“บัดซบ!” เสียงของเซี่ยเวยอุทานขึ้นทันทีที่ลืมตา เขามองร่างของหลินซินอี๋ที่ห้อยอยู่ตรงหน้า แล้วรีบลุกขึ้นปลดผ้าผืนยาวที่พันรอบคอของนางเอาไว้ ก่อนนำตัวลงมา
“หลินซินอี๋!” เขาตะโกนเรียกนางซ้ำ ๆ สุดท้ายก็ต้องจับชีพจรของนาง สีหน้าบอกไม่ถูก ในใจสับสนคิดว่าควรจะทำเช่นไร คิ้วสองข้างขมวดเป็นปม
“หลินซินอี๋!” เซี่ยเวยเขย่าร่างไร้ลมหายใจของนางอีกครั้ง “เมื่อคืนเจ้าก็สนุกไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงทำเช่นนี้?” เซี่ยเวยดูจะเข้าใจผิดไปมากนัก คนที่สนุกมีเพียงแค่เขาผู้เดียวเท่านั้น
จากนั้นเขาก็ยิ้มแล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง อารมณ์สองขั้วที่สลับไปมาทำให้เขาดูเหมือนจะเป็นบ้าไปชั่วขณะ เซี่ยเวยมองหน้าของหลินซินอี๋อีกครั้ง ยื่นมือข้างหนึ่งลูบใบหน้าของนางอย่างที่เคยทำ
“เฮอะ บังอาจนัก ใครใช้ให้เจ้าตาย” เขาพึมพำกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนตะโกนเรียกทาสด้านนอกเข้ามา
“หานโจว!”
พ่อบ้านที่ดูแลเรื่องคนใช้และทาสในเรือนวิ่งหน้าตั้งเข้ามาเพราะตกใจเสียงเรียกของเขา พอเดินมาถึงด้านหน้าของเรือนนอน เขาก็เห็นอาฟานนอนขดไม่ได้สติ
“นายท่าน...” หานโจวพูดติดขัด “ข้ามาแล้วขอรับ” สายตาของเขาเห็นร่างหลินซินอี๋แล้วนึกภาวนาในใจ ไม่อยากให้เหตุการณ์ซ้ำรอย
“เอานางไปฝัง” เซี่ยเวยสั่งเขาไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะลุกออกไปจากห้องโดยไม่มองหน้าของนางอีก “ส่วนเด็กนี่ หายามารักษาเขา” เซี่ยเวยเหลือบมองอาฟานเพียงแวบหนึ่งแล้วเดินจากไป
“ขอรับ นายท่าน” หานโจวรับคำ รอให้เซี่ยเวยกลับเรือนเรียบร้อยแล้วก็เรียกทาสคนอื่น ๆ มาช่วยกันจัดการฝังศพให้หลินซินอี๋ พร้อมอุ้มร่างของอาฟานกลับเรือนแล้วแปะยาที่บาดแผล รวมถึงต้มสมุนไพรแก้ช้ำในให้เขาได้กิน
“หานโจว อีกแล้วหรือ” หญิงผู้หนึ่งถามเขา สายตาคอยมองรอบ ๆ กลัวว่าเซี่ยเวยจะโผล่มาทำอะไรนาง
“เฮ้อ ข้าจนปัญญา เจ้าช่วยข้าดูแลเขาหน่อยเถิด เจ้าเด็กคนนี้ช่างโชคร้ายซ้ำซ้อน ทั้งแม่ผู้ให้กำเนิด แม่ที่เลี้ยงดู ไม่มีใครอยู่เลยสักคน” เขาลูบหัวอาฟานด้วยความสงสาร
ทุกคนที่นี่บางครั้งก็ใจดีกับอาฟาน แต่บางครั้งก็ต้องเอาตัวรอดไม่ยุ่งกับเขา เพราะมีสายตาของฮูหยินคอยเฝ้ามองอยู่
