บทที่ 6
ข้าคือเจินซูเมิ่ง
ทำไม...
เช้าเร็วนักล่ะ
พราวฝันหรี่ตาเมื่อต้องกับแสงอาทิตย์เบื้องบน ไม่นานนักก็สัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าวบนใบหน้าและอบอ้าวไปทั่วร่างกาย รับรู้ได้ว่าทั้งสรรพางค์กายกำลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ทั้งที่ไม่ถึงนาทีก่อนเธอยังมองเห็นพระจันทร์ดวงกลมโตบนท้องฟ้ายามค่ำคืนอยู่เลย
แต่ยังไม่ทันจะได้ทบทวนอะไรมากไปกว่านี้ ใครบางคนก็ยกถังน้ำมาสาดรดใบหน้าเธอโครมใหญ่
ซ่า...!
“เฮ้ย!” พราวฝันร้องโวยวายเสียงดังแล้วลุกพรวดพราดขึ้นมาอย่างไวพลางลูบไล่น้ำเปียกปอนบนใบหน้าไปด้วย
“ตื่นเสียทีสินะเจ้าคะ”
“เอ๊ะ” หญิงสาวชะงักหลังเตรียมง้างปากจะตะโกนด่าผู้กระทำการอันอุกอาจ
เพราะสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาตอนนี้ทำให้หญิงสาวต้องอ้าปากค้างเพราะผู้คนที่ยืนรายล้อมล้วนแต่งกายประหลาดด้วยชุดจีนย้อนยุคกับบ้านเรือนสไตล์โบราณเหมือนในซีรีส์พีเรียด
“กองถ่ายซีรีส์จีนเหรอ” เธอพึมพำกับตัวเองพร้อมหันไปทำหน้าตั้งคำถามกับใครบางคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ
พราวฝันก้าวไปข้างหน้าสองก้าวแล้วหมุนตัวสำรวจไปรอบ ๆ อย่างช้า ๆ เพื่อมองหาทีมงาน แต่ก็พบเพียงฉากที่สมจริงเท่านั้นไม่เห็นแม้แต่เงาของฝ่ายเบื้องหลังสักคน
หรือว่าจะเป็นการถ่ายทำแบบซ่อนกล้อง เพิ่มมุมมองใหม่ให้ซีรีส์ดูน่าสนใจยิ่งขึ้น ทำให้ดูสมจริงดูธรรมชาติเหมือนกับการดูเรียลลิตี้!
“ฮูหยินน้อยกำลังมองหาผู้ใดอยู่หรือเจ้าคะ” อันหยินย้อนถามบ้างหลังสังเกตอาการประหลาดของคนตรงหน้ามาครู่หนึ่งแล้ว
พราวฝันหันมาจ้องคนที่เพิ่งพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งและท่าทางจองหองอย่างพินิจพิเคราะห์
“ทำหน้าทำตาแบบนี้... รับบทเป็นตัวร้ายสินะ” เธอคาดเดา
“เอ๊ะ นี่ท่าน!”
แต่ว่า... ถ้าฟังไม่ผิดนี่มันไม่ใช่ภาษาไทย คนพวกนี้กำลังพูดภาษาจีน ใช่ เธอฟังไม่ผิดแน่ แล้วทำไมเธอถึงเข้าใจมันได้ทันทีล่ะ ทั้งที่ยังเรียนไม่จบคลาสแรกเลยด้วยซ้ำ
เดี๋ยวนะ...
“ที่นี่... ที่ไหน” พราวฝันเปล่งเสียงถาม
หา! ไม่ใช่แค่เข้าใจภาษาจีน แต่เธอยังสื่อสารกับคนอื่นด้วยภาษาจีนเช่นเดียวกัน
“เป็นลมกลางแดดไปทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลยรึเจ้าคะ ที่นี่ก็คือมหานครฉางอานอันยิ่งใหญ่” อันหยินตอบอย่างภาคภูมิ
“ฉางอาน...!”
