Masukค่ำคืนเดือนหนาววนมาอีกครา เสียงร้องของเด็กแรกเกิดดังก้องเรือนทาส หลินซินอี๋คลอดบุตรชายอย่างยากลำบาก ใจของนางไม่อยู่กับร่องกับรอยตั้งแต่เมื่อครั้งที่ถูกเซี่ยเวยย่ำยีนานแรมปี
หลินซินอี๋ไม่แม้แต่จะอยากมองหน้าของบุตรชายสักแวบหนึ่ง เพราะใบหน้าสักสามส่วนของบุตรชายคล้ายคนที่นางเกลียดมากนัก นางทำใจยอมรับไม่ได้จริง ๆ เสียงของเด็กน้อยที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดร้องเรียกหาความอบอุ่นอยู่เป็นเวลานาน
แต่แล้วบานประตูห้องนอนของนางก็ถูกใครบางคนเลื่อนเปิดออก หญิงสาวที่ดูอายุมากกว่านางสักสองสามปีก้าวเท้าเข้ามาในห้อง สายตาที่มองเด็กทารกนั้นดูเป็นประกาย ใบหน้าของนางเปื้อนรอยยิ้มสดใสอย่างที่ไม่ได้เห็นมานานแล้ว
“ชู่ ๆ อย่าร้อง อย่าร้อง” นางก้มลงข้าง ๆ เด็กทารกแล้วใช้สองมือโอบอุ้มเขาขึ้นมา ร้องเพลงกล่อมเด็กอย่างแผ่วเบาเพื่อปลอบให้เขาหยุดร้อง สีหน้าของนางปลื้มใจราวกับเห็นเป็นบุตรของตนเอง
“อาฟาน เจ้าอย่าร้องเลย แม่อยู่นี่” นางเผลอเรียกชื่อของคนผู้หนึ่งขึ้นมาชะรอยจะคิดว่าเด็กน้อยตรงหน้าคือบุตรของนางไปเสียแล้ว
นางมีนามว่า จางเจีย ถูกขายเข้ามาอยู่ในเรือนทาสก่อนหน้าหลินซินอี๋ไม่กี่ปีในวัยสิบแปดปี ชะตาของนางมืดมนดั่งหลินซินอี๋ไม่ผิดเพี้ยน เซี่ยเวยคนโฉดกระทำชั่วช้าเหลือเกิน ไม่รู้ว่ามีผู้ใดบ้างต้องทุกข์ทรมานจากสิ่งที่เขามอบให้
จางเจีย ตั้งท้องบุตรคนหนึ่งกับเขา นางตั้งหน้าตั้งตารอ นับวันเวลาเก้าเดือนเพื่อที่จะเจอลูกน้อย เสมือนเขาเป็นความหวังเล็ก ๆ ที่ทำให้นางยังคงรักษาลมหายใจของตนเอาไว้ แต่แล้วความหวังนั้นกลับพังทลาย ลูกที่นางรอจะได้เห็นหน้า หายลับไปอย่างไร้ร่องรอย
“ลูกของข้า ลูกข้าอยู่ที่ใด” จางเจียเดินทุลักทุเลออกมาถามทาสในเรือนทีละคน ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะผ่านวันคลอดไม่ถึงสองวัน นางสังหรณ์ใจไม่ดีที่ไม่ได้ยินเสียงของเด็กน้อยตามปกติ “ท่านป้า เห็นลูกของข้าหรือไม่ ลูกข้าอยู่ที่ใด” นางเฝ้าถามและตามหาเขาอยู่นานแต่ไร้วี่แวว
“ข้าไม่รู้”
“ข้าไม่เห็น”
คนใช้และทาสในเรือนต่างตอบวนไปอยู่เท่านี้
“เป็นไปได้อย่างไร ลูกข้าทั้งคน ไม่มีใครรู้เห็นเลยหรือ” น้ำตาของนางเอ่อล้น น่าสงสาร “ลูกข้า ป่านนี้แล้วจะเป็นเช่นไรหนอ เขาคงจะหิวนมแล้ว ท่านป้า ท่านเห็นลูกข้าหรือไม่” นางยังคงเฝ้าถามทุกคนอยู่อย่างนั้นจนผ่านไปอีกอาทิตย์หนึ่ง
ไม่มีใครได้ทันสังเกตเลยว่า จางเจียที่สูญเสียบุตรไปนั้น สติไม่อยู่กับตัวแล้ว วัน ๆ นางเอาแต่ร้องถามหาลูกของนางกับคนที่ผ่านไปมา
