หน้าหลัก / รักโบราณ / เกิดใหม่มาตบตีกับแม่ผัว / บทที่ 4 : ภารกิจของฮูหยินน้อย

แชร์

บทที่ 4 : ภารกิจของฮูหยินน้อย

ผู้เขียน: จางหลิงมี่
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-06-23 13:23:19

บทที่ 4

ภารกิจของฮูหยินน้อย

          “ต่อไปท่านจะต้องไปเตรียมอาหารมื้อเช้าในครัว”  เสียงเจื้อยแจ้วของอันหยินโพล่งขึ้นหลังซูเมิ่งเผลองีบหลับไปชั่วขณะ

          “แต่ว่าเพิ่งได้น้ำค้างเพียงครึ่งถังเท่านั้น”  ว่าพร้อมชะโงกไปดู

          “ฮูหยินผู้เฒ่า  ใต้เท้า  ฮูหยินใหญ่  คุณชายใหญ่  คุณชายรอง  และคุณหนูเล็กจะร่วมโต๊ะพร้อมกันตอนต้นของยามเฉิน[1]  และไม่เคยเลยเวลานานกว่านั้น  โดยที่บนโต๊ะจะต้องมีอาหารแปดชนิดไม่รวมของหวาน”

          “มีคนช่วยงานข้ากี่คนกันล่ะ”

          “ไม่มีเจ้าค่ะ”  หญิงอวบวัยห้าสิบตอบกลับหน้าตาเฉย  “ฮูหยินน้อยจะต้องรับผิดชอบหน้าที่นี้เพียงคนเดียว  เป็นหน้าที่ที่สะใภ้ใหญ่แห่งตระกูลพึงปฏิบัติเพื่อดูแลสมาชิกในครอบครัวนะเจ้าคะ”

          “แต่ว่า...”

          “ขอให้ฮูหยินน้อยบริหารจัดการเวลาให้ดีนะเจ้าคะ  เพราะหากปล่อยคุณหนูเล็กต้องทนหิวจนท้องร้องแล้วล่ะก็...  จะหาว่าบ่าวไม่เตือนไม่ได้นะเจ้าคะ”  พูดจบแล้วอันหยินก็สะบัดก้นกลมกลึงจากไป 

          ซูเมิ่งสับสนจนเริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูก  จริงอยู่เมื่อครั้งอาศัยกินนอนกับบิดามารดาที่เรือนสกุลเจินก็ใช่ว่าจะสบายนัก  แต่ก็ไม่เคยต้องอดตาหลับขับตานอนมาทำงานเพื่อดูแลคนมากมายเช่นนี้

          อาหารตั้งมากมายถึงอย่างไรก็ควรจะมีคนคอยช่วยบ้าง  หญิงสาวยืนสับสนอยู่กลางโรงครัวขนาดใหญ่หลังสาวใช้หน้างุ้มงอสองคนอย่าง ‘หงเอ๋อร์’ และ ‘ไห่เอ๋อร์’ เป็นผู้นำทางมาเช่นเคย  คนอื่น ๆ ที่นั่งทำบางอย่างอยู่ก่อนหน้าพากันเดินออกไปจากที่นี่กันหมดอย่างพร้อมเพรียงเมื่อนางปรากฏตัวขึ้น  ราวกับเป็นตัวเชื้อโรคที่ต้องการอยู่ห่างให้พ้นจากรัศมี

          “หมดธุระของเราสองคนแล้ว  ฮูหยินน้อยอย่ามัวแต่โอ้เอ้  รีบทำงานให้เสร็จโดยเร็วนะเจ้าคะ”  สั่งทิ้งท้ายด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์แล้วพวกนางทั้งสองก็เดินจากไปอีก  ทิ้งให้สะใภ้ใหญ่ยืนเคว้งคว้างเพียงลำพังเช่นก่อนหน้า

