เช้าวันรุ่งขึ้น
เซี่ยเวยลืมตาตื่นอย่างไม่รู้สึกรู้สาว่าเมื่อคืนนั้น เขากระทำสิ่งใดลงไป เขายันตัวขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบ ๆ ห้อง สภาพข้าวของกระจัดกระจาย รอยเลือดละเลงไปทั่วพื้นเรือน พอได้เห็นคนผู้หนึ่งนอนนิ่งอยู่ข้างหน้า ก็เดินเข้ามาดูด้วยความงงงวย
ครั้นขยับตัวมากกลับรู้สึกเจ็บแผลตรงศีรษะ ยิ่งได้เห็นว่าคนที่นอนตรงนั้นเป็นจางเจียก็ไม่ยี่หระ เดินออกนอกห้องไปดื้อ ๆ
หลังจากเซี่ยเวยเดินไปไกลแล้ว ทาสในเรือนสองสามคนจึงแอบมาชะเง้อมองดูที่หน้าประตูห้อง ยามปกติจะต้องเห็นจางเจียตื่นแต่เช้า หาน้ำหาข้าวให้อาฟานแล้ว แต่ยามนี้กลับไม่เห็นแม้แต่เงา
ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาอุทานโดยไม่รู้ตัว ค่อย ๆ เดินไปหานาง
“นายท่านโหดร้ายเหลือเกิน” เสียงคนที่เกาะขอบประตูอยู่ดังขึ้น
“เจ้าลองปลุกนางดูเถิด ไม่รู้เจ็บที่ใดบ้าง” เสียงของอีกคนพูด
“อาฟานเล่า อยู่ที่ใด อยู่ข้างในหรือไม่”
เมื่อไม่มีใครกล้าเข้ามา คนที่อยู่หน้าสุดจึงอาสาไปปลุกนาง เขาเอื้อมมือแตะที่ร่างบาง “จางเจีย ได้ยินข้าหรือไม่”
ขณะที่กำลังจะเรียกนางซ้ำอีกครั้ง ฮูหยินเซี่ยก็เดินจ้ำอ้าวมาที่ห้องของจางเจีย นางเห็นสภาพของเซี่ยเวยแล้วสังหรณ์ใจ พลันเห็นร่างของจางเจียแล้วก็ต้องเก็บสีหน้าของตนเองเอาไว้
“ฮูหยิน นางไม่ตื่นขอรับ” เขาหันมารายงาน “ข้าคิดว่านาง...”
“อืม จัดการให้เรียบร้อย” ฮูหยินรู้สิ่งที่เขากำลังจะพูด พลันสายตาเหลือบเห็นกองผ้าตรงมุมห้องขยับจึงให้เขาไปดู
“เป็นอาฟานขอรับ ร่างกายมีบาดแผล เมื่อคืนนี้...” เขาไม่ทันจะได้เล่าต่อก็เห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของฮูหยิน แม้นางจะไม่อำมหิตเท่าเซี่ยเวยแต่ก็ยังคงร้ายเงียบ
“เรื่องคืนวาน อย่าให้หลุดรอดเด็ดขาด” นางกำชับเขาอย่างเข้มงวด
“ขอรับ” เขาพยักหน้า
จากนั้นไม่นานเขาก็จัดการฝังร่างของจางเจียไว้ที่สุสาน ปักป้ายวิญญาณให้นางแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
“คนที่เท่าไหร่แล้ว...” เขาพึมพำ มองไปรอบ ๆ สุสาน
หลังเสร็จสิ้นภาระใหญ่หลวงแล้ว จึงได้หาสมุนไพรมารักษาบาดแผลให้อาฟาน เคราะห์ดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บมากจึงค่อย ๆ หายในเวลาไม่กี่วัน พอตื่นขึ้นมาก็กวาดสายตามองหามารดา