เวลานั้นเซี่ยเวยไม่รู้สึกว่าเด็กคนนั้นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา จึงไม่สืบสวนหาความกับผู้ใด คงจะเป็นเรื่องปกติสำหรับเขาไปแล้ว ทาสในเรือน คนใช้ หรืออะไรก็แล้วแต่ มีค่าแค่เป็นที่ระบายอารมณ์ ความใคร่ของเขาก็เพียงเท่านั้น
ฉะนั้นแล้ว เสียงร้องของเด็กน้อยจากห้องหลินซินอี๋ จึงทำให้จางเจียเหมือนย้อนกลับมาในวันวานอีกครั้ง วันที่ลูกของนางลืมตาดูโลกเผลอเรียกชื่อที่เคยจะเอาไว้ตั้งให้ลูกของตนออกไป “อาฟาน แม่อยู่นี่แล้ว เจ้าไม่ต้องกลัวนะ” พูดจบนางก็อุ้มเขาออกจากห้องไป
นับแต่นั้นมา จางเจียก็คอยดูแลอาฟานเหมือนเป็นลูกของตนเอง นางจัดหาทุกอย่างมาให้เขา เท่าที่ทาสคนหนึ่งจะทำได้ นางรู้ว่านางไม่มีน้ำนมให้เขาดื่ม ก็เอาแต่วิ่งแจ้นไปขอคนโน้นทีคนนี้ทีจนกว่าจะได้
“อาฟาน แม่เย็บเสื้อผ้าชุดนี้ให้เจ้าแล้ว ชอบหรือไม่” นางลองสวมชุดให้เขา แล้วมองดูหน้าตาน่ารักน่าชังของเด็กน้อย พลางยิ้มให้เขาอย่างอบอุ่น
“อาฟาน รอแม่ก่อน เจ้าอย่าเพิ่งรีบวิ่ง” เสียงของนางตะโกนเรียก หน้าตาตื่นตระหนก กลัวเขาจะหกล้มได้แผลเหมือนวันก่อน
ช่วงเวลาสามปีที่นางเลี้ยงดูเขาเหมือนลูกนั้น เริ่มทำให้นางมีสติมากขึ้น เขาเป็นดั่งยารักษา คอยเยียวยาจิตใจของนางให้หายดี สีหน้าและสภาพร่างกายของนางจึงดีขึ้นตามลำดับ
กลับกัน ชีวิตของหลินซินอี๋ราวกับอยู่ในนรก แต่ละวันผ่านพ้นไปด้วยความยากลำบาก เซี่ยเวยไม่ปล่อยนางให้หลุดรอดสายตา ทุกค่ำคืนฉุดรั้งนางเอาไว้ไม่ให้ห่างกาย ไม่มีผู้ใดยื่นมือช่วยนางได้สักคน
นางแทบจะไม่รับรู้สิ่งอื่นอีกแล้ว บางครั้งสายตาเหลือบมองเห็นอาฟานกำลังวิ่งเล่นอยู่ข้าง ๆ ไม่ได้ทำให้ใจของนางอยากจะโอบกอดเขาสักครั้ง ทุกครั้งที่เห็นหน้าของเขา ใบหน้าของเซี่ยเวยจะปรากฏทับซ้อนตลอด แม้ว่าเขาจะมีแววตาและรอยยิ้มที่อ่อนโยนเหมือนนางก็ตาม
คืนนั้น จางเจียพาอาฟานออกมานั่งดูดาวนอกเรือน ดวงจันทร์กลมโตส่องแสงทอประกาย นางกอดอาฟานเอาไว้แน่น
“อาฟาน แม่รักเจ้ามากนะ” เสียงอ่อนโยนของนาง ทำให้อาฟานผงกหัว
“อือ” เขาส่งเสียงอู้อี้ อาฟานยังคงพูดไม่ได้แม้ว่าจะอายุเข้าสู่ปีที่สามแล้ว แต่กระนั้น เขาก็เข้าใจสิ่งที่มารดาพร่ำบอกเขา อาจเป็นเพราะสามารถรับรู้ความรู้สึกอบอุ่นจากนางได้
ขณะที่ทั้งสองนั่งเล่นอยู่นอกชานอย่างมีความสุข เสียงฝีเท้าคนร่างใหญ่เดินกระแทกส้นเท้าดังขึ้นเรื่อย ๆ ค่อย ๆ มาทางที่พวกเขานั่งอยู่ แล้วจางเจียก็โดนกระชากแขนให้ลุกขึ้น
“โอ๊ย!” นางร้องเสียงหลง ร่างบางถูกยกขึ้นตามแรงของใครบางคน
“จางเจีย...” เซี่ยเวยเรียกนางเสียงยานคาง กลิ่นเหล้าหึ่งจากตัวและเสื้อผ้าของเขา จมูกโด่งนั้นพยายามซุกไซ้เข้ามาใกล้ลำคอและใบหน้าของนาง
