Masukเช้าวันรุ่งขึ้น
เซี่ยเวยลืมตาตื่นอย่างไม่รู้สึกรู้สาว่าเมื่อคืนนั้น เขากระทำสิ่งใดลงไป เขายันตัวขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบ ๆ ห้อง สภาพข้าวของกระจัดกระจาย รอยเลือดละเลงไปทั่วพื้นเรือน พอได้เห็นคนผู้หนึ่งนอนนิ่งอยู่ข้างหน้า ก็เดินเข้ามาดูด้วยความงงงวย
ครั้นขยับตัวมากกลับรู้สึกเจ็บแผลตรงศีรษะ ยิ่งได้เห็นว่าคนที่นอนตรงนั้นเป็นจางเจียก็ไม่ยี่หระ เดินออกนอกห้องไปดื้อ ๆ
หลังจากเซี่ยเวยเดินไปไกลแล้ว ทาสในเรือนสองสามคนจึงแอบมาชะเง้อมองดูที่หน้าประตูห้อง ยามปกติจะต้องเห็นจางเจียตื่นแต่เช้า หาน้ำหาข้าวให้อาฟานแล้ว แต่ยามนี้กลับไม่เห็นแม้แต่เงา
ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาอุทานโดยไม่รู้ตัว ค่อย ๆ เดินไปหานาง
“นายท่านโหดร้ายเหลือเกิน” เสียงคนที่เกาะขอบประตูอยู่ดังขึ้น
“เจ้าลองปลุกนางดูเถิด ไม่รู้เจ็บที่ใดบ้าง” เสียงของอีกคนพูด
“อาฟานเล่า อยู่ที่ใด อยู่ข้างในหรือไม่”
เมื่อไม่มีใครกล้าเข้ามา คนที่อยู่หน้าสุดจึงอาสาไปปลุกนาง เขาเอื้อมมือแตะที่ร่างบาง “จางเจีย ได้ยินข้าหรือไม่”
ขณะที่กำลังจะเรียกนางซ้ำอีกครั้ง ฮูหยินเซี่ยก็เดินจ้ำอ้าวมาที่ห้องของจางเจีย นางเห็นสภาพของเซี่ยเวยแล้วสังหรณ์ใจ พลันเห็นร่างของจางเจียแล้วก็ต้องเก็บสีหน้าของตนเองเอาไว้
“ฮูหยิน นางไม่ตื่นขอรับ” เขาหันมารายงาน “ข้าคิดว่านาง...”
“อืม จัดการให้เรียบร้อย” ฮูหยินรู้สิ่งที่เขากำลังจะพูด พลันสายตาเหลือบเห็นกองผ้าตรงมุมห้องขยับจึงให้เขาไปดู
“เป็นอาฟานขอรับ ร่างกายมีบาดแผล เมื่อคืนนี้...” เขาไม่ทันจะได้เล่าต่อก็เห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของฮูหยิน แม้นางจะไม่อำมหิตเท่าเซี่ยเวยแต่ก็ยังคงร้ายเงียบ
“เรื่องคืนวาน อย่าให้หลุดรอดเด็ดขาด” นางกำชับเขาอย่างเข้มงวด
“ขอรับ” เขาพยักหน้า
จากนั้นไม่นานเขาก็จัดการฝังร่างของจางเจียไว้ที่สุสาน ปักป้ายวิญญาณให้นางแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
“คนที่เท่าไหร่แล้ว...” เขาพึมพำ มองไปรอบ ๆ สุสาน
หลังเสร็จสิ้นภาระใหญ่หลวงแล้ว จึงได้หาสมุนไพรมารักษาบาดแผลให้อาฟาน เคราะห์ดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บมากจึงค่อย ๆ หายในเวลาไม่กี่วัน พอตื่นขึ้นมาก็กวาดสายตามองหามารดา
“อาฟานเอ๋ย ต่อจากนี้ จะอยู่หรือตายคงต้องแล้วแต่ชะตาของเจ้าแล้วล่ะ” เสียงทาสคนหนึ่งดังขึ้น คนหลายคนต่างพากันสงสารเขาและจางเจีย เวลานี้ไม่มีมารดาคอยปกป้องจะอยู่เช่นไร