          “แล้วต้องเริ่มจากอะไรก่อนดีล่ะ...”  ซูเมิ่งพึมพำพลางถลกแขนเสื้อขึ้นเพื่อให้ทะมัดทะแมงยิ่งขึ้นก่อนจะหันไปคว้าถ่านไม้มาสุมไว้เพื่อเตรียมก่อเตา

          อันหยินลอบส่งสัญญาณทางสายตาให้กับนายเหนือหัวของตนอย่างรู้กันเมื่อสำรับกว่าแปดชนิดจากโรงครัวโดยฝีมือปลายตะหลิวของสะใภ้ใหญ่ถูกนำมาวางเรียงรายอย่างพร้อมสรรพบนโต๊ะอาหารทรงกลมตรงหน้าด้วยเส้นยาแดงผ่าแปด  เพราะโต้วชุนฮวาเริ่มออกอาการฉุนเฉียวจากความหิวแล้ว  อีกไม่นานนางก็จะร้องโวยวายด้วยเสียงเล็กแหลมอย่างเคย

          ถึงแม้จะดูซื่อ ๆ ไม่ประสาโลก  แต่สิ่งที่ซูเมิ่งถนัดที่สุดก็คือการเข้าครัวทำอาหารเพราะมารดาของนางปลูกฝังเอาไว้เป็นอย่างดีตั้งแต่เด็ก  ขอแค่นางคุ้นชินว่าอะไรอยู่ตรงไหน  ไม่นานนางก็คงครองโรงครัวสกุลโต้วด้วยตัวเอง

          “วันนี้กับข้าวดูแปลกตาน่ากินจัง  กินกันเถอะขอรับ!”  โต้วเชี่ยเฟิงร้องอย่างเริงร่าก่อนจะยกตะเกียบเอื้อมไปที่จานผัดเต้าหู้ตรงหน้าอย่างกะตือรือร้น  แต่แล้วก็ต้องดึงมือกลับแทบไม่ทันเมื่อได้ยินเสียงกระแอมของท่านย่าและมารดาดังขรมออกมาพร้อมกัน

          “เจ้าไม่กลัวเจ็บป่วยหลังจากสวาปามอาหารสำรับนี้รึ”  ผู้เป็นน้องสาวหันไปย้อนพี่ชายคนรองซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ กัน

          “ถูกของฮวาเอ๋อร์...  เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันกินได้และรสชาติจะถูกปากพวกเรา”  ฮูหยินผู้เฒ่าโต้วจูไห่ตั้งคำถามอย่างหวาดระแวงขึ้นบ้าง

          ประมุขของจวนอย่างโต้วจื่อชวนกวาดสายตาคมมองไปรอบ ๆ ด้วยท่าทางสงบนิ่ง  “หากสงสัยก็เพียงแค่ชิมมันเท่านั้นเองท่านแม่”  ว่าแล้วก็ยกตะเกียบขึ้นไปคีบผัดถั่วลันเตาตรงหน้า

          “แต่ว่าท่านพี่...  ให้บ่าวไพร่ทดลองชิมมันดูก่อนก็ได้นี่เจ้าคะ  ไม่เห็นต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง”

          “คิดว่าตัวเองเป็นฮองเฮาหรืออย่างไรฮูหยิน...”

          ได้ยินดังนั้นโต้วหนิงอันก็งับปากลงโดยพลัน

          “หากข้าคิดว่าตัวเองเป็นฮ่องเต้ไปด้วย  แค่หัวเดียวคงไม่พอชดใช้โทษฐานนี้...  หากไม่สบายใจข้าจะชิมให้พวกเจ้าดูเองว่ากินแล้วไม่ตาย  อาหารพวกนี้ยังหน้าตาดีเกินมาตรฐานในกองทัพที่ชายแดนไปมากโข”  พูดจบโดยไม่มีใครขัดแล้วอดีตบุคคลสำคัญแห่งราชสำนักก็คีบกับข้าวเข้าปาก

          ท่ามกลางสายตาของสมาชิกในครอบครัวอีกสี่ชีวิตที่จ้องมองอย่างลุ้นระทึก  รวมถึงสายตาของแม่ครัวอย่างซูเมิ่งที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านหลังด้วย

          “ดี!  ทำได้ดี!”

