เช้าวันหนึ่ง
เซี่ยฟานนั่งเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในเรือนทาส เขามองไปด้านบนเพราะได้ยินเสียงจิ๊บ จิ๊บ ดังระงมอยู่พักหนึ่ง
แม่นกคาบอาหารบินโฉบลงมาที่รัง แล้วค่อย ๆ ป้อนลูกนกแต่ละตัวอย่างใจเย็น เซี่ยฟานปีนขึ้นไปดูที่รังของพวกมันด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เขาคอยเฝ้ามองดูนกฝูงนี้ตั้งแต่นั้นมา เห็นความรักที่แม่นกคอยปกป้อง หาอาหาร ให้ความอบอุ่นแก่ลูกนก นับเป็นความสุขเล็ก ๆ ที่ก่อเกิดในใจของเซี่ยฟาน
จนกระทั่งถึงวันที่ลูกนกต้องหัดบิน แม่นกคอยช่วยให้ลูกนกเหล่านั้นขยับปีก สอนให้ลูกนกโผบิน ในที่สุด ลูกนกในรังก็เริ่มสยายปีกบินขึ้นฟ้า
สายตาของเซี่ยฟานมองตามด้วยความตื่นเต้น นกฝูงนี้โผบินอย่างอิสระบนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ ใจของเซี่ยฟานเบิกบาน เขาคอยเฝ้ามองหาทางที่เขาจะเป็นดั่งนกพวกนี้
“ท่านลุง ข้าอยากบิน แบบนกพวกนั้น” เซี่ยฟานพูดกับหานโจว พลางชี้ไปบนท้องฟ้า
“เจ้าไม่ใช่นกเสียหน่อย ปีกก็ไม่มี” หานโจวคิดว่าเซี่ยฟานพูดไปเรื่อย นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่เซี่ยฟานพยายามบอกคือการเป็นอิสระจากที่แห่งนี้
“สักวันข้าจะบินออกไปไกล ๆ” เสียงของเซี่ยฟานพึมพำ ยิ้มแย้ม มีความหวัง
อาทิตย์ต่อมา
เซี่ยเวยซื้อตัวทาสพี่น้องชายหญิงมาสองคน เพราะฮูหยินอยากได้คนมาช่วยงานเพิ่ม เขาเลือกทั้งสองมาอย่างส่ง ๆ แล้วไม่ได้ใส่ใจมากนัก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฮูหยิน
ส่วนใหญ่แล้วคนเป็นน้องชายก็ได้ทำงานดูแลสวน ความสะอาดบริเวณบ้าน ส่วนคนเป็นพี่ นางก็คอยรับใช้ฮูหยินตามหน้าที่
เดิมทีทั้งสองเป็นลูกชาวบ้านที่ครอบครัวยากจน ไม่มีที่ไปจนถูกจับมาขายในตลาดมืด แต่ทั้งสองเป็นคนที่ใฝ่เรียน แม้จะไม่มีเงินแต่อาศัยครูพักลักจำ สติปัญญาค่อนข้างดีในระดับหนึ่ง
เซี่ยฟานเห็นสองพี่น้องแล้วรู้สึกได้ว่าทั้งคู่คอยดูแล ปกป้องกัน ดูอบอุ่น แม้จะรู้สึกเหงาไปบ้าง แต่ยังมีหานโจวที่พอจะเทียบเคียงได้
เขาไม่ได้สนิทสนมกับทั้งสองคนมากนัก เพราะไม่คุ้นชินกับการเข้าหาผู้คน จึงรับรู้เรื่องราวพวกเขาอยู่ห่าง ๆ
สองพี่น้องนั้นอายุมากกว่าเซี่ยฟานสี่ห้าปี พวกเขารู้ว่าต้องทำเช่นไรถึงจะออกไปจากที่แห่งนี้ได้ ทั้งคู่คอยเก็บอัฐที่ได้จากการทำงาน ไปซ่อนเอาไว้ในมุมหนึ่งของห้อง สักวันจะเอาไว้ใช้ไถ่ถอนตัวเองจากการเป็นทาส
วันเวลาผ่านไปเพียงแค่ปีเดียวคนเป็นพี่สาวที่หน้าตามอมแมมก็กลายเป็นสาวงาม และนั่นก็ทำให้เซี่ยเวยที่กำลังเบื่อ ๆ เริ่มมาวอแวกับนาง
น้องชายของนางที่อายุไล่เลี่ยกัน ไม่ยอมให้ผู้ใดมาแตะต้องตัวพี่สาว จึงคอยมาเป็นก้างขวางเซี่ยเวย แล้วก็จบลงด้วยการดื่มยาแก้ช้ำในพร้อมรักษาบาดแผล
“อาฟาน ไปดูเขาหน่อยเถิด” หานโจวสั่งเขาแล้วยื่นถ้วยยาให้
“ขอรับ” เซี่ยฟานพยักหน้ารับถ้วยยาแล้วเดินตรงไปหาเขา
จากนั้น ค่อย ๆ ป้อนยาให้เขาดื่มทีละนิด ๆ เพราะอาการบาดเจ็บของเขาค่อนข้างมากทีเดียว
“เป็นอย่างไร” เซี่ยฟานถามเขา
“เจ็บ” คำตอบสั้น ๆ และสีหน้ามุ่งมั่นของคนเป็นน้องทำให้เซี่ยฟานนึกสงสัย
