Masukหลังจากเดินทางรอนแรมหลายเดือน ในที่สุด กลุ่มพ่อค้าทาสก็เดินทางถึงเมืองหน้าด่านของแคว้นซีเป่ย แม้จะเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับแตกต่างจากบ้านเกิดที่ทุกคนจากมามากนัก
หลินซินอี๋ถูกล่ามโซ่แล้วขังไว้ในกรงไม้ใหญ่ รวมกับคนอื่น ๆ ผู้คนต่างผ่านไปมาพลางหยุดมองดูคนที่อยู่ด้านใน ในสายตาของพวกพ่อค้านั้นมองว่านางเป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่งทั่วไปเพราะความมอมแมม เปื้อนดินทรายปิดบังผิวพรรณที่แท้จริงของนางไว้
ทว่า สายตาแหลมคมของชายผู้หนึ่งวัยสามสิบจ้องมองนางไม่วางตา ราวกับเห็นในสิ่งที่คนผู้อื่นมองไม่เห็น เขาเดินแหวกฝูงชนเข้ามาถึงขอบลูกกรง นั่งลงอยู่ข้าง ๆ แล้วยื่นมือมาจับคางของนางหันมาทางเขา จากนั้นยิ้มร้ายอย่างมีแผน
“ข้าซื้อนาง” เขากล่าวกับพ่อค้าทาสอารมณ์ดี ให้อัฐไปสองถุงใหญ่ สร้างความตกตะลึงให้กับคนที่อยู่แถวนั้นอย่างมาก
ใครต่อใครที่ได้เห็นคงจะคิดว่าเขาเป็นเศรษฐีผู้ใจบุญ คอยช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก แต่นั่นก็เป็นเพียงฉากหน้าที่เขาสร้างขึ้นมาเท่านั้น ฐานะที่แท้จริงของเขาคือตระกูลเซี่ย ขุนนางระดับกลางผู้ปกครองตำบลเหลียนจู มีสิทธิ์เด็ดขาดในการตัดสินทุกสิ่งอย่างแต่เพียงผู้เดียว
“ขอบคุณใต้เท้า ขอบคุณ” พ่อค้าทาสเปิดดูในถุงยิ้มแป้น เย็นนี้คิดจะเที่ยวหอเริงรมย์ให้หนำใจ คลายความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางหลายเดือน
หลินซินอี๋เดินตามชายผู้นั้นมา ครานี้ได้นายใหม่ที่ต้องดูแลรับใช้แล้ว งานบ้านงานเรือน นางสามารถทำได้ไม่บกพร่อง เพราะได้แม่บ้านตระกูลก่อนช่วยสอนงานให้ แต่การเป็นทาสในครั้งนี้ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ทันทีที่มาถึงจวนสกุลเซี่ย ชายผู้นั้นสั่งให้แม่บ้านพาตัวนางไป จัดหาที่นอน เสื้อผ้าและอาหารให้นางอย่างที่ควรจะเป็น หลินซินอี๋ไม่ทันได้สังเกตสายตาของแม่บ้านวัยกลางคนที่กำลังมองนางด้วยความสงสารเวทนา ทั้งยังฮูหยินเอกที่เดินมาหาชายผู้นั้น ยังคงปราดตามองนางแวบเดียว ก็รู้ได้ว่าสามีของนางกำลังคิดอะไรอยู่
“ท่านพี่...” ฮูหยินเซี่ยกำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ถูกสายตาของเขาตวาดกลับมาจนไม่กล้า นางมองค้อนหลินซินอี๋ก่อนเดินไปอีกทาง