นับตั้งแต่นั้นมา เซี่ยเวยก็หาที่ลงกับทาสสาวที่เพิ่งซื้อตัวมาใหม่ แต่พอเหล้าเข้าปากทีไรก็มักจะเดินมาหาหลินซินอี๋ที่เรือนอยู่เสมอ ราวกับคิดว่าจะได้เจอนาง สุดท้ายพอไม่เจอใครก็อาละวาดทำลายข้าวของอยู่ทั้งคืน ส่งเสียงร้องลั่น บ้าคลั่งจนผู้คนในจวนไม่ได้หลับนอน
ครั้นรุ่งเข้ามาถึงก็ลำบากพวกเขาคอยจัดเก็บ ซ่อมแซมทุกสิ่งอย่างให้เข้าที่เข้าทาง
อาฟานรักษาตัวได้สองสามวันก็เริ่มอาการดีขึ้น เขาเดินมาที่เรือนของหลินซินอี๋เพราะอยากเข้าไปหานางตามสัญชาตญาณ แต่กลับเจอเพียงห้องโล่งว่างเปล่าไร้ชีวิต
“ท่านแม่... ท่านแม่...” เสียงเล็กของเขาเรียกผู้เป็นมารดา
หานโจวเดินมาหาเขาแล้วเล่าเรื่องราวคร่าว ๆ ให้ฟัง เขาเองก็กลัวว่าอาฟานจะรับไม่ไหว แต่เวลานี้จิตใจของอาฟานก็แทบจะไร้ความรู้สึกไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดล้วนจากเขาไปทั้งนั้น
อาฟานเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง ไร้เดียงสา แทนที่จะได้ใช้ชีวิตในวัยเด็กอย่างสนุกสนาน กลับต้องอยู่อย่างเลื่อนลอย ไร้จุดหมาย
เซี่ยเวยเหมือนจะไม่สามารถข้ามผ่านเรื่องของหลินซินอี๋ไปได้ เขามักจะเดินมาที่ห้องของนางแล้วพักอยู่ข้างใน รำลึกถึงคืนวันที่ผ่านมา
“หานโจว” จู่ ๆ เขาก็ตะโกนเรียกพ่อบ้าน
“ขอรับนายท่าน”
“ไปตามอาฟานมาที่นี่”
หานโจวคิ้วขมวด เหงื่อตก ไม่อยากทำตามคำสั่ง เพราะรู้ดีว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น
“ไม่ได้ยินรึ” เซี่ยเวยเริ่มหงุดหงิดเมื่อเห็นว่าหานโจวยังคงยืนอยู่ที่เดิม
“ให้อาฟานมาที่นี่ทำไมหรือขอรับ” เขารู้ว่าคำตอบคืออะไร แต่ก็ยังต้องการถ่วงเวลา สักนิดก็ยังดี
เซี่ยเวยไม่ชอบให้ใครขัดใจ เขาลุกขึ้นยืนทำหน้าตาถมึงทึงใส่หานโจว ง้างมือข้างหนึ่งตบหน้าของเขาอย่างแรง รอยฝ่ามือแดงเป็นปื้นนูนขึ้นมา เลือดกบปากของหานโจวอย่างง่ายดาย
“ไปตามอาฟานมาที่นี่” เขาพูดกระแทกเสียง เน้นย้ำทุกคำ
“แต่ว่า...” หานโจวอยากจะพูดอะไรสักหน่อย แต่เซี่ยเวยไม่รอ จังหวะนั้น เขากำหมัดขวาแน่นแล้วต่อยไปที่ท้องของหานโจว
“ไม่รักตัวกลัวตายแล้วรึ กล้าไม่ฟังคำของข้า” เซี่ยเวยตะบี้ตะบันหมัดแกร่งใส่ร่างของหานโจว
“ท่านลุง” เสียงเล็กเอ่ยเรียกหานโจวที่หน้าประตู
