Masukเช้าวันหนึ่ง
เซี่ยฟานนั่งเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในเรือนทาส เขามองไปด้านบนเพราะได้ยินเสียงจิ๊บ จิ๊บ ดังระงมอยู่พักหนึ่ง
แม่นกคาบอาหารบินโฉบลงมาที่รัง แล้วค่อย ๆ ป้อนลูกนกแต่ละตัวอย่างใจเย็น เซี่ยฟานปีนขึ้นไปดูที่รังของพวกมันด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เขาคอยเฝ้ามองดูนกฝูงนี้ตั้งแต่นั้นมา เห็นความรักที่แม่นกคอยปกป้อง หาอาหาร ให้ความอบอุ่นแก่ลูกนก นับเป็นความสุขเล็ก ๆ ที่ก่อเกิดในใจของเซี่ยฟาน
จนกระทั่งถึงวันที่ลูกนกต้องหัดบิน แม่นกคอยช่วยให้ลูกนกเหล่านั้นขยับปีก สอนให้ลูกนกโผบิน ในที่สุด ลูกนกในรังก็เริ่มสยายปีกบินขึ้นฟ้า
สายตาของเซี่ยฟานมองตามด้วยความตื่นเต้น นกฝูงนี้โผบินอย่างอิสระบนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ ใจของเซี่ยฟานเบิกบาน เขาคอยเฝ้ามองหาทางที่เขาจะเป็นดั่งนกพวกนี้
“ท่านลุง ข้าอยากบิน แบบนกพวกนั้น” เซี่ยฟานพูดกับหานโจว พลางชี้ไปบนท้องฟ้า
“เจ้าไม่ใช่นกเสียหน่อย ปีกก็ไม่มี” หานโจวคิดว่าเซี่ยฟานพูดไปเรื่อย นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่เซี่ยฟานพยายามบอกคือการเป็นอิสระจากที่แห่งนี้
“สักวันข้าจะบินออกไปไกล ๆ” เสียงของเซี่ยฟานพึมพำ ยิ้มแย้ม มีความหวัง
อาทิตย์ต่อมา
เซี่ยเวยซื้อตัวทาสพี่น้องชายหญิงมาสองคน เพราะฮูหยินอยากได้คนมาช่วยงานเพิ่ม เขาเลือกทั้งสองมาอย่างส่ง ๆ แล้วไม่ได้ใส่ใจมากนัก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฮูหยิน
ส่วนใหญ่แล้วคนเป็นน้องชายก็ได้ทำงานดูแลสวน ความสะอาดบริเวณบ้าน ส่วนคนเป็นพี่ นางก็คอยรับใช้ฮูหยินตามหน้าที่
เดิมทีทั้งสองเป็นลูกชาวบ้านที่ครอบครัวยากจน ไม่มีที่ไปจนถูกจับมาขายในตลาดมืด แต่ทั้งสองเป็นคนที่ใฝ่เรียน แม้จะไม่มีเงินแต่อาศัยครูพักลักจำ สติปัญญาค่อนข้างดีในระดับหนึ่ง
เซี่ยฟานเห็นสองพี่น้องแล้วรู้สึกได้ว่าทั้งคู่คอยดูแล ปกป้องกัน ดูอบอุ่น แม้จะรู้สึกเหงาไปบ้าง แต่ยังมีหานโจวที่พอจะเทียบเคียงได้
เขาไม่ได้สนิทสนมกับทั้งสองคนมากนัก เพราะไม่คุ้นชินกับการเข้าหาผู้คน จึงรับรู้เรื่องราวพวกเขาอยู่ห่าง ๆ
สองพี่น้องนั้นอายุมากกว่าเซี่ยฟานสี่ห้าปี พวกเขารู้ว่าต้องทำเช่นไรถึงจะออกไปจากที่แห่งนี้ได้ ทั้งคู่คอยเก็บอัฐที่ได้จากการทำงาน ไปซ่อนเอาไว้ในมุมหนึ่งของห้อง สักวันจะเอาไว้ใช้ไถ่ถอนตัวเองจากการเป็นทาส