อีกฟากหนึ่งของเรือน เซี่ยเวยได้ข่าวของจางเจียจากฮูหยิน สีหน้าของเขาเปลี่ยนเล็กน้อยเมื่อคิดว่าต้องสูญเสียคนโปรดไป แต่ความคิดก็กลับมาในทันทีเพียงแค่คิดว่ายังมีหลินซินอี๋อยู่ หรือไม่เขาอาจจะไปหาพวกพ่อค้าทาสในเมืองอีกครั้ง
อาฟานกลายเป็นคนที่ไม่พูดกับใคร เอาแต่นิ่งเงียบทั้งวัน ข้าวปลาไม่กิน สายตาคอยมองหาจางเจียตลอดเวลา ใครเห็นต่างก็สงสารเวทนาแต่ทำอะไรให้มากไม่ได้
พอรออยู่ตรงนั้นทั้งวันไม่เห็นวี่แววของมารดา อาฟานจึงเริ่มเดินไปรอบเรือนทาสจนล่วงล้ำเข้าไปในเขตเรือนของเจ้านาย เซี่ยเวยที่ออกมาเดินเล่นอยู่แถวนั้นเห็นเข้าจึงเรียกเขาเข้าไปหา ไม่รู้ในใจคิดอะไรอยู่
“มานี่!” เขาสั่งเด็กน้อยหน้าตาเหลอหลา
พออาฟานเดินมาใกล้เขาจึงได้เห็นใบหน้าชัด ๆ แล้วมือน้อย ๆ ก็ยื่นออกไปขยำเสื้อของเซี่ยเวย
“แม่... แม่...” เขาพูดคำหนึ่งออกมา อาฟานอยากถามเขาเหลือเกินว่าเอาแม่ของเขาไปไว้ที่ไหน แต่กลับเรียบเรียงคำพูดไม่ได้
“เฮอะ นางไม่ใช่แม่ของเจ้าเสียหน่อย” เขาตอกกลับอาฟาน แต่อาฟานนั้นไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด “ปล่อยข้าได้แล้ว เด็กเวร!” เสียงตะคอกทำให้อาฟานผงะ ยั้งมือเอาไว้
อาฟานจ้องมองหน้าของเซี่ยเวย ทำให้ใจของเขาวูบไหวอยู่ชั่วครู่ แม้เด็กคนนี้จะหน้าตาเหมือนเขาอยู่บ้าง แต่ก็โอนเอียงเหมือนหลินซินอี๋มากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาของเขา และแววตาที่จ้องมองเขาในเวลานี้ เหมือนสายตายามที่หลินซินอี๋จ้องเขาไม่มีผิด
“ออกไป!” เขาตะโกนใส่หน้าของอาฟาน แล้วรีบเดินไปอีกทาง ทิ้งให้อาฟานยืนแข็งทื่อตกใจกลัวเสียงตวาด
ครั้นได้สติแล้วก็เดินตามหาจางเจียต่อ เขาเดินวนไปวนมาหานางอยู่ทั้งวันก็ไม่เจอจนหมดแรง จึงนั่งลงหน้าห้องหนึ่งที่เปิดประตูแง้มเอาไว้
ในใจเห็นลาง ๆ คิดว่าเป็นนางจึงรีบวิ่งยิ้มแป้นเข้าไปหา แต่แล้วก็หุบยิ้มในทันที ทำหน้ามึนงง
สตรีนางนี้นั่งนิ่งอ่อนระโหยโรยแรง ซุกตัวอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง สายตาเลื่อนลอย อาฟานนั่งลงใกล้ ๆ แล้วโอบกอดนางเอาไว้
ทั้งคู่อยู่ด้วยกันจนมืดค่ำ แต่นางยังคงไม่ไหวเอนต่อสิ่งรอบตัว และอาฟานก็ยังอยู่ที่เดิมตรงนั้น
เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยเดินเข้ามาใกล้เรือนนอนของนาง พลันปลุกสติของหลินซินอี๋ในทันที นางเพิ่งจะเห็นว่ามีเด็กตัวน้อยกอดนางเอาไว้แน่น ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นลูกของนางเอง