          เสียงชมเชยกึกก้องนี้ทำให้หัวใจของแม่ครัวเต้นรัวขึ้นมาด้วย  นางเผยรอยยิ้มกว้างออกมาได้ในที่สุด

          “เหตุใดตงหมิงยังไม่มากินข้าวด้วยกันอีก”

          “เมื่อวานนี้ลูกน่าจะเหน็ดเหนื่อย  ให้นอนต่ออีกสักพักเถิดเจ้าค่ะท่านพี่”

          คำตอบของแม่สามีทำให้ซูเมิ่งรู้สึกสับสน  ทั้งที่ตัวเองนั่งรออยู่ในห้องหอจนถึงเช้ามืดก็ยังไม่เห็นสามีตัวเองปรากฏตัวแม้แต่เงา  แล้วเขาไปนอนอยู่ที่ไหนกันล่ะ

          “ถ้าอย่างนั้นซูเมิ่งจะยืนอยู่ทำไม  เข้ามานั่งกินข้าวด้วยกันสิ”

          “เอ่อ  เรียนใต้เท้า...!”  ผู้จัดการบ้านจอมจัดแจงรีบโพล่งแทรกโดยที่คนถูกเรียกยังไม่ทันขยับปากตอบรับ  “ฮูหยินน้อยจัดการตัวเองเรียบร้อยตั้งแต่ในครัวแล้ว  ตอนนี้นางมีภารกิจต้องทำต่อ  ขอเชิญใต้ท้าวและฮูหยินสำราญกับมื้อเช้า  บ่าวขอตัวพานางออกไปทำอย่างอื่นต่อก่อนนะเจ้าคะ” 

          และโดยไม่รอฟังคำตอบอันหยินก็ดันร่างอันแสนบอบบางของสะใภ้ใหญ่ออกจากห้องโถงกลางไป  โดยไม่วายจะหันมาลอบส่งรอยยิ้มแห่งแผนการณ์เจ้าเล่ห์ให้กับนายหญิงของตัวเอง

          “แต่ข้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย”  ซูเมิ่งร้องบอกเมื่อถูกลากออกมาจนถึงอาคารปีกซ้าย     

          “แต่งานของฮูหยินยังไม่แล้วเสร็จจะกินข้าวได้เยี่ยงไรเจ้าคะ”

          “ข้ายังต้องทำอะไรอีกงั้นหรือ”

          “ทำความสะอาดจวนอย่างไรเล่าเจ้าคะ”

          ซูเมิ่งกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ที่รายล้อมด้วยอาคารไม้หลายหลังอย่างหวาดระแวง

          “อย่าบอกนะว่า...”

          “เห็นทีจะเข้าใจถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ  งานเลี้ยงเมื่อวานมีแขกเหรื่อเข้ามาเยี่ยมเยียนมากมายหลายร้อยคน  ทำให้จวนของเราสกปรกมอมแมมยิ่งนัก  ฮูหยินน้อยจะต้องปัดกวาดเช็ดถูเรือนทุกหลังให้สะอาดไร้เศษฝุ่น  เพราะฮูหยินผู้เฒ่ามีภูมิแพ้เป็นโรคประจำตัว  อายุอานามท่านเยอะแล้วจะปล่อยให้ล้มป่วยไม่ได้เด็ดขาด”

          สิ้นประโยคแนะนำแล้วหงเอ๋อร์กับไห่เอ๋อร์ก็ยกอุปกรณ์ทำความสะอาดมาวางตรงหน้าทันทีอย่างรู้งาน

