Share

บทที่ 11

ลู่ซีเจ๋อรีบมาทันทีที่ได้ยินและพยุงตัวหญิงสาวที่ร้องด้วยความเจ็บปวดขึ้นมา “เสวี่ยเอ๋อ! เสวี่ยเอ๋อ! ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

เฉินชิงเสวี่ยเอนกายเข้าไปในอ้อมแขนของลู่ซีเจ๋อ “ซีเจ๋อ พี่เขา...ฉันคิดไม่ถึงเลย คิดไม่ถึงเลยจริง ๆว่าพี่เขาจะตามมาที่นี่...”

ลู่ซีเจ๋อมองเฉินมู่ด้วยความรังเกียจ อารมณ์ที่ไม่ดีมาตลอดเช้าล้วนถูกระบายใส่เธอจนหมด “เฉินมู่! คุณเป็นคนตอบตกลงที่จะถอนหมั้นเองนะ ตอนนี้คนที่ทำให้เรื่องมันวุ่นวายไปหมดก็คือคุณ! นี่คุณไม่ดูสารรูปตัวเองหน่อยเหรอ! ช่วยละอายแก่ใจหน่อยได้ไหม!”

เฉินมู่โมโหจนปวดศีรษะ เธอโบกมือไปมาแล้วกล่าวว่า “คุณชายลู่ ฉันแค่นั่งทานข้าวเฉย ๆเองนะคะ จะไปทำเรื่องวุ่นวายอะไรนั่นได้อย่างไรกัน?”

ลู่ซีเจ๋อก้าวขายาว ๆ ไปด้านหน้ากำข้อมือของเฉินมู่ไว้อย่างแน่นหนาพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูลำพองใจอยู่บางส่วน “เฉินมู่ อีกนิดผมก็เกือบจะเชื่อเรื่องที่คุณตอบตกลงถอนหมั้นไปแล้วเชียว ดูท่าตอนนี้ คุณมันก็แค่ปรับเปลี่ยนกลอุบายในการก่อเรื่องวุ่น ๆ เท่านั้นเอง!”

เขารู้อยู่แล้ว เฉินมู่รักเขามานานตั้งหลายปี จะมาบอกว่าไม่ชอบก็คือไม่ชอบแล้วได้อย่างไร? ที่แท้ก็แค่เล่นละครตบตาให้ตายใจนี่เอง!

ข้อมือของเฉินมู่ถูกบีบอีกครั้ง ในขณะนั้นเองปากแผลที่ถูกเย็บไว้อย่างยากลำบากได้ปริออกมาจนได้ เลือดไหลซึมผ่านผ้าพันแผลออกมา เฉินชิงเสวี่ยหดตัวเข้าไปในอ้อมกอดของลู่ซีเจ๋อ “ซีเจ๋อ...เลือด...”

ลู่ซีเจ๋อชะงักงัน รีบสลัดตัวเฉินมู่ออกไปทันควัน เขาหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาเช็ดมือแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย

“เสี่ยวมู่ คุณตัดใจซะเถอะ ไม่ว่าอย่างไรผมก็รักแค่เสวี่ยเอ๋อเพียงคนเดียว ไม่ว่าคุณจะใช้สารพัดกลอุบายอะไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดผมได้หรอก”

เฉินมู่กุมข้อมือของตัวเองไว้ นี่คือการบาดแผลจากการกรีดข้อมือ เลือดไหลออกมามากขนาดนี้คงต้องตายแน่ ๆ เธอไม่มีกะจิตกะใจที่จะไปทะเลาะกับพวกเขาอีกแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือต้องไปที่โรงพยาบาลก่อน

ในตอนนั้นเอง ประตูห้องอาหารก็ถูกผลักออกอย่างรุนแรง มีบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งล้อมรอบชายที่สวมใส่เสื้อเชิ้ตสีม่วงเข้มเดินเข้ามาพร้อมกัน…

ใบหน้าชายหนุ่มช่างดูสง่างามสมบูรณ์แบบ หางตางอนสวยงามอย่างบอกไม่ถูก เส้นผมที่ยุ่งเหยิงยิ่งขับให้เขาดูเหนื่อยหน่ายและเกียจคร้านมากยิ่งขึ้น มันดูกลับตาลปัตรแตกต่างกันกับคนส่วนมาก

ทันทีที่ฮั่วหยุนเฉินเข้ามาหย่อนก้นนั่งลงตรงที่นั่ง เขาก็ดึงคอเสื้อไปมาพร้อมกับพูดออกคำสั่งไปด้วย “จับพวกมันสองคนโยนออกไปซะ!”