ทำไมคับคล้ายคลับคลาว่าเป็นเมืองหลวงของจีนโบราณที่ดูในซีรีส์บ่อย ๆ แต่หากเป็นคนยุคปัจจุบันก็ต้องเรียกว่าเมืองซีอานสิ
พวกนี้อินกับบทเกินไปหรือเพราะเป็นพวกย้อนยุคจริง ๆ กันแน่
เอ๊ะ... ย้อนยุคเหรอ
อย่าบอกนะว่า...
“แล้ว... นี่มันยุคไหนกันล่ะ เอ่อ ข้าหมายถึงเป็นแผ่นดินของใคร ใครเป็นฮ่องเต้อะไรอย่างเนี้ย”
บรรดาบ่าวไพร่ที่ยืนรายล้อมพราวฝันอยู่สี่นางเริ่มมองเธอด้วยสายตาประหลาด
“เห็นทีท่าจะแย่...” ผู้จัดการบ้านพึมพำกับตัวเองด้วยความวิตก “ไม่รู้รึอย่างไรว่าเอ่ยพระนามฮ่องเต้ออกมาตรง ๆ หัวจะหลุดจากบ่า นี่ฮูหยินน้อยจำไม่ได้จริง ๆ รึเจ้าคะว่าเราอยู่ในรัชสมัยของราชวงศ์อู่โจว...”
“อู่โจว...” พราวฝันทวนเสียงงึมงำ “อู่... จ้าว... อู่ อู๋ บู... บะ บูเช็กเทียน!”
สิ้นเสียงร้องแหกปากอันหยินก็รีบยกมือป้อมตะครุบปากนายหญิงน้อยโดยไว
“บอกแล้วไงเจ้าคะว่ามิควรเอ่ยพระนามฝ่าบาทตรง ๆ”
พราวฝันได้แต่เบิกตากว้างด้วยความตกใจ
ชัดเลย!
รู้ตัวแล้วว่าย้อนอดีตมาจริง ๆ ด้วย ไม่มีกล้องไม่มีทีมงานโปรดักชั่นที่ไหนทั้งนั้น จะมีก็แต่เธอที่ทะลุมิติมาอยู่ไกลบ้านไกลเมืองขนาดนี้
คนอื่นเขาย้อนกลับไปสมัยกรุงศรีอยุธยา เจอพี่หมื่นสุดหล่อ ย้อนไปตอนต้นกรุงรัตนโกสินทร์ก็ดี แต่นี่! ฟ่านปิงปิง[1]เสิร์ฟหนักมากแม่! ให้ย้อนมาสมัยบูเช็กเทียนครองเมือง! มาไกลเป็นพันปีธรรมดาเสียที่ไหน!
“ฉิบหายแล้วโว้ยยย~!!!” พราวฝันแหกปากร้องเสียงดังพร้อมดีดดิ้นจนหลุดออกจากพันธนาการ
จะหาทางกลับได้ยังไงล่ะทีนี้...!
โครก~!
โอ๊ย ทำไมหิวข้าวขนาดนี้ อย่างกับไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องมาเป็นอาทิตย์
สมองต้องการสารอาหาร ฉะนั้นก่อนจะคิดหาหนทางจะต้องเติมพลังงานให้ร่างกายก่อน
“เจ้าเรียกข้าว่าฮูหยินน้อยใช่หรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะ” อันหยินลอยหน้าลอยตาตอบ
“ถ้างั้นเจ้าก็เป็นคนรับใช้ล่ะสิ”
“เอ่อ ไม่นะ บ่าวเป็นผู้จัดการบ้าน” หญิงอวบตอบด้วยท่าทางเสียหน้า
“ต่างกันตรงไหน ถัดจากเจ้านายก็เป็นคนรับใช้เหมือน ๆ กัน ขนาดแทนตัวเองเจ้ายังใช้คำว่าบ่าวเลย”
“แต่ว่า...”