“อาฟานเอ๋ย ต่อจากนี้ จะอยู่หรือตายคงต้องแล้วแต่ชะตาของเจ้าแล้วล่ะ” เสียงทาสคนหนึ่งดังขึ้น คนหลายคนต่างพากันสงสารเขาและจางเจีย เวลานี้ไม่มีมารดาคอยปกป้องจะอยู่เช่นไร
อีกฟากหนึ่งของเรือน เซี่ยเวยได้ข่าวของจางเจียจากฮูหยิน สีหน้าของเขาเปลี่ยนเล็กน้อยเมื่อคิดว่าต้องสูญเสียคนโปรดไป แต่ความคิดก็กลับมาในทันทีเพียงแค่คิดว่ายังมีหลินซินอี๋อยู่ หรือไม่เขาอาจจะไปหาพวกพ่อค้าทาสในเมืองอีกครั้ง
อาฟานกลายเป็นคนที่ไม่พูดกับใคร เอาแต่นิ่งเงียบทั้งวัน ข้าวปลาไม่กิน สายตาคอยมองหาจางเจียตลอดเวลา ใครเห็นต่างก็สงสารเวทนาแต่ทำอะไรให้มากไม่ได้
พอรออยู่ตรงนั้นทั้งวันไม่เห็นวี่แววของมารดา อาฟานจึงเริ่มเดินไปรอบเรือนทาสจนล่วงล้ำเข้าไปในเขตเรือนของเจ้านาย เซี่ยเวยที่ออกมาเดินเล่นอยู่แถวนั้นเห็นเข้าจึงเรียกเขาเข้าไปหา ไม่รู้ในใจคิดอะไรอยู่
“มานี่!” เขาสั่งเด็กน้อยหน้าตาเหลอหลา
พออาฟานเดินมาใกล้เขาจึงได้เห็นใบหน้าชัด ๆ แล้วมือน้อย ๆ ก็ยื่นออกไปขยำเสื้อของเซี่ยเวย
“แม่... แม่...” เขาพูดคำหนึ่งออกมา อาฟานอยากถามเขาเหลือเกินว่าเอาแม่ของเขาไปไว้ที่ไหน แต่กลับเรียบเรียงคำพูดไม่ได้
“เฮอะ นางไม่ใช่แม่ของเจ้าเสียหน่อย” เขาตอกกลับอาฟาน แต่อาฟานนั้นไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด “ปล่อยข้าได้แล้ว เด็กเวร!” เสียงตะคอกทำให้อาฟานผงะ ยั้งมือเอาไว้
อาฟานจ้องมองหน้าของเซี่ยเวย ทำให้ใจของเขาวูบไหวอยู่ชั่วครู่ แม้เด็กคนนี้จะหน้าตาเหมือนเขาอยู่บ้าง แต่ก็โอนเอียงเหมือนหลินซินอี๋มากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาของเขา และแววตาที่จ้องมองเขาในเวลานี้ เหมือนสายตายามที่หลินซินอี๋จ้องเขาไม่มีผิด
“ออกไป!” เขาตะโกนใส่หน้าของอาฟาน แล้วรีบเดินไปอีกทาง ทิ้งให้อาฟานยืนแข็งทื่อตกใจกลัวเสียงตวาด
ครั้นได้สติแล้วก็เดินตามหาจางเจียต่อ เขาเดินวนไปวนมาหานางอยู่ทั้งวันก็ไม่เจอจนหมดแรง จึงนั่งลงหน้าห้องหนึ่งที่เปิดประตูแง้มเอาไว้
ในใจเห็นลาง ๆ คิดว่าเป็นนางจึงรีบวิ่งยิ้มแป้นเข้าไปหา แต่แล้วก็หุบยิ้มในทันที ทำหน้ามึนงง
สตรีนางนี้นั่งนิ่งอ่อนระโหยโรยแรง ซุกตัวอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง สายตาเลื่อนลอย อาฟานนั่งลงใกล้ ๆ แล้วโอบกอดนางเอาไว้
ทั้งคู่อยู่ด้วยกันจนมืดค่ำ แต่นางยังคงไม่ไหวเอนต่อสิ่งรอบตัว และอาฟานก็ยังอยู่ที่เดิมตรงนั้น
เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยเดินเข้ามาใกล้เรือนนอนของนาง พลันปลุกสติของหลินซินอี๋ในทันที นางเพิ่งจะเห็นว่ามีเด็กตัวน้อยกอดนางเอาไว้แน่น ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นลูกของนางเอง
ทันทีที่ขาข้างหนึ่งของเขาก้าวเข้ามา หลินซินอี๋ก็ตัวสั่น ถอยหลังชิดผนังห้อง อาฟานมองดูนางด้วยสีหน้าไม่เข้าใจแต่ก็ขยับตัวไปอยู่ข้าง ๆ นาง
“ซินอี๋ หลบอยู่ที่ใดหรือ” เซี่ยเวยลากเสียงยาวหยอกล้อนาง เสียงที่นางไม่อยากได้ยิน เขาทำเช่นนี้กับนางซ้ำ ๆ ตลอดสามปี
เซี่ยเวยรู้อยู่แล้วว่านางไม่อาจหนีไปที่ใดได้ ไม่อยู่มุมซ้ายของห้องก็จะอยู่มุมขวา เขาทำทีเดินหานางให้หวั่นกลัวเล่น ๆ แล้วก็โผล่ไปฉุดแขนนางออกมาจากมุมมืด โดยไม่สนใจว่ามีเด็กน้อยอีกคนอยู่ตรงนั้น
อาฟานเห็นเหตุการณ์เดิมซ้ำอีกครั้ง เขาลุกขึ้นมาเกาะแขนของเซี่ยเวยเพื่อช่วยหลินซินอี๋ หลงคิดไปว่านางคือจางเจีย
เซี่ยเวยหงุดหงิดเด็กน้อยผู้นี้จึงลงมือทุบตีไปที่แผลเดิมอีกครั้งอย่างไม่ยั้งมือ อาฟานไม่ส่งเสียงร้องสักแอะ แต่น้ำตาไหลพรากเพราะเจ็บปวด นึกถึงจางเจียในใจ คิดถึงอ้อมกอดของนางที่คอยปลอบประโลมเขา
สุดท้ายเซี่ยเวยก็โยนเขาออกมานอกห้องแล้วปิดประตูไม่ให้เขาเข้าไปรบกวน
“อย่านะ อย่า!” เสียงร้องหวาดผวาของหลินซินอี๋ดังขึ้น สลับกับเสียงหฤหรรษ์ของเซี่ยเวย นอกห้องมีเด็กน้อยนอนหนาวตัวสั่นขดตัวกอดตัวเองในคืนเดือนมืด ช่างเป็นเหตุการณ์ที่น่าหดหู่เหลือเกิน
รุ่งเช้า
เซี่ยเวยเดินออกมานอกห้องหน้าตาสดชื่นแจ่มใส เขาเหลือบตามองเด็กน้อยแล้วเบือนหน้าหนีก่อนจะเดินผิวปากอารมณ์ดี
ทาสคนเดิมที่ตามหาอาฟานตั้งแต่เมื่อวานมาเห็นเขาที่เรือนนี้ก็สะท้อนใจ
“โหดร้ายเกินไปแล้ว โธ่เอ๊ย!” ต่อให้สงสารมากเพียงใดก็ทำได้เท่านี้ ตัวเขาเองและคนอื่น ๆ ยังโดนฝ่ามือฝ่าเท้าของเจ้านายไม่เว้นวัน ไม่รู้จะต้องทนไปจนถึงเมื่อใด ทาสอย่างเขามีสิทธิ์เลือกชีวิตด้วยหรือ
เขาอุ้มอาฟานไปที่เรือนทาสแล้วให้ทาสผู้หญิงเข้าไปดูอาการหลินซินอี๋อย่างเคย
“นี่ อย่างไรเขาก็มีสายเลือดของนายท่าน ทำไมถึงได้เป็นเช่นนี้” นางถามเพราะไม่เข้าใจ
