ค่ำคืนเดือนหนาววนมาอีกครา เสียงร้องของเด็กแรกเกิดดังก้องเรือนทาส หลินซินอี๋คลอดบุตรชายอย่างยากลำบาก ใจของนางไม่อยู่กับร่องกับรอยตั้งแต่เมื่อครั้งที่ถูกเซี่ยเวยย่ำยีนานแรมปี
หลินซินอี๋ไม่แม้แต่จะอยากมองหน้าของบุตรชายสักแวบหนึ่ง เพราะใบหน้าสักสามส่วนของบุตรชายคล้ายคนที่นางเกลียดมากนัก นางทำใจยอมรับไม่ได้จริง ๆ เสียงของเด็กน้อยที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดร้องเรียกหาความอบอุ่นอยู่เป็นเวลานาน
แต่แล้วบานประตูห้องนอนของนางก็ถูกใครบางคนเลื่อนเปิดออก หญิงสาวที่ดูอายุมากกว่านางสักสองสามปีก้าวเท้าเข้ามาในห้อง สายตาที่มองเด็กทารกนั้นดูเป็นประกาย ใบหน้าของนางเปื้อนรอยยิ้มสดใสอย่างที่ไม่ได้เห็นมานานแล้ว
“ชู่ ๆ อย่าร้อง อย่าร้อง” นางก้มลงข้าง ๆ เด็กทารกแล้วใช้สองมือโอบอุ้มเขาขึ้นมา ร้องเพลงกล่อมเด็กอย่างแผ่วเบาเพื่อปลอบให้เขาหยุดร้อง สีหน้าของนางปลื้มใจราวกับเห็นเป็นบุตรของตนเอง
“อาฟาน เจ้าอย่าร้องเลย แม่อยู่นี่” นางเผลอเรียกชื่อของคนผู้หนึ่งขึ้นมาชะรอยจะคิดว่าเด็กน้อยตรงหน้าคือบุตรของนางไปเสียแล้ว
นางมีนามว่า จางเจีย ถูกขายเข้ามาอยู่ในเรือนทาสก่อนหน้าหลินซินอี๋ไม่กี่ปีในวัยสิบแปดปี ชะตาของนางมืดมนดั่งหลินซินอี๋ไม่ผิดเพี้ยน เซี่ยเวยคนโฉดกระทำชั่วช้าเหลือเกิน ไม่รู้ว่ามีผู้ใดบ้างต้องทุกข์ทรมานจากสิ่งที่เขามอบให้
จางเจีย ตั้งท้องบุตรคนหนึ่งกับเขา นางตั้งหน้าตั้งตารอ นับวันเวลาเก้าเดือนเพื่อที่จะเจอลูกน้อย เสมือนเขาเป็นความหวังเล็ก ๆ ที่ทำให้นางยังคงรักษาลมหายใจของตนเอาไว้ แต่แล้วความหวังนั้นกลับพังทลาย ลูกที่นางรอจะได้เห็นหน้า หายลับไปอย่างไร้ร่องรอย
“ลูกของข้า ลูกข้าอยู่ที่ใด” จางเจียเดินทุลักทุเลออกมาถามทาสในเรือนทีละคน ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะผ่านวันคลอดไม่ถึงสองวัน นางสังหรณ์ใจไม่ดีที่ไม่ได้ยินเสียงของเด็กน้อยตามปกติ “ท่านป้า เห็นลูกของข้าหรือไม่ ลูกข้าอยู่ที่ใด” นางเฝ้าถามและตามหาเขาอยู่นานแต่ไร้วี่แวว
“ข้าไม่รู้”
“ข้าไม่เห็น”
คนใช้และทาสในเรือนต่างตอบวนไปอยู่เท่านี้
“เป็นไปได้อย่างไร ลูกข้าทั้งคน ไม่มีใครรู้เห็นเลยหรือ” น้ำตาของนางเอ่อล้น น่าสงสาร “ลูกข้า ป่านนี้แล้วจะเป็นเช่นไรหนอ เขาคงจะหิวนมแล้ว ท่านป้า ท่านเห็นลูกข้าหรือไม่” นางยังคงเฝ้าถามทุกคนอยู่อย่างนั้นจนผ่านไปอีกอาทิตย์หนึ่ง
ไม่มีใครได้ทันสังเกตเลยว่า จางเจียที่สูญเสียบุตรไปนั้น สติไม่อยู่กับตัวแล้ว วัน ๆ นางเอาแต่ร้องถามหาลูกของนางกับคนที่ผ่านไปมา
เวลานั้นเซี่ยเวยไม่รู้สึกว่าเด็กคนนั้นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา จึงไม่สืบสวนหาความกับผู้ใด คงจะเป็นเรื่องปกติสำหรับเขาไปแล้ว ทาสในเรือน คนใช้ หรืออะไรก็แล้วแต่ มีค่าแค่เป็นที่ระบายอารมณ์ ความใคร่ของเขาก็เพียงเท่านั้น
ฉะนั้นแล้ว เสียงร้องของเด็กน้อยจากห้องหลินซินอี๋ จึงทำให้จางเจียเหมือนย้อนกลับมาในวันวานอีกครั้ง วันที่ลูกของนางลืมตาดูโลกเผลอเรียกชื่อที่เคยจะเอาไว้ตั้งให้ลูกของตนออกไป “อาฟาน แม่อยู่นี่แล้ว เจ้าไม่ต้องกลัวนะ” พูดจบนางก็อุ้มเขาออกจากห้องไป