“รู้หน้าที่ดีนี่ อาฟาน” เซี่ยเวยยิ้มมุมปาก
เขาเอื้อมมือมาแตะที่ใบหน้าอาฟาน แล้วบอกให้ตามเขากลับไปที่เรือน สีหน้าเริ่มกลับมาอารมณ์ดีอีกครั้ง
“อาฟาน เจ้ากินสิ ขนมพวกนี้ ของโปรดข้าทั้งนั้น” เซี่ยเวยหยิบขนมชิ้นหนึ่งยื่นให้ แต่เขายังคงนั่งนิ่ง ไม่เข้าใจการกระทำของเซี่ยเวย
“อร่อยนะ ลองชิมดูสิ” เซี่ยเวยหยิบขนมชิ้นนั้นเข้าปากตัวเอง แล้วลองยื่นชิ้นใหม่ให้อาฟาน
ดูเหมือนว่า นี่จะเป็นครั้งแรกที่อาฟานไม่ถูกเซี่ยเวยทำร้ายร่างกาย ทว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งสองนั้นยากที่จะมีใครคาดเดาได้ วันดีคืนดีเขาก็รับอาฟานเป็นลูก ให้ผู้อื่นได้รู้ว่าบุตรชายเพียงคนเดียวของเขาคือเซี่ยฟาน แต่ผ่านไปสองสามวัน จู่ ๆ ก็ลงไม้ลงมือทำร้ายอาฟานอีกครั้งจนน่วมไปทั้งตัว
“อาฟาน เจ้าหน้าเหมือนแม่ของเจ้านัก หลินซินอี๋ นางกล้าทิ้งข้าไปได้อย่างไร” เซี่ยเวยอยู่ในอาการมึนเมา บ่นพร่ำเพ้อต่อหน้าของอาฟาน
สิ่งที่เซี่ยเวยปฏิบัติต่ออาฟานนั้น ทำให้ฮูหยินเซี่ยยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่า สามีของนางนั้นคิดกับหลินซินอี๋เช่นไร จึงทำให้นางเกลียดอาฟานมากยิ่งขึ้น สั่งไม่ให้คนในเรือนคบหาอาฟาน
แต่คำสั่งของนางขัดกับความต้องการของเซี่ยเวย แม้เขาจะทำร้ายอาฟานอยู่เป็นประจำ แต่กระนั้นก็ยังเลือกที่จะให้คนมาคอยรักษาบาดแผลให้ สิ่งเดียวที่ทำให้เขาทำเช่นนี้ คงเพราะว่าเห็นหน้าของอาฟานแล้วคิดถึงหลินซินอี๋ คิดถึงแต่ก็โมโห โกรธนางมากเช่นกัน
ดังนั้น อาฟานจึงเป็นเหมือนภาชนะที่ต้องคอยรองรับอารมณ์ของเซี่ยเวยอย่างไม่รู้ตัว
เหตุการณ์เช่นนี้ยังคงดำเนินต่อมาหลายปี จนกระทั่งอาฟานอายุได้เจ็ดขวบ เขาเติบโตและได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากขึ้น ไม่มีผู้ใดคอยสอนเขาแต่อาฟานรับรู้ได้จากสิ่งที่อยู่รอบตัว
เขาบาดเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจตลอดเวลาจนแวบหนึ่งนึกอยากหาทางออกไปจากที่นี่ อาฟานเดินไปที่กำแพง มองผ่านรูเล็ก ๆ ได้เห็นชีวิตผู้คนภายนอก เห็นความแตกต่างที่เทียบไม่ได้กับชีวิตของเขา ในใจเริ่มนึกถึงวันที่เขาจะได้อยู่ข้างนอกนั้น
