ログインเช้าวันรุ่งขึ้น...
แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องกระทบหลังคากระเบื้องของจวนเสนาบดี แต่บรรยากาศภายในกลับคึกคักและร้อนระอุยิ่งกว่าแดดยามเที่ยงวัน ข่าวเรื่องคุณหนูใหญ่กู้ซินซินสั่งเผาเสื้อผ้า และเครื่องประดับล้ำค่าของตนเองจนสิ้น กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดในหมู่บ่าวไพร่
"ข้าเห็นกับตาเลยนะ!!" ป้าหลี่ แม่ครัวร่างท้วมกล่าวขณะสับผักเสียงดังฉับๆ "ควันไฟโขมงขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับมังกรพ่นไฟ กลิ่นผ้าไหมราคาแพงถูกเผาไหม้ยังติดจมูกข้าอยู่เลย!"
"น่าเสียดายจริง ๆ" สาวใช้คนหนึ่งเสริมขึ้น
"เครื่องประดับแต่ละชิ้นนั้นล้ำค่าหาใดเปรียบ โดยเฉพาะปิ่นทองคำรูปผีเสื้อประดับทับทิมอันนั้น ข้าได้ยินว่าใต้เท้าเสนาบดีประมูลมาให้คุณหนูด้วยราคาสูงลิ่ว!!"
"ข้าว่านะ... คุณหนูคงจะเสียสติไปแล้วจริง ๆ" บ่าวชายคนสวนกระซิบกระซาบ "การถูกองค์รัชทายาทตบหน้าต่อหน้าธารกำนัลคงเป็นเรื่องที่นางรับไม่ได้"
"ข้าก็คิดเช่นนั้น นางคงคลุ้มคลั่งไปแล้วเป็นแน่"
ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วจวนราวกับไฟลามทุ่ง ทุกคนต่างลงความเห็นว่าคุณหนูใหญ่ผู้เอาแต่ใจ บัดนี้ได้กลายเป็นคนเสียสติไปเสียแล้ว แต่ไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่า ต้นเหตุของความวุ่นวายทั้งหมดนั้น กำลังนั่งจิบชาอย่างสงบอยู่ในเรือนพักของตนเองราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
กู้ซินซินในชุดนอนผ้าไหมสีขาวเรียบง่ายนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งที่บัดนี้ว่างเปล่าจนน่าใจหาย ในมือของเธอคือพู่กัน และกระดาษ บนนั้นคือภาพร่างชุดที่ดูเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความหรูหราอย่างที่ไม่เคยมีใครในยุคนี้เคยเห็นมาก่อน มันคือความเรียบง่ายที่ผ่านการคิดคำนวณมาอย่างดี หลักการออกแบบจากโลกอนาคตที่เน้นการตัดเย็บที่เฉียบคมและเส้นสายที่ส่งเสริมรูปร่างของผู้สวมใส่ ไม่ใช่การอัดแน่นไปด้วยลายปักรกรุงรังเพื่อแสดงฐานะ
"ชิงหลวน" เธอกล่าวกับสาวใช้คนสนิทที่ยังคงมีสีหน้าสับสนและเป็นห่วง "ข้าต้องการผ้าไหมเนื้อดีที่สุดสีน้ำเงินเข้มเหมือนท้องฟ้ายามราตรี ไม่เอาลายปักใด ๆ ทั้งสิ้น"
"เจ้าคะ? ไม่เอาลายปักเลยหรือเจ้าคะ?" ชิงหลวน ทวนคำอย่างไม่อยากจะเชื่อ
"ใช่ ไม่เอาเลยแม้แต่ปลายเส้นด้าย" กู้ซินซินยืนยัน "แล้วก็หาผ้าโปร่งสีเงินยวงเนื้อละเอียดที่สุดสำหรับทำแขนเสื้อ ตัดเย็บตามแบบที่ข้าร่างไว้นี้ ต้องเสร็จภายในสามวัน"
ชิงหลวน มองภาพร่างนั้นอย่างงุนงง มันเป็นชุดที่ดู 'ว่างเปล่า' เกินไปในสายตาของนาง ไม่มีลายปักหงส์มังกร ไม่มีดอกโบตั๋น ไม่มีสีสันเจ็ดแปดอย่างในชุดเดียว มันจะงดงามได้อย่างไร? ในแวดวงคุณหนูชั้นสูง การประชันความงามก็คือการประชันความหรูหราของอาภรณ์มิใช่หรือ?