          “หากทำความสะอาดเสร็จแล้ว  ฮูหยินน้อยก็จะรับประทานมื้อเช้าได้เจ้าค่ะ  บ่าวจะเก็บสำรับไว้จนถึงยามซื่อ[2]  รบกวนกลับมาให้ตรงเวลาด้วยนะเจ้าคะ” 

          ยังไม่ทันที่ซูเมิ่งจะอ้าปากร้องขอความช่วยเหลือ  ทั้งสามคนก็เดินนวยนาดจากไปอย่างเคย

          มาถึงตอนนี้นางตระหนักได้แล้วว่ากำลังโดนกลั่นแกล้ง  หากแต่เมื่อดึงดันจะแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้ใหญ่ที่นี่ให้ได้ก็ต้องอดทนรับสภาพให้จงได้  ท่านแม่จะทราบหรือไม่ว่าคนที่นี่รังเกียจบุตรสาวตนเองขนาดไหน  แม้แต่บ่าวไพร่ยังปฏิบัติกับนางราวกับแรงงานทาสราคาถูก

          ระหว่างที่ทำความสะอาดเรือนหลังเล็กหลังน้อยท้องก็ร้องคำรามกึกก้องตามไปด้วย  นางต้องทำทุกอย่างอยู่คนเดียว  ไม่ว่าจะเป็นปัดฝุ่น  กวาดเศษผง  ถูพื้นเรือน  ทั้งที่มีบ่าวไพร่และคนรับใช้มากมายในจวน  แต่พวกนั้นกลับทำเพียงมองมาที่นางด้วยสายตาว่างเปล่าโดยไม่คิดจะเข้ามาช่วยเหลือเลยสักนิด

          หนำซ้ำแทนที่จะอำนวยความสะดวก  แต่หงเอ๋อร์และไห่เอ๋อร์ผู้หน้าไม่ผูกมิตรตัวดี  ยังจะเดินปัดเศษฝุ่นตามซอกประตูหน้าต่างลงมาซ้ำบริเวณที่ทำความสะอาดไปแล้วเสียอีก

          “บ่าวเห็นว่ายังไม่เกลี้ยง  ขอเชิญฮูหยินน้อยทำความสะอาดเพิ่มเติมนะเจ้าคะ”  แล้วจู่ ๆ นางทั้งสองก็แสยะยิ้มชวนขนลุกออกมาราวกับพึงพอใจในสิ่งที่เพิ่งกระทำไป

          จนในที่สุดอาการแพ้ท้องของซูเมิ่งก็กำเริบขึ้น  นางชะโงกตัวออกไปอาเจียนนอกอาคารแต่กลับไม่มีใครสนใจใยดีนาง  บางคนทำท่าจะเข้ามาช่วยแต่ก็ถูกเพื่อนรั้งแขนไว้  จนคนตั้งครรภ์ต้องหาที่พำนักใต้ร่มไม้ให้ตัวเองด้วยความอ่อนเพลีย

          กลับมาที่โต๊ะกินข้าวอีกครั้งก็พบเพียงความว่างเปล่าไปเสียแล้ว  ซูเมิ่งกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นแม้แต่กลิ่นของอาหารที่ตนเองเป็นผู้ลงมือเข้าครัวไปเมื่อเช้า

          “น่าเสียดายจังเลยเจ้าค่ะ  เพราะฮูหยินน้อยกลับมาช้าเกินกำหนด  ตอนนี้บ่าวไพร่นำจานอาหารที่เหลือไปเทรวมให้สุกรและไก่ที่สวนหลังเรือนแล้วเจ้าคะ”

          “ว่ะ  ว่าไงนะ...!”

          “ก็หมายความว่าหมดเวลาสำหรับมื้อเช้าของฮูหยินน้อยแล้วน่ะสิเจ้าคะ”

          “แต่ข้ายังไม่ได้กินอะไรเลยสักคำ  ข้าแพ้ท้องหนักจึงทำให้งานเสร็จช้า”

          “อย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้...  น้ำชาดอกเก๊กฮวยนี่ก็น่าพอจะทำให้ฮูหยินน้อยสดชื่นขึ้นมาได้บ้างนะเจ้าคะ”

          “...!”