หลังจากได้อาบน้ำ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ ผิวพรรณของนางที่เคยเปรอะเปื้อนก็กลับมาผุดผ่องดังเดิมสมกับเป็นคุณหนูจากตระกูลขุนนาง
วันรุ่งขึ้น เซี่ยเวยผู้นั้นก็เรียกให้นางเข้าพบ หลินซินอี๋ถือถาดอาหารเช้าเดินเข้าไปหาเขาอย่างไม่คิดอะไร ทันทีที่ได้เห็นนาง เขาจ้องมองไม่วางตา สายตาไล่เรียงพินิจดูตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ดูไม่ผิดจริง ๆ” เขาเอ่ยเบา ๆ แล้วเอื้อมมือไปจับข้อมือของนาง
หลินซินอี๋ตกใจ ดึงมือตนเองกลับอย่างรวดเร็ว ปัดชนถ้วยน้ำแกงที่วางอยู่บนโต๊ะจนกระเด็นใส่เสื้อผ้าของเซี่ยเวย แต่เขากลับยิ้มมุมปากแล้วพูดกับนางเสียงราบเรียบ
“เจ้าทำเสื้อผ้าข้าเลอะหมดแล้ว สมควรโดนโบยหรือไม่” เซี่ยเวยถามนาง พยายามให้ข้อเสนอ
“นายท่านโบยข้าได้ตามสมควรเลยเจ้าค่ะ” หลินซินอี๋ตอบเขาไม่สะทกสะท้าน โดนโบยจะเจ็บสักเท่าใดกัน นางเคยโดนพวกพ่อค้าทาสทุบตียังผ่านมาได้
ทว่า คนแซ่เซี่ยผู้นี้ได้ยินคำตอบของนางนั้นเกิดไม่พอใจ เขากระตุกคิ้ว แล้วคว้าเอวร่างบางของนางเข้ามาใกล้ สตรีตรงหน้าคงไม่ใช่คนที่จะยอมโอนอ่อนต่อความต้องการของเขาอย่างง่ายดายเสียแล้ว และสิ่งที่เขาชอบมากที่สุดคือการบีบบังคับผู้อื่น โดยเฉพาะเหล่าทาสในเรือน
“นายท่าน ปล่อยข้า!” นางพยายามใช้มือสองข้างผลักหน้าอกของเขา แต่แรงของนางกลับสู้ไม่ได้
“เฮอะ... เอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้ข้า” เขายิ้มเยาะนาง แล้วปล่อยให้เป็นอิสระ
หลินซินอี๋ รีบถอยให้ห่างจากเขาแล้วหยิบเสื้อผ้าตัวใหม่มาให้ ก่อนจะถอยหลังไปที่ประตู เตรียมจะเผ่นหนีจากสถานการณ์อันน่าอึดอัดใจ
“ขยับอีกก้าวเดียว คืนนี้ ข้าจะ...” นางไม่กล้าก้าวเท้า ร่างกายนิ่งงันไปชั่วครู่ คิดทบทวนสิ่งที่เขาพูดอีกครั้ง “เจ้าทำเสื้อผ้าข้าเลอะ เช่นนั้น เจ้าควรจะรับผิดชอบเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้าก่อนไม่ใช่หรือ” เซี่ยเวยลุกขึ้นยืน กางแขนสองข้างออก รอนางหันกลับไปหา
หลินซินอี๋ยังคงยืนอยู่ที่เดิม สายตาเหลือบมองซ้ายทีขวาที ในใจนึกว่าจะทำอย่างไรเพื่อหนี บ้านเดิมที่นางเคยอยู่ แม้จะฐานะทาส ก็ไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้
เซี่ยเวยไม่รอให้นางได้คิดอะไรมากมาย เขาค่อย ๆ เดินมาใกล้แล้วก้มลงพูดข้างหูของนาง “เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้า เดี๋ยวนี้!”
