เข้าสู่ระบบสวนบุปผาหลวงในวันนี้งดงามราวกับภาพวาดของจิตรกรเอก ดอกไม้นานาพันธุ์เบ่งบานชูช่ออวดสีสันสดใส ส่งกลิ่นหอมหวานอบอวลไปทั่วบริเวณ เสียงพิณอันไพเราะคลอเคล้าไปกับเสียงหัวเราะใส ๆ ของเหล่าคุณหนูและคุณชายที่แต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหราหลากสีสัน ทว่า... การปรากฏตัวของสตรีผู้หนึ่งกลับทำให้ทุกสรรพสิ่งราวกับหยุดนิ่ง
ท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ที่จับจ้องมา กู้ซินซิน ยังคงก้าวเดินด้วยท่วงท่าสงบนิ่งและมั่นคงราวกับหงส์ แต่ละย่างก้าวของนางดูมั่นคงและสง่างาม ไม่ได้สนใจสายตาเหล่านั้นแม้แต่น้อย
ภาพที่นางย่อกายถวายพระพรด้วยท่วงท่าที่งดงามไร้ที่ติราวกับถูกวัดมาทุกกระเบียดนิ้ว แม้จะอยู่ในร่างนี้เป็นครั้งแรก แต่ความรู้ด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่สั่งสมมาทำให้เธอเข้าใจขนบธรรมเนียมเหล่านี้ได้ไม่ยาก
ไทเฮาทรงแย้มพระสรวลอย่างพึงพอพระทัย พระองค์ทรงมีพระชนมายุมากแล้ว แต่พระเนตรยังคงแจ่มใส และเปี่ยมด้วยพระเมตตา พระองค์ทรงเอ็นดู กู้ซินซิน มาแต่ไหนแต่ไรเพราะเป็นสหายรักกับฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนสกุลกู้ผู้เป็นย่าของนาง
ไทเฮาทรงตรัสพลางกวักพระหัตถ์เรียกให้นางเข้าไปใกล้ๆ "ไม่ได้เจอกันนาน ดูเจ้า... งดงามขึ้นมากจริงๆ" พระองค์ทรงพิจารณานางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยความชื่นชม "การแต่งกายเช่นนี้ดูแปลกตา แต่กลับขับเน้นความงามของเจ้าได้อย่างน่าประหลาดใจ"
คำชมนั้นทำให้ทุกคนในที่นั้นหันมามองเป็นตาเดียว โดยเฉพาะเหล่าคุณหนูที่กำลังอิจฉาตาร้อน
กู้ซินซิน ยิ้มรับอย่างนอบน้อม "ขอบพระทัยเพคะเสด็จย่าไทเฮา ที่ผ่านมาซินซินยังเยาว์วัยนักไม่รู้จักความ แต่บัดนี้ซินซินโตแล้ว จึงอยากทำตัวให้สมกับที่เป็นหลานสาวของท่านย่าเพคะ"
คำตอบนั้นทั้งถ่อมตน และฉลาดเฉลียวทำให้ไทเฮายิ่งทรงพอพระทัยมากขึ้นไปอีก
แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะพอใจ ไป๋ลี่อินซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล ในใจร้อนรุ่มดั่งไฟเผา นางเคยเป็นดาวเด่นของงานเสมอมา แต่การปรากฏตัวของกู้ซินซินในวันนี้กลับขโมยทุกสายตาไปจากนางจนหมดสิ้น ความริษยาทำให้นางไม่อาจทนดูต่อไปได้ นางจึงก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมกับรอยยิ้มหวานหยด แต่แววตากลับแฝงไว้ด้วยยาพิษ
"พี่หญิงซินซิน เปลี่ยนแปลงไปมากจริงๆ นะเพคะ ราวกับเป็นคนละคน" นางกล่าวด้วยน้ำเสียงใสซื่อ "การแต่งกายเช่นนี้เรียบง่ายแต่งดงามนัก ไม่ทราบว่าไปได้ความคิดมาจากที่ใดหรือเจ้าคะ หรือว่า... พี่หญิงกำลังทำตามอย่างผู้ใดอยู่?"