อาฟานแทบจะเป็นสายเลือดเพียงคนเดียวของเขา ฮูหยินไม่สามารถมีบุตรสืบทอดสกุลได้ ส่วนอนุอื่น ๆ ล้วนต้องกินยาสมุนไพรตัวหนึ่งเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์เพราะนางจะไม่ยอมให้ผู้ใดได้สมบัติของเขาไปเด็ดขาด จึงกลายเป็นข้อตกลงว่าถ้าเซี่ยเวยเห็นด้วย นางก็ต้องยอมให้เขาหาทาสมาปรนเปรอตนเอง ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ คนที่อยู่ด้วยกันได้ย่อมมีศีลเสมอกัน
“ดูซินอี๋ก่อนเถิด เขายังไม่เว้น นับประสาอะไรกับอาฟานเล่า” ทาสคนหนึ่งส่ายหน้าตอบนางให้หายข้องใจ
“ถ้าไม่ได้อาเจียช่วยเลี้ยงดู ข้าว่าอาฟานคงไม่รอดจากฮูหยินแน่ ๆ” อีกคนพูดสำทับ
“เจ้าอย่าเอ็ดไป นางคงคิดว่าเป็นลูกทาส อย่างไรก็ไม่มีทางแย่งอะไรไปจากนางได้กระมัง”
พูดเช่นนั้นแล้วทุกคนก็เห็นด้วย แล้วแยกย้ายทำหน้าที่ของตน
นับแต่นั้นมา อาฟานก็เริ่มเข้ามาหาหลินซินอี๋อยู่บ่อย ๆ ความรู้สึกในใจเหมือนอยู่ใกล้กับจางเจีย แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ตอบสนองสิ่งใดเลยก็ตาม
ด้านเซี่ยเวยเอง พอไม่มีจางเจียแล้วก็นึกครึ้มทำทีซื้อทาสสาวมาเพิ่มสองสามคน ถลุงสมบัติไปเล็กน้อย ไม่ได้เดือดร้อนอันใดนัก เขาใช้ค่ำคืนเหล่านั้นเสพสมกามารมณ์กับพวกนางไม่รู้ร้อนรู้หนาว
แต่ในบางครากลับไม่อิ่มหนำสำราญต้องปิดท้ายด้วยการมาค้างที่ห้องของหลินซินอี๋อยู่ร่ำไป ทุกครั้งที่มาถึงมักจะพบอาฟานอยู่กับนางด้วย และอาฟานก็มักจะเข้ามาปกป้องนางอยู่เสมอ เช้าวันต่อมาต้องลำบากทาสคนอื่น ๆ คอยหาสมุนไพรมารักษาเขา
“อาฟานเอ๊ย เจ้าอย่าไปเลย จะได้ไม่ต้องเจ็บตัว” เสียงของทาสคนอื่น ๆ ต่างพากันห้ามเขา “เจ้าไปก็ช่วยนางไม่ได้หรอก”
กระนั้น อาฟานกลับไม่ได้สนใจคนอื่นมากนัก เขายังคงทำเช่นเดิมตลอดหนึ่งปี เมื่อโดนเข้าบ่อย ๆ ก็พอจะจับจุดหลบหลีกได้บ้าง ทั้งยังหาสมุนไพรเอาไว้รักษาตัวเอง รวมถึงคอยดูแลหลินซินอี๋
แต่นับวัน หลินซินอี๋ยิ่งสติหลุดลอย ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี เรื่องราวในแต่ละคืนยังคงฝังใจนางไม่จืดจาง ไม่มีวันใดเลยที่นางจะชินกับความระยำที่เซี่ยเวยกระทำ ความคิดวนเวียนอยากหลุดพ้นจากตรงนี้
คืนนั้น เซี่ยเวยมาหานางอีกครั้ง นางพร่ำพูดขอร้องเขาเป็นครั้งสุดท้าย
“อย่าทำข้าเลย ข้าขอร้อง” หลินซินอี๋น้ำตาไหลพราก
เซี่ยเวยไม่ฟังสิ่งใดที่นางพูดเช่นเคย เขาโอบรัดนางมานั่งข้างตัว ฉีกทึ้งเสื้อผ้าที่นางห่อหุ้มร่างกายอันบอบบางเอาไว้ แล้วลงมือลูบคลำขย้ำอย่างที่ใจโหยหา