นับแต่นั้นมา จางเจียก็คอยดูแลอาฟานเหมือนเป็นลูกของตนเอง นางจัดหาทุกอย่างมาให้เขา เท่าที่ทาสคนหนึ่งจะทำได้ นางรู้ว่านางไม่มีน้ำนมให้เขาดื่ม ก็เอาแต่วิ่งแจ้นไปขอคนโน้นทีคนนี้ทีจนกว่าจะได้
“อาฟาน แม่เย็บเสื้อผ้าชุดนี้ให้เจ้าแล้ว ชอบหรือไม่” นางลองสวมชุดให้เขา แล้วมองดูหน้าตาน่ารักน่าชังของเด็กน้อย พลางยิ้มให้เขาอย่างอบอุ่น
“อาฟาน รอแม่ก่อน เจ้าอย่าเพิ่งรีบวิ่ง” เสียงของนางตะโกนเรียก หน้าตาตื่นตระหนก กลัวเขาจะหกล้มได้แผลเหมือนวันก่อน
ช่วงเวลาสามปีที่นางเลี้ยงดูเขาเหมือนลูกนั้น เริ่มทำให้นางมีสติมากขึ้น เขาเป็นดั่งยารักษา คอยเยียวยาจิตใจของนางให้หายดี สีหน้าและสภาพร่างกายของนางจึงดีขึ้นตามลำดับ
กลับกัน ชีวิตของหลินซินอี๋ราวกับอยู่ในนรก แต่ละวันผ่านพ้นไปด้วยความยากลำบาก เซี่ยเวยไม่ปล่อยนางให้หลุดรอดสายตา ทุกค่ำคืนฉุดรั้งนางเอาไว้ไม่ให้ห่างกาย ไม่มีผู้ใดยื่นมือช่วยนางได้สักคน
นางแทบจะไม่รับรู้สิ่งอื่นอีกแล้ว บางครั้งสายตาเหลือบมองเห็นอาฟานกำลังวิ่งเล่นอยู่ข้าง ๆ ไม่ได้ทำให้ใจของนางอยากจะโอบกอดเขาสักครั้ง ทุกครั้งที่เห็นหน้าของเขา ใบหน้าของเซี่ยเวยจะปรากฏทับซ้อนตลอด แม้ว่าเขาจะมีแววตาและรอยยิ้มที่อ่อนโยนเหมือนนางก็ตาม
คืนนั้น จางเจียพาอาฟานออกมานั่งดูดาวนอกเรือน ดวงจันทร์กลมโตส่องแสงทอประกาย นางกอดอาฟานเอาไว้แน่น
“อาฟาน แม่รักเจ้ามากนะ” เสียงอ่อนโยนของนาง ทำให้อาฟานผงกหัว
“อือ” เขาส่งเสียงอู้อี้ อาฟานยังคงพูดไม่ได้แม้ว่าจะอายุเข้าสู่ปีที่สามแล้ว แต่กระนั้น เขาก็เข้าใจสิ่งที่มารดาพร่ำบอกเขา อาจเป็นเพราะสามารถรับรู้ความรู้สึกอบอุ่นจากนางได้
ขณะที่ทั้งสองนั่งเล่นอยู่นอกชานอย่างมีความสุข เสียงฝีเท้าคนร่างใหญ่เดินกระแทกส้นเท้าดังขึ้นเรื่อย ๆ ค่อย ๆ มาทางที่พวกเขานั่งอยู่ แล้วจางเจียก็โดนกระชากแขนให้ลุกขึ้น
“โอ๊ย!” นางร้องเสียงหลง ร่างบางถูกยกขึ้นตามแรงของใครบางคน
“จางเจีย...” เซี่ยเวยเรียกนางเสียงยานคาง กลิ่นเหล้าหึ่งจากตัวและเสื้อผ้าของเขา จมูกโด่งนั้นพยายามซุกไซ้เข้ามาใกล้ลำคอและใบหน้าของนาง
จางเจียใจเสีย สีหน้าที่เมื่อครู่ยิ้มแย้มพลันแปรเปลี่ยนเป็นหวาดกลัว นางไม่ได้เจอเรื่องแบบนี้มานานหลายปีแล้ว นานจนแทบจะลืมไปว่าเคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น
ตุบ ตุบ ตุบ เสียงมือน้อย ๆ สองข้างของอาฟานกำลังทุบที่ต้นขาของเซี่ยเวยอย่างไร้เดียงสา ไม่ได้รู้เลยว่าคนตรงหน้าโหดเหี้ยมปานใด
“อาฟาน อาฟาน” นางร้องเรียกเขา พลางสะบัดตัวให้พ้นจากเซี่ยเวยแล้วกอดลูกของนางเอาไว้ จิตใจหวาดกลัว ร่างกายสั่นเทา แต่มือสองข้างยังคงโอบกอดอาฟานเอาไว้
เซี่ยเวยกำลังเมาได้ที่เห็นแล้วขัดตา ทั้งยังรู้สึกว่าไม่ได้เล่นสนุกกับจางเจียมานานมากแล้ว นางเคยเป็นคนที่เขาโปรดปรานมากที่สุด นับตั้งแต่ที่สติหลุดเป็นบ้าเพราะลูกหายก็ไม่ได้ยุ่งกับนางอีกเลย
ไม่ใช่ว่าเห็นใจหรืออะไรเทือกนั้น แต่เพราะนางในตอนนั้น เล่นด้วยไม่สนุกเสียเลย ดั้งนั้น เวลานี้เขาจึงมองนางไม่วางตา เพราะสังเกตมาได้พักหนึ่งแล้วว่า จางเจียคนเดิมกลับมาแล้ว
“อาเจีย เจ้าหายแล้วนี่” เซี่ยเวยนั่งลง เอามือจับคางของนางให้เงยขึ้น เขายิ้มร้ายอย่างเคย