นางได้แต่ยอมหันกลับมาทำตามคำสั่งของเขาแต่โดยดี ระหว่างที่เปลี่ยนเสื้อผ้า สายตาของเขายังคงโลมเลียนางไม่หยุด หากเป็นแต่ก่อนที่พี่ชายของนางยังอยู่ คนตรงหน้าต้องมีเลือดตกยางออกไปบ้างแล้ว นึกเช่นนั้น นางได้แต่เศร้าสร้อยในใจ แววตาวูบไหว
ราวกับว่าวันนี้ เซี่ยเวยเล่นกับใจของนางจนอิ่มหนำแล้ว เขาจึงปล่อยให้นางได้อยู่อย่างสงบสุขอีกคืน แต่มีหรือ จะยอมให้เวลาร่วงโรยนานไปมากกว่านั้น ในเมื่อใจนางไม่ยอมเขาก็พร้อมจะข่มเหง
คืนวันต่อมา เซี่ยเวยเรียกนางไปหาที่ห้อง บอกแต่เพียงว่าให้ช่วยระวังไฟในเตามอด คอยเติมถ่านในค่ำคืนแสนเหน็บหนาว
ระหว่างทางไปเรือนของเขา ทุกอย่างดูปกติเสียจนไม่ทันได้เอะใจ ทันทีที่นางก้าวเท้าเข้าไปในห้องของเขา ทาสและคนรับใช้อื่น ๆ ต่างพากันกุลีกุจอกลับที่พักของตนเองอย่างรู้งาน
หลินซินอี๋ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของเซี่ยเวยผู้นี้ ตกหลุมพรางในทันที นางพยายามจะวิ่งหนีมาข้างนอก แต่ถูกเขาเอื้อมมือมาดึงปลายผมเอาไว้ พลันกระชากให้นางถอยกลับมาด้านใน
“นายท่าน ปล่อยข้าไปเถิด” นางอ้อนวอนเสียงสั่นเครือ คิดขอร้องเขาเผื่อคนผู้นี้จะมีเมตตาธรรมในใจอยู่บ้าง
“ปล่อยอย่างนั้นหรือ ข้าช่วยเจ้าจากพวกค้าทาส ให้เจ้าได้มีที่ซุกหัวนอน ไม่คิดจะตอบแทนข้าบ้างหรือ” เขาพูดกับนางราวกับว่าเป็นผู้มีพระคุณ เมื่อดึงตัวนางมาใกล้แล้ว เขาเอื้อมมือโอบเอวของนางเอาไว้ มืออีกข้างยังคงขยุ้มที่หัวของนาง บังคับให้อยู่นิ่ง ๆ
“นายท่าน ข้าขอร้อง” เสียงของนางไม่ได้ทำให้ม่านศีลธรรมของเขาสะทกสะท้านใด ๆ
เซี่ยเวยก้มลงจูบนาง แต่หลินซินอี๋พยายามปกป้องตัวเอง นางกัดริมฝีปากของเขาจนเลือดไหล เขาจึงบีบคอของนาง แล้ววาดฝ่ามือตบใบหน้าน้อย ๆ หลินซินอี๋ทรุดตัวล้มลงกับพื้นอย่างไม่ทันตั้งตัว
คนตรงหน้ากลับแสยะยิ้มให้นาง เหมือนได้เจอสิ่งที่ทำให้หัวใจนั้นชุ่มฉ่ำ ไม่ว่านางจะต่อต้านเขามากเท่าใด เซี่ยเวยผู้นี้ก็ยิ่งชอบใจมากขึ้น แล้วคืนนั้น หลินซินอี๋ก็ไม่รอดพ้นเงื้อมมือราคะของเขา
รุ่งเช้าวันต่อมา
หลินซินอี๋ยังคงนอนอยู่บนฟูกหนาที่เรือนของเซี่ยเวย ร่างกายไร้เรี่ยวแรงจะลุกเดิน เนื้อตัวมีแต่รอยช้ำและรอยแสดงความเป็นเจ้าของ ใบหน้าของนางมีคราบน้ำตาไหลเปรอะเปื้อน สายตาเหม่อลอยไม่มีที่สิ้นสุด
“เจ้าตอบแทนบุญคุณได้ดีทีเดียว ซินอี๋” เซี่ยเวยกระซิบข้างหูของนาง เสียงหัวเราะในลำคอเด่นชัดว่าเขากำลังสนุกสนาน ในหัวมีแต่เรื่องอย่างว่าวนเวียน
ทุกคนในเรือนต่างรู้กันดีว่า หัวหน้าสกุลเซี่ยนั้นป่าเถื่อน โหดร้าย ไม่มีผู้ใดกล้ามีปากเสียงกับเขา เลี่ยงได้จำต้องเลี่ยง อะไรที่ไม่เกี่ยวกับตนก็อย่าได้เข้าไปยุ่ง มิเช่นนั้นแล้ว ชีวิตก็ไม่อาจรักษาไว้ได้