ราวกับว่าความคิดเส้นบาง ๆ ของนางที่เหลืออยู่นั้นได้ขาดสะบั้นไปแล้ว คืนนั้น หลินซินอี๋ค่อย ๆ ลุกขึ้นมา หยิบผ้าผืนยาวติดมือมาด้วย โยนคล้องไปที่ขื่อด้านบนเรือน ยิ้มเยาะให้กับโชคชะตาของตนเอง
หน้าบ้านหลังน้อยของพวกเขามีบุรุษร่างสูงและสตรีบอบบางสวมชุดสีขาวน้ำเงิน ในมือถือกระบี่อันเป็นสัญลักษณ์ของสำนักเซียน“ศิษย์พี่เหลียนเฟิน” ชายผู้นั้นยิ้มกว้างเมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่ได้เจอกันมานานกว่าสิบปี “ศิษย์พี่ ท่านบาดเจ็บที่ใดหรือ”เหลียนเฟินเพิ่งนึกได้จึงบอกคนให้ขี่หลังว่า “เสี่ยวหยุน ปล่อยข้าลงก่อนเถิด ถึงบ้านเราแล้ว”“พวกเขาเป็นผู้ใดกันจึงเรียกหาสนิทสนมปานนั้น” น้ำเสียงฮึดฮัดอย่างที่เคยทำบ่อย ๆ เวลาหลี่จิ้นหลิงมาเยี่ยมอาจารย์ของเขาทำให้เหลียนเฟินเผลอยิ้มไม่ได้“มานี่สิ ข้าจะแนะนำให้พวกเจ้ารู้จักกัน” เหลียนเฟินเอ่ยทักทายศิษย์พี่และศิษย์น้องที่เขาไม่ได้เจอมานานด้วยความยินดีเพราะหลังจากขอออกจากสำนักวังธาราเหมันต์ เหลียนเฟินไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใดอีกเลยสตรีรูปงามคือศิษย์พี่หญิงหลวนเล่อ ส่วนอีกคนศิษย์น้องซิ่นเฉิง เขาบอกกับทั้งสองว่า “เสี่ยวหยุนเป็นลูกศิษย์ของข้า”ชายหนุ่มหันขวับมองหน้าเหลียนเฟินราวกับจะถามว่าเหตุใดจึงแนะนำว่าเขาเป็นเพียงศิษย์ ทั้ง ๆ ที่เมื่อครู่ตกลงกันแล้วว่าจะเรียกเขาว่าฟูจวินหากแต่เห
สายลมเอื่อยพัดยอดดอกหญ้าสีขาวพลิ้วไหวลู่เอนไปทางซ้าย ดวงตาของเสี่ยวหยุนจ้องมองภาพของใครบางคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขา ยามได้เห็นคนในใจมักจะยิ้มแย้มโดยไม่รู้ตัวหากแต่ครานี้กลับชะงักงันเพราะใบหน้าที่คุ้นเคยเหมือนเยาว์วัยลงไปหลายปี ทั้งสีหน้า แววตาที่เศร้าสร้อยทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดใจเหลือเกิน เสี่ยวหยุนอยากเอื้อมมือเช็ดน้ำตาเปื้อนแก้มอีกฝ่ายใจจะขาดแต่ทำไม่ได้ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างดึงรั้งเอาไว้ไม่ให้แตะต้องร่างเปราะบางที่พร้อมจะแตกสลายในทุกเมื่อ“อย่าร้องเลย” เขาเอ่ยแผ่วเบาพร้อมทำทุกอย่างเพียงเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายมีน้ำตา “เป็นข้าหรือที่ทำผิดต่อท่าน”คนตรงหน้าไม่เอื้อนเอ่ยคำใด สายตาที่มองมาทางเขาว่างเปล่าจนเจ็บแปลบในใจ เสี่ยวหยุนไม่รู้เลยว่าต้องทำอย่างไรจึงจะหลุดพ้นจากสถานการณ์เช่นนี้ขณะกำลังตกอยู่ในภวังค์ความฝัน เสียงหนึ่งที่คุ้นเคยดังขึ้นมา “เสี่ยวหยุน”“…” เขามั่นใจว่าเสียงนั้นคือเสียงของคนที่เขากำลังมองอยู่ข้างหน้า แต่น้ำเสียงที่เอ่ยเรียกเขาดูสดใส ร่าเริงและเต็มไปด้วยความสุขต่างจากภาพใบหน้าที่เขาเห็นเวลานี้“เสี่ยวหยุน”ชายหนุ่มคิดในใจรู้ตัวแล้วว่าเขาเพียงแค่หลับฝัน หากลืมตาตื่นแล้ว