“ไม่ ไม่ อย่าทำข้า” ภาพในอดีตกำลังถาโถมเข้ามาในหัวของจางเจีย น้ำตาของนางคลอเบ้า
อาฟานเห็นเช่นนั้น จึงใช้แขนเสื้อของเขาค่อย ๆ ซับน้ำตาให้นาง เหมือนที่จางเจียเคยเช็ดน้ำตาให้เขา ทั้งสองกอดกันกลมต่อหน้าของเซี่ยเวย
เขาดึงอาฟานจากอ้อมกอดของจางเจีย เหวี่ยงไปที่พื้นด้านนอก ทำให้ข้อมือของอาฟานกระแทกพื้น เขากำลังเบะปากร้องไห้เพราะความเจ็บและตกใจ จางเจียเห็นดังนั้นจึงผลักเซี่ยเวยออกไปด้วยแรงทั้งหมดที่มีจนเขาหงายหลัง หัวไปชนกับเสาเรือน สร่างเมาไปชั่วแวบหนึ่ง
จังหวะที่จางเจียวิ่งมาดูอาฟานข้างล่าง เซี่ยเวยกระโดดลงมาจากนอกชานอย่างรวดเร็ว ตัดหน้าจางเจียไม่ถึงหนึ่งจั้ง เขากำข้อมือของอาฟานข้างที่บาดเจ็บขึ้นมาดู ยิ้มเหี้ยมเกรียมแล้วบีบกดลงไปบนพื้น
เซี่ยเวยผู้นี้ของขึ้นได้ง่าย หากมีคนทำอะไรขัดหูขัดตาเขา ยามเป็นผู้ใจบุญนอกจวน มักจะเก็บงำความรู้สึกเอาไว้ แล้วมาลงกับคนในปกครองเป็นประจำ
จางเจียเห็นเขาทำร้ายอาฟานก็คิดหาวิธีจะช่วยลูกของนาง พอรู้ว่าตัวเองไม่อาจสู้แรงของเขาได้ จึงหยิบหินก้อนใหญ่ที่อยู่แถวนั้น ทุบลงไปที่หัวของเขาในทันที
“โอ๊ย!” เขาร้องเสียงหลงเพราะความเจ็บ ไม่เคยมีผู้ใดทำร้ายเขามาก่อน “บังอาจนัก!” เขาตวาดนางเสียงดัง กระนั้น ไม่มีผู้คนในเรือนกล้าโผล่หน้ามาดูเหตุการณ์ข้างนอกแม้แต่คนเดียว
“อย่าทำลูกข้า อย่าทำร้ายเขา” นางพร่ำพูดซ้ำ ๆ จากจิตใต้สำนึก พลางโอบกอดอาฟานไว้แน่น
ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ เซี่ยเวยโกรธจนเลือดขึ้นหน้า จิกผมของจางเจียไว้แล้วลากเข้าไปในห้องพร้อมอาฟาน เสียงทุบตีเริ่มขึ้นภายในความเงียบงันยามค่ำคืน จางเจียยังคงโอบกอดอาฟานไว้ คอยป้องกันเขาจากเงื้อมมือเซี่ยเวย
“อาฟาน...” เสียงเรียกบุตรชายนั้นแผ่วลงไปพร้อมกับลมหายใจ
เช้าวันรุ่งขึ้นเซี่ยเวยลืมตาตื่นอย่างไม่รู้สึกรู้สาว่าเมื่อคืนนั้น เขากระทำสิ่งใดลงไป เขายันตัวขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบ ๆ ห้อง สภาพข้าวของกระจัดกระจาย รอยเลือดละเลงไปทั่วพื้นเรือน พอได้เห็นคนผู้หนึ่งนอนนิ่งอยู่ข้างหน้า ก็เดินเข้ามาดูด้วยความงงงวยครั้นขยับตัวมากกลับรู้สึกเจ็บแผลตรงศีรษะ ยิ่งได้เห็นว่าคนที่นอนตรงนั้นเป็นจางเจียก็ไม่ยี่หระ เดินออกนอกห้องไปดื้อ ๆหลังจากเซี่ยเวยเดินไปไกลแล้ว ทาสในเรือนสองสามคนจึงแอบมาชะเง้อมองดูที่หน้าประตูห้อง ยามปกติจะต้องเห็นจางเจียตื่นแต่เช้า หาน้ำหาข้าวให้อาฟานแล้ว แต่ยามนี้กลับไม่เห็นแม้แต่เงาภาพที่เห็นทำให้พวกเขาอุทานโดยไม่รู้ตัว ค่อย ๆ เดินไปหานาง“นายท่านโหดร้ายเหลือเกิน” เสียงคนที่เกาะขอบประตูอยู่ดังขึ้น
“บัดซบ!” เสียงของเซี่ยเวยอุทานขึ้นทันทีที่ลืมตา เขามองร่างของหลินซินอี๋ที่ห้อยอยู่ตรงหน้า แล้วรีบลุกขึ้นปลดผ้าผืนยาวที่พันรอบคอของนางเอาไว้ ก่อนนำตัวลงมา“หลินซินอี๋!” เขาตะโกนเรียกนางซ้ำ ๆ สุดท้ายก็ต้องจับชีพจรของนาง สีหน้าบอกไม่ถูก ในใจสับสนคิดว่าควรจะทำเช่นไร คิ้วสองข้างขมวดเป็นปม“หลินซินอี๋!” เซี่ยเวยเขย่าร่างไร้ลมหายใจของนางอีกครั้ง “เมื่อคืนเจ้าก็สนุกไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงทำเช่นนี้?” เซี่ยเวยดูจะเข้าใจผิดไปมากนัก คนที่สนุกมีเพียงแค่เขาผู้เดียวเท่านั้นจากนั้นเขาก็ยิ้มแล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง อารมณ์สองขั้วที่สลับไปมาทำให้เขาดูเหมือนจะเป็นบ้าไปชั่วขณะ เซี่ยเวยมองหน้าของหลินซินอี๋อีกครั้ง ยื่นมือข้างหนึ่งลูบใบหน้าของนางอย่างที่เคยทำ“เฮอะ บังอาจนัก ใครใช้ให้เจ้าตาย” เขาพึ