ทันทีที่ขาข้างหนึ่งของเขาก้าวเข้ามา หลินซินอี๋ก็ตัวสั่น ถอยหลังชิดผนังห้อง อาฟานมองดูนางด้วยสีหน้าไม่เข้าใจแต่ก็ขยับตัวไปอยู่ข้าง ๆ นาง
“ซินอี๋ หลบอยู่ที่ใดหรือ” เซี่ยเวยลากเสียงยาวหยอกล้อนาง เสียงที่นางไม่อยากได้ยิน เขาทำเช่นนี้กับนางซ้ำ ๆ ตลอดสามปี
เซี่ยเวยรู้อยู่แล้วว่านางไม่อาจหนีไปที่ใดได้ ไม่อยู่มุมซ้ายของห้องก็จะอยู่มุมขวา เขาทำทีเดินหานางให้หวั่นกลัวเล่น ๆ แล้วก็โผล่ไปฉุดแขนนางออกมาจากมุมมืด โดยไม่สนใจว่ามีเด็กน้อยอีกคนอยู่ตรงนั้น
อาฟานเห็นเหตุการณ์เดิมซ้ำอีกครั้ง เขาลุกขึ้นมาเกาะแขนของเซี่ยเวยเพื่อช่วยหลินซินอี๋ หลงคิดไปว่านางคือจางเจีย
เซี่ยเวยหงุดหงิดเด็กน้อยผู้นี้จึงลงมือทุบตีไปที่แผลเดิมอีกครั้งอย่างไม่ยั้งมือ อาฟานไม่ส่งเสียงร้องสักแอะ แต่น้ำตาไหลพรากเพราะเจ็บปวด นึกถึงจางเจียในใจ คิดถึงอ้อมกอดของนางที่คอยปลอบประโลมเขา
สุดท้ายเซี่ยเวยก็โยนเขาออกมานอกห้องแล้วปิดประตูไม่ให้เขาเข้าไปรบกวน
“อย่านะ อย่า!” เสียงร้องหวาดผวาของหลินซินอี๋ดังขึ้น สลับกับเสียงหฤหรรษ์ของเซี่ยเวย นอกห้องมีเด็กน้อยนอนหนาวตัวสั่นขดตัวกอดตัวเองในคืนเดือนมืด ช่างเป็นเหตุการณ์ที่น่าหดหู่เหลือเกิน
รุ่งเช้า
เซี่ยเวยเดินออกมานอกห้องหน้าตาสดชื่นแจ่มใส เขาเหลือบตามองเด็กน้อยแล้วเบือนหน้าหนีก่อนจะเดินผิวปากอารมณ์ดี
ทาสคนเดิมที่ตามหาอาฟานตั้งแต่เมื่อวานมาเห็นเขาที่เรือนนี้ก็สะท้อนใจ
“โหดร้ายเกินไปแล้ว โธ่เอ๊ย!” ต่อให้สงสารมากเพียงใดก็ทำได้เท่านี้ ตัวเขาเองและคนอื่น ๆ ยังโดนฝ่ามือฝ่าเท้าของเจ้านายไม่เว้นวัน ไม่รู้จะต้องทนไปจนถึงเมื่อใด ทาสอย่างเขามีสิทธิ์เลือกชีวิตด้วยหรือ
เขาอุ้มอาฟานไปที่เรือนทาสแล้วให้ทาสผู้หญิงเข้าไปดูอาการหลินซินอี๋อย่างเคย
“นี่ อย่างไรเขาก็มีสายเลือดของนายท่าน ทำไมถึงได้เป็นเช่นนี้” นางถามเพราะไม่เข้าใจ
อาฟานแทบจะเป็นสายเลือดเพียงคนเดียวของเขา ฮูหยินไม่สามารถมีบุตรสืบทอดสกุลได้ ส่วนอนุอื่น ๆ ล้วนต้องกินยาสมุนไพรตัวหนึ่งเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์เพราะนางจะไม่ยอมให้ผู้ใดได้สมบัติของเขาไปเด็ดขาด จึงกลายเป็นข้อตกลงว่าถ้าเซี่ยเวยเห็นด้วย นางก็ต้องยอมให้เขาหาทาสมาปรนเปรอตนเอง ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ คนที่อยู่ด้วยกันได้ย่อมมีศีลเสมอกัน