บอดี้การ์ดนิ่งไปนานมาก ไม่รู้ว่าสองคนที่ว่าคือสองคนไหน ฮั่วหยุนเฉินหงุดหงิดจนแทบจะพ่นไฟได้ มือหนาดึงคอเสื้อไปมาอีกครั้ง และชี้ไปที่คราบเลือดบนพื้นแล้วถาม “ใครเป็นคนทำ?”

เฉินมู่ยกมือขึ้นอย่างเงียบ ๆ “ฉันเองค่ะ...”

ฮั่วหยุนเฉินมองพินิจพิเคราะห์เฉินมู่อย่างจริงจัง ในใจบอกว่านี่คือหญิงสาวที่ฮั่วหยุนเซียวยอมทานข้าวเช้าด้วยเป็นกรณีพิเศษ เขามองเธอด้วยความชื่นชมอยู่ครู่หนึ่ง

จากนั้นจึงโบกมือให้เฉินมู่ “อย่ามัวยืนสร้างปัญหา คุณหลีกไปซะ!”

เสียงเข้มว่าก่อนหันไปมองเฉินชิงเสวี่ยอีกครั้งหนึ่ง “คุณเป็นคนทำใช่ไหม?”

เฉินมู่ “.....”

“เขียนบิลให้เธอซะ! พื้นของคุณชายนั้นมีมูลค่าไม่ต่ำไปกว่าสองแสน! ให้เธอชดใช้มา!”ฮั่วหยุนเฉินโบกมือใหญ่ ๆ ของเขา เป็นเชิงว่าสองแสนนะ ตกลงตามนั้นแหละ

“นี่คุณ!”เฉินชิงเสวี่ยใบหน้าแดงก่ำ “ทำไมคุณถึงไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย? นั่นฉันไม่ได้เป็นคนทำนะ! เป็นเธอต่างหาก!”

ฮั่วหยุนเฉินไม่สนใจ เขาตะโกนขึ้นโต้กลับ “พอแล้ว เอาตัวออกไปซะ ฉันเคยพูดไว้ว่ายังไง ถ้ายังไม่ได้มีการนัดหมายล่วงหน้าแล้วใครมันปล่อยให้พวกคุณเข้ามาได้ห๊ะ!”

เฉินชิงเสวี่ยตะโกนขึ้นทันที “พวกฉันรู้จักกับเจ้าของร้านแห่งนี้! คุณจะมาไล่พวกฉันออกไปได้ยังไง?”

ฮั่วหยุนเฉินส่งสายตาเย็นชาออกมาแล้วเปล่งเสียงเหอะออกมาทางจมูก “ผมคือเจ้าของร้าน คุณล่ะเป็นใคร?”

“ฉัน...ฉัน...”เฉินชิงเสวี่ยตะลึงงัน ผู้ชายเฮ็งซวยที่อยู่ตรงหน้าคือเจ้าของร้าน? งั้นคนที่ลู่ซีเจ๋อรู้จักล่ะคือใคร?

เป็นเพราะว่าเธอเห็นนามบัตรในกระเป๋าของลู่ซีเจ๋อ ถึงได้มั่นใจว่าลู่ซีเจ๋อรู้จักกับเจ้าของร้านเซียวเซียงซวนแห่งนี้! จนกระทั่งถึงขั้นเคยเอาไปโอ้อวดในกลุ่มเพื่อนว่าตนเองเข้าออกเซียวเซียงซวนได้อย่างอิสระ!

ฮั่วหยุนเฉินยิ้มตาหยีพลางตอบ “คนที่คุณรู้จักคือใคร ไปเรียกผู้จัดการล็อบบี้มา ตอนนี้พวกคุณทั้งสองคนช่วยทำให้ผมอิ่มอกอิ่มใจหน่อยเถอะ ไสหัวไปซะ!”

ลู่ซีเจ๋อกับเฉินชิงเสวี่ยถูกพวกบอดี้การ์ดลากตัวออกไปจากร้านเซียวเซียงซวนแล้ว

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเก้าโมง ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เดินผ่านมาได้เห็นฉากนี้เข้าแล้ว พวกเขากำลังพูดคุยกันว่า เห็นพวกเขาแต่งตัวดูดีขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าจะถูกไล่ออกมาจากร้านอาหาร

ด้านนอกมีเสียงดังเอะอะของการไล่คน ภายในห้องวีไอพี ฮานเฉิงก้มศีรษะลงต่ำกล่าวต่อคนเป็นหัวหน้า “บอสครับ คุณชายรองมาแล้ว”

ฮั่วหยุนเซียวพยักหน้า เขาลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้องวีไอพีโดยเร็ว ฮั่วหยุนเฉินลุกขึ้นยืนทันทีและเปลี่ยนท่าทางจากที่ดุร้ายเมื่อสักครู่เป็นรอยยิ้มไร้เดียงสาเหมือนเด็กผู้ชายตัวโต “พี่ชาย!”