เช้าวันหนึ่งเซี่ยฟานนั่งเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในเรือนทาส เขามองไปด้านบนเพราะได้ยินเสียงจิ๊บ จิ๊บ ดังระงมอยู่พักหนึ่งแม่นกคาบอาหารบินโฉบลงมาที่รัง แล้วค่อย ๆ ป้อนลูกนกแต่ละตัวอย่างใจเย็น เซี่ยฟานปีนขึ้นไปดูที่รังของพวกมันด้วยความอยากรู้อยากเห็นเขาคอยเฝ้ามองดูนกฝูงนี้ตั้งแต่นั้นมา เห็นความรักที่แม่นกคอยปกป้อง หาอาหาร ให้ความอบอุ่นแก่ลูกนก นับเป็นความสุขเล็ก ๆ ที่ก่อเกิดในใจของเซี่ยฟานจนกระทั่งถึงวันที่ลูกนกต้องหัดบิน แม่นกคอยช่วยให้ลูกนกเหล่านั้นขยับปีก สอนให้ลูกนกโผบิน ในที่สุด ลูกนกในรังก็เริ่มสยายปีกบินขึ้นฟ้าสายตาของเซี่ยฟานมองตามด้วยความตื่นเต้น นกฝูงนี้โผบินอย่างอิสระบนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ ใจของเซี่ยฟานเบิกบาน เขาคอยเฝ้ามองหาทางที่เขาจะเป็นดั่งนกพวกนี้“ท่านลุง ข้าอยากบิน แบบนกพวกนั้น” เซี่ยฟานพูดกับหานโจว พลางชี้ไปบนท้องฟ้า“เจ้าไม่ใช่นกเสียหน่อย ปีกก็ไม่มี” หานโจวคิดว่าเซี่ยฟานพูดไปเรื่อย นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่เซี่ยฟานพยายามบอกคือการเป็
เวลาผ่านไปสามปีชีวิตของเซี่ยฟานเติบโตขึ้นอย่างทุลักทุเล นับตั้งแต่ที่เห็นว่าสองพี่น้องมีชะตาชีวิตอย่างไร เขาก็ไม่กล้าที่จะดื้อดึงหรือมองหาหนทางเป็นอิสระอีกต่อไป เวลานั้นเขารู้ข่าวจากหานโจวมาว่าคนเป็นน้องไม่รอด ส่วนคนเป็นพี่สาวหายตัวไปอย่างลึกลับ เขาคิดว่าสาเหตุคงจะเป็นเหมือนจางเจียและหลินซินอี๋ด้านเซี่ยเวย แม้เวลาจะล่วงเลยแต่ยังคงประพฤติตัวเช่นเดิม จนเรื่องราวภายในจวนของเขาส่งกลิ่นไปด้านนอก ผู้คนเริ่มระแคะระคายอยากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนของเขาแม้แต่ฮูหยินเองก็ตามเช็ดทุกเรื่องที่เขาทำไม่ไหว ไหน ๆ ก็ไม่สามารถมีบุตรสืบสกุลได้ นางจึงคิดที่จะฮุบเอาสมบัติทั้งหมดมาเป็นของนางคนเดียววันนั้นเอง คนเป็นพี่สาวที่หนีไปได้เมื่อครั้งนั้น ได้กลับมาพร้อมกับสามีของนาง เขาเป็นคนของทางการ มีอำนาจในการตร
นับตั้งแต่วันที่หวังซีซวนได้เจอกับเซี่ยฟาน เขาก็ทดสอบจิตใจและความอดทนของเซี่ยฟานตลอดเวลา เซี่ยฟานนั้นเดิมทีไม่ค่อยมีปากมีเสียงอะไร เวลาโดนหวังซีซวนแกล้ง เขาก็นิ่งเงียบไม่ตอบโต้ ครั้นเจอหวังซีซวนดื้อ เอาแต่ใจ เขาก็ใจเย็นรอคอยและทำหน้าที่ของตนให้สำเร็จ เซี่ยฟานปลอบใจตนเองว่าอย่างน้อยที่นี่ก็ดีกว่ามาก แต่สิ่งที่เขาคิดกลับเป็นแค่เพียงฉากหนึ่งที่ได้เห็นในเวลานั้น สถานที่เงียบสงบเริ่มกลับมาครึกครื้น เซี่ยฟานได้เห็นคนรุ่นเดียวกันมากมายในสำนัก คุณชายทั้งเจ็ด ลูกศิษย์ คนรับใช้ คนงาน ความวุ่นวายก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้รู้ว่า ที่นี่ก็ไม่ต่างจากนรกขุมเดิม แต่ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ เขาก็มีความหวังอยู่เสมอ เซี่ยฟานเรียนรู้จากสองพี่น้องคู่นั้นว่