คำพูดนั้นจงใจเหน็บแนมอย่างชัดเจนว่ากู้ซินซินกำลังพยายามเลียนแบบสไตล์การแต่งตัวที่เรียบง่ายแต่ดูดีของไป๋ลี่อิน ซึ่งเป็นที่ชื่นชมในแวดวงคุณหนูชั้นสูง
หากเป็นกู้ซินซินคนก่อน คงจะกรีดร้องโวยวาย และตอบโต้อย่างโง่เขลาไปแล้ว แต่กู้ซินซินคนใหม่กลับเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ สายตาของนางมองไป๋ลี่อินอย่างประเมินราวกับ นักจิตวิทยากำลังวิเคราะห์คนไข้
"น้องหญิงลี่อินเข้าใจผิดแล้ว" นางตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ชัดเจน "ข้าไม่ได้เลียนแบบผู้ใด เพียงแต่ข้าคิดได้ว่า... สตรีเรานั้นมีความงามในแบบของตนเอง ไม่จำเป็นต้องพยายามเป็นเหมือนใคร" นางหยุดเว้นจังหวะ ก่อนจะกล่าวต่อ "อีกอย่าง... เสื้อผ้าอาภรณ์ก็เป็นเพียงของนอกกาย สิ่งที่สำคัญกว่าคือจิตใจและความคิดมิใช่หรือ? หากจิตใจคับแคบ ต่อให้สวมอาภรณ์งดงามเพียงใด ก็ไม่อาจปิดบังความริษยาที่ซ่อนอยู่ภายในได้"
"เพี๊ยะ!" แม้จะไม่มีเสียง แต่คำพูดนั้นก็เหมือนตบหน้าไป๋ลี่อินฉาดใหญ่ ใบหน้างดงามของนางเปลี่ยนสีหน้าทันที ทุกคนในที่นั้นต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่มีใครคาดคิดว่ากู้ซินซินจะสามารถตอบโต้ได้อย่างเฉียบคมและร้ายกาจถึงเพียงนี้
ไทเฮาทรงพระสรวลออกมาเบาๆ อย่างถูกพระทัยยิ่งนัก
องค์รัชทายาทเซียวจิน ซึ่งยืนมองเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลาถึงกับพูดไม่ออก เขารู้สึกเหมือนเพิ่งได้รู้จักคู่หมั้นของตนเองเป็นครั้งแรก สตรีตรงหน้าช่างแตกต่างจากกู้ซินซินที่เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายในความทรงจำของเขาราวฟ้ากับเหว ความรู้สึกหวงแหนในใจเขายิ่งทบทวีคูณ เขาก้าวออกมาข้างหน้าหมายจะพูดอะไรบางอย่างกับนาง แต่กู้ซินซิน กลับทำเหมือนมองไม่เห็นเขา นางหันไปสนทนากับไทเฮาต่ออย่างเป็นธรรมชาติ ทิ้งให้เขายืนเก้ออยู่ตรงนั้น
ทางด้านอ๋องสี่ เซียวเช่อ มุมปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่แท้จริงเป็นครั้งแรก เขายกจอกชาขึ้นอีกครั้งราวกับกำลังดื่มอวยพรให้กับการแสดงอันยอดเยี่ยมตรงหน้า "สตรีผู้นี้น่าสนใจกว่าที่คิดไว้มากนัก"
ในขณะที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจกับการปะทะคารมอยู่นั้น ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีปัญหากำลังก่อตัวขึ้นที่ริมสระบัวขนาดใหญ่กลางสวน บรรดาองค์ชายน้อยหลายพระองค์กำลังวิ่งเล่นกันอย่างซุกซน และหนึ่งในนั้นคือองค์ชายน้อยพระองค์หนึ่งซึ่งเป็นพระโอรสองค์สุดท้องของฮ่องเต้ที่ไทเฮาทรงโปรดปรานที่สุด พลันสะดุดล้มและกำลังจะกลิ้งตกลงไปในสระน้ำ!!
นางกำนัลที่ดูแลอยู่กรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ แต่ก็อยู่ไกลเกินกว่าจะช่วยได้ทัน!!
ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ในขณะที่ทุกคนยังคงตกตะลึง ร่างของกู้ซินซินก็พุ่งถลาออกไปราวกับสายลม นางไม่ได้มีวรยุทธ์ใด ๆ แต่ด้วยสัญชาตญาณและการตัดสินใจที่เฉียบคมของคนยุคใหม่ นางพุ่งไปยังจุดที่องค์ชายน้อยกำลังจะตกลงไปได้อย่างแม่นยำ
โครม!!