“ความผิดร้ายแรงมีมากนัก ส่งเขาไปรับโทษในนรกขุมที่สาม” เสียงดุดันทรงอำนาจกล่าวพิพากษา หางตาของหวังเยี่ยนหลงเหลือบเห็นร่างวิญญาณคุ้นเคยกำลังดื่มน้ำแกงยายเมิ่งจึงโพล่งขึ้นมา “เหตุใดเจ้านั่นถึงได้ไปเกิดก่อนข้าเล่า” เขาสงสัยคำตัดสิน “มิใช่ว่าข้าเพิ่งบอกเจ้าหรือว่าความผิดเจ้ามีอันใดบ้าง” เสียงลึกลับโต้ตอบกลับมา ไม่เข้าใจว่าเหตุใดวิญญาณตัวเล็กกระจิดริดถึงได้ต่อปากต่อคำกับเขาเก่งนัก หวังเยี่ย
สิบเอ็ดปีต่อมา สายลมเย็นในฤดูใบไม้ผลิพัดเอื่อย ๆ ท้องฟ้าอากาศแจ่มใส ไร้ก้อนเมฆ เหลียนเฟินกำลังนั่งถือเบ็ดตกปลาอยู่ริมทะเลสาบ สายตาเหม่อมองไปอีกฝั่งที่อยู่แสนไกลนึกถึงเรื่องที่ผ่านมา หลังจากจัดการกับหวังเยี่ยนหลงแล้ว เขาไม่เหลือความทรงจำเกี่ยวกับคนผู้นั้นอีกเลย เหลียนเฟินเดินทางกลับไปที่วังธาราเหมันต์เพื่อรับโทษและขอออกจากสำนัก นับตั้งแต่นั้นมาจึงใช้ชีวิตร่อนเร่พเนจรอยู่เพียงลำพัง ตัดขาดจากทุกสิ่งทุกอย่างโดยสิ้นเชิง 
หลังจากผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ หวังเยี่ยนหลงโผล่มาให้เหลียนเฟินเห็นหน้าแต่เช้าตรู่ สีหน้าของเขาดีขึ้นกว่าเดิมมาก อีกทั้งยังแววตาสดใสผิดกับก่อนหน้านี้นัก วันนี้เขายกถาดสำรับอาหารเช้ามาให้ด้วยตัวเองพร้อมยาอีกหลายขนาน “เช้านี้ ข้าขอกินข้าวพร้อมเจ้าได้หรือไม่” เสียงของคนตรงหน้าเอ่ยถาม “ไม่” เหลียนเฟินปฏิเสธโดยที่ไม่ต้องคิด
เช้าวันต่อมา หวังเยี่ยนหลงยังคงนั่งอยู่ข้างเตียง รอยื่นถ้วยยาให้เหลียนเฟินดื่มตามเวลา ร่างบางไม่อาจปฏิเสธได้เพราะโอสถนี้หวังซีซวนตั้งใจทำมาให้จึงดื่มแต่โดยดี จากนั้นจึงยกสำรับอาหารเช้ามาวางไว้ที่ข้างหัวเตียง ตั้งใจจะป้อนทีละคำ แต่เหลียนเฟินไม่ยอมแม้แต่จะมองหน้า สายตาเย็นชาเฉไฉมองไปทางอื่น จนเจ้าตัวรู้สึกเจ็บแปลบในใจ “กินข้าวบ้างเถิด ข้าจะออกไปรอข้างนอก” เขาตัดใจยอมหลบหน้าชั่วคราวจนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่งจึงกลับเข้ามาดู เห็นถ้วยชามอาหารยังอยู่ที่เดิมจึงสั่งให้ยกสำรับใหม่เข้ามาแทน&n