แล้ววันหนึ่ง เซี่ยฟานก็ได้เห็นว่าสีหน้าแบบนั้นหมายความว่าอะไร
คนเป็นน้องชายพูดว่าเขาเก็บอัฐได้มากพอที่จะให้พี่สาวได้ไถ่ถอนตัวเองแล้ว
“ท่านพี่ วันพรุ่งนี้ รีบนำอัฐไปเถิด อย่าได้ทนกับความทุกข์ที่นี่เลย” เขาพูดกับพี่สาว
“แต่ว่าข้าเป็นห่วงเจ้า” นางลูบหัวน้องชายด้วยความเอ็นดู
“ข้าจะรีบตามท่านพี่ไป ไม่ต้องห่วงข้านักหรอก” เขาจับมือของนาง กุมมือทั้งสองข้างเอาไว้ สายตามองเห็นทางที่จะทำให้พี่สาวหลุดพ้นจากเงื้อมมือคนโฉด
รุ่งเช้าวันต่อมา
คนเป็นน้องวิ่งวุ่นไปทั่วเรือน สีหน้าวิตกกังวล ก้มมองหาอะไรบางอย่าง
"ท่านพี่ หายไปแล้ว” เขามองหน้านางสีหน้าสิ้นหวัง “มันหายไปแล้ว”
พี่สาวของเขารับรู้ได้ถึงความเสียใจ กอดปลอบอยู่พักใหญ่
“ค่อย ๆ เก็บอีกสักปีเถิด ข้าทนไหว” นางพยายามเข้มแข็งเพื่อไม่ให้น้องชายต้องเป็นห่วง
แต่คำว่าทนไหวของนางนั้นไม่ทันได้ผ่านพ้นคืนนี้ไปด้วยซ้ำ เซี่ยเวยมาหานางที่เรือน ถือสุรามาด้วยขวดหนึ่ง สายตาดุร้าย อารมณ์พลุ่งพล่าน แต่แล้วก็ต้องมาสะดุดเจอคนเป็นน้องนั่งอยู่ด้านหน้าห้อง
เซี่ยเวยปาไหสุราไปที่เขาโดยไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว เสียงไหสุราตกกระทบพื้นจนคนเป็นพี่ต้องรีบวิ่งออกมาดู จากนั้นทั้งสามคนก็ชุลมุนกันอยู่พักใหญ่
และแล้ว คนเป็นพี่ก็หยิบท่อนไม้ใหญ่ฟาดไปทั่วของเซี่ยเวยทีเผลอจนสลบไปในทันที
“ท่านพี่ อยู่ไม่ได้แล้ว รีบหนีกันดีกว่า” คนเป็นน้องจับข้อมือของนางไว้แน่น แล้วทั้งสองคนก็รีบวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต
ทว่า เซี่ยเวยนั้นตายยาก เขาสะลึมสะลือตะโกนเรียกคนใช้เสียงดังลั่น ให้รีบออกตามหาสองพี่น้องกลับมาให้ได้
หลังจากพากันหนีอยู่ทั้งคืน พวกเขาก็ไปไหนไม่รอด ถูกจับกลับมาที่จวนสกุลเซี่ย แขนขาถูกมัดเอาไว้ นั่งคุกเข่าด้านหน้าเรือน
เซี่ยเวยมองสองพี่น้องอย่างเลือดเย็น นานมากแล้วที่มีคนกล้าทำกับเขาเช่นนี้
“บังอาจนัก เป็นแค่ทาส แต่กล้าทำร้ายเจ้านาย” เซี่ยเวยเดินมาตบที่หน้าของคนทั้งสอง เสียงเพียะดังขึ้นอยู่สามสี่ครั้ง
“อย่าทำร้ายพี่ข้า” เขายังคงปกป้องนาง แม้ว่าสภาพของตัวเองจะไม่แตกต่างเท่าใดนัก
“เฮอะ คิดจะเก็บอัฐไถ่ถอนตัวเองอย่างนั้นรึ ฝันลม ๆ แล้ง ๆ เสียจริง” เขาจ้องหน้าคนเป็นน้อง
“อัฐที่หายไป หรือว่าเจ้า...” เขากำลังจะพูดว่า เจ้าเอาไป แต่เซี่ยเวยบีบปากของเขาเอาไว้ ไม่ให้พูดสิ่งใดออกมา
“ข้าอยากได้อะไรก็ต้องได้ พี่สาวเจ้า ไม่ใช่ข้อยกเว้น” เสียงเยือกเย็นของเขาทำให้ใจทั้งสองสั่นสะท้าน
“ข้าไม่ยอม!” พี่สาวโพล่งออกมา มองหน้าเขา
“คนที่มีสิทธิ์เลือกคือข้า ไม่ใช่เจ้า” เซี่ยเวยพูดจบก็สั่งให้คนใช้เอาน้องชายไปโบยจนกว่าเขาจะสั่งให้หยุด เสร็จแล้วก็ลากคนเป็นพี่สาวเข้าห้องในทันที
เสียงของคนน้องดังเพราะความเจ็บปวดจากการโดนท่อนไม้ทุบด้านนอกเรือน ส่วนด้านในเรือนก็มีเสียงร้องไห้ กรีดร้องของคนเป็นพี่ดังออกมา
ครั้นเซี่ยเวยพอใจมากแล้วก็ออกมาข้างนอกห้องอย่างอารณ์ดี แล้วสั่งให้หยุดโบยคนเป็นน้องชาย
เซี่ยฟานที่เห็นว่าทั้งสองคนไม่สามารถหนีไปไหนได้ ก็เริ่มคิดแล้วว่า เขาก็คงไม่มีทางหนีเช่นกัน ชะรอยอาจจะต้องอยู่ที่จวนแห่งนี้ไปตลอดชีวิต