คนที่อยู่ในสำนักตระกูลหวังล้วนมีพันธะอย่างหนึ่งที่ใครก็ไม่อาจปฏิเสธ ไม่ว่าจะฐานะคุณชาย ลูกศิษย์หรือแม้แต่คนใช้ ทุกคนเข้ามาที่จวนแห่งนี้ได้ แต่หากจะออกไปย่อมต้องไปอย่างคนไร้วิญญาณเพื่อรักษาความลับของวิชาที่สืบทอดกันมาและหากมีผู้ใดคิดจะหนี ก็คงหนีไปได้ไม่ไกลเพราะพันธะนั้นเป็นเหมือนเชือกที่คอยผูกมัดคอเอาไว้ ยิ่งหนีเชือกเส้นนั้นยิ่งตึงขึ้น จำต้องยอมถอยกลับมาที่เดิม ในอดีตมีคนมากมายพยายามหนีออกไป โดยไม่รู้ตัวว่ามีพันธะอยู่ พวกเขาหนีไปได้ไม่ถึงสิบก้าวก็สิ้นใจลงในทันทีเมื่อไม่มีทางหนีแล้ว ทางเดียวที่จะอยู่รอดคือแข็งแกร่ง การฝึกหฤโหดดำเนินไปในแต่ละวันไม่มีหยุด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ความคิดของคนเหล่านี้ผิดแผกจากคนทั่วไปแข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้ พี่น้องนั้นนับเป็นศัตรูได้ทุกเมื่อ หวังซีซวนจึงไม่เคยไว้ใจใคร แรกเริ่มที่แกล้งเซี่ยฟานก็เพื่อทดสอบ เมื่อผ่านอะไรมาด้วยกัน จึงได้รู้ว่าเซี่ยฟานไม่เหมือนใคร เขาคนนี้ต่างหากคือพี่ชายที่แท้จริง พี่ชายอย่างที่ควรจะเป็นอย่าว่าแต่ความผูกผันกันในสายเลือดข
ผู้ที่หวังซีซวนเรียกเมื่อครู่ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ หวังเยี่ยนหลง บุตรชายลำดับที่สามของหวังเฉิงเย่ผู้เป็นเจ้าสำนัก บิดาของเขาออกเดินทางฝึกวิชาสำนักตระกูลหวังเพียงลำพังแล้วบังเอิญได้พบมารดาของเขาเป็นครั้งแรกในเวลานั้น ความรักระหว่างคนทั้งสองบังเกิดขึ้น นางรักเขามากจนยอมที่จะบอกวิชาลับของตระกูลให้เขาได้รู้ แม้ว่าบิดาของนางจะห้ามปรามเท่าใดก็ไม่เป็นผล นางไม่ได้รู้เลยว่าเขาจะนำมาใช้กับนางในภายหลังเมื่อแรกรักทุกอย่างดูเป็นไปได้ด้วยดี เขาพานางกลับมาที่สำนักตระกูลหวัง กุมวิชาลับของนางเอาไว้ และมีแผนอยู่เบื้องหลังการกลับมาในครั้งนี้ทันทีที่ก้าวเข้ามา นางกลับได้รับรู้ว่าตนเองเป็นได้เพียงอนุของเขาเท่านั้น แม้จะได้เข้าพิธีตามธรรมเนียมแต่การแก่งแย่งชิงดีภายในตระกูลระหว่างฮูหยินและอนุทั้งหลายต่างดุเดือดไม่แพ้การชิงตำแหน่งเจ้าสำนักตระกูลหวังคนต่อไปถึงจะรักเขามากเพียงใด แต่เขาโกหกนางสารพัดจึงทำให้คิดถึงบ้าน แล้วนางก็เริ่มหาทางหนีออกจากที่แห่งนั้น เพียงแต่ว่า...“โอ๊ย!” หลังจากก้า
“ใช่แล้วพี่สาม ข้าจะสั่งสอนเขาเอง” หวังซีซวนเน้นยำกับพี่ชายอีกครั้ง แล้วแกล้งทำเสียงตวาดใส่เซี่ยฟาน “กลับมานี่ เจ้าทำให้ข้าขายหน้า” หวังซีซวนรู้ดีว่าหวังเยี่ยนหลงไม่สนใจตนเองเท่าใดนัก คงจะเห็นว่ากำพร้ามารดาเหมือนกันกระมังพอเห็นเซี่ยฟานเดินคอตกไปหาหวังซีซวนที่อ่อนกว่าก็ได้แต่สมเพช เขาเลิกคิ้วมองตามด้วยความสงสัยแล้วเดินจากไปอย่างว่าง่าย“เฮ้อ!” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่คิดว่าหวังเยี่ยนหลงจะเดินผ่านมาทางนี้ เพราะเรือนใบไผ่ของพี่ชายอยู่อีกทางด้านหนึ่ง “เซี่ยฟาน เจ้าไม่ต้องเศร้าไปหรอก แค่หลบน้ำร้อน คนผู้นั้นทำได้สบายอยู่แล้ว”“คุณชายหมายความว่าอะไร” เซี่ยฟานเงยหน้ามองเขาไม่เข้าใจสิ่งที่พูด เพราะเขาก็เห็นอยู่ว่าชายกางเกงของหวังเยี่ยนหลงเปียกน้ำ“เซี่ยฟาน พี่สามน่ะ ฝีมือเป็นรองแค่พี่ใหญ่กับพี่รองเท่านั้น เรื่องแค่นี้เขาหลบหลีกได้อยู่แล้ว ปกติแล้วเขาไม่ค่อยจะยุ่งกับข้าเท่าใดนัก แต่ทางที่ดี เจ้าระวังเขาเอาไว้ให้มาก ๆ ข้าเห็นเขามานาน การกระทำของ