จางเจียใจเสีย สีหน้าที่เมื่อครู่ยิ้มแย้มพลันแปรเปลี่ยนเป็นหวาดกลัว นางไม่ได้เจอเรื่องแบบนี้มานานหลายปีแล้ว นานจนแทบจะลืมไปว่าเคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น
ตุบ ตุบ ตุบ เสียงมือน้อย ๆ สองข้างของอาฟานกำลังทุบที่ต้นขาของเซี่ยเวยอย่างไร้เดียงสา ไม่ได้รู้เลยว่าคนตรงหน้าโหดเหี้ยมปานใด
“อาฟาน อาฟาน” นางร้องเรียกเขา พลางสะบัดตัวให้พ้นจากเซี่ยเวยแล้วกอดลูกของนางเอาไว้ จิตใจหวาดกลัว ร่างกายสั่นเทา แต่มือสองข้างยังคงโอบกอดอาฟานเอาไว้
เซี่ยเวยกำลังเมาได้ที่เห็นแล้วขัดตา ทั้งยังรู้สึกว่าไม่ได้เล่นสนุกกับจางเจียมานานมากแล้ว นางเคยเป็นคนที่เขาโปรดปรานมากที่สุด นับตั้งแต่ที่สติหลุดเป็นบ้าเพราะลูกหายก็ไม่ได้ยุ่งกับนางอีกเลย
ไม่ใช่ว่าเห็นใจหรืออะไรเทือกนั้น แต่เพราะนางในตอนนั้น เล่นด้วยไม่สนุกเสียเลย ดั้งนั้น เวลานี้เขาจึงมองนางไม่วางตา เพราะสังเกตมาได้พักหนึ่งแล้วว่า จางเจียคนเดิมกลับมาแล้ว
“อาเจีย เจ้าหายแล้วนี่” เซี่ยเวยนั่งลง เอามือจับคางของนางให้เงยขึ้น เขายิ้มร้ายอย่างเคย
“ไม่ ไม่ อย่าทำข้า” ภาพในอดีตกำลังถาโถมเข้ามาในหัวของจางเจีย น้ำตาของนางคลอเบ้า
อาฟานเห็นเช่นนั้น จึงใช้แขนเสื้อของเขาค่อย ๆ ซับน้ำตาให้นาง เหมือนที่จางเจียเคยเช็ดน้ำตาให้เขา ทั้งสองกอดกันกลมต่อหน้าของเซี่ยเวย
เขาดึงอาฟานจากอ้อมกอดของจางเจีย เหวี่ยงไปที่พื้นด้านนอก ทำให้ข้อมือของอาฟานกระแทกพื้น เขากำลังเบะปากร้องไห้เพราะความเจ็บและตกใจ จางเจียเห็นดังนั้นจึงผลักเซี่ยเวยออกไปด้วยแรงทั้งหมดที่มีจนเขาหงายหลัง หัวไปชนกับเสาเรือน สร่างเมาไปชั่วแวบหนึ่ง
จังหวะที่จางเจียวิ่งมาดูอาฟานข้างล่าง เซี่ยเวยกระโดดลงมาจากนอกชานอย่างรวดเร็ว ตัดหน้าจางเจียไม่ถึงหนึ่งจั้ง เขากำข้อมือของอาฟานข้างที่บาดเจ็บขึ้นมาดู ยิ้มเหี้ยมเกรียมแล้วบีบกดลงไปบนพื้น
เซี่ยเวยผู้นี้ของขึ้นได้ง่าย หากมีคนทำอะไรขัดหูขัดตาเขา ยามเป็นผู้ใจบุญนอกจวน มักจะเก็บงำความรู้สึกเอาไว้ แล้วมาลงกับคนในปกครองเป็นประจำ
จางเจียเห็นเขาทำร้ายอาฟานก็คิดหาวิธีจะช่วยลูกของนาง พอรู้ว่าตัวเองไม่อาจสู้แรงของเขาได้ จึงหยิบหินก้อนใหญ่ที่อยู่แถวนั้น ทุบลงไปที่หัวของเขาในทันที
“โอ๊ย!” เขาร้องเสียงหลงเพราะความเจ็บ ไม่เคยมีผู้ใดทำร้ายเขามาก่อน “บังอาจนัก!” เขาตวาดนางเสียงดัง กระนั้น ไม่มีผู้คนในเรือนกล้าโผล่หน้ามาดูเหตุการณ์ข้างนอกแม้แต่คนเดียว
“อย่าทำลูกข้า อย่าทำร้ายเขา” นางพร่ำพูดซ้ำ ๆ จากจิตใต้สำนึก พลางโอบกอดอาฟานไว้แน่น
ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ เซี่ยเวยโกรธจนเลือดขึ้นหน้า จิกผมของจางเจียไว้แล้วลากเข้าไปในห้องพร้อมอาฟาน เสียงทุบตีเริ่มขึ้นภายในความเงียบงันยามค่ำคืน จางเจียยังคงโอบกอดอาฟานไว้ คอยป้องกันเขาจากเงื้อมมือเซี่ยเวย
“อาฟาน...” เสียงเรียกบุตรชายนั้นแผ่วลงไปพร้อมกับลมหายใจ
สามเดือนต่อมาเช้าวันหนึ่งเสี่ยวหยุนมองเหลียนเฟินที่กำลังนอนหลับใหลในอ้อมกอดของเขา สายตาเต็มไปด้วยความรักท่วมท้นในใจก่อนจะพึมพำร่ายอาคมอย่างหนึ่งขึ้นมาพลันกรีดปลายนิ้วจนได้เลือดหยดหนึ่งหลอมรวมกับลูกกลมสีฟ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้เป็นวิชาที่เขาเพิ่งคิดค้นขึ้นมาได้แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกเสี่ยวหยุนตั้งชื่ออาคมนั้นว่า “พันธะวิญญาณ” อาคมที่สามารถผูกวิญญาณของพวกเขาทั้งสองไว้ด้วยกันในทุก ๆ ชาติ ไม่ว่าเหลียนเฟินจะเกิดเป็นผู้ใด อยู่ที่ไหน เขาจะรู้ได้ในทันที นับต่อจากนี้ไม่มีพรากจากลมหายใจของร่างบางในอ้อมกอดสัมผัสแผ่นอกกว้างของเขาเตือนสติให้รู้ตัว ล้มเลิกความคิดเช่นนั้น เสี่ยวหยุนยิ้มมุมปากพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วบีบอาคมนั้นให้แตกสลายไปริมฝีปากจุมพิตหน้าผากเรียกเหลียนเฟินด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฟูเหรินของข้า”“อืม…” เหลียนเฟินยังคงงัวเงียพลันได้รับจุมพิตที่แก้ม โลมเลียลงลำคอ สัมผัสเรียวลิ้นร้อนชื้นดูดเม้มก่อนจะถูกใครบางคนคร่อมร่างกายท่อนบนเอาไว้“ฟูเหริน ท่านยังไม่ตื่นอีกหรือ” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำ
เหลียนเฟินนอนนิ่งบนแผ่นอกของเขา ส่วนล่างกระตุกบีบแก่นกายที่ค้างอยู่ราวกับเชิญชวนจึงถูกพลิกตัวเป็นฝ่ายนอนใต้ร่างพลางโดนเสี่ยวหยุนจับขาสองข้างยกขึ้นแล้วขย่มสะโพกเป็นจังหวะ“ข้าเพิ่งจะ…อ๊ะ...” เหลียนเฟินไม่ทันได้พูดอะไรก็ต้องเม้มปากตัวเองอีกครั้ง มือสองข้างจับหมอนที่วางอยู่ ขยำจนผ้ายับยู่ยี่ ลมหายใจร้อนหอบถี่ ฟังแล้วยิ่งกระตุ้นให้อีกฝ่ายเกิดความต้องการอย่างยิ่งยวดแก่นกายที่ครูดเข้าออกเร่งขึ้นอย่างเร่าร้อนจนน้ำที่ปล่อยเอาไว้เมื่อครู่กระเซ็นเปรอะเปื้อน คนกระทำยิ้มมุมปากชอบใจยิ่งนักที่ได้เห็นร่องรอยของเขาบนตัวคนรักเมื่อโพรงเนื้อโอบรอบจนมิดแน่นขนัดยิ่งเสียวซ่านจนตาเหลือกลอย “อือ… เหลียนเฟิน” ในใจวนเวียนแต่คำว่า อีกนิด ข้าขออีกนิดในขณะที่คนใต้ร่างแทบคุมสติตัวเองไม่อยู่ พึมพำแผ่วเบา “ข้าไม่ไหวแล้ว… อย่าเพิ่งขยับ”“จะให้ข้าหยุดจริงหรือ” เขาเอ่ยถามแต่ส่วนลับยังคงกระทุ้งเข้า ๆ ออก ๆ บดเบียดภายใน หยอกล้อเหลียนเฟินเพราะอยากเห็นสีหน้าแดงระเรื่อ สุขสม พลันวางขาทั้งสองข้างลงแล้วพลิกตัวเหลียนเฟินให้นอนคว่ำในพริบตาก่อนจะยกส