“ข้าหิวแล้ว ไปทำอะไรมาให้กินหน่อย”
“เรื่องนั้น... ฮูหยินน้อยจะต้องทำเองนะเจ้าคะ” อันหยินเชิดคอตอบ “และนี่...” พร้อมกับดันใครบางคนมาตรงหน้า “ด้วยความใจดีของฮูหยินใหญ่เห็นว่าฮูหยินน้อยทำงานหนักจนเป็นลมเป็นแล้ง จึงมอบ ‘อาหว่าน’ มาคอยช่วยงาน”
พราวฝันมองเด็กสาวรุ่นน้องที่หน้าตามีเม็ดสีแดงจากสิวเกรอะกรังเต็มไปหมด พร้อมกับที่หงเอ๋อร์ ไห่เอ๋อร์ และอันหยินก็ปั้นสีหน้ารังเกียจนางด้วย ก่อนจะหันไปหัวเราะคิกคักใส่กันด้วยท่าทางเหมือนพวกชอบบูลลี่
“ในเมื่อมีผู้ช่วยแล้วก็ให้นางทำอาหารให้รับประทานเถิดนะเจ้าคะ แต่อย่านานนัก เพราะฮูหยินน้อยมีภารกิจที่ต้องทำต่อ” ผู้จัดการบ้านว่าพร้อมจะหมุนตัวส่ายก้นอวบอัดจากไป แต่พราวฝันก็รีบอ้อมมาขวางไว้
“ไม่...”
“เอ๊ะ ฮูหยินน้อย มาขวางบ่าวไว้ทำไมกัน”
“ข้าจะให้เจ้าทำให้กิน”
“บ่าวไม่ทำ”
“เหตุใดเจ้าจึงไม่ทำ” หญิงสาวที่เริ่มโมโหหิวย้อน
“ก็...”
“ไหนเจ้าลองทบทวนดูอีกครั้งซิ ว่าในจวนนี้ใครเป็นนายและใครเป็นบ่าว...”
อันหยินสะบัดหน้าพรืด “ก็ต้องฮูหยินน้อยเป็นนายน่ะสิเจ้าคะ”
“ดี... รู้ก็ดี ฉะนั้นนายอย่างข้าจะสั่งให้เจ้าทำอาหารให้กินไม่ได้หรืออย่างไร รึว่าเจ้ามีอภิสิทธิ์ใดมากกว่าคนอื่นงั้นรึ”
คนที่มาจากประเทศประชาธิปไตยอย่างฉันจะต้องสอนสิทธิและหน้าที่พลเมืองให้คนจวนนี้ได้ตระหนักรู้เสียหน่อย
“เอ่อ... ฮูหยินน้อยบ่าวทำแทนก็ได้เจ้าค่ะ” อาหว่านรีบเสนอตัวเพราะเกรงว่าจะเกิดการวิวาทขึ้น
“เจ้าอยู่เฉย ๆ ท่าทางอวดดีของนางทำให้ข้าหงุดหงิดจนอยากจะรู้ว่าฝีมือการเข้าครัวนั้นดีเลิศขนาดไหน หากปฏิเสธอีกคำเดียวได้เห็นดีกันแน่”
ตุ้บ!
แล้วทุบเข้าไปกลางหลังของบ่าวผู้จองหองให้ได้เรียนรู้น้ำหนักมือไปหนึ่งทีด้วยความมันเขี้ยว
“ฮูหยินน้อย!”