"แต่ว่า... คุณหนูเจ้าคะ ชุดแบบนี้มันจะดูจืดชืดเกินไปหรือไม่เจ้าคะ? ในงานเทศกาลชมบุปผา คุณหนูท่านอื่นคงจะแต่งกายประชันกันอย่างเต็มที่ หากคุณหนูสวมชุดเรียบ ๆ เช่นนี้ไป..." ชิงหลวน พูดไม่ออก นางกลัวว่าคุณหนูของนางจะกลายเป็นตัวตลกยิ่งกว่าเดิม
กู้ซินซิน วางพู่กันลงแล้วหันมายิ้มให้สาวใช้ "ชิงหลวน เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือความงามที่แท้จริง? " นางเอ่ยถาม "ความงามที่แท้จริงไม่ใช่การให้เสื้อผ้ามาสวมใส่เรา แต่คือการที่เราสวมใส่เสื้อผ้าต่างหาก"
ชิงหลวน ทำหน้างุนงงเข้าไปใหญ่
กู้ซินซิน จึงอธิบายต่อ "เสื้อผ้าที่งดงามที่สุด คือเสื้อผ้าที่ขับเน้นความงามของผู้สวมใส่ ไม่ใช่เสื้อผ้าที่โดดเด่นจนกลบความงามของคน ความงามที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องใช้สีสันมากมายมาประโคมหรอก บางครั้งความเรียบง่ายต่างหากที่ทรงพลังที่สุด... ไปจัดการตามที่ข้าสั่งเถอะ ข้าเชื่อใจฝีมือเจ้า"
คำพูดที่สุขุมลุ่มลึกและแววตาที่เปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นนั้นทำให้ ชิงหลวน ไม่กล้าทัดทานอีก นางรู้สึกราวกับคุณหนูตรงหน้าได้กลายเป็นคนละคนไปแล้ว คนที่ฉลาดและน่าเกรงขามอย่างน่าประหลาด นางจึงรับคำสั่งและรีบออกไปจัดการอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนัก ข่าวเรื่องคุณหนูใหญ่สติฟั่นเฟือนก็ไปถึงหูของ เสนาบดีกู้เจิ้งสือ ผู้เป็นบิดา เขารีบรุดมาที่เรือนของบุตรสาวด้วยความเป็นห่วงและหนักใจ สิ่งที่เขาเห็นทำให้เขาต้องหยุดชะงักงันอยู่หน้าประตู
บุตรสาวของเขาที่ปกติแล้วจะต้องประโคมเครื่องสำอางจนหนาเตอะ และสวมเสื้อผ้าสีรุ้ง บัดนี้กลับอยู่ในชุดอยู่บ้านสีอ่อนเรียบง่าย ใบหน้าที่เคยขาววอกบัดนี้สะอาดเกลี้ยงเกลาเผยให้เห็นผิวพรรณที่งดงามตามธรรมชาติ นางกำลังนั่งอ่านตำราอย่างสงบนิ่ง ท่าทางนั้นดูสง่างามและฉลาดเฉลียวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
"ซินซิน... ลูกเป็นอะไรไป?" เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกังวล พลางกวาดตามองรอบห้องที่ดูโล่งเตียนผิดปกติ
กู้ซินซิน เงยหน้าขึ้นจากตำราแล้วยิ้มให้บิดา เป็นรอยยิ้มที่จริงใจและอ่อนโยน ต่างจากรอยยิ้มเสแสร้งเอาแต่ใจที่เขาคุ้นเคย
"ท่านพ่อ ท่านมาแล้วหรือเจ้าคะ เชิญนั่งก่อนสิเจ้าคะ" นางลุกขึ้นรินชาให้เขาด้วยท่าทีนอบน้อม
"ลูกสบายดีเจ้าค่ะ แค่คิดได้ว่าที่ผ่านมาลูกทำตัวเหลวไหลไปมากแค่ไหน ลูกอยากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่เจ้าค่ะ"