พี่ชาย?? เฉินมู่มองฮั่วหยุนเซียวด้วยสีหน้างุนงง สายตามองไปที่ชายหนุ่มเสื้อเชิ้ตสีม่วงอีกครั้ง คนหนึ่งหล่อราวกับเทพบุตร อีกคนประณีตดุจมารร้าย ที่แท้เป็นพี่น้องกันอย่างนั้นเหรอ?

ฮั่วหยุนเซียวเดินเข้ามา ในสายตาเขามีเพียงแต่เลือดสีแดงสดบนข้อมือของหญิงสาวที่หยดลงบนพื้นหยดแล้วหยดเล่า

ใบหน้าของเขาซีดเผือด ก่อนจะรีบโน้มตัวลงอุ้มเฉินมู่ขึ้นมา “ฮานเฉิง ไปที่โรงพยาบาล โทรหาโอวจินด้วย”

“ครับบอส”

ฮั่วหยุนเฉินที่ถูกเมินยังคงยืดคอและโบกมือแรง ๆ “พี่! พาผมไปด้วยสิ!”

ฮานเฉิงมองภาพนั้นพร้อมถาม “แล้วคุณชายรองล่ะครับ...”

“เรื่องครั้งล่าสุดที่ล็อคประตูห้อง นายคิดว่าฉันจะลงโทษเขายังไงดี?”ฮั่วหยุนเซียวถาม

ฮานเฉิงพูดตอบอย่างอึดอัด “ให้เขาพิจารณาถึงความผิดของตัวเองที่ทำลงไปเพียงลำพังสักสามวัน”

ฮั่วหยุนเซียวอุ้มเฉินมู่ขึ้นไปบนรถ ฮานเฉิงหันศีรษะกลับมายิ้มแบบฝืน ๆ ให้กับฮั่วหยุนเฉินแล้วกล่าว “คุณชายรอง บอสสั่งให้คุณกลับบ้านแล้วไปทบทวนความผิดพลาดของตัวเองครับ ตามกำหนด พรุ่งนี้สองทุ่มคุณถึงจะออกไปข้างนอกได้”

ฮั่วหยุนเฉิน “...”

ที่เขารีบขับรถมาก็เพราะได้ยินจากพนักงานในร้านอาหารบอกว่า วันนี้ฮั่วหยุนเซียวพาผู้หญิงคนหนึ่งมาทานข้าวด้วย นี่มันสุดยอดจริง ๆ! ไม่แน่ว่าเขาจะได้มีพี่สะใภ้เร็ว ๆ นี้ก็เป็นได้!

แต่ใครจะไปรู้ ยังไม่ทันได้พูดคุยกับพี่สะใภ้สักประโยค ฮั่วหยุนเซียวก็อุ้มเธอหายไปแล้ว!

เมื่อมาถึงโรงพยาบาล เลือดของเฉินมู่ได้ย้อมผ้าพันแผลจากสีเดิมเป็นสีแดงฉานไปหมดแล้ว ฮั่วหยุนเซียวอุ้มหญิงสาวที่หน้าซีดเซียวก้าวยาว ๆ เข้าไปในห้องทำงานของโอวจิน

เพียงครู่เดียวโอวจินได้เตรียมของเอาไว้เรียบร้อยและเตรียมตัวเย็บแผล วุ่นวายอยู่เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็จบสักที

โอวจินเดินออกประตูไปหยิบยา ฮั่วหยุนเซียวจึงนั่งลงอยู่เป็นเพื่อนข้าง ๆ เฉินมู่ ตาคมมองไปยังบาดแผลที่น่ากลัวบนข้อมือของหญิงสาวพลันถาม “ทำไมถึงฆ่าตัวตาย?”

เฉินมู่เสียเลือดไปเยอะมาก เธอฟุบลงบนโต๊ะอย่างอ่อนแรง ในหัวมันขาวโพลนไปหมด จนคิดข้อแก้ตัวอื่น ๆ ไม่ออก จึงพึมพำออกมาว่า “บนหน้าที่มีแผลเป็นน่ะ มันอัปลักษณ์จะตาย....”

