เพียงแค่นึกภาพว่ามีผู้อื่นมาแตะต้องใบหน้านี้ เขาก็รู้สึกหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก
เสียงพิณเริ่มบรรเลงขับกล่อมราตรีอีกครั้ง โจวอิ่งฉินยิ้มหวานมีเลศนัยเมื่อเห็นคนตรงหน้าโอบกอดรัดรึง เริ่มจู่โจมเขาแบบไม่ทันตั้งตัว “ใต้เท้า ท่านเบามือหน่อย” เสียงพึมพำดังข้างหูของหวังเยี่ยนหลงที่เวลานี้ห้ามใจของตัวเองไม่ไหว
“อย่ายุ่งกับผู้ใด” เขาเอ่ยปากแล้วอุ้มร่างบางของโจวอิ่งฉินไปนอนบนเตียง เริ่มต้นค่ำคืนแสนยาวนานของทั้งสองคน
เช้าวันต่อมา หวังเยี่ยนหลงซื้อตัวโจวอิ่งฉินจากหอเงาราตรีแล้วพากลับไปอยู่ที่สำนักตระกูลหวังนับตั้งแต่นั้นมา
ชายหนุ่มเผลอคิดไปว่าเขาอาจจะพอมีใจให้บ้าง เวลานี้หวังเยี่ยนหลงมองเขาเป็นเพียงตัวแทน แต่หากนานวันไปเมื่อใด เขาจะทำให้หวังเยี่ยนหลงลืมคนผู้นั้นไปให้ได้
ทว่า ความคิดนั้นกลับตื้นเขินนัก จนถึงวันนี้ หวังเยี่ยนหลงไม่ได้มองเขาเปลี่ยนไปจากเดิม ทั้งยังทำร้ายเขายามที่ปราณมารปะทุ ครั้นจะหนีไปที่ใดก็ทำไม่ได้ มิหนำซ้ำยังรู้สึกผูกติดกับเขาและโหยหาความรักจากหวังเยี่ยนหลงจนยอมทนทุกอย่างไปเสียแล้ว
ณ โรงเตี๊ยม
หวังเยี่ยนหลงหาโอกาสสัมผัสมือของเหลียนเฟิน ความรู้สึกที่เก็บฝังในใจปะทุขึ้นอีกครั้ง สิ่งนี้ต่างหากที่เขารอคอยมาเนิ่นนาน หน้าตาและรูปร่างราวกับคนละคน แต่สัมผัสนี้กลับคุ้นเคยมากเหลือเกิน
“นายท่าน รู้ที่ซ่อนพรรคพวกที่เหลือของหลินหลีเหว่ยแล้วขอรับ” ซวงส่งสัญญาณให้เขารู้ พลางยืนรอบนหลังคาโรงเตี๊ยม
“อื้ม” หวังเยี่ยนหลงรับรู้ สายตามองเหลียนเฟินอีกครั้งหนึ่งแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะกระโดดหายไปจากโรงเตี๊ยมอย่างไร้ร่องรอย
“เหลียนเฟิน!” เสียงของหลวนเล่อตะโกนหาเขา นางรู้สึกได้ว่าศิษย์น้องกำลังเกิดเรื่อง ครั้นเคาะเรียกหลายครั้งก็ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับเพิ่งจะพังประตูเข้าห้องได้เมื่อครู่ “เกิดอันใดขึ้น แล้วทำไมคนผู้นี้ถึง...”