“ดูซินอี๋ก่อนเถิด เขายังไม่เว้น นับประสาอะไรกับอาฟานเล่า” ทาสคนหนึ่งส่ายหน้าตอบนางให้หายข้องใจ
“ถ้าไม่ได้อาเจียช่วยเลี้ยงดู ข้าว่าอาฟานคงไม่รอดจากฮูหยินแน่ ๆ” อีกคนพูดสำทับ
“เจ้าอย่าเอ็ดไป นางคงคิดว่าเป็นลูกทาส อย่างไรก็ไม่มีทางแย่งอะไรไปจากนางได้กระมัง”
พูดเช่นนั้นแล้วทุกคนก็เห็นด้วย แล้วแยกย้ายทำหน้าที่ของตน
นับแต่นั้นมา อาฟานก็เริ่มเข้ามาหาหลินซินอี๋อยู่บ่อย ๆ ความรู้สึกในใจเหมือนอยู่ใกล้กับจางเจีย แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ตอบสนองสิ่งใดเลยก็ตาม
ด้านเซี่ยเวยเอง พอไม่มีจางเจียแล้วก็นึกครึ้มทำทีซื้อทาสสาวมาเพิ่มสองสามคน ถลุงสมบัติไปเล็กน้อย ไม่ได้เดือดร้อนอันใดนัก เขาใช้ค่ำคืนเหล่านั้นเสพสมกามารมณ์กับพวกนางไม่รู้ร้อนรู้หนาว
แต่ในบางครากลับไม่อิ่มหนำสำราญต้องปิดท้ายด้วยการมาค้างที่ห้องของหลินซินอี๋อยู่ร่ำไป ทุกครั้งที่มาถึงมักจะพบอาฟานอยู่กับนางด้วย และอาฟานก็มักจะเข้ามาปกป้องนางอยู่เสมอ เช้าวันต่อมาต้องลำบากทาสคนอื่น ๆ คอยหาสมุนไพรมารักษาเขา
“อาฟานเอ๊ย เจ้าอย่าไปเลย จะได้ไม่ต้องเจ็บตัว” เสียงของทาสคนอื่น ๆ ต่างพากันห้ามเขา “เจ้าไปก็ช่วยนางไม่ได้หรอก”
กระนั้น อาฟานกลับไม่ได้สนใจคนอื่นมากนัก เขายังคงทำเช่นเดิมตลอดหนึ่งปี เมื่อโดนเข้าบ่อย ๆ ก็พอจะจับจุดหลบหลีกได้บ้าง ทั้งยังหาสมุนไพรเอาไว้รักษาตัวเอง รวมถึงคอยดูแลหลินซินอี๋
แต่นับวัน หลินซินอี๋ยิ่งสติหลุดลอย ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี เรื่องราวในแต่ละคืนยังคงฝังใจนางไม่จืดจาง ไม่มีวันใดเลยที่นางจะชินกับความระยำที่เซี่ยเวยกระทำ ความคิดวนเวียนอยากหลุดพ้นจากตรงนี้
คืนนั้น เซี่ยเวยมาหานางอีกครั้ง นางพร่ำพูดขอร้องเขาเป็นครั้งสุดท้าย
“อย่าทำข้าเลย ข้าขอร้อง” หลินซินอี๋น้ำตาไหลพราก
เซี่ยเวยไม่ฟังสิ่งใดที่นางพูดเช่นเคย เขาโอบรัดนางมานั่งข้างตัว ฉีกทึ้งเสื้อผ้าที่นางห่อหุ้มร่างกายอันบอบบางเอาไว้ แล้วลงมือลูบคลำขย้ำอย่างที่ใจโหยหา
ราวกับว่าความคิดเส้นบาง ๆ ของนางที่เหลืออยู่นั้นได้ขาดสะบั้นไปแล้ว คืนนั้น หลินซินอี๋ค่อย ๆ ลุกขึ้นมา หยิบผ้าผืนยาวติดมือมาด้วย โยนคล้องไปที่ขื่อด้านบนเรือน ยิ้มเยาะให้กับโชคชะตาของตนเอง