ร่างของนางกระแทกเข้ากับพื้นหญ้าและคว้าข้อพระบาทขององค์ชายน้อยไว้ได้ทันเวลาพอดี ทำให้ร่างเล็กๆ นั้นหยุดชะงักอยู่แค่ขอบสระ ห่างจากผืนน้ำที่เย็นเยียบเพียงแค่คืบเดียวเท่านั้น
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนทุกคนแทบหยุดหายใจ เมื่อตั้งสติได้ เหล่านางกำนัล และองครักษ์ก็รีบวิ่งเข้าไปอุ้มองค์ชายน้อยขึ้นมาอย่างปลอดภัย กู้ซินซินค่อย ๆ พยุงตัวเองลุกขึ้น แขนเสื้อโปร่งบางสีเงินของนางขาดวิ่นและเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน แต่แววตาของนางยังคงสงบนิ่ง
ไทเฮาทรงรีบเสด็จลงมาจากศาลาด้วยพระพักตร์ที่ซีดเผือด เมื่อเห็นว่าหลานรักปลอดภัยดี พระองค์ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะหันมาจับมือกู้ซินซินไว้แน่น "ขอบใจเจ้ามาก ขอบใจเจ้ามากจริงๆ ซินซิน" พระสุรเสียงของไทเฮาสั่นเครือ "หากไม่ได้เจ้าในวันนี้ ข้าคง..."
"เป็นหน้าที่ของซินซินเพคะ" กู้ซินซินตอบกลับอย่างนอบน้อม
เหตุการณ์นี้ทำให้ภาพลักษณ์ของนางในสายตาของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นางไม่ได้เป็นเพียงสตรีที่งดงามขึ้น แต่ยังเป็นผู้ที่มีความกล้าหาญและมีไหวพริบอีกด้วย
องค์รัชทายาทมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม เขาทั้งทึ่ง ทั้งประทับใจ และรู้สึก... ละอายใจกับการกระทำของตนเองในอดีต
และในช่วงเวลาที่ทุกคนกำลังชื่นชมในความดีความชอบของนางนี่เอง กู้ซินซินก็ได้ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด นางเอามือออกจากไทเฮาอย่างนุ่มนวล ก้าวออกมายังใจกลางของลานกว้างที่ทุกคนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน บรรยากาศที่เคยโล่งอก และชื่นชมพลันเปลี่ยนเป็นความสงสัยในทันที นางทำอะไร? กำลังจะเรียกร้องรางวัลอะไร?
ท่ามกลางความเงียบงันนั้น กู้ซินซินสูดลมหายใจเข้าลึก แผ่นหลังของนางตั้งตรงอย่างสง่างามราวกับ ต้นสนที่ไม่ยอมโอนอ่อนให้พายุ จากนั้นนางจึงค่อย ๆ ย่อกายลงคุกเข่าลงต่อหน้าไทเฮา และองค์รัชทายาท การกระทำของนางไม่ใช่การคุกเข่าอย่างอ่อนแอ แต่เป็นการคุกเข่าที่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว และทระนง
"เสด็จย่าไทเฮา... องค์รัชทายาทเพคะ" นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น และชัดเจน "วันนี้ ซินซินมีเรื่องสำคัญอยากจะทูลขอ... ซินซิน อยากจะขอให้องค์รัชทายาท โปรดถอนหมั้นกับหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ"
สิ้นคำพูดนั้น เสียงฮือฮาก็ระเบิดขึ้นราวกับคลื่นยักษ์!! ทุกคนในที่นั้นต่างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ไม่มีใครคาดคิดว่าคุณหนูกู้ที่เคยวิ่งไล่ตามองค์รัชทายาทยังกับ เงาตามตัวจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอถอนหมั้นเสียเอง!!