“ทำไม อยากโดนมากกว่านี้รึ”
หญิงอวบผวาเล็กน้อยก่อนจะรีบซอยเท้าถี่เข้าไปยังโรงครัว โดยมีร่างของฮูหยินน้อยก้าวตามไปติด ๆ
ระหว่างทางผ่านสระน้ำเล็ก ๆ พราวฝันจึงตัดสินใจชะโงกหน้าไปดูเงาสะท้อนโดยมีอาหว่านคอยช่วยพะยุง ก็ต้องพบว่าเธอมาเกิดใหม่ในร่างของตัวเอง... ใช่ เงาของผู้หญิงที่อยู่บนผิวน้ำมีหน้าตาเหมือนกับตัวเธอเองไม่ผิดเพี้ยน ต่างก็เพียงเครื่องแต่งกายและเครื่องหัวในยุคโบราณที่ดูไม่คุ้นเคยเท่านั้น
ระหว่างที่รอให้อันหยินทำอาหารให้ จู่ ๆ ก็มีชายหญิงวัยรุ่นคู่หนึ่งเดินเข้ามาในโรงครัวเช่นกัน
“มาอยู่นี่เอง พวกเราตามหาตัวเสียให้ควั่ก” ชายตัวสูงรูปร่างผอมหน้าตาดีเดินเข้ามาประชิดตัว
“ตามหาข้าหรือ” พราวฝันชี้หน้าตัวเอง
“ก็ใช่น่ะสิ ข้ากระหาย ต้องการน้ำชาเร่งด่วน”
ทางซ้ายมือมีชุดถ้วยชาหญิงสาวจึงยกนิ้วชี้ “โน่นเซ็ตชา ไปบอกให้สองคนนั้นที่ยืนทำหน้าเหม็นขี้ไปต้มน้ำให้แล้วชงดื่มเองเสียสิ”
“แต่ข้าจะให้เจ้าชง”
“รีบชงให้ท่านพี่แล้วก็รีบกลับไปทำความสะอาดหอนอนข้าใหม่ด้วย สกปรกและเหม็นอับจะแย่” หญิงเสียงเจื้อยแจ้วขึ้นจมูกที่ยืนอยู่ด้านหลังร้องเรียกบ้าง
“นี่พวกเจ้าเป็นใครกัน”
“สงสัยจะความจำเสื่อมไปแล้วกระมัง” ผู้เป็นพี่ชายย้อน
“เราสองคนก็เป็นน้องของสามีท่านน่ะสิ ทำเป็นจำไม่ได้” ผู้เป็นน้องตอบเข้าประเด็น
“น้องสามี...”
แต่กลับปฏิบัติกับพี่สะใภ้อย่างนี้เนี่ยนะ ไม่มีความเคารพยำเกรงกันบ้างเลย หน้าตาก็ดูดีมีการศึกษา บ้านช่องใหญ่โตโอ่อ่าดูเป็นจวนของพวกผู้ดีชนชั้นสูง กริยาไม่น่าจะต่ำทรามเช่นนี้
ชักจะสงสัยแล้วสิ ว่าตัวฉันในยุคนี้มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไรกันแน่ ถึงได้ถูกโขลกสับจิกหัวใช้เอาง่าย ๆ ถึงเพียงนี้ ที่ผ่านมานางคงเป็นคนไม่สู้คนและยอมอยู่ตลอดถึงทำให้พวกเขากดขี่ได้อย่างเปิดเผย
“ขอถามอีกข้อ... ข้าชื่ออะไรอย่างนั้นหรือ”
“ตลกชะมัด พี่สะใภ้ของเจ้าสติฟั่นเฟือนไปแล้วชุนฮวา ได้ยินว่าเป็นลมล้มไปแต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงกับไม่อยู่กับร่องกับรอย”
“งั้นข้าก็จะบอกให้เอาบุญ ว่าชื่อของท่านคือซูเมิ่ง... มาจากตระกูลเจินที่เป็นเพียงพ่อค้าไม้หาเช้ากินค่ำไร้เส้นสาย วางแผนซ้อนแผนเพื่อให้ได้เข้ามาอยู่เป็นสะใภ้ใหญ่ในจวนแม่ทัพของพวกเรา คราวนี้จำตัวเองได้รึยังเจ้าคะท่านพี่สะใภ้” เด็กสาวจงใจเน้นเสียงเย้ยหยันในตอนท้ายของประโยค
“เจิน... ซูเมิ่ง...”
ไม่รู้ว่าจะต้องอยู่ในสภาพนี้ไปอีกนานเท่าไร แต่หากฉันนะต้องมารับบทเป็นเจินซูเมิ่งแล้วล่ะก็... จะต้องเป็น New ซูเมิ่ง! ที่ไม่ยอมให้ใครมากดขี่รังแกอีกแล้ว แล้วเรามาคอยดูกันว่าสะใภ้ใหญ่คนนี้จะสร้างความประทับใจอะไรให้กับจวนแม่ทัพแห่งนี้บ้าง...