สามเดือนต่อมาเช้าวันหนึ่งเสี่ยวหยุนมองเหลียนเฟินที่กำลังนอนหลับใหลในอ้อมกอดของเขา สายตาเต็มไปด้วยความรักท่วมท้นในใจก่อนจะพึมพำร่ายอาคมอย่างหนึ่งขึ้นมาพลันกรีดปลายนิ้วจนได้เลือดหยดหนึ่งหลอมรวมกับลูกกลมสีฟ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้เป็นวิชาที่เขาเพิ่งคิดค้นขึ้นมาได้แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกเสี่ยวหยุนตั้งชื่ออาคมนั้นว่า “พันธะวิญญาณ” อาคมที่สามารถผูกวิญญาณของพวกเขาทั้งสองไว้ด้วยกันในทุก ๆ ชาติ ไม่ว่าเหลียนเฟินจะเกิดเป็นผู้ใด อยู่ที่ไหน เขาจะรู้ได้ในทันที นับต่อจากนี้ไม่มีพรากจากลมหายใจของร่างบางในอ้อมกอดสัมผัสแผ่นอกกว้างของเขาเตือนสติให้รู้ตัว ล้มเลิกความคิดเช่นนั้น เสี่ยวหยุนยิ้มมุมปากพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วบีบอาคมนั้นให้แตกสลายไปริมฝีปากจุมพิตหน้าผากเรียกเหลียนเฟินด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฟูเหรินของข้า”“อืม…” เหลียนเฟินยังคงงัวเงียพลันได้รับจุมพิตที่แก้ม โลมเลียลงลำคอ สัมผัสเรียวลิ้นร้อนชื้นดูดเม้มก่อนจะถูกใครบางคนคร่อมร่างกายท่อนบนเอาไว้“ฟูเหริน ท่านยังไม่ตื่นอีกหรือ” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำ
เหลียนเฟินนอนนิ่งบนแผ่นอกของเขา ส่วนล่างกระตุกบีบแก่นกายที่ค้างอยู่ราวกับเชิญชวนจึงถูกพลิกตัวเป็นฝ่ายนอนใต้ร่างพลางโดนเสี่ยวหยุนจับขาสองข้างยกขึ้นแล้วขย่มสะโพกเป็นจังหวะ“ข้าเพิ่งจะ…อ๊ะ...” เหลียนเฟินไม่ทันได้พูดอะไรก็ต้องเม้มปากตัวเองอีกครั้ง มือสองข้างจับหมอนที่วางอยู่ ขยำจนผ้ายับยู่ยี่ ลมหายใจร้อนหอบถี่ ฟังแล้วยิ่งกระตุ้นให้อีกฝ่ายเกิดความต้องการอย่างยิ่งยวดแก่นกายที่ครูดเข้าออกเร่งขึ้นอย่างเร่าร้อนจนน้ำที่ปล่อยเอาไว้เมื่อครู่กระเซ็นเปรอะเปื้อน คนกระทำยิ้มมุมปากชอบใจยิ่งนักที่ได้เห็นร่องรอยของเขาบนตัวคนรักเมื่อโพรงเนื้อโอบรอบจนมิดแน่นขนัดยิ่งเสียวซ่านจนตาเหลือกลอย “อือ… เหลียนเฟิน” ในใจวนเวียนแต่คำว่า อีกนิด ข้าขออีกนิดในขณะที่คนใต้ร่างแทบคุมสติตัวเองไม่อยู่ พึมพำแผ่วเบา “ข้าไม่ไหวแล้ว… อย่าเพิ่งขยับ”“จะให้ข้าหยุดจริงหรือ” เขาเอ่ยถามแต่ส่วนลับยังคงกระทุ้งเข้า ๆ ออก ๆ บดเบียดภายใน หยอกล้อเหลียนเฟินเพราะอยากเห็นสีหน้าแดงระเรื่อ สุขสม พลันวางขาทั้งสองข้างลงแล้วพลิกตัวเหลียนเฟินให้นอนคว่ำในพริบตาก่อนจะยกส