วันเวลาผ่านไปเพียงแค่ปีเดียวคนเป็นพี่สาวที่หน้าตามอมแมมก็กลายเป็นสาวงาม และนั่นก็ทำให้เซี่ยเวยที่กำลังเบื่อ ๆ เริ่มมาวอแวกับนาง
น้องชายของนางที่อายุไล่เลี่ยกัน ไม่ยอมให้ผู้ใดมาแตะต้องตัวพี่สาว จึงคอยมาเป็นก้างขวางเซี่ยเวย แล้วก็จบลงด้วยการดื่มยาแก้ช้ำในพร้อมรักษาบาดแผล
“อาฟาน ไปดูเขาหน่อยเถิด” หานโจวสั่งเขาแล้วยื่นถ้วยยาให้
“ขอรับ” เซี่ยฟานพยักหน้ารับถ้วยยาแล้วเดินตรงไปหาเขา
จากนั้น ค่อย ๆ ป้อนยาให้เขาดื่มทีละนิด ๆ เพราะอาการบาดเจ็บของเขาค่อนข้างมากทีเดียว
“เป็นอย่างไร” เซี่ยฟานถามเขา
“เจ็บ” คำตอบสั้น ๆ และสีหน้ามุ่งมั่นของคนเป็นน้องทำให้เซี่ยฟานนึกสงสัย
แล้ววันหนึ่ง เซี่ยฟานก็ได้เห็นว่าสีหน้าแบบนั้นหมายความว่าอะไร
คนเป็นน้องชายพูดว่าเขาเก็บอัฐได้มากพอที่จะให้พี่สาวได้ไถ่ถอนตัวเองแล้ว
“ท่านพี่ วันพรุ่งนี้ รีบนำอัฐไปเถิด อย่าได้ทนกับความทุกข์ที่นี่เลย” เขาพูดกับพี่สาว
“แต่ว่าข้าเป็นห่วงเจ้า” นางลูบหัวน้องชายด้วยความเอ็นดู
“ข้าจะรีบตามท่านพี่ไป ไม่ต้องห่วงข้านักหรอก” เขาจับมือของนาง กุมมือทั้งสองข้างเอาไว้ สายตามองเห็นทางที่จะทำให้พี่สาวหลุดพ้นจากเงื้อมมือคนโฉด
รุ่งเช้าวันต่อมา
คนเป็นน้องวิ่งวุ่นไปทั่วเรือน สีหน้าวิตกกังวล ก้มมองหาอะไรบางอย่าง
"ท่านพี่ หายไปแล้ว” เขามองหน้านางสีหน้าสิ้นหวัง “มันหายไปแล้ว”
พี่สาวของเขารับรู้ได้ถึงความเสียใจ กอดปลอบอยู่พักใหญ่
“ค่อย ๆ เก็บอีกสักปีเถิด ข้าทนไหว” นางพยายามเข้มแข็งเพื่อไม่ให้น้องชายต้องเป็นห่วง
แต่คำว่าทนไหวของนางนั้นไม่ทันได้ผ่านพ้นคืนนี้ไปด้วยซ้ำ เซี่ยเวยมาหานางที่เรือน ถือสุรามาด้วยขวดหนึ่ง สายตาดุร้าย อารมณ์พลุ่งพล่าน แต่แล้วก็ต้องมาสะดุดเจอคนเป็นน้องนั่งอยู่ด้านหน้าห้อง
เซี่ยเวยปาไหสุราไปที่เขาโดยไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว เสียงไหสุราตกกระทบพื้นจนคนเป็นพี่ต้องรีบวิ่งออกมาดู จากนั้นทั้งสามคนก็ชุลมุนกันอยู่พักใหญ่
และแล้ว คนเป็นพี่ก็หยิบท่อนไม้ใหญ่ฟาดไปทั่วของเซี่ยเวยทีเผลอจนสลบไปในทันที
“ท่านพี่ อยู่ไม่ได้แล้ว รีบหนีกันดีกว่า” คนเป็นน้องจับข้อมือของนางไว้แน่น แล้วทั้งสองคนก็รีบวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต
ทว่า เซี่ยเวยนั้นตายยาก เขาสะลึมสะลือตะโกนเรียกคนใช้เสียงดังลั่น ให้รีบออกตามหาสองพี่น้องกลับมาให้ได้