เสนาบดีกู้มองบุตรสาวด้วยความตกตะลึงปนยินดี เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง แต่การเปลี่ยนแปลงนี้กลับเป็นสิ่งที่เขาภาวนามาตลอดหลายปี
"ดี... ดีแล้วลูกพ่อ" เขากล่าวพลางลูบเคราตัวเอง "เช่นนั้นก็ดีแล้ว"
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ที่ตำหนักบูรพา องค์รัชทายาทกำลังรู้สึกหงุดหงิดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ภาพของ กู้ซินซิน ที่หันหลังเดินจากไปเมื่อวานยังคงติดอยู่ในหัวของเขา ท่าทีเย็นชาและแววตาที่ว่างเปล่านั้นรบกวนจิตใจเขาอย่างน่าประหลาด
"นางเป็นบ้าไปแล้วหรือไร? ปกติต้องตามมาอ้อนวอนข้าแล้วไม่ใช่รึ?" เขาพึมพำกับตัวเอง
"ทูลองค์รัชทายาท ได้ข่าวจากจวนเสนาบดีว่า เมื่อเย็นวานคุณหนูกู้สั่งให้คนเผาเสื้อผ้าและเครื่องประดับทิ้งทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ!!" ขันทีคนสนิทเข้ามารายงาน
องค์รัชทายาทขมวดคิ้วแน่น "เผาทิ้ง? นางเล่นละครอะไรอีก?" เขายิ่งรู้สึกว่าสตรีผู้นี้น่ารำคาญและคาดเดายากขึ้นทุกที แต่ลึก ๆ แล้วเขากลับปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึก อยากรู้เรื่องของนางมากขึ้น
สามวันต่อมา เทศกาลชมบุปผาประจำปีก็มาถึง
เป็นงานเลี้ยงที่ ไทเฮา ทรงจัดขึ้นเพื่อให้เหล่าคุณหนูคุณชายได้มาพบปะสังสรรค์ และแน่นอนว่านี่คือเวทีเปิดตัวที่สมบูรณ์แบบที่สุด
เมื่อรถม้าของจวนเสนาบดีมาถึง ทุกสายตาก็จับจ้องเป็นตาเดียว ทุกคนต่างรอคอยที่จะได้เห็นการปรากฏตัวของ 'ตัวตลกแห่งเมืองหลวง' อย่างกู้ซินซิน
แต่เมื่อม่านรถม้าถูกเปิดออก... ทุกคนในที่นั้นกลับต้องเงียบกริบราวกับถูกสาป
ร่างระหงในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มราวกับรัตติกาลก้าวลงมาจากรถม้า ชุดนั้นไม่มีลวดลายปักใดๆ แต่กลับขับเน้นผิวขาวผ่องของนางให้โดดเด่นราวกับหยกเรืองแสง แขนเสื้อโปร่งบางสีเงินสะท้อนแสงเป็นประกายระยิบระยับทุกครั้งที่ขยับกาย เส้นผมสีดำขลับถูกรวบขึ้นอย่างง่ายๆ ด้วยปิ่นหยกขาวเพียงอันเดียว แต่ที่น่าตกตะลึงที่สุดคือใบหน้าของนาง...
ใบหน้านั้นถูกแต่งแต้มอย่างบางเบาจนเหมือนไม่ได้แต่ง คิ้วได้รูปสวยงาม ดวงตาหงส์ถูกขับเน้นให้คมกริบยิ่งขึ้นด้วยการเขียนขอบตาเพียงบางๆ และริมฝีปากอิ่มก็มีเพียงสีชมพูระเรื่อตามธรรมชาติ
นี่ไม่ใช่ กู้ซินซิน ที่ทุกคนรู้จักอีกต่อไป แต่นี่คือเทพธิดาที่จุติลงมาจากสรวงสวรรค์ชัด ๆ!!