เหลียนเฟินโอบแขนรอบคอของเสี่ยวหยุนกดแรงโน้มตัวเขาลงมาหา จ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตาพลันยิ้มอ่อนโยน เอ่ยกระซิบยืนยันความรู้สึกของตัวเอง “ข้ารักเจ้า”คนได้ฟังคำรักน้ำตาไหลเอ่อไม่อาจกั้นด้วยความรู้สึกผิดระคนกับความรู้สึกอื่น ๆ ในใจ แม้รู้ตัวว่าไม่สมควรมายืนอยู่ข้างเขาแต่เวลานี้ก็ไม่อาจขยับกายหรือเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายได้เลยเขารักเหลียนเฟิน ผู้เป็นฟูเหรินของเขาและไม่อยากถูกพรากจากอีกแล้ว ทั้งยังดีใจเพราะใบหน้าที่มองเขาในเวลานี้ไม่ใช่ใบหน้าของคนที่เกลียดชังเขาจนต้องจ่อปลายกระบี่เข้าหาราวกับแค้นเคืองกันมาเนิ่นนาน“เสี่ยวหยุน” เสียงเรียกหาอ่อนหวานจับใจ “ยังคงจำได้อยู่ใช่หรือไม่ว่าเวลานี้เจ้าคือฟูจวินของข้า”“…” เขาพยักหน้าเล็กน้อย เม้มปากแน่นแล้วกอดเหลียนเฟินเอาไว้ครั้นสะสางความหลัง ปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างพลันคลี่คลาย ไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีกต่อไปหวังซีซวนและพรรคพวกแวะมาหาพวกเขาเหมือนอย่างเคย สังเกตได้ว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งสองคนดูอึมครึมเล็กน้อย ดวงตาเสี่ยวหยุนบวมช้ำปรากฏเด่นชัดจนอดถามไม่ได้“
ครั้นเรื่องราววุ่นวายที่ใจกลางตลาดจบลงไปได้ด้วยดี เหลียนเฟินจึงพาเสี่ยวหยุนกลับมาพักฟื้นร่างกายที่บ้านหลังน้อย พลางขอให้หวังซีซวนช่วยกลั่นยาสมุนไพรให้เขาจนกว่าจะหายดีเขาหลับลึกอยู่หลายวันเพราะใช้เรี่ยวแรงร่ายวิชาอาคมโดยไม่สนขีดจำกัดของตัวเองเพียงเพราะเป็นห่วงเหลียนเฟินและไม่อยากให้สถานการณ์ยืดเยื้อใบหน้าสงบนิ่งยามหลับใหลทำให้เหลียนเฟินโล่งใจได้บ้างว่าเขาคงไม่ได้ฝันร้ายเหมือนที่ผ่านมาจึงปล่อยให้คนตรงหน้าพักผ่อนให้เต็มที่“ท่านเซียน เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” หลี่จิ้นหลิงแวะมาเยี่ยมเพราะได้ข่าวว่าเสี่ยวหยุนยังไม่ฟื้น“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เขาเพียงแค่ต้องนอนให้เยอะ ๆ ก็เท่านั้น” เหลียนเฟินยิ้มให้อีกฝ่ายนึกขอบคุณที่เขาช่วยหาตำราต้องห้ามจนพบ“หากท่านเซียนต้องการให้ช่วยเหลือเรื่องใด อย่าได้ลังเลใจที่จะบอกข้านะขอรับ” หลี่จิ้นหลิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องฟื้นฟูพลังชีวิตของท่าน ถ้าตำราต้องห้ามไม่ได้ผล ข้ายินดีหาหนทางอื่น”เหลียนเฟินส่ายหน้าเข้าใจดีว่าทุกคนเป็นห่วงแต่ว่าเขาเตรียมใจเอาไว้แล้ว ไม่ว่าผลที่ได้จะออกมาเป็น