ทว่า สิ่งเหล่านี้มิอาจเล็ดลอดไปสู่สายตาชาวบ้านนอกรั้วกำแพงได้ ผู้คนภายนอกต่างเห็นภาพเซี่ยเวยที่อารมณ์ดี สุขุม และมีไมตรีต่อทุกคน ฉากหน้าและเบื้องหลังต่างกันราวฟ้ากับเหวสุดพรรณนา
สามเดือนต่อมาเช้าวันหนึ่งเสี่ยวหยุนมองเหลียนเฟินที่กำลังนอนหลับใหลในอ้อมกอดของเขา สายตาเต็มไปด้วยความรักท่วมท้นในใจก่อนจะพึมพำร่ายอาคมอย่างหนึ่งขึ้นมาพลันกรีดปลายนิ้วจนได้เลือดหยดหนึ่งหลอมรวมกับลูกกลมสีฟ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้เป็นวิชาที่เขาเพิ่งคิดค้นขึ้นมาได้แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกเสี่ยวหยุนตั้งชื่ออาคมนั้นว่า “พันธะวิญญาณ” อาคมที่สามารถผูกวิญญาณของพวกเขาทั้งสองไว้ด้วยกันในทุก ๆ ชาติ ไม่ว่าเหลียนเฟินจะเกิดเป็นผู้ใด อยู่ที่ไหน เขาจะรู้ได้ในทันที นับต่อจากนี้ไม่มีพรากจากลมหายใจของร่างบางในอ้อมกอดสัมผัสแผ่นอกกว้างของเขาเตือนสติให้รู้ตัว ล้มเลิกความคิดเช่นนั้น เสี่ยวหยุนยิ้มมุมปากพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วบีบอาคมนั้นให้แตกสลายไปริมฝีปากจุมพิตหน้าผากเรียกเหลียนเฟินด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฟูเหรินของข้า”“อืม…” เหลียนเฟินยังคงงัวเงียพลันได้รับจุมพิตที่แก้ม โลมเลียลงลำคอ สัมผัสเรียวลิ้นร้อนชื้นดูดเม้มก่อนจะถูกใครบางคนคร่อมร่างกายท่อนบนเอาไว้“ฟูเหริน ท่านยังไม่ตื่นอีกหรือ” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำ
เหลียนเฟินนอนนิ่งบนแผ่นอกของเขา ส่วนล่างกระตุกบีบแก่นกายที่ค้างอยู่ราวกับเชิญชวนจึงถูกพลิกตัวเป็นฝ่ายนอนใต้ร่างพลางโดนเสี่ยวหยุนจับขาสองข้างยกขึ้นแล้วขย่มสะโพกเป็นจังหวะ“ข้าเพิ่งจะ…อ๊ะ...” เหลียนเฟินไม่ทันได้พูดอะไรก็ต้องเม้มปากตัวเองอีกครั้ง มือสองข้างจับหมอนที่วางอยู่ ขยำจนผ้ายับยู่ยี่ ลมหายใจร้อนหอบถี่ ฟังแล้วยิ่งกระตุ้นให้อีกฝ่ายเกิดความต้องการอย่างยิ่งยวดแก่นกายที่ครูดเข้าออกเร่งขึ้นอย่างเร่าร้อนจนน้ำที่ปล่อยเอาไว้เมื่อครู่กระเซ็นเปรอะเปื้อน คนกระทำยิ้มมุมปากชอบใจยิ่งนักที่ได้เห็นร่องรอยของเขาบนตัวคนรักเมื่อโพรงเนื้อโอบรอบจนมิดแน่นขนัดยิ่งเสียวซ่านจนตาเหลือกลอย “อือ… เหลียนเฟิน” ในใจวนเวียนแต่คำว่า อีกนิด ข้าขออีกนิดในขณะที่คนใต้ร่างแทบคุมสติตัวเองไม่อยู่ พึมพำแผ่วเบา “ข้าไม่ไหวแล้ว… อย่าเพิ่งขยับ”“จะให้ข้าหยุดจริงหรือ” เขาเอ่ยถามแต่ส่วนลับยังคงกระทุ้งเข้า ๆ ออก ๆ บดเบียดภายใน หยอกล้อเหลียนเฟินเพราะอยากเห็นสีหน้าแดงระเรื่อ สุขสม พลันวางขาทั้งสองข้างลงแล้วพลิกตัวเหลียนเฟินให้นอนคว่ำในพริบตาก่อนจะยกส