เสียงฮือฮาดังขึ้นรอบทิศทาง เหล่าคุณชายที่เคยดูแคลนนางต่างจ้องมองตาไม่กะพริบ ส่วนเหล่าคุณหนูที่เคยหัวเราะเยาะนางต่างก็เบิกตากว้างด้วยความอิจฉาริษยา
องค์รัชทายาทที่กำลังยืนคุยอยู่กับ ไป๋ลี่อิน ถึงกับชะงักค้าง เขามองภาพตรงหน้าราวกับต้องมนตร์สะกด สตรีที่งดงามสง่าคนนั้นคือคู่หมั้นที่เขาเพิ่งตบหน้า และผลักไสอย่างไม่ไยดีไปเมื่อสามวันก่อนจริงๆ หรือ? หัวใจของเขากระตุกวูบอย่างรุนแรง ความรู้สึกซับซ้อนที่ยากจะอธิบายถาโถมเข้ามาในอก เป็นความรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าด้วยความงามของนาง ความตระหนักว่าตนเองได้มองข้ามสิ่งล้ำค่าที่สุดไป และความรู้สึกหวงแหนบางอย่างที่เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ เป็นครั้งแรก
ณ มุมหนึ่งของงานเลี้ยง ซึ่งห่างไกลจากความวุ่นวาย บุรุษในอาภรณ์สีนิลสนิทกำลังนั่งจิบชาอย่างสงบเงียบ เขาคือ องค์ชายสี่ เซียวเช่อ หรือที่ทุกคนขนานนามว่า 'อ๋องปีศาจ' ผู้เย็นชาและโหดเหี้ยม ดวงตาคมกริบของเขามองผ่านฝูงชนไปยังร่างของ กู้ซินซิน ในขณะที่คนอื่นกำลังตะลึงในความงามของนาง สิ่งที่เขาสนใจกลับเป็นแววตาที่นิ่งสงบและสุขุมเยือกเย็นคู่นั้น... แววตาที่ไม่เหมือนสตรีโง่งมที่เขาเคยได้ยินมาเลยแม้แต่น้อย
"น่าสนใจ..." เขากระซิบกับตัวเองพลางยกจอกชาขึ้นจรดริมฝีปาก มุมปากปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดา
กู้ซินซิน สัมผัสได้ถึงทุกสายตาที่มองมา แต่นางกลับไม่รู้สึกประหม่าแม้แต่น้อย นางเดินผ่านฝูงชนด้วยท่าทีสง่างามราวกับหงส์ มุ่งตรงไปยังที่ประทับของ ไทเฮา โดยไม่สนใจสายตาของ องค์รัชทายาท ที่มองตามมาอย่างไม่วางตา
นางย่อกายถวายพระพรอย่างนุ่มนวล และถูกต้องตามแบบแผนทุกกระเบียดนิ้ว "กู้ซินซิน ถวายพระพรไทเฮาเพคะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปีเพคะ"
ไทเฮาทรงมองนางด้วยแววตาประหลาดใจ และชื่นชม "ลุกขึ้นเถิด ซินซิน วันนี้เจ้าดูเปลี่ยนไปมาก งดงามสง่าจนข้าแทบจำไม่ได้"
กู้ซินซิน ยิ้มบางๆ "ขอบพระทัยเพคะไทเฮา หม่อมฉันเพียงแต่คิดได้ว่า ความงามที่แท้จริงหาใช่เครื่องประดับนอกกาย แต่คือความสงบในจิตใจเพคะ"
คำตอบที่เฉียบแหลม และสุขุมเกินวัยทำให้เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ได้ยินต่างพยักหน้าอย่างชื่นชม ในขณะที่ ไป๋ลี่อิน ซึ่งเดินตามองค์รัชทายาท มาใบหน้าซีดลงเล็กน้อย ก่อนจะรีบปรับสีหน้าเป็นยิ้มหวานแล้วเอ่ยขึ้น "พี่หญิงซินซินกล่าวได้ถูกต้องแล้วเจ้าคะ ท่านดูงดงามอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจริงๆ"
กู้ซินซิน หันไปมองนางด้วยสายตาเรียบเฉย "ขอบใจน้องหญิงลี่อิน คนเราย่อมเปลี่ยนแปลงได้ โดยเฉพาะเมื่อผ่านเรื่องราวที่ทำให้ตาสว่าง... จริงหรือไม่เพคะ องค์รัชทายาท" ประโยคสุดท้ายนางหันไปทาง องค์รัชทายาท ที่ยืนหน้าเขียวสลับแดงอยู่ข้างๆ
