บทที่ 7
แม่สามีที่คอยตามราวี
“นี่ น้องชายและน้องสาวสามี”
ทั้งเชี่ยเฟิงและชุนฮวาต่างมองพี่สะใภ้อย่างหวาดระแวง
“ข้าคือพี่สะใภ้พวกเจ้าก็ต้องอาวุโสกว่าถูกต้องรึไม่”
“กะ ก็ใช่” ชายหนุ่มสะบัดหน้าตอบ
“ส่วนพวกเจ้าก็คือน้อง ๆ ของสามีข้า ฉะนั้นก็ควรจะให้ความเคารพและเชื่อฟังพี่สะใภ้คนนี้ตามศักดิ์อาวุโส”
“เรื่องนั้นก็... ไม่ได้น่าสนใจสักหน่อย” น้องสาวคนเล็กพึมพำเสียงอ้อมแอ้ม
“ฉะนั้นแล้วเหตุใดจึงมายืนเท้าสะเอววางอำนาจออกคำสั่งกับข้าเยี่ยงนี้ ฮื้อ~”
ป๊อก!
ป๊อก!
พร้อมเขกมะเหงกเป็นของแถมกลางหน้าผากทั้งสองไปคนละทีเพื่อเตือนสติ
“โอ๊ย! เจ็บนะ!”
“อยากจะกินน้ำชาก็ไปต้มน้ำชงดื่มเอง หากห้องรกก็ต้องจัดการเองรึไม่ก็ให้บ่าวรับใช้ไปจัดการ ไม่ใช่มาออกคำสั่งกับข้า”
“ฮึ่ย! ข้าไม่ยอมแน่ ข้าจะไปฟ้องท่านแม่!” ชุนฮวาออกอาการกระฟัดกระเฟียดแล้วหมุนตัวจากไป
“ข้าฟ้องด้วย!” เชี่ยเฟิงก็มีท่าทางเดียวกันแล้วจ้ำพรวดตามน้องสาวไปติด ๆ
เด็กพวกนี้ถูกสปอล์ยจนเคยตัวสินะ หากไม่มีใครสั่งสอนฉันนี่แหละจะสั่งสอนพวกเธอแทนพ่อแม่เอง
“ส่วนเจ้าจะทำเสร็จเมื่อไหร่ ข้าหิวจนจะกินช้างได้ทั้งตัวอยู่แล้วนะ” พราวฝันในร่างซูเมิ่งหันไปเร่งแม่ครัวจำเป็น
นางสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ทำไปด้วยใบหน้ากระเง้ากระงอด
“เสร็จแล้ว ๆ เจ้าค่ะ”
“ดี ตักใส่จานมาวางให้ข้าที่โต๊ะตรงนั้น” คนเป็นนายกรีดนิ้วออกคำสั่ง
อันหยินขมุบขมิบปากบ่น
“เจ้าแอบด่าข้าว่ากระไร!”
“เปล่าเจ้าค่ะ” ผู้จัดการบ้านกระแทกเสียงย้อนพร้อมยกจานและชามอาหารมาวางบริการฮูหยินน้อย
“หน้าตาประหลาด ดูแล้วไม่สู้จะกินลง” พราวฝันเขี่ย ๆ ของกินตรงหน้าแล้วเบ้ปาก
“ก็เพราะบ่าวไม่ใช่แม่ครัวอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
หญิงสาวคีบผักบุ้งใส่ปากแล้วก็บ้วนออกมาอย่างไว
“ถุย! เค็มชะมัด เจ้าคิดจะให้ข้าไตวายรึอย่างไร”
“ไตวายคืออะไรรึเจ้าคะ”
“เจ้ากำลังปองร้ายข้าผ่านอาหารสินะ”
“ต่อไปก็อย่าให้บ่าวทำอาหารให้อีกสิเจ้าคะฮูหยินน้อย”
“ไม่...” พราวฝันตรึงยิ้มมุมปากอย่างรู้ทัน “ข้ารอได้... เจ้าไปทำใหม่ ทำ ๆ ๆ ๆ จนกว่าจะอร่อย ไม่อย่างนั้นไม่ต้องออกจากโรงครัว”
“ฮูหยินน้อยจงใจกลั่นแกล้งบ่าวรึเจ้าคะ”
“ไม่เท่าที่เจ้ายกถังน้ำมาสาดใส่ข้าเหมือนหมูเหมือนหมาหรอกท่านผู้จัดการบ้าน”
ได้ยินอย่างนั้นอันหยินก็งับปากลงโดยพลัน แล้ววกกลับไปที่หน้าเตาทำตามคำสั่งอีกครั้ง
“ไม่ทันไรก็ทำท่าทางวางอำนาจใหญ่โตเสียแล้ว” ไม่ใช่เสียงของอันหยิน หากแต่เป็นเสียงของผู้ควบคุมจวนที่โพล่งแทรกขึ้นพร้อมก้าวอาด ๆ เข้ามาในโรงครัวแถมยังมีบุตรชายและบุตรสาวห้อยตามหลังกลับมาอีกครั้งด้วย
พราวฝันกะพริบตาปริบ ๆ มองผู้มาใหม่อย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“คุณแม่...!”