          ซูเมิ่งอ้าปากค้างด้วยไม่อยากจะเชื่อ  ถึงอย่างนั้นนางก็รับน้ำชาถ้วยนั้นมากระดกดื่มด้วยความอยากกระหาย  แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่อิ่มท้อง  จนตอนนี้นางเริ่มปวดโหวงจนต้องยืนตัวงอ

          “ฮูหยินน้อยมีเวลาพักกินข้าวสองเค่อ  ซึ่งบัดนี้ไม่มีอะไรเหลือให้รับประทานแล้วจึงให้ถือว่าเป็นการพักผ่อน  หลังจากนั้นจะต้องไปดูแลสวนดอกไม้ของฮูหยินใหญ่ต่อ”

          “ทำไมงานช่างมากมายนัก...”

          อย่างไรเสียนางก็มิอาจปริปากปฏิเสธได้  นิสัยยอมคนง่าย ๆ เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว  ทั้งพูดน้อย  ขี้หวาดกลัวและไม่กล้าร้องเรียกสิทธิของตนเอง  นางจึงเป็นฝ่ายถูกเอาเปรียบมาโดยตลอด

          ครั้งนี้ก็เช่นกัน...

          หงเอ๋อร์และไห๋เอ๋อร์พาสะใภ้ใหญ่มายังสวนดอกไม้หลากสีสวยนานาพันธุ์บริเวณด้านหน้าจวน  แต่เวลานี้พระอาทิตย์ส่องตรงหัวแล้วทำให้รู้สึกร้อนอบอ้าวขึ้นมาจนเหงื่อไหลไคลย้อย

          แต่ว่า...  ภาพตรงหน้าของซูเมิ่งกลับเริ่มพร่ามัว  แสงแดดจ้ากำลังทำให้นางยืนไม่ไหว  และล้มลง...!

          อาการตอนนี้ลมหายใจของข้าช่างแผ่วเบาและโรยริน

          หรือว่า...

          ข้าจะถึงเวลาที่หมดเคราะห์กรรมบนโลกใบนี้แล้วอย่างนั้นหรือ...

[1] ยามเฉิน คือช่วงเวลา 07.00 น. – 08.59 น.

[2] ยามซื่อ คือเวลา 09:00 น. – 11.00 น.

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เกิดใหม่มาตบตีกับแม่ผัว   บทที่ 35 : อ้อมกอดแห่งความผูกพัน (จบ)

    บทที่ 35อ้อมกอดแห่งความผูกพัน เวลานี้ข้างเตียงสลับเป็นโต้วตงหมิงเป็นฝ่ายมานั่งเฝ้าแล้วประคบประหงมภรรยาบ้างโดยเขาไม่ได้ชวนคุยหรือถามจุกจิกเป็นการรบกวนนางแม้แต่น้อย “เหตุใด... ถึงรู้สึกว่าบรรยากาศช่วงนี้น่าเศร้านัก” พราวฝันเพียงมองไปรอบ ๆ ห้องแต่ก็เกิดความหดหู่ขึ้นในใจ “บัดนี้... เทียนโฮ่วสิ้นพระชนม์แล้ว...” “สิ้นแล้วหรือ... มีแต่เรื่องน่าเศร้า...” เธอพึมพำ หลังจากนี้บ้านเมืองจะวุ่นวายและโกลาหลอยู่อีกหลายปีทีเดียว... “ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองต่างเต็มไปด้วยความโศกเศร้า” “เฉกเช่นเดียวกับในจวนของเรา... เจ้าเสียใจบ้างรึไม่ที่เราต้องสูญเสียลูกไป” “เหตุใดจึงเอ่ยถามด้วยถ้อยคำทิ่มแทงข้าเยี่ยงนี้ หากข้าทำดีกับเจ้าก็ย่อมหมายถึงข้าเฝ้ารอคอยการกำเนิดมาอย่างปลอดภัยและแข็งแรงของเขาเช่นเดียวกัน” “ข้าคงคิดมากเกินไป ขอโทษนะตงหมิง” ผู้เป็นสามีไม่คิดเก็บเอามาใส่ใจ หากแต่ยกฝ่ามือหนาขึ้นลูบศีรษะของภรรยาอย่างแผ่วเบาและนุ่มนวลราวกับต้องการปลอบประโลมจากทุกความโหดร้ายที่เกิดขึ้น “เจ้าโศกเศร้ามานานแล้ว อย่