ราวกับถูกตบหน้าอีกครั้ง องค์รัชทายาทกำหมัดแน่น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากกล่าวเสียงแข็ง "เจ้า... พูดจามีหลักการขึ้นนี่"
"หม่อมฉันเพียงแค่พูดความจริงเพคะ" นางตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะขอตัวไปนั่งในที่ของตน ปล่อยให้องค์รัชทายาท และ ไป๋ลี่อิน ยืนเป็นเป้านิ่งให้คนมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เกมกระดานนี้... เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
ห้าปีต่อมา...กาลเวลาได้ผันผ่านไปราวกับสายน้ำที่ไม่เคยไหลกลับ แผ่นดินต้าเยี่ยนภายใต้การดูแลขององค์รัชทายาทเซียวเช่อ และพระชายากู้ซินซินได้เข้าสู่ยุคสมัยที่รุ่งเรืองและสงบสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราษฎรอยู่ดีกินดี การค้าขายเฟื่องฟู เหล่าขุนนางต่างตั้งใจทำงานรับใช้บ้านเมืองด้วยความซื่อสัตย์สุจริตองค์หญิงน้อยเซียวซือซิน บัดนี้เจริญชันษาได้แปดขวบ และองค์ชายน้อยเซียวจื่ออาน พระชันษาสี่ขวบ ทั้งสองพระองค์ทรงเป็นที่รักใคร่ของทุกคนในวังหลวง องค์หญิงน้อยทรงพระปรีชาสามารถเกินวัย ทรงได้รับการถ่ายทอดสติปัญญาอันหลักแหลมมาจากพระมารดา และได้รับการสอนวรยุทธ์และวิชาการปกครองจากพระบิดาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ส่วนองค์ชายน้อยนั้นก็ทรงน่ารักน่าเอ็นดูและเริ่มฉายแววความเฉลียวฉลาดตามรอยพระเชษฐภคินี (พี่สาว)ณ ห้องทรงอักษรในตำหนักตะวันออก..."เสด็จพ่อเพคะ... หากเราต้องการจะส่งเสบียงไปยังหัวเมืองชายแดนที่ห่างไกล เหตุใดเราจึงไม่ใช้เส้นทางแม่น้ำสายใหม่ที่เพิ่งจะขุดแล้วเสร็จเล่าเพคะ? มันน่าจะรวดเร็วกว่าการใช้เกวียนเทียมม้ามิใช่หรือ?" องค์หญิงน้อยซือซินในชุดสีเหลืองอ่อนเอ่ยถามพระบิดา ขณะที่กำลังนั่งดูแผนที่แผ่นใหญ
สามปีผ่านไป...องค์หญิงน้อย "เซียวซือซิน" ผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจขององค์รัชทายาทและพระชายา บัดนี้เจริญชันษาได้สามขวบพอดี นางคือส่วนผสมที่ลงตัวที่สุดของบิดาและมารดา... นางได้รับดวงตากลมโตที่ฉายแววฉลาดหลักแหลมมาจากกู้ซินซิน และได้รับริมฝีปากบางเฉียบที่มักจะเม้มเข้าหากันอย่างดื้อรั้นมาจากเซียวเช่อองค์หญิงน้อยทรงเป็นเด็กที่ร่าเริง และซุกซนเกินวัย นางไม่เคยอยู่นิ่งได้นานเกินหนึ่งเค่อ และโปรดปรานการวิ่งเล่นไล่จับผีเสื้อในสวนสวยของตำหนักเป็นที่สุด โดยมี "พระบิดาผู้พ่ายแพ้" คอยวิ่งไล่ตามอย่างไม่ลดละอยู่เสมอ ภาพขององค์รัชทายาทผู้สง่างามที่ต้องยอมแพ้ให้กับเสียงหัวเราะคิกคักของธิดาตัวน้อย กลายเป็นภาพที่น่าเอ็นดู และคุ้นชินสำหรับทุกคนในตำหนักในฤดูใบไม้ร่วงปีนั้น หลังจากที่เก็บเกี่ยวผลผลิตทั่วทั้งแคว้นเป็นไปได้ด้วยดี องค์ฮ่องเต้ก็ได้ทรงมีพระราชโองการให้องค์รัชทายาทและพระชายา พร้อมด้วยองค์หญิงน้อย เสด็จประพาสหัวเมืองทางเหนือที่เคยประสบภัยแล้งเมื่อหลายปีก่อน เพื่อตรวจดูทุกข์สุขของราษฎร และตรวจสอบการทำงานของเหล่าขุนนางท้องถิ่นมันคือภารกิจสำคัญ... แต่สำหรับครอบครัวเล็ก ๆ นี้แล้ว... มันคือการเดินทางไ
หนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็วหลังงานวิวาห์ของจ้าวหยาง และหลินเฟยเฟยแผ่นดินต้าเยี่ยนสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองภายใต้การดูแลขององค์รัชทายาทเซียวเช่อและพระชายากู้ซินซิน ความรักและความเข้าใจของคนทั้งสองกลายเป็นต้นแบบที่เหล่าหนุ่มสาวทั่วทั้งแคว้นต่างใฝ่ฝันถึงแต่แล้ว... ความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ก็ได้เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ ในตำหนักรัชทายาทตะวันออก"อุ๊บ..."กู้ซินซินยกมือขึ้นปิดปากอย่างรวดเร็ว นางรีบวิ่งออกจากห้องหนังสือไปยังสวนด้านนอกทันที เซียวเช่อที่กำลังตรวจดูฎีกาอยู่ถึงกับขมวดคิ้วด้วยความกังวล เขารีบวางทุกอย่างลงแล้วเดินตามนางออกไป"ซินซิน! เจ้าเป็นอะไรไป!?" เขาถามเสียงเครียดขณะลูบหลังให้นางเบา ๆ "นี่เป็นครั้งที่สามในสัปดาห์นี้แล้วนะที่เจ้ามีอาการเช่นนี้ หรือว่าอาหารมื้อกลางวันจะมีปัญหาอะไร? ข้าจะไปสั่งลงโทษห้องเครื่องเดี๋ยวนี้""ไม่... ไม่ใช่เพคะ" นางส่ายหน้าช้า ๆ หลังจากที่อาการคลื่นไส้ทุเลาลง "หม่อมฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้... ช่วงนี้หม่อมฉันรู้สึกเหม็นกลิ่นขนมอบของตัวเองอย่างประหลาด ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนชอบมากแท้ ๆ""เหม็นกลิ่นขนมรึ?" เขายิ่งขมวดคิ้วแน่น "แล
หลายเดือนผ่านไปนับตั้งแต่วันที่จ้าวหยางคุกเข่าขอหลินเฟยเฟยแต่งงานท่ามกลางสักขีพยานเต็มร้านข่าวดีนี้ได้สร้างความยินดีให้กับทุกคน โดยเฉพาะกู้ซินซินและองค์รัชทายาทเซียวเช่อที่รับบทเป็น "พ่อสื่อแม่สื่อ" อย่างไม่เป็นทางการให้กับคนทั้งสองมาโดยตลอด ฤกษ์งามยามดีสำหรับงานวิวาห์ถูกกำหนดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยโหรหลวง และการเตรียมงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปีก็ได้เริ่มต้นขึ้น... พร้อมกับความโกลาหลที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันณ ตำหนักรัชทายาทตะวันออก"กระหม่อมไม่ไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะพระชายา! ข้าทนไม่ไหวแล้วจริงๆ!"จ้าวหยางในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง และขอบตาคล้ำเหมือนหมีแพนด้า วิ่งเข้ามาระบายความอัดอั้นตันใจกับกู้ซินซินที่กำลังนั่งจิบชาอยู่ในศาลากลางน้ำอย่างหมดสภาพ ความองอาจของรองแม่ทัพองครักษ์เงาหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงว่าที่เจ้าบ่าวผู้ใกล้จะเสียสติเต็มทน"ใจเย็น ๆ ก่อนจ้าวหยาง เกิดอะไรขึ้นอีกแล้วล่ะ?" ซินซินถามพลางกลั้นหัวเราะ "ดูจากสภาพของเจ้าแล้ว... เฟยเฟยคงจะสร้างเรื่องปวดหัวให้เจ้าอีกตามเคยสินะ""เรื่องปวดหัวธรรมดาที่ไหนกันล่ะพ่ะย่ะค่ะ! นี่มันมหันตภัยชัด ๆ" เขาโอดครวญ "เรื่องแรกก็คือชุดเจ้าสาว! นางไม่พอใจชุด