ยัยป้าแก่นั่นตามมารังควานฉันถึงภพนี้เลยเหรอเนี่ย!
นั่นก็เพราะโต้วหนิงอันฮูหยินใหญ่แห่งจวนแม่ทัพนั้นมีใบหน้าที่ถอดแบบกับนิศมาซึ่งเป็นแม่ของแทนคุณราวกับเป็นคนคนเดียวกัน
“ดีที่ยังอุตส่าห์จดจำได้ว่าข้าคือแม่สามีของเจ้า”
นั่นประไร!
“นี่อะไรกัน เหตุใดเจ้าถึงแอบมานั่งกินข้าวคนเดียวไม่รอร่วมโต๊ะกับคนอื่น ๆ”
“...”
ดูซิน่ะ ทั้งน้ำเสียงสีหน้า ก็ยังน่าหมั่นไส้ไม่ต่างกันอีก แถมแต่งเนื้อแต่งตัวด้วยผ้าเนื้อดีเสียสวยหรู คงจะราคาแพงไม่เบา ดูเป็นผู้ดิบผู้ดีในยุคโบราณ คาแรกเตอร์แบบนี้จะต้องติดตัวไปทุกภพทุกชาติเลยรึยังไง
“แล้วนั่น...! เจ้าให้อันหยินทำอาหารให้กินอีกด้วยรึ”
“ก็นางดูเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ดูน่าไว้ใจที่สุด ข้าจึงอยากลองกินฝีมือของผู้มีประสบการณ์น่ะสิ”
“แต่นางไม่ใช่แม่ครัวของเจ้าและของใครทั้งนั้น”
“แต่ลงท้ายอย่างไรนางก็เป็นบ่าวใช่รึไม่เจ้าคะ เหตุใดจะให้ทำงานบ้านงานเรือนเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ได้” นิวซูเมิ่งสวนย้อนทันควัน
ขนาดเกิดใหม่มาถึงเมืองจีนก็ยังไม่วายต้องมาเป็นคู่ปรับให้ได้ต่อปากต่อคำปะทะฝีปากกันอีก
โต้วหนิงอันแสดงท่าทีหงุดหงิดอย่างออกอาการ นางรู้สึกสับสนที่จู่ ๆ ลูกสะใภ้ตัวดีที่ไม่อยากรับเข้าวงศ์ตระกูลก็เกิดปากกล้าขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ท่านแม่ท่านต้องจัดการนางผู้นี้ให้ข้านะ นางดีดหน้าผากข้าจนปูดขึ้นมาเลย ข้าอาจจะเสียโฉมได้นะท่านแม่! ถึงเวลานั้นก็จะไม่มีชายใดสนใจอยากจะออกเรือนกับข้าด้วยความอัปลักษณ์ ข้าก็จะกลายเป็นสาวแก่หัวปูดแสนเปล่าเปลี่ยวที่ไม่มีใครเอา~ ฮือ ๆ” โต้วชุนฮวาละล่ำละลักฟ้องพร้อมเบะปากเตรียมจะร้องไห้
พราวฝันจิ๊ปากด้วยความเหลือเชื่อเมื่อได้เห็นแอคติ้งของน้องสาวสามี
“เป็นตุเป็นตะ... แล้วพูดถึงใครว่านางผู้นี้น่ะหา!” พร้อมง้างมือขึ้นทำท่าจะฟาด
“กรี๊ด! ท่านแม่ นางจะตีข้าอีกแล้ว!” เด็กสาวกรีดร้องพร้อมวิ่งหลบไปอยู่ด้านหลังมารดา
“หยุดเดี๋ยวนี้นะซูเมิ่ง! ต่อหน้าข้าเจ้ายังกล้าอีกรึ!”