คืนนั้นพี่สาวที่รวบรวมสติกลับมาได้แล้วก็แอบออกไปดูอาการของน้องชาย นางเห็นสภาพนั้นแล้วทำใจไม่ได้ น้ำตาไหลด้วยความสงสารและเจ็บปวด
“ท่านพี่ รีบหนีไป ไม่ต้องห่วงข้า” เขาพยายามพูดกับนางด้วยความยากลำบาก ราวกับว่าคำพูดนี้เป็นคำสั่งเสียของเขา ไม่ทันที่พี่สาวจะได้ตอบอะไรออกไป ดวงตาของเขาค่อย ๆ ปิดลงหมดลมหายใจต่อหน้าต่อตาของนาง
“ไม่นะ เจ้าอย่าทิ้งข้าไป ลืมตามองพี่เถิด อย่าทิ้งข้าไปเช่นนี้สิ” นางคร่ำครวญกอดร่างเขาอยู่พักหนึ่ง นึกถึงคำพูดของน้องชาย อย่างน้อยก็ต้องทำให้คำสั่งเสียของเขาเป็นจริง แล้วพูดว่า “สักวัน ข้าจะกลับมารับเจ้า รอพี่สักหน่อยเถิดนะ”
จากนั้นนางก็รีบฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนหลับใหลหนีไป
“เซี่ยเวย สักวันข้าจะมาเอาคืนเจ้าอย่าสาสม” นางพูดด้วยความคับแค้นใจ
เวลาผ่านไปสามปีชีวิตของเซี่ยฟานเติบโตขึ้นอย่างทุลักทุเล นับตั้งแต่ที่เห็นว่าสองพี่น้องมีชะตาชีวิตอย่างไร เขาก็ไม่กล้าที่จะดื้อดึงหรือมองหาหนทางเป็นอิสระอีกต่อไป เวลานั้นเขารู้ข่าวจากหานโจวมาว่าคนเป็นน้องไม่รอด ส่วนคนเป็นพี่สาวหายตัวไปอย่างลึกลับ เขาคิดว่าสาเหตุคงจะเป็นเหมือนจางเจียและหลินซินอี๋ด้านเซี่ยเวย แม้เวลาจะล่วงเลยแต่ยังคงประพฤติตัวเช่นเดิม จนเรื่องราวภายในจวนของเขาส่งกลิ่นไปด้านนอก ผู้คนเริ่มระแคะระคายอยากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนของเขาแม้แต่ฮูหยินเองก็ตามเช็ดทุกเรื่องที่เขาทำไม่ไหว ไหน ๆ ก็ไม่สามารถมีบุตรสืบสกุลได้ นางจึงคิดที่จะฮุบเอาสมบัติทั้งหมดมาเป็นของนางคนเดียววันนั้นเอง คนเป็นพี่สาวที่หนีไปได้เมื่อครั้งนั้น ได้กลับมาพร้อมกับสามีของนาง เขาเป็นคนของทางการ มีอำนาจในการตร
นับตั้งแต่วันที่หวังซีซวนได้เจอกับเซี่ยฟาน เขาก็ทดสอบจิตใจและความอดทนของเซี่ยฟานตลอดเวลา เซี่ยฟานนั้นเดิมทีไม่ค่อยมีปากมีเสียงอะไร เวลาโดนหวังซีซวนแกล้ง เขาก็นิ่งเงียบไม่ตอบโต้ ครั้นเจอหวังซีซวนดื้อ เอาแต่ใจ เขาก็ใจเย็นรอคอยและทำหน้าที่ของตนให้สำเร็จ เซี่ยฟานปลอบใจตนเองว่าอย่างน้อยที่นี่ก็ดีกว่ามาก แต่สิ่งที่เขาคิดกลับเป็นแค่เพียงฉากหนึ่งที่ได้เห็นในเวลานั้น สถานที่เงียบสงบเริ่มกลับมาครึกครื้น เซี่ยฟานได้เห็นคนรุ่นเดียวกันมากมายในสำนัก คุณชายทั้งเจ็ด ลูกศิษย์ คนรับใช้ คนงาน ความวุ่นวายก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้รู้ว่า ที่นี่ก็ไม่ต่างจากนรกขุมเดิม แต่ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ เขาก็มีความหวังอยู่เสมอ เซี่ยฟานเรียนรู้จากสองพี่น้องคู่นั้นว่