[1] ฟ่านปิงปิง คือนักแสดงหญิงชื่อดังชาวจีนที่เคยรับบทซีรีส์อิงประวัติศาสตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง ‘บูเช็กเทียน’
บทที่ 35อ้อมกอดแห่งความผูกพัน เวลานี้ข้างเตียงสลับเป็นโต้วตงหมิงเป็นฝ่ายมานั่งเฝ้าแล้วประคบประหงมภรรยาบ้างโดยเขาไม่ได้ชวนคุยหรือถามจุกจิกเป็นการรบกวนนางแม้แต่น้อย “เหตุใด... ถึงรู้สึกว่าบรรยากาศช่วงนี้น่าเศร้านัก” พราวฝันเพียงมองไปรอบ ๆ ห้องแต่ก็เกิดความหดหู่ขึ้นในใจ “บัดนี้... เทียนโฮ่วสิ้นพระชนม์แล้ว...” “สิ้นแล้วหรือ... มีแต่เรื่องน่าเศร้า...” เธอพึมพำ หลังจากนี้บ้านเมืองจะวุ่นวายและโกลาหลอยู่อีกหลายปีทีเดียว... “ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองต่างเต็มไปด้วยความโศกเศร้า” “เฉกเช่นเดียวกับในจวนของเรา... เจ้าเสียใจบ้างรึไม่ที่เราต้องสูญเสียลูกไป” “เหตุใดจึงเอ่ยถามด้วยถ้อยคำทิ่มแทงข้าเยี่ยงนี้ หากข้าทำดีกับเจ้าก็ย่อมหมายถึงข้าเฝ้ารอคอยการกำเนิดมาอย่างปลอดภัยและแข็งแรงของเขาเช่นเดียวกัน” “ข้าคงคิดมากเกินไป ขอโทษนะตงหมิง” ผู้เป็นสามีไม่คิดเก็บเอามาใส่ใจ หากแต่ยกฝ่ามือหนาขึ้นลูบศีรษะของภรรยาอย่างแผ่วเบาและนุ่มนวลราวกับต้องการปลอบประโลมจากทุกความโหดร้ายที่เกิดขึ้น “เจ้าโศกเศร้ามานานแล้ว อย่
บทที่ 34ทวงคืนบุตรสาว วินาทีที่ร่างของเธอลอยละล่องไปบนอากาศราวกับกระดาษขอพรที่ปลิวขาดออกจากเชือกนั้น เธอคิดว่าตัวเองได้ตายไปเสียแล้ว ความรู้สึกนั้นคล้ายคลึงกันเล็กน้อยต่างกันก็แค่เพียงตอนนั้นเป็นกลางคืนแต่ตอนนี้เป็นกลางวัน... ตึง! ม้าตัวนั้นวิ่งฝ่าฝูงชนต่อไปด้วยอาการเตลิดพร้อม ๆ ร่างของพราวฝันก็ตกลงบนพื้นอย่างแรง เธอนอนแน่นิ่งท่ามกลางสายตาของผู้เป็นแม่สามีและคนอื่น ๆ บริเวณนั้น แม้แต่ชายฉกรรจ์ที่ทะเลาะกันก่อนหน้านี้ยังต้องหยุดวิวาท ราวกับโลกหยุดหมุน โต้วหนิงอันตะเกียกตะกายคลานมาหาลูกสะใภ้ ยิ่งเมื่อบริเวณกระโปรงของนางมีสีแดงฉานจากเลือดสด ๆ ซึมออกมาหญิงสูงวัยก็แทบสิ้นสติ “ซูเมิ่ง ไม่นะซูเมิ่ง ไม่เป็นอย่างนี้สิ เจ้าฟื้นขึ้นมาก่อนเจินซูเมิ่ง ไม่นะ ม่ายยย!!!”“ท่านย่าทวด ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ แล้วก็ท่านอาเชี่ยเฟิงและท่านอาชุนฮวา... ฮวนเอ๋อร์กลับจากหอเหวินฟางแล้วขอรับ”“แหม พูดเสียงเจื้อยแจ้วน่าเอ็นดูจริง ๆ เลยเด็กคนนี้ ไหน... มาซิ มาใกล้ ๆ ย่า ให้ย่ากอดหน่อยเร็ว”เด็กน้อยถอยหลังกรูดตอนที่ผู้