“กับเด็กดื้อพวกนี้ยิ่งต่อหน้าก็ยิ่งดีเจ้าค่ะ ตีให้แม่มันดูจะได้รู้ว่าลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน”
“เจินซูเมิ่ง!”
“ข้าแต่งเข้าจวนนี้แล้ว ช่วยเรียกข้าว่า ‘โต้วซูเมิ่ง’ ด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
“...!”
เป็นครั้งที่สองที่หนิงอันแสดงท่าทีฮึดฮัดอย่างขัดใจ ทำไมนางถึงได้ดื้อด้านผิดมนุษย์มนาเช่นนี้ ตอนมาทวงถามความยุติธรรมก็ยังสงบเสงี่ยมเรียบร้อยนั่งเงียบเชียบไม่ปริปากสักคำ แถมแววตาก็ยังใส่ซื่อดูไร้เดียงสาอ่อนต่อโลก ผิดกับตอนนี้... นางดูร้ายกาจยิ่งนัก
“อุ๊บ! จู่ ๆ ข้าก็พะอืดพะอมอยากจะอ้วก สงสัยน่าจะเหม็นกลิ่นคนแถวนี้ หากท่านแม่ไม่มีอะไรจะคุยกับข้าแล้ว ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ อุแหวะ!” พราวฝันแกล้งทำท่าจะอาเจียนใส่สามแม่ลูกจนทั้งสามกระเจิงกันไปคนละทิศละทางก่อนจะหัวเราะร่าแล้ววิ่งออกจากโรงครัวมา
ส่วนอาหว่านก็รีบวิ่งตามนายของตัวเองมาติด ๆ
“แต่เรื่องนี้ข้ามิได้แกล้งนะ” พราวฝันหันไปบอกเด็กสาวที่เดินอยู่ข้าง ๆ “จู่ ๆ ข้าก็อยากจะอ้วกขึ้นมา ตอนนี้ก็ยังมีอาการอยู่”
“นั่นเพราะฮูหยินน้อยแพ้ท้องอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
“แพ้ท้อง!” คนฟังเบิกตาโต “ข้ากำลังตั้งครรภ์อยู่รึนี่”
อาหว่านทำได้เพียงมองนายตัวเองด้วยสายตาประหลาด
หากแต่พราวฝันกลับตกอยู่ในอาการตระหนก เพราะเธอกำลังจะมีลูก เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้หญิง แถมยังเป็นสิ่งที่เธอกลัวที่สุด เพราะนั่นหมายถึงอนาคตในวงการบันเทิงของเธอก็จะสิ้นสุดลงด้วย... มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นหากเธอยังไม่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นดาวค้างฟ้าในภพปัจจุบัน
“เปรี้ยวปาก อยากกินอะไรก็ไม่รู้” เธอพึมพำพลางกวาดสายตามองไปยังต้นไม้สูงเบื้องหน้า “นั่นต้นอะไร”
“ต้นกุ้ยฮวาเจ้าค่ะ”
อะไรบางอย่างดลจิตดลใจให้หญิงสาวปรี่เข้าไปปีนป่ายบนลำต้นหนาแล้วตะเกียกตะกายตัวเองไปจนสูงขึ้นเรื่อย ๆ
“อันตรายเจ้าค่ะ ฮูหยินน้อยลงมาเถิด”
“เจอแล้ว! มีจริง ๆ ด้วย! อาหว่านเจ้ารีบไปเอากล่องไม้กับกรรไกรมาเร็ว” พราวฝันร้องตาเป็นประกายเมื่อเห็นเป้าหมาย
นั่นคือรังมดแดง...