เหลียนเฟินโอบแขนรอบคอของเสี่ยวหยุนกดแรงโน้มตัวเขาลงมาหา จ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตาพลันยิ้มอ่อนโยน เอ่ยกระซิบยืนยันความรู้สึกของตัวเอง “ข้ารักเจ้า”คนได้ฟังคำรักน้ำตาไหลเอ่อไม่อาจกั้นด้วยความรู้สึกผิดระคนกับความรู้สึกอื่น ๆ ในใจ แม้รู้ตัวว่าไม่สมควรมายืนอยู่ข้างเขาแต่เวลานี้ก็ไม่อาจขยับกายหรือเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายได้เลยเขารักเหลียนเฟิน ผู้เป็นฟูเหรินของเขาและไม่อยากถูกพรากจากอีกแล้ว ทั้งยังดีใจเพราะใบหน้าที่มองเขาในเวลานี้ไม่ใช่ใบหน้าของคนที่เกลียดชังเขาจนต้องจ่อปลายกระบี่เข้าหาราวกับแค้นเคืองกันมาเนิ่นนาน“เสี่ยวหยุน” เสียงเรียกหาอ่อนหวานจับใจ “ยังคงจำได้อยู่ใช่หรือไม่ว่าเวลานี้เจ้าคือฟูจวินของข้า”“…” เขาพยักหน้าเล็กน้อย เม้มปากแน่นแล้วกอดเหลียนเฟินเอาไว้ครั้นสะสางความหลัง ปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างพลันคลี่คลาย ไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีกต่อไปหวังซีซวนและพรรคพวกแวะมาหาพวกเขาเหมือนอย่างเคย สังเกตได้ว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งสองคนดูอึมครึมเล็กน้อย ดวงตาเสี่ยวหยุนบวมช้ำปรากฏเด่นชัดจนอดถามไม่ได้“
ครั้นเรื่องราววุ่นวายที่ใจกลางตลาดจบลงไปได้ด้วยดี เหลียนเฟินจึงพาเสี่ยวหยุนกลับมาพักฟื้นร่างกายที่บ้านหลังน้อย พลางขอให้หวังซีซวนช่วยกลั่นยาสมุนไพรให้เขาจนกว่าจะหายดีเขาหลับลึกอยู่หลายวันเพราะใช้เรี่ยวแรงร่ายวิชาอาคมโดยไม่สนขีดจำกัดของตัวเองเพียงเพราะเป็นห่วงเหลียนเฟินและไม่อยากให้สถานการณ์ยืดเยื้อใบหน้าสงบนิ่งยามหลับใหลทำให้เหลียนเฟินโล่งใจได้บ้างว่าเขาคงไม่ได้ฝันร้ายเหมือนที่ผ่านมาจึงปล่อยให้คนตรงหน้าพักผ่อนให้เต็มที่“ท่านเซียน เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” หลี่จิ้นหลิงแวะมาเยี่ยมเพราะได้ข่าวว่าเสี่ยวหยุนยังไม่ฟื้น“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เขาเพียงแค่ต้องนอนให้เยอะ ๆ ก็เท่านั้น” เหลียนเฟินยิ้มให้อีกฝ่ายนึกขอบคุณที่เขาช่วยหาตำราต้องห้ามจนพบ“หากท่านเซียนต้องการให้ช่วยเหลือเรื่องใด อย่าได้ลังเลใจที่จะบอกข้านะขอรับ” หลี่จิ้นหลิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องฟื้นฟูพลังชีวิตของท่าน ถ้าตำราต้องห้ามไม่ได้ผล ข้ายินดีหาหนทางอื่น”เหลียนเฟินส่ายหน้าเข้าใจดีว่าทุกคนเป็นห่วงแต่ว่าเขาเตรียมใจเอาไว้แล้ว ไม่ว่าผลที่ได้จะออกมาเป็น