บทที่ 33โต้วเจียฮวน “อยากดูพระจันทร์ใกล้ ๆ กว่านี้รึไม่” “อื้อ” พราวฝันตอบทั้งคราบน้ำตา จากนั้นผู้เป็นสามีจึงพาภรรยาขึ้นม้าแล้วควบเบา ๆ ไปที่ใดที่หนึ่ง ระหว่างทางนั้นหญิงสาวก็ถูกประคองโอบไว้ด้วยชายที่เธอเฝ้ารอคอยมาหลายวันด้วย ใช้เวลาราวครึ่งชั่วยามเขาก็พาเธอมาที่เนินของภูเขาจงหนานในระดับความสูงที่ไม่ต้องบุกป่าฝ่าดงจนเกินไป เขาเลือกมุมหนึ่งที่ยืนมองออกไปเห็นเมืองฉางอานอันกว้างใหญ่ไพศาลทั่วทั้งเมืองในยามราตรี ขณะที่บนท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มก็มีแสงผุดผาดจากดวงจันทร์เต็มดวงส่องนำทาง “วิวที่นี่สวยจัง อย่างกับมองจากตึกมหานครแน่ะ” “ตึกอะไรนะ” “ตึกสูง ๆ สูงมาก ๆ จนเจ้าจินตนาการไม่ออกเลยว่ามนุษย์จะสร้างสิ่งก่อสร้างเทียมฟ้าได้” “มนุษย์จะกลายเป็นเทพเซียนรึ” “ไม่... มนุษย์ก็คือมนุษย์เช่นเดิม เราไม่ได้เป็นผู้วิเศษหรือมีพลัง แต่เราจะถูกพัฒนาการทางสมองและทักษะ ต่อยอดด้วยองค์ความรู้ต่าง ๆ จากคนในยุคนี้นี่ล่ะ” “คนในยุคนี้... แสดงว่าเจ้ามาจากอนาคตงั้นรึ” พราวฝันไม่ตอบแต่เบี่ยงประเด็นไปท
บทที่ 32ความคิดถึง มื้อเที่ยงวันนี้มีเผิงฟางหยวนมารวมโต๊ะด้วย ทุกคนในจวนสกุลโต้วดูจะเอ็นดูเขาเป็นอย่างดี ปฏิบัติกับเขาอย่างน่ารักราวกับเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวก็มิปาน “หมอเผิงเจ้าต้องกินเยอะ ๆ ร่างกายเจ้าซูบผอมเกินไปแล้ว” หนิงอันใช้ตะเกียบคีบเนื้อหมูไปวางไว้บนถ้วยข้าวของว่าที่สะใภ้รอง “มัวแต่ดูแลคนอื่น เจ้าต้องมีคนดูแลที่ดีจะได้มีเรี่ยวแรงรักษาผู้ไข้ทั่วทั้งแผ่นดิน” “หากจะโทษก็ต้องโทษบุตรชายเจ้านั่นล่ะหนิงเอ๋อร์ที่ปล่อยปละละเลย...” ผู้เป็นย่ารีบแทรกด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ก่อนผู้เป็นแม่จะอมยิ้มรับกันโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ ปล่อยให้บุตรชายนั่งหน้าร้อนผ่าวจนทำตัวไม่ถูก “ยังอีก... ยังไม่รีบคีบกับข้าวให้สหายเจ้าอีกรึเชี่ยเฟิง” ผู้เป็นพ่อทำเสียงดุแต่ทุกคนกลับหัวเราะชอบใจ คนในบ้านนี้ได้เปิดรับโลกใหม่ที่อีกพันกว่าปีอย่าว่าแต่ครอบครัวเลยแม้แต่บางประเทศก็ยังทำไม่ได้ ก่อนเขาก่อนใครสุด ๆ “ข้าเพิ่งจะเคยพบเคยเห็นบุรุษสองคนวิ่งเล่นไล่จับผีเสื้อในสวนดอกไม้” ชุนฮวาแอบกระซิบกระซาบกับพี่สะใภ้ขณะนั่งจิบน้ำชาและกินของว่างอยู่ในศ