อาหว่านแม้จะละล้าละลังด้วยความเป็นห่วงเจ้านายแต่ท้ายที่สุดก็วิ่งหน้าตั้งไปหาสิ่งที่นางต้องการมาจนได้
ด้วยความทะมัดทะแมงเพียงไม่ถึงสองนาทีพราวฝันก็ตัดเอารังมดแดงที่มีไข่สีขาวเม็ดเล็กอยู่เต็มใส่ลงกล่องไม้จนได้ก่อนจะกระโดดกลับลงมาอย่างคล่องแคล่วท่ามกลางสาวรับใช้ที่รอลุ้นอยู่ด้านล่างจนหัวใจจะหลุดออกมา
“ขึ้นไปเอาสิ่งใดมาเจ้าคะ”
“นี่ไงล่ะ ไข่มดแดง ข้าเปรี้ยวปากอยากกิน”
ซึ่งแม้แต่เธอก็ยังไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงอยากจะกินเจ้าสิ่งนี้ อาการแพ้ท้องช่างเป็นอะไรที่เข้าใจยากจริง ๆ
โชคดีที่เรียนคิวบู๊มานานถึงปีนป่ายได้ราวกับลิงกัง แต่เจินซูเมิ่งผู้นี้กลับมีร่างกายอ่อนแอทำให้เกือบจะตะกายขึ้นไปไม่ไหวในบางจังหวะ เห็นทีจะต้องออกกำลังกายให้เจ้าของร่างมากกว่านี้เสียแล้ว
“ได้ยินว่าเจ้าเป็นลมล้มไปกับพื้น ไม่คิดว่าฟื้นขึ้นมาแล้วจะมีอาการแปลกประหลาดขนาดนี้” เสียงของแม่สามีจอมรังควานคนเดิม “สตรีแบบไหนถึงปีนป่ายขึ้นไปเก็บรังมดแดง”
“ก็สตรีเช่นข้าเยี่ยงไรเล่าท่านแม่”
ฮูหยินใหญ่ยกผ้าเช็ดหน้าป้องปากทำสีหน้าขยาด
“เจ้าจะเอารังมดแดงพวกนั้นไปทำอันใดกันแน่”
“ก็จะเอามาโปรยใส่พวกท่านอย่างไรเล่า!” ไม่พูดเปล่าพราวฝันเปิดฝากล่องแล้วยื่นไปข้างหน้าทำท่าแกล้งจะโยนใส่ผู้ที่มาจุ้นจ้าน
สามแม่ลูกรวมถึงผู้จัดการบ้านพากันกระโดดหนีด้วยความแตกตื่น อย่างไรเสียมดแดงก็เป็นสัตว์อันตรายทำให้ร่างกายบาดเจ็บได้
เห็นท่าทางของพวกนั้นเธอก็นึกขันแล้วจึงคว้ามือของอาหว่านวิ่งหนีไปอีกทาง
นายและบ่าวกระหืดกระหอบผ่านโรงทอผ้าขนาดย่อมที่มีคนงานราวสี่ห้าคนนั่งกระตุกกี่กันอยู่ ผ่านห้องหนังสือและห้องทำงานที่มีเพียงบ่าวกำลังทำความสะอาดมาจนถึงเรือนหลังใหญ่ พราวฝันแอบชะโงกหน้าไปทางประตูที่เปิดอ้ากว้างก็เห็นชายสูงวัยหน้าตาดุดันนั่งอยู่ โดยเก้าอี้ตรงกลางโถงก็มีหญิงเฒ่าแก้มห้อยผมขาวโพลนนั่งอยู่ด้วยเช่นกัน ดูเหมือนพวกเขาจะกำลังสนทนากันด้วยอิริยาบถผ่อนคลาย
พราวฝันจึงเลือกจะเดินผ่านไปเงียบ ๆ โดยไม่ให้พวกเขารู้ตัว
แต่ทว่า...
“หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ!” เสียงแหบแต่กังวานของหญิงเฒ่าดังก้อง รั้งให้ฝีเท้าทั้งสองข้างของหญิงสาวหยุดชะงัก
นี่มันอะไรกันอีก ยังไม่ทันข้ามวันเธอก็ถูกหาเรื่องไม่หยุดหย่อน นี่ยังจะมีโจทก์ใหม่มาอีกเรื่อย ๆ
ซูเมิ่งนะซูเมิ่ง! อะไรทำให้เธอเลือกแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้ในจวนนี้กันเนี่ย
บทที่ 35อ้อมกอดแห่งความผูกพัน เวลานี้ข้างเตียงสลับเป็นโต้วตงหมิงเป็นฝ่ายมานั่งเฝ้าแล้วประคบประหงมภรรยาบ้างโดยเขาไม่ได้ชวนคุยหรือถามจุกจิกเป็นการรบกวนนางแม้แต่น้อย “เหตุใด... ถึงรู้สึกว่าบรรยากาศช่วงนี้น่าเศร้านัก” พราวฝันเพียงมองไปรอบ ๆ ห้องแต่ก็เกิดความหดหู่ขึ้นในใจ “บัดนี้... เทียนโฮ่วสิ้นพระชนม์แล้ว...” “สิ้นแล้วหรือ... มีแต่เรื่องน่าเศร้า...” เธอพึมพำ หลังจากนี้บ้านเมืองจะวุ่นวายและโกลาหลอยู่อีกหลายปีทีเดียว... “ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองต่างเต็มไปด้วยความโศกเศร้า” “เฉกเช่นเดียวกับในจวนของเรา... เจ้าเสียใจบ้างรึไม่ที่เราต้องสูญเสียลูกไป” “เหตุใดจึงเอ่ยถามด้วยถ้อยคำทิ่มแทงข้าเยี่ยงนี้ หากข้าทำดีกับเจ้าก็ย่อมหมายถึงข้าเฝ้ารอคอยการกำเนิดมาอย่างปลอดภัยและแข็งแรงของเขาเช่นเดียวกัน” “ข้าคงคิดมากเกินไป ขอโทษนะตงหมิง” ผู้เป็นสามีไม่คิดเก็บเอามาใส่ใจ หากแต่ยกฝ่ามือหนาขึ้นลูบศีรษะของภรรยาอย่างแผ่วเบาและนุ่มนวลราวกับต้องการปลอบประโลมจากทุกความโหดร้ายที่เกิดขึ้น “เจ้าโศกเศร้ามานานแล้ว อย่
บทที่ 34ทวงคืนบุตรสาว วินาทีที่ร่างของเธอลอยละล่องไปบนอากาศราวกับกระดาษขอพรที่ปลิวขาดออกจากเชือกนั้น เธอคิดว่าตัวเองได้ตายไปเสียแล้ว ความรู้สึกนั้นคล้ายคลึงกันเล็กน้อยต่างกันก็แค่เพียงตอนนั้นเป็นกลางคืนแต่ตอนนี้เป็นกลางวัน... ตึง! ม้าตัวนั้นวิ่งฝ่าฝูงชนต่อไปด้วยอาการเตลิดพร้อม ๆ ร่างของพราวฝันก็ตกลงบนพื้นอย่างแรง เธอนอนแน่นิ่งท่ามกลางสายตาของผู้เป็นแม่สามีและคนอื่น ๆ บริเวณนั้น แม้แต่ชายฉกรรจ์ที่ทะเลาะกันก่อนหน้านี้ยังต้องหยุดวิวาท ราวกับโลกหยุดหมุน โต้วหนิงอันตะเกียกตะกายคลานมาหาลูกสะใภ้ ยิ่งเมื่อบริเวณกระโปรงของนางมีสีแดงฉานจากเลือดสด ๆ ซึมออกมาหญิงสูงวัยก็แทบสิ้นสติ “ซูเมิ่ง ไม่นะซูเมิ่ง ไม่เป็นอย่างนี้สิ เจ้าฟื้นขึ้นมาก่อนเจินซูเมิ่ง ไม่นะ ม่ายยย!!!”“ท่านย่าทวด ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ แล้วก็ท่านอาเชี่ยเฟิงและท่านอาชุนฮวา... ฮวนเอ๋อร์กลับจากหอเหวินฟางแล้วขอรับ”“แหม พูดเสียงเจื้อยแจ้วน่าเอ็นดูจริง ๆ เลยเด็กคนนี้ ไหน... มาซิ มาใกล้ ๆ ย่า ให้ย่ากอดหน่อยเร็ว”เด็กน้อยถอยหลังกรูดตอนที่ผู้