คนที่อยู่ในสำนักตระกูลหวังล้วนมีพันธะอย่างหนึ่งที่ใครก็ไม่อาจปฏิเสธ ไม่ว่าจะฐานะคุณชาย ลูกศิษย์หรือแม้แต่คนใช้ ทุกคนเข้ามาที่จวนแห่งนี้ได้ แต่หากจะออกไปย่อมต้องไปอย่างคนไร้วิญญาณเพื่อรักษาความลับของวิชาที่สืบทอดกันมาและหากมีผู้ใดคิดจะหนี ก็คงหนีไปได้ไม่ไกลเพราะพันธะนั้นเป็นเหมือนเชือกที่คอยผูกมัดคอเอาไว้ ยิ่งหนีเชือกเส้นนั้นยิ่งตึงขึ้น จำต้องยอมถอยกลับมาที่เดิม ในอดีตมีคนมากมายพยายามหนีออกไป โดยไม่รู้ตัวว่ามีพันธะอยู่ พวกเขาหนีไปได้ไม่ถึงสิบก้าวก็สิ้นใจลงในทันทีเมื่อไม่มีทางหนีแล้ว ทางเดียวที่จะอยู่รอดคือแข็งแกร่ง การฝึกหฤโหดดำเนินไปในแต่ละวันไม่มีหยุด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ความคิดของคนเหล่านี้ผิดแผกจากคนทั่วไปแข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้ พี่น้องนั้นนับเป็นศัตรูได้ทุกเมื่อ หวังซีซวนจึงไม่เคยไว้ใจใคร แรกเริ่มที่แกล้งเซี่ยฟานก็เพื่อทดสอบ เมื่อผ่านอะไรมาด้วยกัน จึงได้รู้ว่าเซี่ยฟานไม่เหมือนใคร เขาคนนี้ต่างหากคือพี่ชายที่แท้จริง พี่ชายอย่างที่ควรจะเป็นอย่าว่าแต่ความผูกผันกันในสายเลือดข
ผู้ที่หวังซีซวนเรียกเมื่อครู่ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ หวังเยี่ยนหลง บุตรชายลำดับที่สามของหวังเฉิงเย่ผู้เป็นเจ้าสำนัก บิดาของเขาออกเดินทางฝึกวิชาสำนักตระกูลหวังเพียงลำพังแล้วบังเอิญได้พบมารดาของเขาเป็นครั้งแรกในเวลานั้น ความรักระหว่างคนทั้งสองบังเกิดขึ้น นางรักเขามากจนยอมที่จะบอกวิชาลับของตระกูลให้เขาได้รู้ แม้ว่าบิดาของนางจะห้ามปรามเท่าใดก็ไม่เป็นผล นางไม่ได้รู้เลยว่าเขาจะนำมาใช้กับนางในภายหลังเมื่อแรกรักทุกอย่างดูเป็นไปได้ด้วยดี เขาพานางกลับมาที่สำนักตระกูลหวัง กุมวิชาลับของนางเอาไว้ และมีแผนอยู่เบื้องหลังการกลับมาในครั้งนี้ทันทีที่ก้าวเข้ามา นางกลับได้รับรู้ว่าตนเองเป็นได้เพียงอนุของเขาเท่านั้น แม้จะได้เข้าพิธีตามธรรมเนียมแต่การแก่งแย่งชิงดีภายในตระกูลระหว่างฮูหยินและอนุทั้งหลายต่างดุเดือดไม่แพ้การชิงตำแหน่งเจ้าสำนักตระกูลหวังคนต่อไปถึงจะรักเขามากเพียงใด แต่เขาโกหกนางสารพัดจึงทำให้คิดถึงบ้าน แล้วนางก็เริ่มหาทางหนีออกจากที่แห่งนั้น เพียงแต่ว่า...“โอ๊ย!” หลังจากก้า
“ใช่แล้วพี่สาม ข้าจะสั่งสอนเขาเอง” หวังซีซวนเน้นยำกับพี่ชายอีกครั้ง แล้วแกล้งทำเสียงตวาดใส่เซี่ยฟาน “กลับมานี่ เจ้าทำให้ข้าขายหน้า” หวังซีซวนรู้ดีว่าหวังเยี่ยนหลงไม่สนใจตนเองเท่าใดนัก คงจะเห็นว่ากำพร้ามารดาเหมือนกันกระมังพอเห็นเซี่ยฟานเดินคอตกไปหาหวังซีซวนที่อ่อนกว่าก็ได้แต่สมเพช เขาเลิกคิ้วมองตามด้วยความสงสัยแล้วเดินจากไปอย่างว่าง่าย“เฮ้อ!” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่คิดว่าหวังเยี่ยนหลงจะเดินผ่านมาทางนี้ เพราะเรือนใบไผ่ของพี่ชายอยู่อีกทางด้านหนึ่ง “เซี่ยฟาน เจ้าไม่ต้องเศร้าไปหรอก แค่หลบน้ำร้อน คนผู้นั้นทำได้สบายอยู่แล้ว”“คุณชายหมายความว่าอะไร” เซี่ยฟานเงยหน้ามองเขาไม่เข้าใจสิ่งที่พูด เพราะเขาก็เห็นอยู่ว่าชายกางเกงของหวังเยี่ยนหลงเปียกน้ำ“เซี่ยฟาน พี่สามน่ะ ฝีมือเป็นรองแค่พี่ใหญ่กับพี่รองเท่านั้น เรื่องแค่นี้เขาหลบหลีกได้อยู่แล้ว ปกติแล้วเขาไม่ค่อยจะยุ่งกับข้าเท่าใดนัก แต่ทางที่ดี เจ้าระวังเขาเอาไว้ให้มาก ๆ ข้าเห็นเขามานาน การกระทำของ