หวังซีซวนพยายามซักถามเซี่ยฟานว่าใครทำให้เขาเป็นเช่นนี้ แต่เซี่ยฟานไม่อยากให้คุณชายห้าต้องเป็นห่วง จึงไม่พูดอะไรเพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็คงต้องยอมรับชะตากรรมไปจนกว่าจะถึงวันนั้น“เซี่ยฟาน เจ้าบอกว่ามีคนทำร้ายเจ้า ตอนที่ถือสำรับมาให้ข้าใช่หรือไม่” หวังซีซวนถามซ้ำ“ขอรับ” เซี่ยฟานพยักหน้า หลบสายตา เกรงว่าจะหลุดปากพูดอะไรมากกว่านี้แล้วเขาจับพิรุธได้“ไม่อยากบอกข้าก็ตามใจเจ้า ตั้งแต่วันนี้ไป ไม่ต้องเอาสำรับเย็นมาให้ข้า” เขาก้มลงแตะยาในตลับทาตรงบริเวณฟกช้ำให้เซี่ยฟาน ผิวขาวของเขาทำให้เห็นรอยแดงอมเขียวชัดเจนมากขึ้น“ไม่เป็นอันใดหรอกขอรับ ข้าจะระวังตัว เลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นแทน” เซี่ยฟานนึกทางลับภายในสำนักออกอยู่สองสามแผน ซึ่งเป็นทางที่เขาเคยสำรวจกับหวังซีซวนเมื่อนานมาแล้ว“เจ้าอย่าดื้อสิ ข้าบอกว่าไม่ต้อง เข้าใจหรือไม่” หวังซีซวนดุเซี่ยฟาน เพราะไม่อยากให้ต้องมาเสี่ยงเจ็บตัว“ขอรับ คุณชาย” เซี่ยฟาน
ด่านที่สองของการฝึกวิชาคือพลังตัวเบาดุจขนนก หวังซีซวนงัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะเซี่ยฟานเข้ามาปลุก พร้อมอาหารเช้าของโปรดของเขา“คุณชาย รีบกินเถิด เดี๋ยวไม่ทันนะขอรับ” เซี่ยฟานจัดแจงนำอาหารมาวางไว้ถึงบนเตียงของเขา แล้วยื่นตะเกียบให้“อื้อ ๆ” หวังซีซวนพูดไม่เป็นคำเพราะอาหารที่อัดแน่นเต็มปากของเขา แก้มทั้งสองข้างนูนออกมาจนหน้าดูประหลาดไป“คุณชาย รีบเกินไปแล้วกระมัง” เซี่ยฟานมองหน้าเขากลั้นหัวเราะเอาไว้หลังจากทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว หวังซีซวนก็เดินเข้าสู่ป่าไผ่เขียว เพื่อรับการฝึกวิชาด่านที่สอง“คุณชาย วันนี้พวกเราหนีไม่พ้นไปนอนที่เล้าหมูแน่ ๆ เลยขอรับ” ศิษย์น้องบอกเขาพลางชี้ไปที่กลางลานฝึกลำต้นใหญ่ของไผ่เขียวนับสิบตั้งอยู่ หากมองดูดี ๆ แล้ว ลำต้นกลับเคลือบไปด้วยน้ำมัน ความสูงของแต่ละต้นไม่อาจนับได้ เพราะเมฆหนาลอยปกคลุมอยู่ด้านบน“สูงเท่าใดหรือ” คุณชายหกถามศิษย์ที่เขาสนิทด้วย
“ใช่แล้วพี่สาม ข้าจะสั่งสอนเขาเอง” หวังซีซวนเน้นยำกับพี่ชายอีกครั้ง แล้วแกล้งทำเสียงตวาดใส่เซี่ยฟาน “กลับมานี่ เจ้าทำให้ข้าขายหน้า” หวังซีซวนรู้ดีว่าหวังเยี่ยนหลงไม่สนใจตนเองเท่าใดนัก คงจะเห็นว่ากำพร้ามารดาเหมือนกันกระมังพอเห็นเซี่ยฟานเดินคอตกไปหาหวังซีซวนที่อ่อนกว่าก็ได้แต่สมเพช เขาเลิกคิ้วมองตามด้วยความสงสัยแล้วเดินจากไปอย่างว่าง่าย“เฮ้อ!” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่คิดว่าหวังเยี่ยนหลงจะเดินผ่านมาทางนี้ เพราะเรือนใบไผ่ของพี่ชายอยู่อีกทางด้านหนึ่ง “เซี่ยฟาน เจ้าไม่ต้องเศร้าไปหรอก แค่หลบน้ำร้อน คนผู้นั้นทำได้สบายอยู่แล้ว”“คุณชายหมายความว่าอะไร” เซี่ยฟานเงยหน้ามองเขาไม่เข้าใจสิ่งที่พูด เพราะเขาก็เห็นอยู่ว่าชายกางเกงของหวังเยี่ยนหลงเปียกน้ำ“เซี่ยฟาน พี่สามน่ะ ฝีมือเป็นรองแค่พี่ใหญ่กับพี่รองเท่านั้น เรื่องแค่นี้เขาหลบหลีกได้อยู่แล้ว ปกติแล้วเขาไม่ค่อยจะยุ่งกับข้าเท่าใดนัก แต่ทางที่ดี เจ้าระวังเขาเอาไว้ให้มาก ๆ ข้าเห็นเขามานาน การกระทำของ