บทที่ 33โต้วเจียฮวน “อยากดูพระจันทร์ใกล้ ๆ กว่านี้รึไม่” “อื้อ” พราวฝันตอบทั้งคราบน้ำตา จากนั้นผู้เป็นสามีจึงพาภรรยาขึ้นม้าแล้วควบเบา ๆ ไปที่ใดที่หนึ่ง ระหว่างทางนั้นหญิงสาวก็ถูกประคองโอบไว้ด้วยชายที่เธอเฝ้ารอคอยมาหลายวันด้วย ใช้เวลาราวครึ่งชั่วยามเขาก็พาเธอมาที่เนินของภูเขาจงหนานในระดับความสูงที่ไม่ต้องบุกป่าฝ่าดงจนเกินไป เขาเลือกมุมหนึ่งที่ยืนมองออกไปเห็นเมืองฉางอานอันกว้างใหญ่ไพศาลทั่วทั้งเมืองในยามราตรี ขณะที่บนท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มก็มีแสงผุดผาดจากดวงจันทร์เต็มดวงส่องนำทาง “วิวที่นี่สวยจัง อย่างกับมองจากตึกมหานครแน่ะ” “ตึกอะไรนะ” “ตึกสูง ๆ สูงมาก ๆ จนเจ้าจินตนาการไม่ออกเลยว่ามนุษย์จะสร้างสิ่งก่อสร้างเทียมฟ้าได้” “มนุษย์จะกลายเป็นเทพเซียนรึ” “ไม่... มนุษย์ก็คือมนุษย์เช่นเดิม เราไม่ได้เป็นผู้วิเศษหรือมีพลัง แต่เราจะถูกพัฒนาการทางสมองและทักษะ ต่อยอดด้วยองค์ความรู้ต่าง ๆ จากคนในยุคนี้นี่ล่ะ” “คนในยุคนี้... แสดงว่าเจ้ามาจากอนาคตงั้นรึ” พราวฝันไม่ตอบแต่เบี่ยงประเด็นไปท
บทที่ 32ความคิดถึง มื้อเที่ยงวันนี้มีเผิงฟางหยวนมารวมโต๊ะด้วย ทุกคนในจวนสกุลโต้วดูจะเอ็นดูเขาเป็นอย่างดี ปฏิบัติกับเขาอย่างน่ารักราวกับเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวก็มิปาน “หมอเผิงเจ้าต้องกินเยอะ ๆ ร่างกายเจ้าซูบผอมเกินไปแล้ว” หนิงอันใช้ตะเกียบคีบเนื้อหมูไปวางไว้บนถ้วยข้าวของว่าที่สะใภ้รอง “มัวแต่ดูแลคนอื่น เจ้าต้องมีคนดูแลที่ดีจะได้มีเรี่ยวแรงรักษาผู้ไข้ทั่วทั้งแผ่นดิน” “หากจะโทษก็ต้องโทษบุตรชายเจ้านั่นล่ะหนิงเอ๋อร์ที่ปล่อยปละละเลย...” ผู้เป็นย่ารีบแทรกด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ก่อนผู้เป็นแม่จะอมยิ้มรับกันโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ ปล่อยให้บุตรชายนั่งหน้าร้อนผ่าวจนทำตัวไม่ถูก “ยังอีก... ยังไม่รีบคีบกับข้าวให้สหายเจ้าอีกรึเชี่ยเฟิง” ผู้เป็นพ่อทำเสียงดุแต่ทุกคนกลับหัวเราะชอบใจ คนในบ้านนี้ได้เปิดรับโลกใหม่ที่อีกพันกว่าปีอย่าว่าแต่ครอบครัวเลยแม้แต่บางประเทศก็ยังทำไม่ได้ ก่อนเขาก่อนใครสุด ๆ “ข้าเพิ่งจะเคยพบเคยเห็นบุรุษสองคนวิ่งเล่นไล่จับผีเสื้อในสวนดอกไม้” ชุนฮวาแอบกระซิบกระซาบกับพี่สะใภ้ขณะนั่งจิบน้ำชาและกินของว่างอยู่ในศ