ด่านที่สองของการฝึกวิชาคือพลังตัวเบาดุจขนนก หวังซีซวนงัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะเซี่ยฟานเข้ามาปลุก พร้อมอาหารเช้าของโปรดของเขา“คุณชาย รีบกินเถิด เดี๋ยวไม่ทันนะขอรับ” เซี่ยฟานจัดแจงนำอาหารมาวางไว้ถึงบนเตียงของเขา แล้วยื่นตะเกียบให้“อื้อ ๆ” หวังซีซวนพูดไม่เป็นคำเพราะอาหารที่อัดแน่นเต็มปากของเขา แก้มทั้งสองข้างนูนออกมาจนหน้าดูประหลาดไป“คุณชาย รีบเกินไปแล้วกระมัง” เซี่ยฟานมองหน้าเขากลั้นหัวเราะเอาไว้หลังจากทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว หวังซีซวนก็เดินเข้าสู่ป่าไผ่เขียว เพื่อรับการฝึกวิชาด่านที่สอง“คุณชาย วันนี้พวกเราหนีไม่พ้นไปนอนที่เล้าหมูแน่ ๆ เลยขอรับ” ศิษย์น้องบอกเขาพลางชี้ไปที่กลางลานฝึกลำต้นใหญ่ของไผ่เขียวนับสิบตั้งอยู่ หากมองดูดี ๆ แล้ว ลำต้นกลับเคลือบไปด้วยน้ำมัน ความสูงของแต่ละต้นไม่อาจนับได้ เพราะเมฆหนาลอยปกคลุมอยู่ด้านบน“สูงเท่าใดหรือ” คุณชายหกถามศิษย์ที่เขาสนิทด้วย
หวังซีซวนพยายามซักถามเซี่ยฟานว่าใครทำให้เขาเป็นเช่นนี้ แต่เซี่ยฟานไม่อยากให้คุณชายห้าต้องเป็นห่วง จึงไม่พูดอะไรเพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็คงต้องยอมรับชะตากรรมไปจนกว่าจะถึงวันนั้น“เซี่ยฟาน เจ้าบอกว่ามีคนทำร้ายเจ้า ตอนที่ถือสำรับมาให้ข้าใช่หรือไม่” หวังซีซวนถามซ้ำ“ขอรับ” เซี่ยฟานพยักหน้า หลบสายตา เกรงว่าจะหลุดปากพูดอะไรมากกว่านี้แล้วเขาจับพิรุธได้“ไม่อยากบอกข้าก็ตามใจเจ้า ตั้งแต่วันนี้ไป ไม่ต้องเอาสำรับเย็นมาให้ข้า” เขาก้มลงแตะยาในตลับทาตรงบริเวณฟกช้ำให้เซี่ยฟาน ผิวขาวของเขาทำให้เห็นรอยแดงอมเขียวชัดเจนมากขึ้น“ไม่เป็นอันใดหรอกขอรับ ข้าจะระวังตัว เลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นแทน” เซี่ยฟานนึกทางลับภายในสำนักออกอยู่สองสามแผน ซึ่งเป็นทางที่เขาเคยสำรวจกับหวังซีซวนเมื่อนานมาแล้ว“เจ้าอย่าดื้อสิ ข้าบอกว่าไม่ต้อง เข้าใจหรือไม่” หวังซีซวนดุเซี่ยฟาน เพราะไม่อยากให้ต้องมาเสี่ยงเจ็บตัว“ขอรับ คุณชาย” เซี่ยฟาน
Trigger warning :เรื่องนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เนื้อเรื่องระหว่างทางมืดมน ดราม่า เตรียมผ้าซับน้ำตาด้วยนะคะ พระเอกธงแดงค่อนไปทางดำ ตัวร้ายที่จับฉลากได้บทพระเอก TW18+ ทั้งเรื่องนะคะมีเนื้อหาเกี่ยวกับการทารุณกรรมเด็ก การใช้อำนาจเหนือกว่าบังคับให้คนทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ การตาย ภาวะซึมเศร้า ความรุนแรง การสังหารหมู่ การทำร้ายร่างกายและจิตใจ การฆ่าตัวตาย การทรมาน ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหา------------------------------------------------------------------------------------------------------------สายลมเย็นพัดใบไม้สีเหลืองปลิวไปตามทางเดินที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา สองข้างทางมีเพียงกิ่งก้านต้นไม้สีดำไร้ใบขนาบข้าง บรรยากาศรอบข้างไร้เสียงผู้คน แต่กลับมีเสียงโซ่ตรวนกระทบกันเป็นช่วง ๆ คนกลุ่มหนึ่งเดินมุ่งหน้าเข้าไปยังตอนใต้ของแคว้นซีเป่ยหลินซินอี๋ หญิงสาวอายุสิบแปดปีต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมายังแคว้นห่างไกล สายตาของนางเลื่อนลอยไร้จุดหมาย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ความคิดนึกย้อนไปถึงวันคืนอันสงบสุขกับ