ผู้ที่หวังซีซวนเรียกเมื่อครู่ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ หวังเยี่ยนหลง บุตรชายลำดับที่สามของหวังเฉิงเย่ผู้เป็นเจ้าสำนัก บิดาของเขาออกเดินทางฝึกวิชาสำนักตระกูลหวังเพียงลำพังแล้วบังเอิญได้พบมารดาของเขาเป็นครั้งแรกในเวลานั้น ความรักระหว่างคนทั้งสองบังเกิดขึ้น นางรักเขามากจนยอมที่จะบอกวิชาลับของตระกูลให้เขาได้รู้ แม้ว่าบิดาของนางจะห้ามปรามเท่าใดก็ไม่เป็นผล นางไม่ได้รู้เลยว่าเขาจะนำมาใช้กับนางในภายหลังเมื่อแรกรักทุกอย่างดูเป็นไปได้ด้วยดี เขาพานางกลับมาที่สำนักตระกูลหวัง กุมวิชาลับของนางเอาไว้ และมีแผนอยู่เบื้องหลังการกลับมาในครั้งนี้ทันทีที่ก้าวเข้ามา นางกลับได้รับรู้ว่าตนเองเป็นได้เพียงอนุของเขาเท่านั้น แม้จะได้เข้าพิธีตามธรรมเนียมแต่การแก่งแย่งชิงดีภายในตระกูลระหว่างฮูหยินและอนุทั้งหลายต่างดุเดือดไม่แพ้การชิงตำแหน่งเจ้าสำนักตระกูลหวังคนต่อไปถึงจะรักเขามากเพียงใด แต่เขาโกหกนางสารพัดจึงทำให้คิดถึงบ้าน แล้วนางก็เริ่มหาทางหนีออกจากที่แห่งนั้น เพียงแต่ว่า...“โอ๊ย!” หลังจากก้า
คนที่อยู่ในสำนักตระกูลหวังล้วนมีพันธะอย่างหนึ่งที่ใครก็ไม่อาจปฏิเสธ ไม่ว่าจะฐานะคุณชาย ลูกศิษย์หรือแม้แต่คนใช้ ทุกคนเข้ามาที่จวนแห่งนี้ได้ แต่หากจะออกไปย่อมต้องไปอย่างคนไร้วิญญาณเพื่อรักษาความลับของวิชาที่สืบทอดกันมาและหากมีผู้ใดคิดจะหนี ก็คงหนีไปได้ไม่ไกลเพราะพันธะนั้นเป็นเหมือนเชือกที่คอยผูกมัดคอเอาไว้ ยิ่งหนีเชือกเส้นนั้นยิ่งตึงขึ้น จำต้องยอมถอยกลับมาที่เดิม ในอดีตมีคนมากมายพยายามหนีออกไป โดยไม่รู้ตัวว่ามีพันธะอยู่ พวกเขาหนีไปได้ไม่ถึงสิบก้าวก็สิ้นใจลงในทันทีเมื่อไม่มีทางหนีแล้ว ทางเดียวที่จะอยู่รอดคือแข็งแกร่ง การฝึกหฤโหดดำเนินไปในแต่ละวันไม่มีหยุด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ความคิดของคนเหล่านี้ผิดแผกจากคนทั่วไปแข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้ พี่น้องนั้นนับเป็นศัตรูได้ทุกเมื่อ หวังซีซวนจึงไม่เคยไว้ใจใคร แรกเริ่มที่แกล้งเซี่ยฟานก็เพื่อทดสอบ เมื่อผ่านอะไรมาด้วยกัน จึงได้รู้ว่าเซี่ยฟานไม่เหมือนใคร เขาคนนี้ต่างหากคือพี่ชายที่แท้จริง พี่ชายอย่างที่ควรจะเป็นอย่าว่าแต่ความผูกผันกันในสายเลือดข
นับตั้งแต่วันที่หวังซีซวนได้เจอกับเซี่ยฟาน เขาก็ทดสอบจิตใจและความอดทนของเซี่ยฟานตลอดเวลา เซี่ยฟานนั้นเดิมทีไม่ค่อยมีปากมีเสียงอะไร เวลาโดนหวังซีซวนแกล้ง เขาก็นิ่งเงียบไม่ตอบโต้ ครั้นเจอหวังซีซวนดื้อ เอาแต่ใจ เขาก็ใจเย็นรอคอยและทำหน้าที่ของตนให้สำเร็จ เซี่ยฟานปลอบใจตนเองว่าอย่างน้อยที่นี่ก็ดีกว่ามาก แต่สิ่งที่เขาคิดกลับเป็นแค่เพียงฉากหนึ่งที่ได้เห็นในเวลานั้น สถานที่เงียบสงบเริ่มกลับมาครึกครื้น เซี่ยฟานได้เห็นคนรุ่นเดียวกันมากมายในสำนัก คุณชายทั้งเจ็ด ลูกศิษย์ คนรับใช้ คนงาน ความวุ่นวายก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้รู้ว่า ที่นี่ก็ไม่ต่างจากนรกขุมเดิม แต่ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ เขาก็มีความหวังอยู่เสมอ เซี่ยฟานเรียนรู้จากสองพี่น้องคู่นั้นว่