“ศิษย์พี่ ข้าจะเล่าให้ท่านฟัง ท่านใจเย็น ๆ ก่อนเถิด” เหลียนเฟินลงมือเก็บหลักฐานพลางเล่าให้นางฟังตั้งแต่ต้นจนจบ
“เขาเป็นผู้ใด”
“ไม่รู้ขอรับ” เหลียนเฟินส่ายหน้า ตอบไม่ได้จริง ๆ ว่าคนผู้นั้นคือใคร
“อื้ม เช่นนั้นรีบไปที่ศาลาว่าการดีกว่า หากหลักฐานที่ได้เชื่อมโยงมาที่คนผู้นี้ เรื่องราวลึกลับในเมืองเฟิงจะได้คลี่คลาย” นางร่ายอาคมเก็บกวาดร่องรอยของทุกสิ่งในห้องนี้ไปด้วย
“ขอรับ”
ครั้นมาถึงศาลาว่าการ ทั้งคู่จึงสังเกตเห็นว่ามีคนหลายสิบยืนออกันอยู่ด้านใน นอกจากทหารเมืองเฟิงแล้วยังมีชายหญิงหลายคนสวมชุดแตกต่างกันไป ชุดสีขาวแถบเขียวอ่อน และชุดสีเทาแกมขาว
“สำนักเขาศิลาหยกกับสำนักร้อยดาราก็มาที่นี่ด้วยหรือ” เหลียนเฟินถามศิษย์พี่ของเขา
“อื้ม” หลวนเล่อพยักหน้า
อ๋องเมืองเฟิงส่งสารไปหาสำนักเซียนหลายแห่งให้ช่วยกันไขเรื่องราวลึกลับเพราะไม่อยากให้ชาวบ้านต้องใช้ชีวิตด้วยความอกสั่นขวัญผวา
กลางลานศาลาว่าการจึงมีศิษย์สำนักยืนอยู่ด้วยพร้อมคนอีกสองสามคนถูกจับมัดไว้นั่งรวมกันอยู่ด้านหน้าอ๋องเมืองเฟิง
“ท่านนักพรต เกิดอันใดขึ้นหรือขอรับ” ทหารนายหนึ่งเห็นเหลียนเฟินแบกร่างของหลินหลีเหว่ยมาด้วยจึงเข้ามาถาม
“ข้าคิดว่าเขาเป็นคนทำเรื่องทั้งหมด” เหลียนเฟินบอกตามความจริงพลางส่งหลักฐานที่เหลืออยู่ให้
จากนั้นศิษย์วังธาราเหมันต์จึงเดินไปทักทายศิษย์สำนักอื่น
“นายท่าน!” เสียงของชายคนหนึ่งที่ถูกจับตะโกนออกมาเมื่อเห็นร่างของหลินหลีเหว่ยในสภาพคนตาย
“เฮอะ เป็นพวกเจ้าจริง ๆ ด้วย ถึงขนาดนี้ยังปากแข็งอยู่ได้ ทหาร! จับพวกมันไปขังไว้ ข้าจะไต่สวนครั้งสุดท้ายวันพรุ่ง” อ๋องเมืองเฟิงสั่งเสียงกร้าว หลังจากที่สอบสวนอยู่นานแต่คนเหล่านี้ไม่ยอมรับเสียที
เขาเดินมาหาเหลียนเฟินและศิษย์สำนักคนอื่น ๆ พร้อมกล่าวขอบคุณที่ช่วยเหลือในครั้งนี้
“ท่านนักพรตทั้งหลาย ข้าและชาวบ้านเป็นหนี้บุญคุณพวกท่านจริง ๆ เชิญท่านพักผ่อนในเมืองของเราให้สุขสำราญเถิด”
“ไม่รบกวนท่านเจ้าเมือง ข้าและศิษย์น้องเต็มใจช่วยเหลือ” ศิษย์สำนักร้อยดารากล่าว
ขณะที่ด้านล่างกำลังพูดคุยกันเรื่องวันนี้ ด้านบนหลังคาก็มีรอยยิ้มของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้น
“นายท่าน ให้ข้าจัดการพวกที่เหลือในคุกหรือไม่ขอรับ” ซวงเอ่ยปากถาม
“ไม่ต้อง” หวังเยี่ยนหลงส่ายหน้า ในเมื่อถูกทางการจับได้แล้วไม่ช้าคงถูกประหารต่อหน้าชาวบ้าน ไม่มีเรื่องใดต้องกังวล “ส่วนเจ้า ตามรอยคนที่ให้ความช่วยเหลือพวกมันแล้วจัดการให้หมด” เขาหันไปบอกหลุน ลูกน้องคนสนิทอีกคน
“นายท่านให้ข้ารออยู่ที่นี่หรือขอรับ” ซวงถามอีกรอบเมื่อไม่ได้รับคำสั่งใด ๆ จากหวังเยี่ยนหลง