นางหันไปทางไทเฮา "ทูลเสด็จย่าไทเฮา ที่ผ่านมาซินซินประพฤติตัวโง่เขลา สร้างความเสื่อมเสียให้แก่องค์รัชทายาท และราชวงศ์มานับครั้งไม่ถ้วน ความรักที่ซินซินเคยมีให้พระองค์นั้นเป็นเพียงความหลงใหลอย่างไร้สติของเด็กสาว หาใช่ความรักที่คู่ควรกับตำแหน่งพระชายาเอกในอนาคตไม่"
ณ มุมเดิม อ๋องสี่เซียวเช่อยกจอกชาขึ้นจรดริมฝีปากอีกครั้ง แววตาของเขาเป็นประกายเจิดจ้า "หงส์...คิดจะโบยบินเหนือมังกรเชียวรึ น่าสนใจ... น่าสนใจอย่างยิ่ง"
นี่คือบันไดขั้นแรกสู่อิสรภาพ... และเป็นก้าวแรกของตำนานบทใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
ห้าปีต่อมา...กาลเวลาได้ผันผ่านไปราวกับสายน้ำที่ไม่เคยไหลกลับ แผ่นดินต้าเยี่ยนภายใต้การดูแลขององค์รัชทายาทเซียวเช่อ และพระชายากู้ซินซินได้เข้าสู่ยุคสมัยที่รุ่งเรืองและสงบสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราษฎรอยู่ดีกินดี การค้าขายเฟื่องฟู เหล่าขุนนางต่างตั้งใจทำงานรับใช้บ้านเมืองด้วยความซื่อสัตย์สุจริตองค์หญิงน้อยเซียวซือซิน บัดนี้เจริญชันษาได้แปดขวบ และองค์ชายน้อยเซียวจื่ออาน พระชันษาสี่ขวบ ทั้งสองพระองค์ทรงเป็นที่รักใคร่ของทุกคนในวังหลวง องค์หญิงน้อยทรงพระปรีชาสามารถเกินวัย ทรงได้รับการถ่ายทอดสติปัญญาอันหลักแหลมมาจากพระมารดา และได้รับการสอนวรยุทธ์และวิชาการปกครองจากพระบิดาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ส่วนองค์ชายน้อยนั้นก็ทรงน่ารักน่าเอ็นดูและเริ่มฉายแววความเฉลียวฉลาดตามรอยพระเชษฐภคินี (พี่สาว)ณ ห้องทรงอักษรในตำหนักตะวันออก..."เสด็จพ่อเพคะ... หากเราต้องการจะส่งเสบียงไปยังหัวเมืองชายแดนที่ห่างไกล เหตุใดเราจึงไม่ใช้เส้นทางแม่น้ำสายใหม่ที่เพิ่งจะขุดแล้วเสร็จเล่าเพคะ? มันน่าจะรวดเร็วกว่าการใช้เกวียนเทียมม้ามิใช่หรือ?" องค์หญิงน้อยซือซินในชุดสีเหลืองอ่อนเอ่ยถามพระบิดา ขณะที่กำลังนั่งดูแผนที่แผ่นใหญ
สามปีผ่านไป...องค์หญิงน้อย "เซียวซือซิน" ผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจขององค์รัชทายาทและพระชายา บัดนี้เจริญชันษาได้สามขวบพอดี นางคือส่วนผสมที่ลงตัวที่สุดของบิดาและมารดา... นางได้รับดวงตากลมโตที่ฉายแววฉลาดหลักแหลมมาจากกู้ซินซิน และได้รับริมฝีปากบางเฉียบที่มักจะเม้มเข้าหากันอย่างดื้อรั้นมาจากเซียวเช่อองค์หญิงน้อยทรงเป็นเด็กที่ร่าเริง และซุกซนเกินวัย นางไม่เคยอยู่นิ่งได้นานเกินหนึ่งเค่อ และโปรดปรานการวิ่งเล่นไล่จับผีเสื้อในสวนสวยของตำหนักเป็นที่สุด โดยมี "พระบิดาผู้พ่ายแพ้" คอยวิ่งไล่ตามอย่างไม่ลดละอยู่เสมอ ภาพขององค์รัชทายาทผู้สง่างามที่ต้องยอมแพ้ให้กับเสียงหัวเราะคิกคักของธิดาตัวน้อย กลายเป็นภาพที่น่าเอ็นดู และคุ้นชินสำหรับทุกคนในตำหนักในฤดูใบไม้ร่วงปีนั้น หลังจากที่เก็บเกี่ยวผลผลิตทั่วทั้งแคว้นเป็นไปได้ด้วยดี องค์ฮ่องเต้ก็ได้ทรงมีพระราชโองการให้องค์รัชทายาทและพระชายา พร้อมด้วยองค์หญิงน้อย เสด็จประพาสหัวเมืองทางเหนือที่เคยประสบภัยแล้งเมื่อหลายปีก่อน เพื่อตรวจดูทุกข์สุขของราษฎร และตรวจสอบการทำงานของเหล่าขุนนางท้องถิ่นมันคือภารกิจสำคัญ... แต่สำหรับครอบครัวเล็ก ๆ นี้แล้ว... มันคือการเดินทางไ
หนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็วหลังงานวิวาห์ของจ้าวหยาง และหลินเฟยเฟยแผ่นดินต้าเยี่ยนสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองภายใต้การดูแลขององค์รัชทายาทเซียวเช่อและพระชายากู้ซินซิน ความรักและความเข้าใจของคนทั้งสองกลายเป็นต้นแบบที่เหล่าหนุ่มสาวทั่วทั้งแคว้นต่างใฝ่ฝันถึงแต่แล้ว... ความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ก็ได้เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ ในตำหนักรัชทายาทตะวันออก"อุ๊บ..."กู้ซินซินยกมือขึ้นปิดปากอย่างรวดเร็ว นางรีบวิ่งออกจากห้องหนังสือไปยังสวนด้านนอกทันที เซียวเช่อที่กำลังตรวจดูฎีกาอยู่ถึงกับขมวดคิ้วด้วยความกังวล เขารีบวางทุกอย่างลงแล้วเดินตามนางออกไป"ซินซิน! เจ้าเป็นอะไรไป!?" เขาถามเสียงเครียดขณะลูบหลังให้นางเบา ๆ "นี่เป็นครั้งที่สามในสัปดาห์นี้แล้วนะที่เจ้ามีอาการเช่นนี้ หรือว่าอาหารมื้อกลางวันจะมีปัญหาอะไร? ข้าจะไปสั่งลงโทษห้องเครื่องเดี๋ยวนี้""ไม่... ไม่ใช่เพคะ" นางส่ายหน้าช้า ๆ หลังจากที่อาการคลื่นไส้ทุเลาลง "หม่อมฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้... ช่วงนี้หม่อมฉันรู้สึกเหม็นกลิ่นขนมอบของตัวเองอย่างประหลาด ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนชอบมากแท้ ๆ""เหม็นกลิ่นขนมรึ?" เขายิ่งขมวดคิ้วแน่น "แล
หลายเดือนผ่านไปนับตั้งแต่วันที่จ้าวหยางคุกเข่าขอหลินเฟยเฟยแต่งงานท่ามกลางสักขีพยานเต็มร้านข่าวดีนี้ได้สร้างความยินดีให้กับทุกคน โดยเฉพาะกู้ซินซินและองค์รัชทายาทเซียวเช่อที่รับบทเป็น "พ่อสื่อแม่สื่อ" อย่างไม่เป็นทางการให้กับคนทั้งสองมาโดยตลอด ฤกษ์งามยามดีสำหรับงานวิวาห์ถูกกำหนดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยโหรหลวง และการเตรียมงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปีก็ได้เริ่มต้นขึ้น... พร้อมกับความโกลาหลที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันณ ตำหนักรัชทายาทตะวันออก"กระหม่อมไม่ไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะพระชายา! ข้าทนไม่ไหวแล้วจริงๆ!"จ้าวหยางในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง และขอบตาคล้ำเหมือนหมีแพนด้า วิ่งเข้ามาระบายความอัดอั้นตันใจกับกู้ซินซินที่กำลังนั่งจิบชาอยู่ในศาลากลางน้ำอย่างหมดสภาพ ความองอาจของรองแม่ทัพองครักษ์เงาหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงว่าที่เจ้าบ่าวผู้ใกล้จะเสียสติเต็มทน"ใจเย็น ๆ ก่อนจ้าวหยาง เกิดอะไรขึ้นอีกแล้วล่ะ?" ซินซินถามพลางกลั้นหัวเราะ "ดูจากสภาพของเจ้าแล้ว... เฟยเฟยคงจะสร้างเรื่องปวดหัวให้เจ้าอีกตามเคยสินะ""เรื่องปวดหัวธรรมดาที่ไหนกันล่ะพ่ะย่ะค่ะ! นี่มันมหันตภัยชัด ๆ" เขาโอดครวญ "เรื่องแรกก็คือชุดเจ้าสาว! นางไม่พอใจชุด