หลังจากวันพิพากษาอันน่าตื่นตะลึง คลื่นลมทางการเมืองที่เคยปั่นป่วนก็ได้สงบลงอย่างรวดเร็วภายใต้การควบคุมขององค์รัชทายาทองค์ใหม่ การกวาดล้างขุนนางกังฉินที่เป็นเครือข่ายของราชครูไป๋ดำเนินไปอย่างเด็ดขาดแต่ยุติธรรม ผู้ที่ทำผิดจริงถูกลงโทษ ส่วนผู้ที่ถูกบังคับหรือหลงผิดก็ได้รับการไต่สวนอย่างเป็นธรรม ทำให้ราชสำนักกลับมาใสสะอาดและมั่นคงอีกครั้งในเวลาอันสั้นชีวิตของทุกคนค่อย ๆ กลับคืนสู่ภาวะปกติ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่เหมือนเดิมอีกต่อไป...ณ ร้านหวานใจ..."ท่านจะมานั่งเฝ้าข้าที่ร้านทุกวันแบบนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ!" หลินเฟยเฟยกล่าวกับจ้าวหยางที่บัดนี้นั่งประจำอยู่ที่โต๊ะมุมในสุดของร้านทุกบ่ายราวกับเป็นรูปปั้น "ท่านเป็นถึงรองแม่ทัพองครักษ์เงา ไม่มีการมีงานทำแล้วหรืออย่างไร""ข้าทำเสร็จแล้ว" จ้าวหยางตอบเสียงเรียบ พลางจิบชา แต่สายตากลับไม่ได้ละไปจากนางเลย "ท่านอ๋อง... เอ่อ... องค์รัชทายาททรงอนุญาตแล้ว""แต่ท่านทำให้ข้าทำงานไม่สะดวกนี่นา!""ข้าก็นั่งของข้าเฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไรให้เจ้าเดือดร้อนเสียหน่อย" เขาเถียง "ข้าแค่... มาดูให้แน่ใจว่าเจ้าจะปลอดภัย"นับตั้งแต่วันที่นางถูกลักพาตัวไป จ้าวหยางก็เปลี่ยนไปราวกับเป
หนึ่งเดือนผ่านไปหลังจากค่ำคืนแห่งการนองเลือดในวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมืองหลวงก็ได้กลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง แต่เป็นความสงบสุขที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่และลึกซึ้งที่ทุกคนต่างสัมผัสได้ราชครูไป๋ และเหล่าขุนนางกบฏถูกตัดสินโทษประหารชีวิตเจ็ดชั่วโคตรตามพระราชโองการ แต่ด้วยพระเมตตาขององค์ฮ่องเต้ที่ทรงเห็นว่าเหล่าสตรีในตระกูลไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในแผนการอันชั่วร้าย จึงทรงละเว้นโทษตายให้ โดยให้เนรเทศพวกนางไปเป็นไพร่ยังเมืองชายแดนที่ห่างไกลแทน ตระกูลที่เคยยิ่งใหญ่และทรงอำนาจมากมายต้องล่มสลายลงในชั่วข้ามคืน กลายเป็นเพียงเรื่องเล่าขานไว้เตือนใจคนรุ่นหลัง ส่วนอดีตองค์รัชทายาทเซียวจิน ผู้ซึ่งเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด หลังจากถูกไต่สวนและพบหลักฐานความผิดในการสมรู้ร่วมคิดก่อการกบฏอย่างแน่นหนา ก็ถูกพิพากษาให้ดื่มสุราพิษพระราชทาน สิ้นสุดชีวิตอันน่าสมเพชของตนเองลงอย่างเงียบ ๆ ภายในคุกหลวง ปิดฉากตำนานของอดีตรัชทายาทผู้โฉดเขลาลงอย่างสมบูรณ์คลื่นลมในราชสำนักสงบลงอย่างรวดเร็วภายใต้การควบคุมสถานการณ์อย่างเฉียบขาดของอ๋องสี่ เขาได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากเหล่าขุนนางที่ภักดี และได้รับกา