“เจ้าจับตาดูคนผู้นั้นไว้” หวังเยี่ยนหลงชี้คนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ด้านล่าง
“ขอรับ” ซวงรับปากแล้วตามไปดูเป้าหมายไม่ให้คลาดสายตา
เหลียนเฟินกับหลวนเล่อเดินตามพ่อบ้านพร้อมกับศิษย์สำนักคนอื่น
“พวกเจ้าเป็นศิษย์สำนักไหนหรือ” สาวน้อยนางหนึ่งจากสำนักร้อยดาราถามหลวนเล่อ
“วังธาราเหมันต์ ยินดีที่ได้รู้จัก” หลวนเล่อตอบนาง พลันคนถามรู้สึกตกใจ
“เจ้าเป็นสตรีหรอกหรือ” นางตาโตเอามือปิดปากตัวเองไว้ นึกไม่ถึงว่าคนติดหนวดจะเป็นหญิง
“เจ้าจะตกใจทำไมกัน เห็น ๆ อยู่ว่านางเป็นหญิง” ศิษย์สาวจากสำนักเขาศิลาหยกพูดขึ้นบ้าง
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” หลวนเล่อไม่เข้าใจ นางปลอมตัวออกจะแนบเนียนปานนี้
“ข้าไม่บอก”
“บอกมา” หลวนเล่อเซ้าซี้
ไม่ทันไรกลุ่มศิษย์สาวจากสามสำนักก็หายเข้าไปในเรือนรับรองด้วยกัน ซุบซิบเรื่องราวตามประหญิงสาว
“หลิ่งอิน แยกย้ายกันพักผ่อนเถิด ข้ามีเรื่องจะปรึกษาเขา” ศิษย์พี่ใหญ่บอกผู้เป็นศิษย์น้องสำนักเขาศิลาหยก ก่อนจะนั่งคุยกับศิษย์สำนักร้อยดาราเพราะไม่ได้เจอกันมานาน ทิ้งให้หลิ่งอินยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่กับเหลียนเฟินสองคน จึงแนะนำตัวให้อีกฝ่ายรู้จัก
“ข้าชื่อหลิ่งอิน เจ้าชื่ออะไร” เขาเอ่ยปากถาม สายตารอคำตอบคนตรงหน้า
“เหลียนเฟิน”
“อาเฟิน เรียกเจ้าเช่นนี้ได้หรือไม่” รอยยิ้มสดใสไม่ถือตัว
“ตามใจเถิด”
“เจ้าจับคนผู้นั้นมาได้อย่างไร” เขาถามด้วยความอยากรู้ หลังจากสืบหามาหลายวันไม่พบเบาะแสใด จับได้เพียงลูกน้องของหลินหลีเหว่ยเท่านั้น ครั้นจะถามเรื่องอื่น ก็ไม่มีใครปริปาก
“เรื่องยาวมากทีเดียว เจ้าอยากรู้จริงหรือ” เหลียนเฟินกำลังคิดว่าจะเล่าให้เขาฟังอย่างไร ไหนจะเรื่องของคนประหลาดนั่นอีกที่ยังหาคำตอบไม่ได้
“อื้ม” หลิ่งอินรีบพยักหน้ากลัวเหลียนเฟินเปลี่ยนใจเพราะดูจากท่าทางเขาแล้วไม่ค่อยคุ้นเคยกับใครง่าย ๆ ต่างจากศิษย์พี่ของเขาที่ป่านนี้หายลับไปกับสหายใหม่เรียบร้อย
ทั้งคู่จึงนั่งพูดคุยกันอยู่ริมระเบียง ความอบอุ่น ใจดีและเป็นมิตรของหลิ่งอินทำให้เหลียนเฟินรู้สึกว่าสบายใจราวกับรู้จักเขามาเนิ่นนานแล้ว
“...” สีหน้าของหลิ่งอินเปลี่ยนไปแวบหนึ่ง แต่เหลียนเฟินจับสังเกตได้
“เป็นอะไรไปหรือ” เขาถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“ไม่ต้องกังวลหรอก ข้าแค่มีโรคประจำตัวอยู่อย่างหนึ่ง มักจะมีอาการเป็นครั้งคราวทำให้ร่างกายข้าไม่แข็งแรงเท่าใดนัก” หลิ่งอินอธิบาย ตั้งแต่ที่จำความได้เขาจะมีอาการเช่นนี้มาตลอด อาจารย์บอกแต่เพียงว่าเป็นผลข้างเคียงจากการรักษาโรคหัวใจเมื่อตอนเด็ก