หวังซีซวนพยายามซักถามเซี่ยฟานว่าใครทำให้เขาเป็นเช่นนี้ แต่เซี่ยฟานไม่อยากให้คุณชายห้าต้องเป็นห่วง จึงไม่พูดอะไรเพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็คงต้องยอมรับชะตากรรมไปจนกว่าจะถึงวันนั้น“เซี่ยฟาน เจ้าบอกว่ามีคนทำร้ายเจ้า ตอนที่ถือสำรับมาให้ข้าใช่หรือไม่” หวังซีซวนถามซ้ำ“ขอรับ” เซี่ยฟานพยักหน้า หลบสายตา เกรงว่าจะหลุดปากพูดอะไรมากกว่านี้แล้วเขาจับพิรุธได้“ไม่อยากบอกข้าก็ตามใจเจ้า ตั้งแต่วันนี้ไป ไม่ต้องเอาสำรับเย็นมาให้ข้า” เขาก้มลงแตะยาในตลับทาตรงบริเวณฟกช้ำให้เซี่ยฟาน ผิวขาวของเขาทำให้เห็นรอยแดงอมเขียวชัดเจนมากขึ้น“ไม่เป็นอันใดหรอกขอรับ ข้าจะระวังตัว เลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นแทน” เซี่ยฟานนึกทางลับภายในสำนักออกอยู่สองสามแผน ซึ่งเป็นทางที่เขาเคยสำรวจกับหวังซีซวนเมื่อนานมาแล้ว“เจ้าอย่าดื้อสิ ข้าบอกว่าไม่ต้อง เข้าใจหรือไม่” หวังซีซวนดุเซี่ยฟาน เพราะไม่อยากให้ต้องมาเสี่ยงเจ็บตัว“ขอรับ คุณชาย” เซี่ยฟาน
ด่านที่สองของการฝึกวิชาคือพลังตัวเบาดุจขนนก หวังซีซวนงัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะเซี่ยฟานเข้ามาปลุก พร้อมอาหารเช้าของโปรดของเขา“คุณชาย รีบกินเถิด เดี๋ยวไม่ทันนะขอรับ” เซี่ยฟานจัดแจงนำอาหารมาวางไว้ถึงบนเตียงของเขา แล้วยื่นตะเกียบให้“อื้อ ๆ” หวังซีซวนพูดไม่เป็นคำเพราะอาหารที่อัดแน่นเต็มปากของเขา แก้มทั้งสองข้างนูนออกมาจนหน้าดูประหลาดไป“คุณชาย รีบเกินไปแล้วกระมัง” เซี่ยฟานมองหน้าเขากลั้นหัวเราะเอาไว้หลังจากทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว หวังซีซวนก็เดินเข้าสู่ป่าไผ่เขียว เพื่อรับการฝึกวิชาด่านที่สอง“คุณชาย วันนี้พวกเราหนีไม่พ้นไปนอนที่เล้าหมูแน่ ๆ เลยขอรับ” ศิษย์น้องบอกเขาพลางชี้ไปที่กลางลานฝึกลำต้นใหญ่ของไผ่เขียวนับสิบตั้งอยู่ หากมองดูดี ๆ แล้ว ลำต้นกลับเคลือบไปด้วยน้ำมัน ความสูงของแต่ละต้นไม่อาจนับได้ เพราะเมฆหนาลอยปกคลุมอยู่ด้านบน“สูงเท่าใดหรือ” คุณชายหกถามศิษย์ที่เขาสนิทด้วย
“ใช่แล้วพี่สาม ข้าจะสั่งสอนเขาเอง” หวังซีซวนเน้นยำกับพี่ชายอีกครั้ง แล้วแกล้งทำเสียงตวาดใส่เซี่ยฟาน “กลับมานี่ เจ้าทำให้ข้าขายหน้า” หวังซีซวนรู้ดีว่าหวังเยี่ยนหลงไม่สนใจตนเองเท่าใดนัก คงจะเห็นว่ากำพร้ามารดาเหมือนกันกระมังพอเห็นเซี่ยฟานเดินคอตกไปหาหวังซีซวนที่อ่อนกว่าก็ได้แต่สมเพช เขาเลิกคิ้วมองตามด้วยความสงสัยแล้วเดินจากไปอย่างว่าง่าย“เฮ้อ!” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่คิดว่าหวังเยี่ยนหลงจะเดินผ่านมาทางนี้ เพราะเรือนใบไผ่ของพี่ชายอยู่อีกทางด้านหนึ่ง “เซี่ยฟาน เจ้าไม่ต้องเศร้าไปหรอก แค่หลบน้ำร้อน คนผู้นั้นทำได้สบายอยู่แล้ว”“คุณชายหมายความว่าอะไร” เซี่ยฟานเงยหน้ามองเขาไม่เข้าใจสิ่งที่พูด เพราะเขาก็เห็นอยู่ว่าชายกางเกงของหวังเยี่ยนหลงเปียกน้ำ“เซี่ยฟาน พี่สามน่ะ ฝีมือเป็นรองแค่พี่ใหญ่กับพี่รองเท่านั้น เรื่องแค่นี้เขาหลบหลีกได้อยู่แล้ว ปกติแล้วเขาไม่ค่อยจะยุ่งกับข้าเท่าใดนัก แต่ทางที่ดี เจ้าระวังเขาเอาไว้ให้มาก ๆ ข้าเห็นเขามานาน การกระทำของ
