท้อง จนตอนนี้นางเริ่มปวดโหวงจนต้องยืนตัวงอ
“ฮูหยินน้อยมีเวลาพักกินข้าวสองเค่อ ซึ่งบัดนี้ไม่มีอะไรเหลือให้รับประทานแล้วจึงให้ถือว่าเป็นการพักผ่อน หลังจากนั้นจะต้องไปดูแลสวนดอกไม้ของฮูหยินใหญ่ต่อ”
“ทำไมงานช่างมากมายนัก...”
อย่างไรเสียนางก็มิอาจปริปากปฏิเสธได้ นิสัยยอมคนง่าย ๆ เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ทั้งพูดน้อย ขี้หวาดกลัวและไม่กล้าร้องเรียกสิทธิของตนเอง นางจึงเป็นฝ่ายถูกเอาเปรียบมาโดยตลอด
ครั้งนี้ก็เช่นกัน...
หงเอ๋อร์และไห๋เอ๋อร์พาสะใภ้ใหญ่มายังสวนดอกไม้หลากสีสวยนานาพันธุ์บริเวณด้านหน้าจวน แต่เวลานี้พระอาทิตย์ส่องตรงหัวแล้วทำให้รู้สึกร้อนอบอ้าวขึ้นมาจนเหงื่อไหลไคลย้อย
แต่ว่า... ภาพตรงหน้าของซูเมิ่งกลับเริ่มพร่ามัว แสงแดดจ้ากำลังทำให้นางยืนไม่ไหว และล้มลง...!
อาการตอนนี้ลมหายใจของข้าช่างแผ่วเบาและโรยริน
หรือว่า...
ข้าจะถึงเวลาที่หมดเคราะห์กรรมบนโลกใบนี้แล้วอย่างนั้นหรือ...
[1] ยามเฉิน คือช่วงเวลา 07.00 น. – 08.59 น.
[2] ยามซื่อ คือเวลา 09:00 น. – 11.00 น.
บทที่ 35อ้อมกอดแห่งความผูกพัน เวลานี้ข้างเตียงสลับเป็นโต้วตงหมิงเป็นฝ่ายมานั่งเฝ้าแล้วประคบประหงมภรรยาบ้างโดยเขาไม่ได้ชวนคุยหรือถามจุกจิกเป็นการรบกวนนางแม้แต่น้อย “เหตุใด... ถึงรู้สึกว่าบรรยากาศช่วงนี้น่าเศร้านัก” พราวฝันเพียงมองไปรอบ ๆ ห้องแต่ก็เกิดความหดหู่ขึ้นในใจ “บัดนี้... เทียนโฮ่วสิ้นพระชนม์แล้ว...” “สิ้นแล้วหรือ... มีแต่เรื่องน่าเศร้า...” เธอพึมพำ หลังจากนี้บ้านเมืองจะวุ่นวายและโกลาหลอยู่อีกหลายปีทีเดียว... “ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองต่างเต็มไปด้วยความโศกเศร้า” “เฉกเช่นเดียวกับในจวนของเรา... เจ้าเสียใจบ้างรึไม่ที่เราต้องสูญเสียลูกไป” “เหตุใดจึงเอ่ยถามด้วยถ้อยคำทิ่มแทงข้าเยี่ยงนี้ หากข้าทำดีกับเจ้าก็ย่อมหมายถึงข้าเฝ้ารอคอยการกำเนิดมาอย่างปลอดภัยและแข็งแรงของเขาเช่นเดียวกัน” “ข้าคงคิดมากเกินไป ขอโทษนะตงหมิง” ผู้เป็นสามีไม่คิดเก็บเอามาใส่ใจ หากแต่ยกฝ่ามือหนาขึ้นลูบศีรษะของภรรยาอย่างแผ่วเบาและนุ่มนวลราวกับต้องการปลอบประโลมจากทุกความโหดร้ายที่เกิดขึ้น “เจ้าโศกเศร้ามานานแล้ว อย่
บทที่ 34ทวงคืนบุตรสาว วินาทีที่ร่างของเธอลอยละล่องไปบนอากาศราวกับกระดาษขอพรที่ปลิวขาดออกจากเชือกนั้น เธอคิดว่าตัวเองได้ตายไปเสียแล้ว ความรู้สึกนั้นคล้ายคลึงกันเล็กน้อยต่างกันก็แค่เพียงตอนนั้นเป็นกลางคืนแต่ตอนนี้เป็นกลางวัน... ตึง! ม้าตัวนั้นวิ่งฝ่าฝูงชนต่อไปด้วยอาการเตลิดพร้อม ๆ ร่างของพราวฝันก็ตกลงบนพื้นอย่างแรง เธอนอนแน่นิ่งท่ามกลางสายตาของผู้เป็นแม่สามีและคนอื่น ๆ บริเวณนั้น แม้แต่ชายฉกรรจ์ที่ทะเลาะกันก่อนหน้านี้ยังต้องหยุดวิวาท ราวกับโลกหยุดหมุน โต้วหนิงอันตะเกียกตะกายคลานมาหาลูกสะใภ้ ยิ่งเมื่อบริเวณกระโปรงของนางมีสีแดงฉานจากเลือดสด ๆ ซึมออกมาหญิงสูงวัยก็แทบสิ้นสติ “ซูเมิ่ง ไม่นะซูเมิ่ง ไม่เป็นอย่างนี้สิ เจ้าฟื้นขึ้นมาก่อนเจินซูเมิ่ง ไม่นะ ม่ายยย!!!”