หลังจากพากันหนีอยู่ทั้งคืน พวกเขาก็ไปไหนไม่รอด ถูกจับกลับมาที่จวนสกุลเซี่ย แขนขาถูกมัดเอาไว้ นั่งคุกเข่าด้านหน้าเรือน
เซี่ยเวยมองสองพี่น้องอย่างเลือดเย็น นานมากแล้วที่มีคนกล้าทำกับเขาเช่นนี้
“บังอาจนัก เป็นแค่ทาส แต่กล้าทำร้ายเจ้านาย” เซี่ยเวยเดินมาตบที่หน้าของคนทั้งสอง เสียงเพียะดังขึ้นอยู่สามสี่ครั้ง
“อย่าทำร้ายพี่ข้า” เขายังคงปกป้องนาง แม้ว่าสภาพของตัวเองจะไม่แตกต่างเท่าใดนัก
“เฮอะ คิดจะเก็บอัฐไถ่ถอนตัวเองอย่างนั้นรึ ฝันลม ๆ แล้ง ๆ เสียจริง” เขาจ้องหน้าคนเป็นน้อง
“อัฐที่หายไป หรือว่าเจ้า...” เขากำลังจะพูดว่า เจ้าเอาไป แต่เซี่ยเวยบีบปากของเขาเอาไว้ ไม่ให้พูดสิ่งใดออกมา
“ข้าอยากได้อะไรก็ต้องได้ พี่สาวเจ้า ไม่ใช่ข้อยกเว้น” เสียงเยือกเย็นของเขาทำให้ใจทั้งสองสั่นสะท้าน
“ข้าไม่ยอม!” พี่สาวโพล่งออกมา มองหน้าเขา
“คนที่มีสิทธิ์เลือกคือข้า ไม่ใช่เจ้า” เซี่ยเวยพูดจบก็สั่งให้คนใช้เอาน้องชายไปโบยจนกว่าเขาจะสั่งให้หยุด เสร็จแล้วก็ลากคนเป็นพี่สาวเข้าห้องในทันที
เสียงของคนน้องดังเพราะความเจ็บปวดจากการโดนท่อนไม้ทุบด้านนอกเรือน ส่วนด้านในเรือนก็มีเสียงร้องไห้ กรีดร้องของคนเป็นพี่ดังออกมา
ครั้นเซี่ยเวยพอใจมากแล้วก็ออกมาข้างนอกห้องอย่างอารณ์ดี แล้วสั่งให้หยุดโบยคนเป็นน้องชาย
เซี่ยฟานที่เห็นว่าทั้งสองคนไม่สามารถหนีไปไหนได้ ก็เริ่มคิดแล้วว่า เขาก็คงไม่มีทางหนีเช่นกัน ชะรอยอาจจะต้องอยู่ที่จวนแห่งนี้ไปตลอดชีวิต
คืนนั้นพี่สาวที่รวบรวมสติกลับมาได้แล้วก็แอบออกไปดูอาการของน้องชาย นางเห็นสภาพนั้นแล้วทำใจไม่ได้ น้ำตาไหลด้วยความสงสารและเจ็บปวด
“ท่านพี่ รีบหนีไป ไม่ต้องห่วงข้า” เขาพยายามพูดกับนางด้วยความยากลำบาก ราวกับว่าคำพูดนี้เป็นคำสั่งเสียของเขา ไม่ทันที่พี่สาวจะได้ตอบอะไรออกไป ดวงตาของเขาค่อย ๆ ปิดลงหมดลมหายใจต่อหน้าต่อตาของนาง
“ไม่นะ เจ้าอย่าทิ้งข้าไป ลืมตามองพี่เถิด อย่าทิ้งข้าไปเช่นนี้สิ” นางคร่ำครวญกอดร่างเขาอยู่พักหนึ่ง นึกถึงคำพูดของน้องชาย อย่างน้อยก็ต้องทำให้คำสั่งเสียของเขาเป็นจริง แล้วพูดว่า “สักวัน ข้าจะกลับมารับเจ้า รอพี่สักหน่อยเถิดนะ”
จากนั้นนางก็รีบฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนหลับใหลหนีไป
“เซี่ยเวย สักวันข้าจะมาเอาคืนเจ้าอย่าสาสม” นางพูดด้วยความคับแค้นใจ