“ปล่อยคุณหนูหลี่” เหลียนเฟินพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเห็นอีกฝ่ายเคลื่อนไหวรวดเร็ว เขากำกระบี่ในมือไว้แน่นพลันยกขึ้นมากันท่าไม่ให้เสิ่นหยางพุ่งตัวเข้าใกล้ระยะประชิดก่อนจะม้วนตัวแล้วถีบคนตรงหน้ากระเด็นไปอีกทางด้วยแรงที่ออมไว้สามส่วน“ฝีเท้าหนักใช่เล่น” เขาเอ่ยชม รอยยิ้มกวนประสาทราวกับถูกใจอย่างยิ่งยวด “อย่าขัดขืนนักเลย เมื่อครู่ข้าเพียงยั้งมือเอาไว้เท่านั้นเพราะไม่อยากทำให้ร่างกายของท่านเซียนมีบาดแผล”เสิ่นเหยา แฝดผู้พี่ที่จับตัวหลี่ฮวาเอาไว้ลูบปลายจมูกตัวเอง “หากท่านเซียนยินยอมมากับพวกข้า ข้าจะคืนสตรีนางนี้เป็นการแลกเปลี่ยน”“เช่นนั้นปล่อยนางก่อน” เหลียนเฟินไม่ตกลงง่าย ๆ และเป็นห่วงความปลอดภัยหลี่ฮวาที่เวลานี้กำลังกลั้นน้ำตาไม่ร้องไห้เสียงดังด้วยความหวาดกลัว“ท่านเซียนคงไม่รู้ว่าข้าเป็นผู้ใดจึงพยายามเล่นแง่ยืดเวลาออกไปใช่หรือไม่ แต่ข้ายืนยันได้เลยว่าสองชั่วยามต่อจากนี้ไม่มีผู้ใดเข้ามาก้าวก่ายที่แห่งนี้ได้อย่างแน่นอนและหากทุกสิ่งไม่เป็นอย่างที่ข้าต้องการ ข้าจะทำลายหมู่บ้านให้ราบคาบ” เสิ่นหยางประกาศก้อง คำพูดของเขาทำให้ชาวบ้านขวัญ
ครั้นพูดคุยเรื่องตำราต้องห้ามเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็กลับมายังบ้านหลังน้อยจึงได้เห็นว่าหลี่จิ้นหลิงกำลังนั่งเล่นอยู่ตั่งไม้กับเหลียนเฟินแววตาเสี่ยวหยุนเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”“ข้าเห็นว่าท่านเซียนเมาหลับไป วันนี้จึงอยากมาดูให้แน่ใจว่ามีอาการใดหรือไม่” เขายักไหล่พูดด้วยสีหน้าสบายอารมณ์หากแต่เสี่ยวหยุนอารมณ์ดีจึงไม่ใส่ใจแล้วเดินไปนั่งข้างเหลียนเฟิน เอ่ยกับเขาว่า “ข้าต้องไปหอสมุดวังหลวง คุณชายหวังซีซวนบอกว่าที่นั่นมีตำราเก็บไว้อยู่ อาจช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตของท่านได้”“เขาไม่ได้บอกหรือว่าที่แห่งนั้นห้ามให้คนนอกเข้าไป” เหลียนเฟินหรี่ตามองคนตรงหน้าที่ทำท่าเหมือนรู้ทุกอย่าง “หากคิดไปขโมยตำรามาก็หยุดแต่เพียงเท่านั้นเถิด พลังชีวิตของข้ามีแค่ครึ่งเดียวแล้วอย่างไร ไม่เห็นหรือว่าข้ายังแข็งแรงดี”“ไม่อยากอยู่กับข้านานกว่านี้หรือ” สีหน้าของเขาเศร้าสร้อยหากต้องล้มเลิกความตั้งใจ รู้ว่าบำเพ็ญคู่จะสามารถยืดอายุขัยออกไปได้ แต่หากพลังชีวิตของเขากลับมาเหมือนเดิม ย่อมมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันนานมากขึ้นไปอีกเ
![อุบัติรักฟีโรโมน [Omagaverse]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)




![นายบำเรอของมาเฟีย [Mpreg]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)