เหลียนเฟินโอบแขนรอบคอของเสี่ยวหยุนกดแรงโน้มตัวเขาลงมาหา จ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตาพลันยิ้มอ่อนโยน เอ่ยกระซิบยืนยันความรู้สึกของตัวเอง “ข้ารักเจ้า”คนได้ฟังคำรักน้ำตาไหลเอ่อไม่อาจกั้นด้วยความรู้สึกผิดระคนกับความรู้สึกอื่น ๆ ในใจ แม้รู้ตัวว่าไม่สมควรมายืนอยู่ข้างเขาแต่เวลานี้ก็ไม่อาจขยับกายหรือเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายได้เลยเขารักเหลียนเฟิน ผู้เป็นฟูเหรินของเขาและไม่อยากถูกพรากจากอีกแล้ว ทั้งยังดีใจเพราะใบหน้าที่มองเขาในเวลานี้ไม่ใช่ใบหน้าของคนที่เกลียดชังเขาจนต้องจ่อปลายกระบี่เข้าหาราวกับแค้นเคืองกันมาเนิ่นนาน“เสี่ยวหยุน” เสียงเรียกหาอ่อนหวานจับใจ “ยังคงจำได้อยู่ใช่หรือไม่ว่าเวลานี้เจ้าคือฟูจวินของข้า”“…” เขาพยักหน้าเล็กน้อย เม้มปากแน่นแล้วกอดเหลียนเฟินเอาไว้ครั้นสะสางความหลัง ปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างพลันคลี่คลาย ไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีกต่อไปหวังซีซวนและพรรคพวกแวะมาหาพวกเขาเหมือนอย่างเคย สังเกตได้ว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งสองคนดูอึมครึมเล็กน้อย ดวงตาเสี่ยวหยุนบวมช้ำปรากฏเด่นชัดจนอดถามไม่ได้“
ครั้นเรื่องราววุ่นวายที่ใจกลางตลาดจบลงไปได้ด้วยดี เหลียนเฟินจึงพาเสี่ยวหยุนกลับมาพักฟื้นร่างกายที่บ้านหลังน้อย พลางขอให้หวังซีซวนช่วยกลั่นยาสมุนไพรให้เขาจนกว่าจะหายดีเขาหลับลึกอยู่หลายวันเพราะใช้เรี่ยวแรงร่ายวิชาอาคมโดยไม่สนขีดจำกัดของตัวเองเพียงเพราะเป็นห่วงเหลียนเฟินและไม่อยากให้สถานการณ์ยืดเยื้อใบหน้าสงบนิ่งยามหลับใหลทำให้เหลียนเฟินโล่งใจได้บ้างว่าเขาคงไม่ได้ฝันร้ายเหมือนที่ผ่านมาจึงปล่อยให้คนตรงหน้าพักผ่อนให้เต็มที่“ท่านเซียน เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” หลี่จิ้นหลิงแวะมาเยี่ยมเพราะได้ข่าวว่าเสี่ยวหยุนยังไม่ฟื้น“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เขาเพียงแค่ต้องนอนให้เยอะ ๆ ก็เท่านั้น” เหลียนเฟินยิ้มให้อีกฝ่ายนึกขอบคุณที่เขาช่วยหาตำราต้องห้ามจนพบ“หากท่านเซียนต้องการให้ช่วยเหลือเรื่องใด อย่าได้ลังเลใจที่จะบอกข้านะขอรับ” หลี่จิ้นหลิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องฟื้นฟูพลังชีวิตของท่าน ถ้าตำราต้องห้ามไม่ได้ผล ข้ายินดีหาหนทางอื่น”เหลียนเฟินส่ายหน้าเข้าใจดีว่าทุกคนเป็นห่วงแต่ว่าเขาเตรียมใจเอาไว้แล้ว ไม่ว่าผลที่ได้จะออกมาเป็น