“ปล่อยคุณหนูหลี่” เหลียนเฟินพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเห็นอีกฝ่ายเคลื่อนไหวรวดเร็ว เขากำกระบี่ในมือไว้แน่นพลันยกขึ้นมากันท่าไม่ให้เสิ่นหยางพุ่งตัวเข้าใกล้ระยะประชิดก่อนจะม้วนตัวแล้วถีบคนตรงหน้ากระเด็นไปอีกทางด้วยแรงที่ออมไว้สามส่วน“ฝีเท้าหนักใช่เล่น” เขาเอ่ยชม รอยยิ้มกวนประสาทราวกับถูกใจอย่างยิ่งยวด “อย่าขัดขืนนักเลย เมื่อครู่ข้าเพียงยั้งมือเอาไว้เท่านั้นเพราะไม่อยากทำให้ร่างกายของท่านเซียนมีบาดแผล”เสิ่นเหยา แฝดผู้พี่ที่จับตัวหลี่ฮวาเอาไว้ลูบปลายจมูกตัวเอง “หากท่านเซียนยินยอมมากับพวกข้า ข้าจะคืนสตรีนางนี้เป็นการแลกเปลี่ยน”“เช่นนั้นปล่อยนางก่อน” เหลียนเฟินไม่ตกลงง่าย ๆ และเป็นห่วงความปลอดภัยหลี่ฮวาที่เวลานี้กำลังกลั้นน้ำตาไม่ร้องไห้เสียงดังด้วยความหวาดกลัว“ท่านเซียนคงไม่รู้ว่าข้าเป็นผู้ใดจึงพยายามเล่นแง่ยืดเวลาออกไปใช่หรือไม่ แต่ข้ายืนยันได้เลยว่าสองชั่วยามต่อจากนี้ไม่มีผู้ใดเข้ามาก้าวก่ายที่แห่งนี้ได้อย่างแน่นอนและหากทุกสิ่งไม่เป็นอย่างที่ข้าต้องการ ข้าจะทำลายหมู่บ้านให้ราบคาบ” เสิ่นหยางประกาศก้อง คำพูดของเขาทำให้ชาวบ้านขวัญ
ครั้นพูดคุยเรื่องตำราต้องห้ามเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็กลับมายังบ้านหลังน้อยจึงได้เห็นว่าหลี่จิ้นหลิงกำลังนั่งเล่นอยู่ตั่งไม้กับเหลียนเฟินแววตาเสี่ยวหยุนเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”“ข้าเห็นว่าท่านเซียนเมาหลับไป วันนี้จึงอยากมาดูให้แน่ใจว่ามีอาการใดหรือไม่” เขายักไหล่พูดด้วยสีหน้าสบายอารมณ์หากแต่เสี่ยวหยุนอารมณ์ดีจึงไม่ใส่ใจแล้วเดินไปนั่งข้างเหลียนเฟิน เอ่ยกับเขาว่า “ข้าต้องไปหอสมุดวังหลวง คุณชายหวังซีซวนบอกว่าที่นั่นมีตำราเก็บไว้อยู่ อาจช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตของท่านได้”“เขาไม่ได้บอกหรือว่าที่แห่งนั้นห้ามให้คนนอกเข้าไป” เหลียนเฟินหรี่ตามองคนตรงหน้าที่ทำท่าเหมือนรู้ทุกอย่าง “หากคิดไปขโมยตำรามาก็หยุดแต่เพียงเท่านั้นเถิด พลังชีวิตของข้ามีแค่ครึ่งเดียวแล้วอย่างไร ไม่เห็นหรือว่าข้ายังแข็งแรงดี”“ไม่อยากอยู่กับข้านานกว่านี้หรือ” สีหน้าของเขาเศร้าสร้อยหากต้องล้มเลิกความตั้งใจ รู้ว่าบำเพ็ญคู่จะสามารถยืดอายุขัยออกไปได้ แต่หากพลังชีวิตของเขากลับมาเหมือนเดิม ย่อมมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันนานมากขึ้นไปอีกเ


![นายบำเรอของมาเฟีย [Mpreg]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)


![หวนคืนลิขิตรัก [Mpreg]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)