ฮั่วหยุนเซียวตะลึงงัน เขาพูดเสียงเบาทว่าชัดเจน “ยัยนักต้มตุ๋นตัวน้อย”

วันนั้นเฉินมู่นั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำที่เต็มไปด้วยเลือด อีกทั้งยังมีความเยือกเย็นและความเหงาเข้ามาควบคุม ไม่มีทางที่เธอจะฆ่าตัวตายเพียงเพราะรอยแผลเป็นแผลเดียวหรอก

พูดให้ถูกก็คือ เขาสัมผัสได้ว่าตัวเฉินมู่มีความชัดเจนอยู่อย่างหนึ่ง คือการศรัทธาที่จะมีชีวิตรอดอยู่ต่อมากกว่าใคร ๆ

เขาโน้มตัวลงอุ้มเธอขึ้นมาและพาเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยที่จัดเตรียมเอาไว้ วางเธอลงบนเตียงอย่างระมัดระวังพร้อมห่มผ้าให้เธอเรียบร้อย ไม่วายยังพูดเบา ๆ อีกว่า “พักผ่อนเถอะนะ”

เฉินมู่รู้สึกสับสนมึนงง ราวกับว่าได้ย้อนกลับไปเกิดและตายลงในสนามรบ แต่หลังจากรอดภัยพิบัติร้ายนั่นมาไม่กี่นาทีก็ยังรู้สึกดีใจที่ยังโชคดีอยู่

ทันใดนั้นข้อมือของฮั่วหยุนเซียวก็ถูกคว้าไว้ ฝ่ามือที่แนบติดเขาอยู่นั้นเย็นเยือกเพราะการเสียเลือด เธอพึมพำออกมาหนึ่งประโยค “คุณชายฮั่ว ขอบคุณนะคะ”

โอวจินที่ไปเอายาได้กลับมาพอดี เขาผลักประตูออกและมองแผ่นหลังของฮั่วหยุนเซียวพลางพูดล้อเลียนเพื่อนสนิทกลาย ๆ “ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก แต่ก็ไม่ถึงขนาดรักษาให้หายดีภายในคืนเดียวหรอกมั้ง?”

ฮั่วหยุนเซียวเดินหันหลังออกมาจากห้องผู้ป่วยและถามว่า “แผลเป็นบนใบหน้าเธอ รักษาได้หรือเปล่า?”

เมื่อพูดถึงความชำนาญด้านการแพทย์ โอวจินก็หน้าบานด้วยความปิติยินดี “ทำได้สิ! คนที่บอสฮั่วชอบ ถึงแม้ว่าจะเหลือลมหายใจเพียงเฮือกสุดท้ายฉันก็จะช่วยกลับมาให้นายเอง!”

ไม่นาน ฮานเฉิงก็เดินเข้ามาอีกครั้ง “บอสครับ ได้เวลาไปบริษัทแล้ว”

ฮั่วหยุนเซียวหันไปมองหญิงสาวที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงแวบหนึ่ง “ดูเธอด้วย ตื่นแล้วให้มาบอกฉัน”

โอวจินยิ้มกรุ้มกริ่มและพยักหน้าตอบ “รู้แล้วน่า รู้แล้ว คราวนี้หนีไม่พ้นแน่นอน”

หานเฉิงขับรถอยู่ด้านหน้า ฮั่วหยุนเซียวที่นั่งอยู่ด้านหลังกำลังหลับตาพักผ่อน เพียงแต่ครั้งนี้ในหัวมักจะปรากฎใบหน้าเล็ก ๆ ที่งดงาม มีชีวิตชีวา สุขุมและหยิ่งยโสแทน

เขายกมือขึ้นสัมผัสแผ่นอกไปมา “ลู่กรุ๊ปกับฮั่วกรุ๊ปต้องร่วมงานกัน?”

ฮานเฉิงตอบกลับทันที “มันเป็นแค่โครงการหนึ่งของบริษัท เป็นหนึ่งในงานย่อยที่รับรองให้ลู่กรุ๊ปทำเท่านั้นเองครับ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ คนของบริษัทได้กำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้เจาะจงรายงานคุณเป็นพิเศษครับ”

ฮั่วหยุนเซียวลืมตาขึ้น หัวคิ้วและดวงตาที่ลึกล้ำนั่นเก็บซ่อนความเยือกเย็นเอาไว้ ก่อนพูดอย่างเย็นชา “เพิกถอนซะ”

“อะไรนะครับ?” ฮานเฉิงไม่ทันได้ตั้งตัว

“ถอนการร่วมงาน” ฮั่วหยุนเซียวตอบ

คำสี่คำนี้เป็นการลงโทษตระกูลลู่เพียงสถานเบา

ฮานเฉิงตกตะลึงและรีบพยักหน้าเข้าใจในทันที “ครับ”

“ปล่อยข่าวออกไปว่าคุณชายตระกูลลู่มีเรื่องกับหยุนเฉิน” ฮั่วหยุนเซียวกำชับ

“ทราบแล้วครับ” ฉับพลันฮานเฉิงก็เข้าใจความหมายของคำว่า “บอส” ของตนเองขึ้นมาทันที

Bab terkait

Bab terbaru

DMCA.com Protection Status