บทที่ 31แต่ละวันที่สามีไม่อยู่ หลังจากที่กินยาบำรุงจากแม่สามีไปได้ครึ่งขนานเธอก็กินเก่งขึ้นมาก ช่วงสายของวันนี้ก็เช่นกันหลังร่วมโต๊ะกินมื้อเช้ากับสมาชิกคนอื่น ๆ ไปเพียงไม่ถึงชั่วยามเธอก็อยากหาอะไรกระแทกปากอีกแล้ว พราวฝันชวนอาหว่านมาเดินเล่นที่โรงครัวแล้วเดินสำรวจโดยการเปิดดูโน่นนี่ไปเรื่อย “ช่วงนี้เราจะกินขนมฉงหยางเป็นของว่างเจ้าค่ะฮูหยินน้อย” บ่าวไพร่คนหนึ่งบอกแล้วยกจานขนมมาส่งให้ หญิงสาวรับมากัดเคี้ยวแล้วเสมองไปรอบ ๆ ก็เห็นคนคุ้นตานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่มุมหนึ่งโดยมีบ่าวรุ่นน้องคอยประคบร้อนบริเวณไหล่ให้อยู่ “มานั่งอู้อยู่รึอันหยิน” “บ่าวปวดระบมไปทั้งแผงไหล่เลยเจ้าค่ะ วันนั้นที่ฮูหยินน้อยปราบโจรขโมยถุงเงินแล้วได้ของรับขวัญมาตั้งมากมาย ถ้ารู้อย่างนี้จะให้หงเอ๋อร์กับไห๋เอ๋อร์ติดตามไปด้วยก็ดี” “โทษข้าอยู่รึ” “ใครจะไปกล้ากันล่ะเจ้าคะ” พราวฝันยัดขนมส่วนที่เหลือเข้าปากแล้วไล่เด็กสาวที่กำลังนั่งประคบแบบขอไปทีออกไปโดยพาตัวเองเข้าไปแทนที่ “ฮูหยินน้อยจะทำอะไรบ่าวเจ้าคะ บ่าวไม่ได้จะตำหนิฮ
บทที่ 30บุปผาหอมที่เริ่มคุ้นชิน สตรีสองนางขนาบข้างไปด้วยกันตามทางเดินแคบ ๆ พร้อมบ่าวไพร่ที่ช่วยถือของฝากบางส่วนตามมา “คงต้องขอบคุณฮูหยินน้อยโต้วที่กรุณาให้ข้าเข้าเยี่ยมสหายตั้งแต่วัยเยาว์ในวันนี้” ผู้มาเยือนเริ่มเปิดสนทนาด้วยการเหน็บแนมเล็กน้อย หากแต่ผู้ทำหน้าที่เจ้าบ้านเพียงยิ้มบาง ๆ ตอบกลับไปเท่านั้น “ยามที่ป่วยไข้ตงหมิงมักจะอยากกินบ๊วย... เจ้าทราบรึไม่” “ไม่... ข้าไม่ทราบ” เมี่ยวลี่ฟางเสวี่ยแค่นหัวเราะเบา ๆ ราวกับไพ่ใบนั้นกลับมาอยู่ในมือนางแล้ว “ตอนแปดขวบโต้วตงหมิงจมน้ำหลังจากขึ้นมาได้เขาก็ป่วยเป็นไข้ซมอยู่หลายวันอีกทั้งยังจืดปากจืดคอจนกินอะไรไม่ลง ข้าจึงนำบ๊วยเค็มนี่มาให้เขา หลังจากได้ลิ้มรสมันเขาก็ติดใจทันที ทุกครั้งเมื่อเขาป่วยหนักหลังฟื้นไข้ก็จะถามหาเม็ดบ๊วยเค็มอยู่เสมอ เขาบอกว่ามันทำให้เขาสดชื่นและกระตุ้นการรับรสได้ดี...” พราวฝันเพียงมองที่อีกฝ่ายเล่าเรื่องราวในอดีตด้วยใบหน้ามีความสุข “แม่นางเมี่ยวคงสนิทสนมกับสามีของข้ามาก” “ใช่... เราสองคนสนิทกันมากจนใคร ๆ ต่างก็คิดว่