  • เกิดใหม่มาตบตีกับแม่ผัว   บทที่ 34 : ทวงคืนบุตรสาว

    บทที่ 34ทวงคืนบุตรสาว วินาทีที่ร่างของเธอลอยละล่องไปบนอากาศราวกับกระดาษขอพรที่ปลิวขาดออกจากเชือกนั้น เธอคิดว่าตัวเองได้ตายไปเสียแล้ว ความรู้สึกนั้นคล้ายคลึงกันเล็กน้อยต่างกันก็แค่เพียงตอนนั้นเป็นกลางคืนแต่ตอนนี้เป็นกลางวัน... ตึง! ม้าตัวนั้นวิ่งฝ่าฝูงชนต่อไปด้วยอาการเตลิดพร้อม ๆ ร่างของพราวฝันก็ตกลงบนพื้นอย่างแรง เธอนอนแน่นิ่งท่ามกลางสายตาของผู้เป็นแม่สามีและคนอื่น ๆ บริเวณนั้น แม้แต่ชายฉกรรจ์ที่ทะเลาะกันก่อนหน้านี้ยังต้องหยุดวิวาท ราวกับโลกหยุดหมุน โต้วหนิงอันตะเกียกตะกายคลานมาหาลูกสะใภ้ ยิ่งเมื่อบริเวณกระโปรงของนางมีสีแดงฉานจากเลือดสด ๆ ซึมออกมาหญิงสูงวัยก็แทบสิ้นสติ “ซูเมิ่ง ไม่นะซูเมิ่ง ไม่เป็นอย่างนี้สิ เจ้าฟื้นขึ้นมาก่อนเจินซูเมิ่ง ไม่นะ ม่ายยย!!!”“ท่านย่าทวด ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ แล้วก็ท่านอาเชี่ยเฟิงและท่านอาชุนฮวา... ฮวนเอ๋อร์กลับจากหอเหวินฟางแล้วขอรับ”“แหม พูดเสียงเจื้อยแจ้วน่าเอ็นดูจริง ๆ เลยเด็กคนนี้ ไหน... มาซิ มาใกล้ ๆ ย่า ให้ย่ากอดหน่อยเร็ว”เด็กน้อยถอยหลังกรูดตอนที่ผู้