หน้าบ้านหลังน้อยของพวกเขามีบุรุษร่างสูงและสตรีบอบบางสวมชุดสีขาวน้ำเงิน ในมือถือกระบี่อันเป็นสัญลักษณ์ของสำนักเซียน“ศิษย์พี่เหลียนเฟิน” ชายผู้นั้นยิ้มกว้างเมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่ได้เจอกันมานานกว่าสิบปี “ศิษย์พี่ ท่านบาดเจ็บที่ใดหรือ”เหลียนเฟินเพิ่งนึกได้จึงบอกคนให้ขี่หลังว่า “เสี่ยวหยุน ปล่อยข้าลงก่อนเถิด ถึงบ้านเราแล้ว”“พวกเขาเป็นผู้ใดกันจึงเรียกหาสนิทสนมปานนั้น” น้ำเสียงฮึดฮัดอย่างที่เคยทำบ่อย ๆ เวลาหลี่จิ้นหลิงมาเยี่ยมอาจารย์ของเขาทำให้เหลียนเฟินเผลอยิ้มไม่ได้“มานี่สิ ข้าจะแนะนำให้พวกเจ้ารู้จักกัน” เหลียนเฟินเอ่ยทักทายศิษย์พี่และศิษย์น้องที่เขาไม่ได้เจอมานานด้วยความยินดีเพราะหลังจากขอออกจากสำนักวังธาราเหมันต์ เหลียนเฟินไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใดอีกเลยสตรีรูปงามคือศิษย์พี่หญิงหลวนเล่อ ส่วนอีกคนศิษย์น้องซิ่นเฉิง เขาบอกกับทั้งสองว่า “เสี่ยวหยุนเป็นลูกศิษย์ของข้า”ชายหนุ่มหันขวับมองหน้าเหลียนเฟินราวกับจะถามว่าเหตุใดจึงแนะนำว่าเขาเป็นเพียงศิษย์ ทั้ง ๆ ที่เมื่อครู่ตกลงกันแล้วว่าจะเรียกเขาว่าฟูจวินหากแต่เห
สายลมเอื่อยพัดยอดดอกหญ้าสีขาวพลิ้วไหวลู่เอนไปทางซ้าย ดวงตาของเสี่ยวหยุนจ้องมองภาพของใครบางคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขา ยามได้เห็นคนในใจมักจะยิ้มแย้มโดยไม่รู้ตัวหากแต่ครานี้กลับชะงักงันเพราะใบหน้าที่คุ้นเคยเหมือนเยาว์วัยลงไปหลายปี ทั้งสีหน้า แววตาที่เศร้าสร้อยทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดใจเหลือเกิน เสี่ยวหยุนอยากเอื้อมมือเช็ดน้ำตาเปื้อนแก้มอีกฝ่ายใจจะขาดแต่ทำไม่ได้ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างดึงรั้งเอาไว้ไม่ให้แตะต้องร่างเปราะบางที่พร้อมจะแตกสลายในทุกเมื่อ“อย่าร้องเลย” เขาเอ่ยแผ่วเบาพร้อมทำทุกอย่างเพียงเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายมีน้ำตา “เป็นข้าหรือที่ทำผิดต่อท่าน”คนตรงหน้าไม่เอื้อนเอ่ยคำใด สายตาที่มองมาทางเขาว่างเปล่าจนเจ็บแปลบในใจ เสี่ยวหยุนไม่รู้เลยว่าต้องทำอย่างไรจึงจะหลุดพ้นจากสถานการณ์เช่นนี้ขณะกำลังตกอยู่ในภวังค์ความฝัน เสียงหนึ่งที่คุ้นเคยดังขึ้นมา “เสี่ยวหยุน”“…” เขามั่นใจว่าเสียงนั้นคือเสียงของคนที่เขากำลังมองอยู่ข้างหน้า แต่น้ำเสียงที่เอ่ยเรียกเขาดูสดใส ร่าเริงและเต็มไปด้วยความสุขต่างจากภาพใบหน้าที่เขาเห็นเวลานี้“เสี่ยวหยุน”ชายหนุ่มคิดในใจรู้ตัวแล้วว่าเขาเพียงแค่หลับฝัน หากลืมตาตื่นแล้ว