เหลียนเฟินยื่นมือมาแตะที่ข้อมือเขา พลางร่ายอาคมหนึ่งส่งผ่านพลังปราณให้หลิ่งอิน
“ดีขึ้นหรือไม่” เขาถามอีกฝ่าย
“อื้ม ขอบคุณ” หลิ่งอินยิ้มให้ จู่ ๆ อาการที่ว่าก็หายเป็นปลิดทิ้ง ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนใช้เวลาตั้งหลายวัน
“ข้าจะสอนวิชาบางอย่างให้เจ้า หากมีอาการจะได้ทุเลาความเจ็บลงได้บ้าง” เหลียนเฟินกระซิบบอกเขา
ความใกล้ชิดนั้นทำให้หลิ่งอินรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะแต่พยายามควบคุมความรู้สึกของตัวเองเอาไว้
หัวใจข้า เต้นแรงเกินไปแล้ว ใจเย็น ๆ หน่อยได้หรือไม่
เช้าวันต่อมา เมื่อคลี่คลายเรื่องราวทุกอย่างได้แล้ว เหล่าศิษย์จากสำนักต่าง ๆ จึงออกเดินทางกลับสำนักของตนเอง หลิ่งอินหันมายิ้มและบอกลาเหลียนเฟินด้วยท่าทีสดใส “อาเฟิน เจอกันใหม่ ขอบคุณที่ช่วยข้า” หลิ่งอินพูดจบแล้วก็รีบวิ่งตามศิษย์พี่ของเขากลับไป “อาเฟินหรือ อาเฟิน” หลวนเล่อสะกิดแขนของเหลียนเฟิน ยิ้มมีเลศนัย “ทำไมหรือ” เหลียนเฟินยังคงไม่รู้ตัวว่านางต้องการสื่อสิ่งใด “อาเฟิน เขาเรียกเจ้าเช่นนี้ หมายความว่าอันใด” หลวนเล่อหรี่ตามองท่าทางคนตรงหน้า “เขาเรียกชื่อข้า ไม่เห็นมีอันใดแปลกนี่ขอรับ” เหลียนเฟินทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “นี่ศิษย์น้องที่รัก หน้าเจ้าแดงแล้วนะ ไม่แปลกจริงหรือ อีกอย่างเขาเรียกข้าว่าอะไรนะ ศิษย์พี่หญิงหลวนเล่อแห่งวังธาราเหมันต์ ชื่อข้าจะไม่ยาวไปหน่อยหรือ” นางยังคงจ้องมองศิษย์น้องจับพิรุธ “ไม่รู้สิขอรับ” เหลียนเฟินไม่อยากตกเป็นเป้านิ่งเดินหนีนางไปทางท่าเรือด้วยท่าทีรีบร้อน “อาเฟิน เจ้าเขินอายหรือ อาเฟิน” หลวนเล่อตะโกนเสียงดังทำให้เหลียนเฟินรีบเดินจ้ำอ้าวกว่าเดิม หลิ่งอินผู้เป
เพียงแค่นึกภาพว่ามีผู้อื่นมาแตะต้องใบหน้านี้ เขาก็รู้สึกหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก เสียงพิณเริ่มบรรเลงขับกล่อมราตรีอีกครั้ง โจวอิ่งฉินยิ้มหวานมีเลศนัยเมื่อเห็นคนตรงหน้าโอบกอดรัดรึง เริ่มจู่โจมเขาแบบไม่ทันตั้งตัว “ใต้เท้า ท่านเบามือหน่อย” เสียงพึมพำดังข้างหูของหวังเยี่ยนหลงที่เวลานี้ห้ามใจของตัวเองไม่ไหว “อย่ายุ่งกับผู้ใด” เขาเอ่ยปากแล้วอุ้มร่างบางของโจวอิ่งฉินไปนอนบนเตียง เริ่มต้นค่ำคืนแสนยาวนานของทั้งสองคน เช้าวันต่อมา หวังเยี่ยนหลงซื้อตัวโจวอิ่งฉินจากหอเงาราตรีแล้วพากลับไปอยู่ที่สำนักตระกูลหวังนับตั้งแต่นั้นมา ชายหนุ่มเผลอคิดไปว่าเขาอาจจะพอมีใจให้บ้าง เวลานี้หวังเยี่ยนหลงมองเขาเป็นเพียงตัวแทน แต่หากนานวันไปเมื่อใด เขาจะทำให้หวังเยี่ยนหลงลืมคนผู้นั้นไปให้ได้ ทว่า ความคิดนั้นกลับตื้นเขินนัก จนถึงวันนี้ หวังเยี่ยนหลงไม่ได้มองเขาเปลี่ยนไปจากเดิม ทั้งยังทำร้ายเขายามที่ปราณมารปะทุ ครั้นจะหนีไปที่ใดก็ทำไม่ได้ มิหนำซ้ำยังรู้สึกผูกติดกับเขาและโหยหาความรักจากหวังเยี่ยนหลงจนยอมทนทุกอย่างไปเสียแล้ว ณ โรงเตี๊ยม หวังเยี่ยนห