สามเดือนต่อมาเช้าวันหนึ่งเสี่ยวหยุนมองเหลียนเฟินที่กำลังนอนหลับใหลในอ้อมกอดของเขา สายตาเต็มไปด้วยความรักท่วมท้นในใจก่อนจะพึมพำร่ายอาคมอย่างหนึ่งขึ้นมาพลันกรีดปลายนิ้วจนได้เลือดหยดหนึ่งหลอมรวมกับลูกกลมสีฟ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้เป็นวิชาที่เขาเพิ่งคิดค้นขึ้นมาได้แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกเสี่ยวหยุนตั้งชื่ออาคมนั้นว่า “พันธะวิญญาณ” อาคมที่สามารถผูกวิญญาณของพวกเขาทั้งสองไว้ด้วยกันในทุก ๆ ชาติ ไม่ว่าเหลียนเฟินจะเกิดเป็นผู้ใด อยู่ที่ไหน เขาจะรู้ได้ในทันที นับต่อจากนี้ไม่มีพรากจากลมหายใจของร่างบางในอ้อมกอดสัมผัสแผ่นอกกว้างของเขาเตือนสติให้รู้ตัว ล้มเลิกความคิดเช่นนั้น เสี่ยวหยุนยิ้มมุมปากพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วบีบอาคมนั้นให้แตกสลายไปริมฝีปากจุมพิตหน้าผากเรียกเหลียนเฟินด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฟูเหรินของข้า”“อืม…” เหลียนเฟินยังคงงัวเงียพลันได้รับจุมพิตที่แก้ม โลมเลียลงลำคอ สัมผัสเรียวลิ้นร้อนชื้นดูดเม้มก่อนจะถูกใครบางคนคร่อมร่างกายท่อนบนเอาไว้“ฟูเหริน ท่านยังไม่ตื่นอีกหรือ” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำ
เหลียนเฟินนอนนิ่งบนแผ่นอกของเขา ส่วนล่างกระตุกบีบแก่นกายที่ค้างอยู่ราวกับเชิญชวนจึงถูกพลิกตัวเป็นฝ่ายนอนใต้ร่างพลางโดนเสี่ยวหยุนจับขาสองข้างยกขึ้นแล้วขย่มสะโพกเป็นจังหวะ“ข้าเพิ่งจะ…อ๊ะ...” เหลียนเฟินไม่ทันได้พูดอะไรก็ต้องเม้มปากตัวเองอีกครั้ง มือสองข้างจับหมอนที่วางอยู่ ขยำจนผ้ายับยู่ยี่ ลมหายใจร้อนหอบถี่ ฟังแล้วยิ่งกระตุ้นให้อีกฝ่ายเกิดความต้องการอย่างยิ่งยวดแก่นกายที่ครูดเข้าออกเร่งขึ้นอย่างเร่าร้อนจนน้ำที่ปล่อยเอาไว้เมื่อครู่กระเซ็นเปรอะเปื้อน คนกระทำยิ้มมุมปากชอบใจยิ่งนักที่ได้เห็นร่องรอยของเขาบนตัวคนรักเมื่อโพรงเนื้อโอบรอบจนมิดแน่นขนัดยิ่งเสียวซ่านจนตาเหลือกลอย “อือ… เหลียนเฟิน” ในใจวนเวียนแต่คำว่า อีกนิด ข้าขออีกนิดในขณะที่คนใต้ร่างแทบคุมสติตัวเองไม่อยู่ พึมพำแผ่วเบา “ข้าไม่ไหวแล้ว… อย่าเพิ่งขยับ”“จะให้ข้าหยุดจริงหรือ” เขาเอ่ยถามแต่ส่วนลับยังคงกระทุ้งเข้า ๆ ออก ๆ บดเบียดภายใน หยอกล้อเหลียนเฟินเพราะอยากเห็นสีหน้าแดงระเรื่อ สุขสม พลันวางขาทั้งสองข้างลงแล้วพลิกตัวเหลียนเฟินให้นอนคว่ำในพริบตาก่อนจะยกส