  • เกิดใหม่มาตบตีกับแม่ผัว   บทที่ 33 : โต้วเจียฮวน

    บทที่ 33โต้วเจียฮวน “อยากดูพระจันทร์ใกล้ ๆ กว่านี้รึไม่” “อื้อ” พราวฝันตอบทั้งคราบน้ำตา จากนั้นผู้เป็นสามีจึงพาภรรยาขึ้นม้าแล้วควบเบา ๆ ไปที่ใดที่หนึ่ง ระหว่างทางนั้นหญิงสาวก็ถูกประคองโอบไว้ด้วยชายที่เธอเฝ้ารอคอยมาหลายวันด้วย ใช้เวลาราวครึ่งชั่วยามเขาก็พาเธอมาที่เนินของภูเขาจงหนานในระดับความสูงที่ไม่ต้องบุกป่าฝ่าดงจนเกินไป เขาเลือกมุมหนึ่งที่ยืนมองออกไปเห็นเมืองฉางอานอันกว้างใหญ่ไพศาลทั่วทั้งเมืองในยามราตรี ขณะที่บนท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มก็มีแสงผุดผาดจากดวงจันทร์เต็มดวงส่องนำทาง “วิวที่นี่สวยจัง อย่างกับมองจากตึกมหานครแน่ะ” “ตึกอะไรนะ” “ตึกสูง ๆ สูงมาก ๆ จนเจ้าจินตนาการไม่ออกเลยว่ามนุษย์จะสร้างสิ่งก่อสร้างเทียมฟ้าได้” “มนุษย์จะกลายเป็นเทพเซียนรึ” “ไม่... มนุษย์ก็คือมนุษย์เช่นเดิม เราไม่ได้เป็นผู้วิเศษหรือมีพลัง แต่เราจะถูกพัฒนาการทางสมองและทักษะ ต่อยอดด้วยองค์ความรู้ต่าง ๆ จากคนในยุคนี้นี่ล่ะ” “คนในยุคนี้... แสดงว่าเจ้ามาจากอนาคตงั้นรึ” พราวฝันไม่ตอบแต่เบี่ยงประเด็นไปท

  • เกิดใหม่มาตบตีกับแม่ผัว   บทที่ 32 : ความคิดถึง

    บทที่ 32ความคิดถึง มื้อเที่ยงวันนี้มีเผิงฟางหยวนมารวมโต๊ะด้วย ทุกคนในจวนสกุลโต้วดูจะเอ็นดูเขาเป็นอย่างดี ปฏิบัติกับเขาอย่างน่ารักราวกับเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวก็มิปาน “หมอเผิงเจ้าต้องกินเยอะ ๆ ร่างกายเจ้าซูบผอมเกินไปแล้ว” หนิงอันใช้ตะเกียบคีบเนื้อหมูไปวางไว้บนถ้วยข้าวของว่าที่สะใภ้รอง “มัวแต่ดูแลคนอื่น เจ้าต้องมีคนดูแลที่ดีจะได้มีเรี่ยวแรงรักษาผู้ไข้ทั่วทั้งแผ่นดิน” “หากจะโทษก็ต้องโทษบุตรชายเจ้านั่นล่ะหนิงเอ๋อร์ที่ปล่อยปละละเลย...” ผู้เป็นย่ารีบแทรกด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ก่อนผู้เป็นแม่จะอมยิ้มรับกันโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ ปล่อยให้บุตรชายนั่งหน้าร้อนผ่าวจนทำตัวไม่ถูก “ยังอีก... ยังไม่รีบคีบกับข้าวให้สหายเจ้าอีกรึเชี่ยเฟิง” ผู้เป็นพ่อทำเสียงดุแต่ทุกคนกลับหัวเราะชอบใจ คนในบ้านนี้ได้เปิดรับโลกใหม่ที่อีกพันกว่าปีอย่าว่าแต่ครอบครัวเลยแม้แต่บางประเทศก็ยังทำไม่ได้ ก่อนเขาก่อนใครสุด ๆ “ข้าเพิ่งจะเคยพบเคยเห็นบุรุษสองคนวิ่งเล่นไล่จับผีเสื้อในสวนดอกไม้” ชุนฮวาแอบกระซิบกระซาบกับพี่สะใภ้ขณะนั่งจิบน้ำชาและกินของว่างอยู่ในศ