หวังเยี่ยนหลงยามไร้โอสถละอองบุปผาโลหิตต้องทรมานจากปราณมารปะทุอย่างน้อยเดือนละครั้ง ทั้งยังเสี่ยงจะถูกคนล่วงรู้ความลับนี้แล้วฉวยโอกาสลอบสังหารเขา นับว่าเขายังคงพอมีโชคอยู่บ้างเรื่องความจงรักภักดีของลูกน้องคนสนิทอย่างซวงและหลุน อย่างน้อยคงเพราะมีสายเลือดเดียวกันกระมังและเขาช่วยให้สองคนนี้หลุดพ้นจากการกดขี่ของผู้อื่น หวังเยี่ยนหลงเพิ่งจะปลดปล่อยปราณมารเมื่อสองคืนก่อน ปิดบังตัวตนของตนเองเดินทอดน่องอย่างไร้จุดหมายจนมาหยุดยืนด้านหน้าป้ายหลุมศพของคนผู้หนึ่ง เดิมทีมีป้ายอีกชื่อวางไว้เคียงข้างกัน แต่ถูกเขาทำลายแตกกระจายไม่มีชิ้นดี “เฮอะ” ทันทีที่อ่านป้ายนั้น เขาก็หัวเราะตัวเองที่ทำเรื่องงี่เง่า ชอบหลงมายังที่แห่งนี้ทุกครา หวังเยี่ยนหลงนอนลงข้าง ๆ หลับตาฟังเสียงสายลมจนเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว เสียงนกบินกลับรังทำให้เขารู้สึกได้ว่าฟ้ากำลังจะมืด หวังเยี่ยนหลงเดินกลับสำนักของตนเองตามเคย หากแต่วันนี้ได้พบใครบางคนที่เหมือนคนผู้นั้นจนทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป เขาเอื้อมมือคว้าตัวชายหนุ่มผู้นั้นเอาไว้ สายตายังคงมองไม่วางตา ปลายนิ้วไล้ใบห
สิบปีต่อมา หวังเยี่ยนหลงอายุยี่สิบแปด พลังปราณและวิชาแกร่งกล้าพัฒนาไปมาก หากแต่ความเป็นคนของเขาราวกับหยุดอยู่ที่เดิม ความรู้สึกบางอย่างถูกเก็บซ่อนไว้ในใจ เวลานี้มีเพียงความเย็นชาไม่รู้ร้อนรู้หนาวต่อผู้ใด เขากลายเป็นประมุขสำนักตระกูลหวังและเป็นผู้กุมอำนาจตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังพรรคทลายฟ้าและพรรคบุปผาทมิฬ การกระทำของเขาส่งผลให้พรรคมารเรืองอำนาจ แม้จะหาเรื่องทะเลาะเบาะแว้งขัดขากันอยู่เรื่อย ๆ พอถึงคราวที่ต้องต่อกรกับสำนักเซียนก็พักรบชั่วคราวอย่างรู้ใจกัน หวังเยี่ยนหลงไม่เพียงมีเรื่องกับพรรคมารเท่านั้น ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเพราะเขายังทำให้ชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องโดนหางเลขไปด้วย สำนักเซียนต่าง ๆ จึงเริ่มเข้ามาจัดการทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง “นายท่าน พวกมันฝ่าเข้ามาด้านในสำนักแล้วขอรับ” ซวงรายงานด้วยสีหน้าไร้กังวล “แค่คนสำนักเซียนพวกเจ้าจัดการกันเองไม่ได้หรือ?” หวังเยี่ยนหลงเลิกคิ้วเอ่ยปากถาม “ศิษย์ผู้หนึ่งต้องการพบนายท่านขอรับ หลุนกำลังกันนางไว้ข้างนอก” ซวงอธิบายอย่างละเอียด ส่วนใหญ่คนที่บุกเข้ามามักจะต้องการพบหวังเยี่ยน