บทที่ 31แต่ละวันที่สามีไม่อยู่ หลังจากที่กินยาบำรุงจากแม่สามีไปได้ครึ่งขนานเธอก็กินเก่งขึ้นมาก ช่วงสายของวันนี้ก็เช่นกันหลังร่วมโต๊ะกินมื้อเช้ากับสมาชิกคนอื่น ๆ ไปเพียงไม่ถึงชั่วยามเธอก็อยากหาอะไรกระแทกปากอีกแล้ว พราวฝันชวนอาหว่านมาเดินเล่นที่โรงครัวแล้วเดินสำรวจโดยการเปิดดูโน่นนี่ไปเรื่อย “ช่วงนี้เราจะกินขนมฉงหยางเป็นของว่างเจ้าค่ะฮูหยินน้อย” บ่าวไพร่คนหนึ่งบอกแล้วยกจานขนมมาส่งให้ หญิงสาวรับมากัดเคี้ยวแล้วเสมองไปรอบ ๆ ก็เห็นคนคุ้นตานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่มุมหนึ่งโดยมีบ่าวรุ่นน้องคอยประคบร้อนบริเวณไหล่ให้อยู่ “มานั่งอู้อยู่รึอันหยิน” “บ่าวปวดระบมไปทั้งแผงไหล่เลยเจ้าค่ะ วันนั้นที่ฮูหยินน้อยปราบโจรขโมยถุงเงินแล้วได้ของรับขวัญมาตั้งมากมาย ถ้ารู้อย่างนี้จะให้หงเอ๋อร์กับไห๋เอ๋อร์ติดตามไปด้วยก็ดี” “โทษข้าอยู่รึ” “ใครจะไปกล้ากันล่ะเจ้าคะ” พราวฝันยัดขนมส่วนที่เหลือเข้าปากแล้วไล่เด็กสาวที่กำลังนั่งประคบแบบขอไปทีออกไปโดยพาตัวเองเข้าไปแทนที่ “ฮูหยินน้อยจะทำอะไรบ่าวเจ้าคะ บ่าวไม่ได้จะตำหนิฮ
บทที่ 30บุปผาหอมที่เริ่มคุ้นชิน สตรีสองนางขนาบข้างไปด้วยกันตามทางเดินแคบ ๆ พร้อมบ่าวไพร่ที่ช่วยถือของฝากบางส่วนตามมา “คงต้องขอบคุณฮูหยินน้อยโต้วที่กรุณาให้ข้าเข้าเยี่ยมสหายตั้งแต่วัยเยาว์ในวันนี้” ผู้มาเยือนเริ่มเปิดสนทนาด้วยการเหน็บแนมเล็กน้อย หากแต่ผู้ทำหน้าที่เจ้าบ้านเพียงยิ้มบาง ๆ ตอบกลับไปเท่านั้น “ยามที่ป่วยไข้ตงหมิงมักจะอยากกินบ๊วย... เจ้าทราบรึไม่” “ไม่... ข้าไม่ทราบ” เมี่ยวลี่ฟางเสวี่ยแค่นหัวเราะเบา ๆ ราวกับไพ่ใบนั้นกลับมาอยู่ในมือนางแล้ว “ตอนแปดขวบโต้วตงหมิงจมน้ำหลังจากขึ้นมาได้เขาก็ป่วยเป็นไข้ซมอยู่หลายวันอีกทั้งยังจืดปากจืดคอจนกินอะไรไม่ลง ข้าจึงนำบ๊วยเค็มนี่มาให้เขา หลังจากได้ลิ้มรสมันเขาก็ติดใจทันที ทุกครั้งเมื่อเขาป่วยหนักหลังฟื้นไข้ก็จะถามหาเม็ดบ๊วยเค็มอยู่เสมอ เขาบอกว่ามันทำให้เขาสดชื่นและกระตุ้นการรับรสได้ดี...” พราวฝันเพียงมองที่อีกฝ่ายเล่าเรื่องราวในอดีตด้วยใบหน้ามีความสุข “แม่นางเมี่ยวคงสนิทสนมกับสามีของข้ามาก” “ใช่... เราสองคนสนิทกันมากจนใคร ๆ ต่างก็คิดว่