  • เกิดใหม่มาตบตีกับแม่ผัว   บทที่ 31 : แต่ละวันที่สามีไม่อยู่

    บทที่ 31แต่ละวันที่สามีไม่อยู่ หลังจากที่กินยาบำรุงจากแม่สามีไปได้ครึ่งขนานเธอก็กินเก่งขึ้นมาก ช่วงสายของวันนี้ก็เช่นกันหลังร่วมโต๊ะกินมื้อเช้ากับสมาชิกคนอื่น ๆ ไปเพียงไม่ถึงชั่วยามเธอก็อยากหาอะไรกระแทกปากอีกแล้ว พราวฝันชวนอาหว่านมาเดินเล่นที่โรงครัวแล้วเดินสำรวจโดยการเปิดดูโน่นนี่ไปเรื่อย “ช่วงนี้เราจะกินขนมฉงหยางเป็นของว่างเจ้าค่ะฮูหยินน้อย” บ่าวไพร่คนหนึ่งบอกแล้วยกจานขนมมาส่งให้ หญิงสาวรับมากัดเคี้ยวแล้วเสมองไปรอบ ๆ ก็เห็นคนคุ้นตานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่มุมหนึ่งโดยมีบ่าวรุ่นน้องคอยประคบร้อนบริเวณไหล่ให้อยู่ “มานั่งอู้อยู่รึอันหยิน” “บ่าวปวดระบมไปทั้งแผงไหล่เลยเจ้าค่ะ วันนั้นที่ฮูหยินน้อยปราบโจรขโมยถุงเงินแล้วได้ของรับขวัญมาตั้งมากมาย ถ้ารู้อย่างนี้จะให้หงเอ๋อร์กับไห๋เอ๋อร์ติดตามไปด้วยก็ดี” “โทษข้าอยู่รึ” “ใครจะไปกล้ากันล่ะเจ้าคะ” พราวฝันยัดขนมส่วนที่เหลือเข้าปากแล้วไล่เด็กสาวที่กำลังนั่งประคบแบบขอไปทีออกไปโดยพาตัวเองเข้าไปแทนที่ “ฮูหยินน้อยจะทำอะไรบ่าวเจ้าคะ บ่าวไม่ได้จะตำหนิฮ

  • เกิดใหม่มาตบตีกับแม่ผัว   บทที่ 30 : บุปผาหอมที่เริ่มคุ้นชิน

    บทที่ 30บุปผาหอมที่เริ่มคุ้นชิน สตรีสองนางขนาบข้างไปด้วยกันตามทางเดินแคบ ๆ พร้อมบ่าวไพร่ที่ช่วยถือของฝากบางส่วนตามมา “คงต้องขอบคุณฮูหยินน้อยโต้วที่กรุณาให้ข้าเข้าเยี่ยมสหายตั้งแต่วัยเยาว์ในวันนี้” ผู้มาเยือนเริ่มเปิดสนทนาด้วยการเหน็บแนมเล็กน้อย หากแต่ผู้ทำหน้าที่เจ้าบ้านเพียงยิ้มบาง ๆ ตอบกลับไปเท่านั้น “ยามที่ป่วยไข้ตงหมิงมักจะอยากกินบ๊วย... เจ้าทราบรึไม่” “ไม่... ข้าไม่ทราบ” เมี่ยวลี่ฟางเสวี่ยแค่นหัวเราะเบา ๆ ราวกับไพ่ใบนั้นกลับมาอยู่ในมือนางแล้ว “ตอนแปดขวบโต้วตงหมิงจมน้ำหลังจากขึ้นมาได้เขาก็ป่วยเป็นไข้ซมอยู่หลายวันอีกทั้งยังจืดปากจืดคอจนกินอะไรไม่ลง ข้าจึงนำบ๊วยเค็มนี่มาให้เขา หลังจากได้ลิ้มรสมันเขาก็ติดใจทันที ทุกครั้งเมื่อเขาป่วยหนักหลังฟื้นไข้ก็จะถามหาเม็ดบ๊วยเค็มอยู่เสมอ เขาบอกว่ามันทำให้เขาสดชื่นและกระตุ้นการรับรสได้ดี...” พราวฝันเพียงมองที่อีกฝ่ายเล่าเรื่องราวในอดีตด้วยใบหน้ามีความสุข “แม่นางเมี่ยวคงสนิทสนมกับสามีของข้ามาก” “ใช่... เราสองคนสนิทกันมากจนใคร ๆ ต่างก็คิดว่

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status