หลังจากวันพิพากษาอันน่าตื่นตะลึง คลื่นลมทางการเมืองที่เคยปั่นป่วนก็ได้สงบลงอย่างรวดเร็วภายใต้การควบคุมขององค์รัชทายาทองค์ใหม่ การกวาดล้างขุนนางกังฉินที่เป็นเครือข่ายของราชครูไป๋ดำเนินไปอย่างเด็ดขาดแต่ยุติธรรม ผู้ที่ทำผิดจริงถูกลงโทษ ส่วนผู้ที่ถูกบังคับหรือหลงผิดก็ได้รับการไต่สวนอย่างเป็นธรรม ทำให้ราชสำนักกลับมาใสสะอาดและมั่นคงอีกครั้งในเวลาอันสั้นชีวิตของทุกคนค่อย ๆ กลับคืนสู่ภาวะปกติ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่เหมือนเดิมอีกต่อไป...ณ ร้านหวานใจ..."ท่านจะมานั่งเฝ้าข้าที่ร้านทุกวันแบบนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ!" หลินเฟยเฟยกล่าวกับจ้าวหยางที่บัดนี้นั่งประจำอยู่ที่โต๊ะมุมในสุดของร้านทุกบ่ายราวกับเป็นรูปปั้น "ท่านเป็นถึงรองแม่ทัพองครักษ์เงา ไม่มีการมีงานทำแล้วหรืออย่างไร""ข้าทำเสร็จแล้ว" จ้าวหยางตอบเสียงเรียบ พลางจิบชา แต่สายตากลับไม่ได้ละไปจากนางเลย "ท่านอ๋อง... เอ่อ... องค์รัชทายาททรงอนุญาตแล้ว""แต่ท่านทำให้ข้าทำงานไม่สะดวกนี่นา!""ข้าก็นั่งของข้าเฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไรให้เจ้าเดือดร้อนเสียหน่อย" เขาเถียง "ข้าแค่... มาดูให้แน่ใจว่าเจ้าจะปลอดภัย"นับตั้งแต่วันที่นางถูกลักพาตัวไป จ้าวหยางก็เปลี่ยนไปราวกับเป
หนึ่งเดือนผ่านไปหลังจากค่ำคืนแห่งการนองเลือดในวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมืองหลวงก็ได้กลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง แต่เป็นความสงบสุขที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่และลึกซึ้งที่ทุกคนต่างสัมผัสได้ราชครูไป๋ และเหล่าขุนนางกบฏถูกตัดสินโทษประหารชีวิตเจ็ดชั่วโคตรตามพระราชโองการ แต่ด้วยพระเมตตาขององค์ฮ่องเต้ที่ทรงเห็นว่าเหล่าสตรีในตระกูลไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในแผนการอันชั่วร้าย จึงทรงละเว้นโทษตายให้ โดยให้เนรเทศพวกนางไปเป็นไพร่ยังเมืองชายแดนที่ห่างไกลแทน ตระกูลที่เคยยิ่งใหญ่และทรงอำนาจมากมายต้องล่มสลายลงในชั่วข้ามคืน กลายเป็นเพียงเรื่องเล่าขานไว้เตือนใจคนรุ่นหลัง ส่วนอดีตองค์รัชทายาทเซียวจิน ผู้ซึ่งเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด หลังจากถูกไต่สวนและพบหลักฐานความผิดในการสมรู้ร่วมคิดก่อการกบฏอย่างแน่นหนา ก็ถูกพิพากษาให้ดื่มสุราพิษพระราชทาน สิ้นสุดชีวิตอันน่าสมเพชของตนเองลงอย่างเงียบ ๆ ภายในคุกหลวง ปิดฉากตำนานของอดีตรัชทายาทผู้โฉดเขลาลงอย่างสมบูรณ์คลื่นลมในราชสำนักสงบลงอย่างรวดเร็วภายใต้การควบคุมสถานการณ์อย่างเฉียบขาดของอ๋องสี่ เขาได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากเหล่าขุนนางที่ภักดี และได้รับกา