เวลาผ่านไปสามปีชีวิตของเซี่ยฟานเติบโตขึ้นอย่างทุลักทุเล นับตั้งแต่ที่เห็นว่าสองพี่น้องมีชะตาชีวิตอย่างไร เขาก็ไม่กล้าที่จะดื้อดึงหรือมองหาหนทางเป็นอิสระอีกต่อไป เวลานั้นเขารู้ข่าวจากหานโจวมาว่าคนเป็นน้องไม่รอด ส่วนคนเป็นพี่สาวหายตัวไปอย่างลึกลับ เขาคิดว่าสาเหตุคงจะเป็นเหมือนจางเจียและหลินซินอี๋ด้านเซี่ยเวย แม้เวลาจะล่วงเลยแต่ยังคงประพฤติตัวเช่นเดิม จนเรื่องราวภายในจวนของเขาส่งกลิ่นไปด้านนอก ผู้คนเริ่มระแคะระคายอยากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนของเขาแม้แต่ฮูหยินเองก็ตามเช็ดทุกเรื่องที่เขาทำไม่ไหว ไหน ๆ ก็ไม่สามารถมีบุตรสืบสกุลได้ นางจึงคิดที่จะฮุบเอาสมบัติทั้งหมดมาเป็นของนางคนเดียววันนั้นเอง คนเป็นพี่สาวที่หนีไปได้เมื่อครั้งนั้น ได้กลับมาพร้อมกับสามีของนาง เขาเป็นคนของทางการ มีอำนาจในการตร
เช้าวันหนึ่งเซี่ยฟานนั่งเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในเรือนทาส เขามองไปด้านบนเพราะได้ยินเสียงจิ๊บ จิ๊บ ดังระงมอยู่พักหนึ่งแม่นกคาบอาหารบินโฉบลงมาที่รัง แล้วค่อย ๆ ป้อนลูกนกแต่ละตัวอย่างใจเย็น เซี่ยฟานปีนขึ้นไปดูที่รังของพวกมันด้วยความอยากรู้อยากเห็นเขาคอยเฝ้ามองดูนกฝูงนี้ตั้งแต่นั้นมา เห็นความรักที่แม่นกคอยปกป้อง หาอาหาร ให้ความอบอุ่นแก่ลูกนก นับเป็นความสุขเล็ก ๆ ที่ก่อเกิดในใจของเซี่ยฟานจนกระทั่งถึงวันที่ลูกนกต้องหัดบิน แม่นกคอยช่วยให้ลูกนกเหล่านั้นขยับปีก สอนให้ลูกนกโผบิน ในที่สุด ลูกนกในรังก็เริ่มสยายปีกบินขึ้นฟ้าสายตาของเซี่ยฟานมองตามด้วยความตื่นเต้น นกฝูงนี้โผบินอย่างอิสระบนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ ใจของเซี่ยฟานเบิกบาน เขาคอยเฝ้ามองหาทางที่เขาจะเป็นดั่งนกพวกนี้“ท่านลุง ข้าอยากบิน แบบนกพวกนั้น” เซี่ยฟานพูดกับหานโจว พลางชี้ไปบนท้องฟ้า“เจ้าไม่ใช่นกเสียหน่อย ปีกก็ไม่มี” หานโจวคิดว่าเซี่ยฟานพูดไปเรื่อย นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่เซี่ยฟานพยายามบอกคือการเป็
“บัดซบ!” เสียงของเซี่ยเวยอุทานขึ้นทันทีที่ลืมตา เขามองร่างของหลินซินอี๋ที่ห้อยอยู่ตรงหน้า แล้วรีบลุกขึ้นปลดผ้าผืนยาวที่พันรอบคอของนางเอาไว้ ก่อนนำตัวลงมา“หลินซินอี๋!” เขาตะโกนเรียกนางซ้ำ ๆ สุดท้ายก็ต้องจับชีพจรของนาง สีหน้าบอกไม่ถูก ในใจสับสนคิดว่าควรจะทำเช่นไร คิ้วสองข้างขมวดเป็นปม“หลินซินอี๋!” เซี่ยเวยเขย่าร่างไร้ลมหายใจของนางอีกครั้ง “เมื่อคืนเจ้าก็สนุกไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงทำเช่นนี้?” เซี่ยเวยดูจะเข้าใจผิดไปมากนัก คนที่สนุกมีเพียงแค่เขาผู้เดียวเท่านั้นจากนั้นเขาก็ยิ้มแล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง อารมณ์สองขั้วที่สลับไปมาทำให้เขาดูเหมือนจะเป็นบ้าไปชั่วขณะ เซี่ยเวยมองหน้าของหลินซินอี๋อีกครั้ง ยื่นมือข้างหนึ่งลูบใบหน้าของนางอย่างที่เคยทำ“เฮอะ บังอาจนัก ใครใช้ให้เจ้าตาย” เขาพึ