ผู้ที่หวังซีซวนเรียกเมื่อครู่ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ หวังเยี่ยนหลง บุตรชายลำดับที่สามของหวังเฉิงเย่ผู้เป็นเจ้าสำนัก บิดาของเขาออกเดินทางฝึกวิชาสำนักตระกูลหวังเพียงลำพังแล้วบังเอิญได้พบมารดาของเขาเป็นครั้งแรกในเวลานั้น ความรักระหว่างคนทั้งสองบังเกิดขึ้น นางรักเขามากจนยอมที่จะบอกวิชาลับของตระกูลให้เขาได้รู้ แม้ว่าบิดาของนางจะห้ามปรามเท่าใดก็ไม่เป็นผล นางไม่ได้รู้เลยว่าเขาจะนำมาใช้กับนางในภายหลังเมื่อแรกรักทุกอย่างดูเป็นไปได้ด้วยดี เขาพานางกลับมาที่สำนักตระกูลหวัง กุมวิชาลับของนางเอาไว้ และมีแผนอยู่เบื้องหลังการกลับมาในครั้งนี้ทันทีที่ก้าวเข้ามา นางกลับได้รับรู้ว่าตนเองเป็นได้เพียงอนุของเขาเท่านั้น แม้จะได้เข้าพิธีตามธรรมเนียมแต่การแก่งแย่งชิงดีภายในตระกูลระหว่างฮูหยินและอนุทั้งหลายต่างดุเดือดไม่แพ้การชิงตำแหน่งเจ้าสำนักตระกูลหวังคนต่อไปถึงจะรักเขามากเพียงใด แต่เขาโกหกนางสารพัดจึงทำให้คิดถึงบ้าน แล้วนางก็เริ่มหาทางหนีออกจากที่แห่งนั้น เพียงแต่ว่า...“โอ๊ย!” หลังจากก้า
คนที่อยู่ในสำนักตระกูลหวังล้วนมีพันธะอย่างหนึ่งที่ใครก็ไม่อาจปฏิเสธ ไม่ว่าจะฐานะคุณชาย ลูกศิษย์หรือแม้แต่คนใช้ ทุกคนเข้ามาที่จวนแห่งนี้ได้ แต่หากจะออกไปย่อมต้องไปอย่างคนไร้วิญญาณเพื่อรักษาความลับของวิชาที่สืบทอดกันมาและหากมีผู้ใดคิดจะหนี ก็คงหนีไปได้ไม่ไกลเพราะพันธะนั้นเป็นเหมือนเชือกที่คอยผูกมัดคอเอาไว้ ยิ่งหนีเชือกเส้นนั้นยิ่งตึงขึ้น จำต้องยอมถอยกลับมาที่เดิม ในอดีตมีคนมากมายพยายามหนีออกไป โดยไม่รู้ตัวว่ามีพันธะอยู่ พวกเขาหนีไปได้ไม่ถึงสิบก้าวก็สิ้นใจลงในทันทีเมื่อไม่มีทางหนีแล้ว ทางเดียวที่จะอยู่รอดคือแข็งแกร่ง การฝึกหฤโหดดำเนินไปในแต่ละวันไม่มีหยุด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ความคิดของคนเหล่านี้ผิดแผกจากคนทั่วไปแข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้ พี่น้องนั้นนับเป็นศัตรูได้ทุกเมื่อ หวังซีซวนจึงไม่เคยไว้ใจใคร แรกเริ่มที่แกล้งเซี่ยฟานก็เพื่อทดสอบ เมื่อผ่านอะไรมาด้วยกัน จึงได้รู้ว่าเซี่ยฟานไม่เหมือนใคร เขาคนนี้ต่างหากคือพี่ชายที่แท้จริง พี่ชายอย่างที่ควรจะเป็นอย่าว่าแต่ความผูกผันกันในสายเลือดข
นับตั้งแต่วันที่หวังซีซวนได้เจอกับเซี่ยฟาน เขาก็ทดสอบจิตใจและความอดทนของเซี่ยฟานตลอดเวลา เซี่ยฟานนั้นเดิมทีไม่ค่อยมีปากมีเสียงอะไร เวลาโดนหวังซีซวนแกล้ง เขาก็นิ่งเงียบไม่ตอบโต้ ครั้นเจอหวังซีซวนดื้อ เอาแต่ใจ เขาก็ใจเย็นรอคอยและทำหน้าที่ของตนให้สำเร็จ เซี่ยฟานปลอบใจตนเองว่าอย่างน้อยที่นี่ก็ดีกว่ามาก แต่สิ่งที่เขาคิดกลับเป็นแค่เพียงฉากหนึ่งที่ได้เห็นในเวลานั้น สถานที่เงียบสงบเริ่มกลับมาครึกครื้น เซี่ยฟานได้เห็นคนรุ่นเดียวกันมากมายในสำนัก คุณชายทั้งเจ็ด ลูกศิษย์ คนรับใช้ คนงาน ความวุ่นวายก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้รู้ว่า ที่นี่ก็ไม่ต่างจากนรกขุมเดิม แต่ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ เขาก็มีความหวังอยู่เสมอ เซี่ยฟานเรียนรู้จากสองพี่น้องคู่นั้นว่