“ปล่อยคุณหนูหลี่” เหลียนเฟินพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเห็นอีกฝ่ายเคลื่อนไหวรวดเร็ว เขากำกระบี่ในมือไว้แน่นพลันยกขึ้นมากันท่าไม่ให้เสิ่นหยางพุ่งตัวเข้าใกล้ระยะประชิดก่อนจะม้วนตัวแล้วถีบคนตรงหน้ากระเด็นไปอีกทางด้วยแรงที่ออมไว้สามส่วน“ฝีเท้าหนักใช่เล่น” เขาเอ่ยชม รอยยิ้มกวนประสาทราวกับถูกใจอย่างยิ่งยวด “อย่าขัดขืนนักเลย เมื่อครู่ข้าเพียงยั้งมือเอาไว้เท่านั้นเพราะไม่อยากทำให้ร่างกายของท่านเซียนมีบาดแผล”เสิ่นเหยา แฝดผู้พี่ที่จับตัวหลี่ฮวาเอาไว้ลูบปลายจมูกตัวเอง “หากท่านเซียนยินยอมมากับพวกข้า ข้าจะคืนสตรีนางนี้เป็นการแลกเปลี่ยน”“เช่นนั้นปล่อยนางก่อน” เหลียนเฟินไม่ตกลงง่าย ๆ และเป็นห่วงความปลอดภัยหลี่ฮวาที่เวลานี้กำลังกลั้นน้ำตาไม่ร้องไห้เสียงดังด้วยความหวาดกลัว“ท่านเซียนคงไม่รู้ว่าข้าเป็นผู้ใดจึงพยายามเล่นแง่ยืดเวลาออกไปใช่หรือไม่ แต่ข้ายืนยันได้เลยว่าสองชั่วยามต่อจากนี้ไม่มีผู้ใดเข้ามาก้าวก่ายที่แห่งนี้ได้อย่างแน่นอนและหากทุกสิ่งไม่เป็นอย่างที่ข้าต้องการ ข้าจะทำลายหมู่บ้านให้ราบคาบ” เสิ่นหยางประกาศก้อง คำพูดของเขาทำให้ชาวบ้านขวัญ
ครั้นพูดคุยเรื่องตำราต้องห้ามเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็กลับมายังบ้านหลังน้อยจึงได้เห็นว่าหลี่จิ้นหลิงกำลังนั่งเล่นอยู่ตั่งไม้กับเหลียนเฟินแววตาเสี่ยวหยุนเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”“ข้าเห็นว่าท่านเซียนเมาหลับไป วันนี้จึงอยากมาดูให้แน่ใจว่ามีอาการใดหรือไม่” เขายักไหล่พูดด้วยสีหน้าสบายอารมณ์หากแต่เสี่ยวหยุนอารมณ์ดีจึงไม่ใส่ใจแล้วเดินไปนั่งข้างเหลียนเฟิน เอ่ยกับเขาว่า “ข้าต้องไปหอสมุดวังหลวง คุณชายหวังซีซวนบอกว่าที่นั่นมีตำราเก็บไว้อยู่ อาจช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตของท่านได้”“เขาไม่ได้บอกหรือว่าที่แห่งนั้นห้ามให้คนนอกเข้าไป” เหลียนเฟินหรี่ตามองคนตรงหน้าที่ทำท่าเหมือนรู้ทุกอย่าง “หากคิดไปขโมยตำรามาก็หยุดแต่เพียงเท่านั้นเถิด พลังชีวิตของข้ามีแค่ครึ่งเดียวแล้วอย่างไร ไม่เห็นหรือว่าข้ายังแข็งแรงดี”“ไม่อยากอยู่กับข้านานกว่านี้หรือ” สีหน้าของเขาเศร้าสร้อยหากต้องล้มเลิกความตั้งใจ รู้ว่าบำเพ็ญคู่จะสามารถยืดอายุขัยออกไปได้ แต่หากพลังชีวิตของเขากลับมาเหมือนเดิม ย่อมมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันนานมากขึ้นไปอีกเ
![สถานะลับ(รับ)สถานะรัก [เมะxเมะ]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)