ย้อนกลับไปเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น หวังเยี่ยนหลงก็คลุ้มคลั่งเพราะควบคุมปราณมารไม่ได้ เขาถูกมันควบคุมความคิดจิตใจพยายามยึดร่างของเขา ยามที่สงบสติลงหวังเยี่ยนหลงก็เอาแต่นิ่งเงียบสับสน ครั้นปราณมารปะทุ อารมณ์รุนแรงอ่อนไหวยิ่งทวีมากขึ้น เขาเผลอร่ายอาคมโลหิตมารโดยไม่รู้ตัว จนทำให้คนที่มีโลหิตมารในร่างพลอยได้รับลูกหลงไปด้วย ในเวลานั้น หลิงซีแทบไม่มีทางเลือกอื่นใดแต่พอจะได้ยินเรื่องของละอองบุปผาโลหิตมาบ้างจึงส่งซวงและหลุนเข้าไปสืบหาข้อมูลเพิ่มเติม ระหว่างรอข่าวดี นางพยายามช่วยให้หวังเยี่ยนหลงควบคุมตนเองให้ได้ หากเขาไม่ถูกปราณมารโจมตี นางและพวกพ้องที่เหลือก็จะปลอดภัยไปด้วย บางครั้งหลิงซีคิดฉวยโอกาสสังหารหวังเยี่ยนหลงในเวลาที่อ่อนกำลังลง ทว่าไม่เป็นผลเลยสักครั้ง ไม่ว่าหวังเยี่ยนหลงจะมีสติหรือไม่ ปราณมารมักไม่ปล่อยให้ใครแตะต้องเขาได้ง่าย ๆ ร่างนี้เป็นของมัน ผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์ ละอองบุปผาโลหิตเป็นของวิเศษของพรรคบุปผาทมิฬ สวงนไว้ให้ประมุขพรรคและครอบครัวเท่านั้น หลิงซีรายงานเรื่องที่ได้รับจากซวงและหลุนให้หวังเยี่ยนหลงได้รู้
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป หลินหลีเหว่ยนับเวลาถอยหลังจะได้ร่ายอาคมถลกหนังนักพรตผู้นี้ “อ๊าก!” เหลียนเฟินร้องเสียงดังจนทำให้คนที่อยู่ตรงนั้นสะดุ้งด้วยความแปลกใจ เหตุใดคนที่ควรจะนอนหลับใหลถึงฟื้นสติได้เร็วปานนี้ “เจ้า...” เขาไม่รู้จะเอ่ยคำใด “คันจริง ๆ เจ้าเอาอะไรให้ข้ากิน” เหลียนเฟินจ้องหน้าชายขอทานพลางใช้มือลูบใบหน้าและร่างกายของตนเอง รอยแดงเป็นวงกลมปรากฏขึ้นบนผิวขาวของเขา “โอสถละลายร่าง” เขาเผลอตอบเพราะยังตกใจไม่หาย ใครก็ตามที่กินยานี้เข้าไปมักจะหนีไม่รอดสักราย ฤทธิ์ของมันจะค่อย ๆ กัดกร่อนหนังหุ้มร่างกาย ทำให้คนผู้นั้นทรมานปวดแสบปวดร้อนจนทนไม่ได้ วันนี้เข้าเพิ่มกำยานเข้าไปด้วยเพราะไม่อยากสู้กับเหลียนเฟิน ชะรอยไม่คิดว่าจะผิดแผนจนได้ “เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย” เหลียนเฟินร่ายกระบี่จ่อคอเขาในทันที “ท่านนักพรต ทำไมถึงจ่อกระบี่มาทางข้าเล่า” มารยาร้อยเล่มเกวียนยังคงถูกนำมาใช้ต่อเนื่อง “เจ้าเป็นคนทำร้ายชาวบ้าน ข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้” เหลียนเฟินกล่าวต่อ “ไม่มีใครรู้ว่าคนผู้นั้นทำอะไรกับร่างของชาวบ้าน แต่เจ้ากลับรู้ว่าจะมีคนเอาหนั