เหลียนเฟินโอบแขนรอบคอของเสี่ยวหยุนกดแรงโน้มตัวเขาลงมาหา จ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตาพลันยิ้มอ่อนโยน เอ่ยกระซิบยืนยันความรู้สึกของตัวเอง “ข้ารักเจ้า”คนได้ฟังคำรักน้ำตาไหลเอ่อไม่อาจกั้นด้วยความรู้สึกผิดระคนกับความรู้สึกอื่น ๆ ในใจ แม้รู้ตัวว่าไม่สมควรมายืนอยู่ข้างเขาแต่เวลานี้ก็ไม่อาจขยับกายหรือเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายได้เลยเขารักเหลียนเฟิน ผู้เป็นฟูเหรินของเขาและไม่อยากถูกพรากจากอีกแล้ว ทั้งยังดีใจเพราะใบหน้าที่มองเขาในเวลานี้ไม่ใช่ใบหน้าของคนที่เกลียดชังเขาจนต้องจ่อปลายกระบี่เข้าหาราวกับแค้นเคืองกันมาเนิ่นนาน“เสี่ยวหยุน” เสียงเรียกหาอ่อนหวานจับใจ “ยังคงจำได้อยู่ใช่หรือไม่ว่าเวลานี้เจ้าคือฟูจวินของข้า”“…” เขาพยักหน้าเล็กน้อย เม้มปากแน่นแล้วกอดเหลียนเฟินเอาไว้ครั้นสะสางความหลัง ปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างพลันคลี่คลาย ไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีกต่อไปหวังซีซวนและพรรคพวกแวะมาหาพวกเขาเหมือนอย่างเคย สังเกตได้ว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งสองคนดูอึมครึมเล็กน้อย ดวงตาเสี่ยวหยุนบวมช้ำปรากฏเด่นชัดจนอดถามไม่ได้“
ครั้นเรื่องราววุ่นวายที่ใจกลางตลาดจบลงไปได้ด้วยดี เหลียนเฟินจึงพาเสี่ยวหยุนกลับมาพักฟื้นร่างกายที่บ้านหลังน้อย พลางขอให้หวังซีซวนช่วยกลั่นยาสมุนไพรให้เขาจนกว่าจะหายดีเขาหลับลึกอยู่หลายวันเพราะใช้เรี่ยวแรงร่ายวิชาอาคมโดยไม่สนขีดจำกัดของตัวเองเพียงเพราะเป็นห่วงเหลียนเฟินและไม่อยากให้สถานการณ์ยืดเยื้อใบหน้าสงบนิ่งยามหลับใหลทำให้เหลียนเฟินโล่งใจได้บ้างว่าเขาคงไม่ได้ฝันร้ายเหมือนที่ผ่านมาจึงปล่อยให้คนตรงหน้าพักผ่อนให้เต็มที่“ท่านเซียน เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” หลี่จิ้นหลิงแวะมาเยี่ยมเพราะได้ข่าวว่าเสี่ยวหยุนยังไม่ฟื้น“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เขาเพียงแค่ต้องนอนให้เยอะ ๆ ก็เท่านั้น” เหลียนเฟินยิ้มให้อีกฝ่ายนึกขอบคุณที่เขาช่วยหาตำราต้องห้ามจนพบ“หากท่านเซียนต้องการให้ช่วยเหลือเรื่องใด อย่าได้ลังเลใจที่จะบอกข้านะขอรับ” หลี่จิ้นหลิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องฟื้นฟูพลังชีวิตของท่าน ถ้าตำราต้องห้ามไม่ได้ผล ข้ายินดีหาหนทางอื่น”เหลียนเฟินส่ายหน้าเข้าใจดีว่าทุกคนเป็นห่วงแต่ว่าเขาเตรียมใจเอาไว้แล้ว ไม่ว่าผลที่ได้จะออกมาเป็น