“ความผิดร้ายแรงมีมากนัก ส่งเขาไปรับโทษในนรกขุมที่สาม” เสียงดุดันทรงอำนาจกล่าวพิพากษา หางตาของหวังเยี่ยนหลงเหลือบเห็นร่างวิญญาณคุ้นเคยกำลังดื่มน้ำแกงยายเมิ่งจึงโพล่งขึ้นมา “เหตุใดเจ้านั่นถึงได้ไปเกิดก่อนข้าเล่า” เขาสงสัยคำตัดสิน “มิใช่ว่าข้าเพิ่งบอกเจ้าหรือว่าความผิดเจ้ามีอันใดบ้าง” เสียงลึกลับโต้ตอบกลับมา ไม่เข้าใจว่าเหตุใดวิญญาณตัวเล็กกระจิดริดถึงได้ต่อปากต่อคำกับเขาเก่งนัก หวังเยี่ย
สิบเอ็ดปีต่อมา สายลมเย็นในฤดูใบไม้ผลิพัดเอื่อย ๆ ท้องฟ้าอากาศแจ่มใส ไร้ก้อนเมฆ เหลียนเฟินกำลังนั่งถือเบ็ดตกปลาอยู่ริมทะเลสาบ สายตาเหม่อมองไปอีกฝั่งที่อยู่แสนไกลนึกถึงเรื่องที่ผ่านมา หลังจากจัดการกับหวังเยี่ยนหลงแล้ว เขาไม่เหลือความทรงจำเกี่ยวกับคนผู้นั้นอีกเลย เหลียนเฟินเดินทางกลับไปที่วังธาราเหมันต์เพื่อรับโทษและขอออกจากสำนัก นับตั้งแต่นั้นมาจึงใช้ชีวิตร่อนเร่พเนจรอยู่เพียงลำพัง ตัดขาดจากทุกสิ่งทุกอย่างโดยสิ้นเชิง 
หลังจากผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ หวังเยี่ยนหลงโผล่มาให้เหลียนเฟินเห็นหน้าแต่เช้าตรู่ สีหน้าของเขาดีขึ้นกว่าเดิมมาก อีกทั้งยังแววตาสดใสผิดกับก่อนหน้านี้นัก วันนี้เขายกถาดสำรับอาหารเช้ามาให้ด้วยตัวเองพร้อมยาอีกหลายขนาน “เช้านี้ ข้าขอกินข้าวพร้อมเจ้าได้หรือไม่” เสียงของคนตรงหน้าเอ่ยถาม “ไม่” เหลียนเฟินปฏิเสธโดยที่ไม่ต้องคิด
เช้าวันต่อมา หวังเยี่ยนหลงยังคงนั่งอยู่ข้างเตียง รอยื่นถ้วยยาให้เหลียนเฟินดื่มตามเวลา ร่างบางไม่อาจปฏิเสธได้เพราะโอสถนี้หวังซีซวนตั้งใจทำมาให้จึงดื่มแต่โดยดี จากนั้นจึงยกสำรับอาหารเช้ามาวางไว้ที่ข้างหัวเตียง ตั้งใจจะป้อนทีละคำ แต่เหลียนเฟินไม่ยอมแม้แต่จะมองหน้า สายตาเย็นชาเฉไฉมองไปทางอื่น จนเจ้าตัวรู้สึกเจ็บแปลบในใจ “กินข้าวบ้างเถิด ข้าจะออกไปรอข้างนอก” เขาตัดใจยอมหลบหน้าชั่วคราวจนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่งจึงกลับเข้ามาดู เห็นถ้วยชามอาหารยังอยู่ที่เดิมจึงสั่งให้ยกสำรับใหม่เข้ามาแทน&n