เวลาผ่านไปสามปีชีวิตของเซี่ยฟานเติบโตขึ้นอย่างทุลักทุเล นับตั้งแต่ที่เห็นว่าสองพี่น้องมีชะตาชีวิตอย่างไร เขาก็ไม่กล้าที่จะดื้อดึงหรือมองหาหนทางเป็นอิสระอีกต่อไป เวลานั้นเขารู้ข่าวจากหานโจวมาว่าคนเป็นน้องไม่รอด ส่วนคนเป็นพี่สาวหายตัวไปอย่างลึกลับ เขาคิดว่าสาเหตุคงจะเป็นเหมือนจางเจียและหลินซินอี๋ด้านเซี่ยเวย แม้เวลาจะล่วงเลยแต่ยังคงประพฤติตัวเช่นเดิม จนเรื่องราวภายในจวนของเขาส่งกลิ่นไปด้านนอก ผู้คนเริ่มระแคะระคายอยากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนของเขาแม้แต่ฮูหยินเองก็ตามเช็ดทุกเรื่องที่เขาทำไม่ไหว ไหน ๆ ก็ไม่สามารถมีบุตรสืบสกุลได้ นางจึงคิดที่จะฮุบเอาสมบัติทั้งหมดมาเป็นของนางคนเดียววันนั้นเอง คนเป็นพี่สาวที่หนีไปได้เมื่อครั้งนั้น ได้กลับมาพร้อมกับสามีของนาง เขาเป็นคนของทางการ มีอำนาจในการตร
เช้าวันหนึ่งเซี่ยฟานนั่งเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในเรือนทาส เขามองไปด้านบนเพราะได้ยินเสียงจิ๊บ จิ๊บ ดังระงมอยู่พักหนึ่งแม่นกคาบอาหารบินโฉบลงมาที่รัง แล้วค่อย ๆ ป้อนลูกนกแต่ละตัวอย่างใจเย็น เซี่ยฟานปีนขึ้นไปดูที่รังของพวกมันด้วยความอยากรู้อยากเห็นเขาคอยเฝ้ามองดูนกฝูงนี้ตั้งแต่นั้นมา เห็นความรักที่แม่นกคอยปกป้อง หาอาหาร ให้ความอบอุ่นแก่ลูกนก นับเป็นความสุขเล็ก ๆ ที่ก่อเกิดในใจของเซี่ยฟานจนกระทั่งถึงวันที่ลูกนกต้องหัดบิน แม่นกคอยช่วยให้ลูกนกเหล่านั้นขยับปีก สอนให้ลูกนกโผบิน ในที่สุด ลูกนกในรังก็เริ่มสยายปีกบินขึ้นฟ้าสายตาของเซี่ยฟานมองตามด้วยความตื่นเต้น นกฝูงนี้โผบินอย่างอิสระบนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ ใจของเซี่ยฟานเบิกบาน เขาคอยเฝ้ามองหาทางที่เขาจะเป็นดั่งนกพวกนี้“ท่านลุง ข้าอยากบิน แบบนกพวกนั้น” เซี่ยฟานพูดกับหานโจว พลางชี้ไปบนท้องฟ้า“เจ้าไม่ใช่นกเสียหน่อย ปีกก็ไม่มี” หานโจวคิดว่าเซี่ยฟานพูดไปเรื่อย นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่เซี่ยฟานพยายามบอกคือการเป็
“บัดซบ!” เสียงของเซี่ยเวยอุทานขึ้นทันทีที่ลืมตา เขามองร่างของหลินซินอี๋ที่ห้อยอยู่ตรงหน้า แล้วรีบลุกขึ้นปลดผ้าผืนยาวที่พันรอบคอของนางเอาไว้ ก่อนนำตัวลงมา“หลินซินอี๋!” เขาตะโกนเรียกนางซ้ำ ๆ สุดท้ายก็ต้องจับชีพจรของนาง สีหน้าบอกไม่ถูก ในใจสับสนคิดว่าควรจะทำเช่นไร คิ้วสองข้างขมวดเป็นปม“หลินซินอี๋!” เซี่ยเวยเขย่าร่างไร้ลมหายใจของนางอีกครั้ง “เมื่อคืนเจ้าก็สนุกไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงทำเช่นนี้?” เซี่ยเวยดูจะเข้าใจผิดไปมากนัก คนที่สนุกมีเพียงแค่เขาผู้เดียวเท่านั้นจากนั้นเขาก็ยิ้มแล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง อารมณ์สองขั้วที่สลับไปมาทำให้เขาดูเหมือนจะเป็นบ้าไปชั่วขณะ เซี่ยเวยมองหน้าของหลินซินอี๋อีกครั้ง ยื่นมือข้างหนึ่งลูบใบหน้าของนางอย่างที่เคยทำ“เฮอะ บังอาจนัก ใครใช้ให้เจ้าตาย” เขาพึ