“ปล่อยคุณหนูหลี่” เหลียนเฟินพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเห็นอีกฝ่ายเคลื่อนไหวรวดเร็ว เขากำกระบี่ในมือไว้แน่นพลันยกขึ้นมากันท่าไม่ให้เสิ่นหยางพุ่งตัวเข้าใกล้ระยะประชิดก่อนจะม้วนตัวแล้วถีบคนตรงหน้ากระเด็นไปอีกทางด้วยแรงที่ออมไว้สามส่วน“ฝีเท้าหนักใช่เล่น” เขาเอ่ยชม รอยยิ้มกวนประสาทราวกับถูกใจอย่างยิ่งยวด “อย่าขัดขืนนักเลย เมื่อครู่ข้าเพียงยั้งมือเอาไว้เท่านั้นเพราะไม่อยากทำให้ร่างกายของท่านเซียนมีบาดแผล”เสิ่นเหยา แฝดผู้พี่ที่จับตัวหลี่ฮวาเอาไว้ลูบปลายจมูกตัวเอง “หากท่านเซียนยินยอมมากับพวกข้า ข้าจะคืนสตรีนางนี้เป็นการแลกเปลี่ยน”“เช่นนั้นปล่อยนางก่อน” เหลียนเฟินไม่ตกลงง่าย ๆ และเป็นห่วงความปลอดภัยหลี่ฮวาที่เวลานี้กำลังกลั้นน้ำตาไม่ร้องไห้เสียงดังด้วยความหวาดกลัว“ท่านเซียนคงไม่รู้ว่าข้าเป็นผู้ใดจึงพยายามเล่นแง่ยืดเวลาออกไปใช่หรือไม่ แต่ข้ายืนยันได้เลยว่าสองชั่วยามต่อจากนี้ไม่มีผู้ใดเข้ามาก้าวก่ายที่แห่งนี้ได้อย่างแน่นอนและหากทุกสิ่งไม่เป็นอย่างที่ข้าต้องการ ข้าจะทำลายหมู่บ้านให้ราบคาบ” เสิ่นหยางประกาศก้อง คำพูดของเขาทำให้ชาวบ้านขวัญ
ครั้นพูดคุยเรื่องตำราต้องห้ามเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็กลับมายังบ้านหลังน้อยจึงได้เห็นว่าหลี่จิ้นหลิงกำลังนั่งเล่นอยู่ตั่งไม้กับเหลียนเฟินแววตาเสี่ยวหยุนเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”“ข้าเห็นว่าท่านเซียนเมาหลับไป วันนี้จึงอยากมาดูให้แน่ใจว่ามีอาการใดหรือไม่” เขายักไหล่พูดด้วยสีหน้าสบายอารมณ์หากแต่เสี่ยวหยุนอารมณ์ดีจึงไม่ใส่ใจแล้วเดินไปนั่งข้างเหลียนเฟิน เอ่ยกับเขาว่า “ข้าต้องไปหอสมุดวังหลวง คุณชายหวังซีซวนบอกว่าที่นั่นมีตำราเก็บไว้อยู่ อาจช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตของท่านได้”“เขาไม่ได้บอกหรือว่าที่แห่งนั้นห้ามให้คนนอกเข้าไป” เหลียนเฟินหรี่ตามองคนตรงหน้าที่ทำท่าเหมือนรู้ทุกอย่าง “หากคิดไปขโมยตำรามาก็หยุดแต่เพียงเท่านั้นเถิด พลังชีวิตของข้ามีแค่ครึ่งเดียวแล้วอย่างไร ไม่เห็นหรือว่าข้ายังแข็งแรงดี”“ไม่อยากอยู่กับข้านานกว่านี้หรือ” สีหน้าของเขาเศร้าสร้อยหากต้องล้มเลิกความตั้งใจ รู้ว่าบำเพ็ญคู่จะสามารถยืดอายุขัยออกไปได้ แต่หากพลังชีวิตของเขากลับมาเหมือนเดิม ย่อมมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันนานมากขึ้นไปอีกเ





![สถานะเมียในสมรส [Omegaverse]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)