“ท่านย่าทวด ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ แล้วก็ท่านอาเชี่ยเฟิงและท่านอาชุนฮวา... ฮวนเอ๋อร์กลับจากหอเหวินฟางแล้วขอรับ”“แหม พูดเสียงเจื้อยแจ้วน่าเอ็นดูจริง ๆ เลยเด็กคนนี้ ไหน... มาซิ มาใกล้ ๆ ย่า ให้ย่ากอดหน่อยเร็ว”เด็กน้อยถอยหลังกรูดตอนที่ผู้
บทที่ 33โต้วเจียฮวน “อยากดูพระจันทร์ใกล้ ๆ กว่านี้รึไม่” “อื้อ” พราวฝันตอบทั้งคราบน้ำตา จากนั้นผู้เป็นสามีจึงพาภรรยาขึ้นม้าแล้วควบเบา ๆ ไปที่ใดที่หนึ่ง ระหว่างทางนั้นหญิงสาวก็ถูกประคองโอบไว้ด้วยชายที่เธอเฝ้ารอคอยมาหลายวันด้วย ใช้เวลาราวครึ่งชั่วยามเขาก็พาเธอมาที่เนินของภูเขาจงหนานในระดับความสูงที่ไม่ต้องบุกป่าฝ่าดงจนเกินไป เขาเลือกมุมหนึ่งที่ยืนมองออกไปเห็นเมืองฉางอานอันกว้างใหญ่ไพศาลทั่วทั้งเมืองในยามราตรี ขณะที่บนท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มก็มีแสงผุดผาดจากดวงจันทร์เต็มดวงส่องนำทาง “วิวที่นี่สวยจัง อย่างกับมองจากตึกมหานครแน่ะ” “ตึกอะไรนะ” “ตึกสูง ๆ สูงมาก ๆ จนเจ้าจินตนาการไม่ออกเลยว่ามนุษย์จะสร้างสิ่งก่อสร้างเทียมฟ้าได้” “มนุษย์จะกลายเป็นเทพเซียนรึ” “ไม่... มนุษย์ก็คือมนุษย์เช่นเดิม เราไม่ได้เป็นผู้วิเศษหรือมีพลัง แต่เราจะถูกพัฒนาการทางสมองและทักษะ ต่อยอดด้วยองค์ความรู้ต่าง ๆ จากคนในยุคนี้นี่ล่ะ” “คนในยุคนี้... แสดงว่าเจ้ามาจากอนาคตงั้นรึ” พราวฝันไม่ตอบแต่เบี่ยงประเด็นไปท
บทที่ 32ความคิดถึง มื้อเที่ยงวันนี้มีเผิงฟางหยวนมารวมโต๊ะด้วย ทุกคนในจวนสกุลโต้วดูจะเอ็นดูเขาเป็นอย่างดี ปฏิบัติกับเขาอย่างน่ารักราวกับเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวก็มิปาน “หมอเผิงเจ้าต้องกินเยอะ ๆ ร่างกายเจ้าซูบผอมเกินไปแล้ว” หนิงอันใช้ตะเกียบคีบเนื้อหมูไปวางไว้บนถ้วยข้าวของว่าที่สะใภ้รอง “มัวแต่ดูแลคนอื่น เจ้าต้องมีคนดูแลที่ดีจะได้มีเรี่ยวแรงรักษาผู้ไข้ทั่วทั้งแผ่นดิน” “หากจะโทษก็ต้องโทษบุตรชายเจ้านั่นล่ะหนิงเอ๋อร์ที่ปล่อยปละละเลย...” ผู้เป็นย่ารีบแทรกด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ก่อนผู้เป็นแม่จะอมยิ้มรับกันโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ ปล่อยให้บุตรชายนั่งหน้าร้อนผ่าวจนทำตัวไม่ถูก “ยังอีก... ยังไม่รีบคีบกับข้าวให้สหายเจ้าอีกรึเชี่ยเฟิง” ผู้เป็นพ่อทำเสียงดุแต่ทุกคนกลับหัวเราะชอบใจ คนในบ้านนี้ได้เปิดรับโลกใหม่ที่อีกพันกว่าปีอย่าว่าแต่ครอบครัวเลยแม้แต่บางประเทศก็ยังทำไม่ได้ ก่อนเขาก่อนใครสุด ๆ “ข้าเพิ่งจะเคยพบเคยเห็นบุรุษสองคนวิ่งเล่นไล่จับผีเสื้อในสวนดอกไม้” ชุนฮวาแอบกระซิบกระซาบกับพี่สะใภ้ขณะนั่งจิบน้ำชาและกินของว่างอยู่ในศ
บทที่ 31แต่ละวันที่สามีไม่อยู่ หลังจากที่กินยาบำรุงจากแม่สามีไปได้ครึ่งขนานเธอก็กินเก่งขึ้นมาก ช่วงสายของวันนี้ก็เช่นกันหลังร่วมโต๊ะกินมื้อเช้ากับสมาชิกคนอื่น ๆ ไปเพียงไม่ถึงชั่วยามเธอก็อยากหาอะไรกระแทกปากอีกแล้ว พราวฝันชวนอาหว่านมาเดินเล่นที่โรงครัวแล้วเดินสำรวจโดยการเปิดดูโน่นนี่ไปเรื่อย “ช่วงนี้เราจะกินขนมฉงหยางเป็นของว่างเจ้าค่ะฮูหยินน้อย” บ่าวไพร่คนหนึ่งบอกแล้วยกจานขนมมาส่งให้ หญิงสาวรับมากัดเคี้ยวแล้วเสมองไปรอบ ๆ ก็เห็นคนคุ้นตานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่มุมหนึ่งโดยมีบ่าวรุ่นน้องคอยประคบร้อนบริเวณไหล่ให้อยู่ “มานั่งอู้อยู่รึอันหยิน” “บ่าวปวดระบมไปทั้งแผงไหล่เลยเจ้าค่ะ วันนั้นที่ฮูหยินน้อยปราบโจรขโมยถุงเงินแล้วได้ของรับขวัญมาตั้งมากมาย ถ้ารู้อย่างนี้จะให้หงเอ๋อร์กับไห๋เอ๋อร์ติดตามไปด้วยก็ดี” “โทษข้าอยู่รึ” “ใครจะไปกล้ากันล่ะเจ้าคะ” พราวฝันยัดขนมส่วนที่เหลือเข้าปากแล้วไล่เด็กสาวที่กำลังนั่งประคบแบบขอไปทีออกไปโดยพาตัวเองเข้าไปแทนที่ “ฮูหยินน้อยจะทำอะไรบ่าวเจ้าคะ บ่าวไม่ได้จะตำหนิฮ
บทที่ 30บุปผาหอมที่เริ่มคุ้นชิน สตรีสองนางขนาบข้างไปด้วยกันตามทางเดินแคบ ๆ พร้อมบ่าวไพร่ที่ช่วยถือของฝากบางส่วนตามมา “คงต้องขอบคุณฮูหยินน้อยโต้วที่กรุณาให้ข้าเข้าเยี่ยมสหายตั้งแต่วัยเยาว์ในวันนี้” ผู้มาเยือนเริ่มเปิดสนทนาด้วยการเหน็บแนมเล็กน้อย หากแต่ผู้ทำหน้าที่เจ้าบ้านเพียงยิ้มบาง ๆ ตอบกลับไปเท่านั้น “ยามที่ป่วยไข้ตงหมิงมักจะอยากกินบ๊วย... เจ้าทราบรึไม่” “ไม่... ข้าไม่ทราบ” เมี่ยวลี่ฟางเสวี่ยแค่นหัวเราะเบา ๆ ราวกับไพ่ใบนั้นกลับมาอยู่ในมือนางแล้ว “ตอนแปดขวบโต้วตงหมิงจมน้ำหลังจากขึ้นมาได้เขาก็ป่วยเป็นไข้ซมอยู่หลายวันอีกทั้งยังจืดปากจืดคอจนกินอะไรไม่ลง ข้าจึงนำบ๊วยเค็มนี่มาให้เขา หลังจากได้ลิ้มรสมันเขาก็ติดใจทันที ทุกครั้งเมื่อเขาป่วยหนักหลังฟื้นไข้ก็จะถามหาเม็ดบ๊วยเค็มอยู่เสมอ เขาบอกว่ามันทำให้เขาสดชื่นและกระตุ้นการรับรสได้ดี...” พราวฝันเพียงมองที่อีกฝ่ายเล่าเรื่องราวในอดีตด้วยใบหน้ามีความสุข “แม่นางเมี่ยวคงสนิทสนมกับสามีของข้ามาก” “ใช่... เราสองคนสนิทกันมากจนใคร ๆ ต่างก็คิดว่