เช้าวันต่อมา
เมื่อคลี่คลายเรื่องราวทุกอย่างได้แล้ว เหล่าศิษย์จากสำนักต่าง ๆ จึงออกเดินทางกลับสำนักของตนเอง หลิ่งอินหันมายิ้มและบอกลาเหลียนเฟินด้วยท่าทีสดใส
“อาเฟิน เจอกันใหม่ ขอบคุณที่ช่วยข้า” หลิ่งอินพูดจบแล้วก็รีบวิ่งตามศิษย์พี่ของเขากลับไป
“อาเฟินหรือ อาเฟิน” หลวนเล่อสะกิดแขนของเหลียนเฟิน ยิ้มมีเลศนัย
“ทำไมหรือ” เหลียนเฟินยังคงไม่รู้ตัวว่านางต้องการสื่อสิ่งใด
“อาเฟิน เขาเรียกเจ้าเช่นนี้ หมายความว่าอันใด” หลวนเล่อหรี่ตามองท่าทางคนตรงหน้า
“เขาเรียกชื่อข้า ไม่เห็นมีอันใดแปลกนี่ขอรับ” เหลียนเฟินทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“นี่ศิษย์น้องที่รัก หน้าเจ้าแดงแล้วนะ ไม่แปลกจริงหรือ อีกอย่างเขาเรียกข้าว่าอะไรนะ ศิษย์พี่หญิงหลวนเล่อแห่งวังธาราเหมันต์ ชื่อข้าจะไม่ยาวไปหน่อยหรือ” นางยังคงจ้องมองศิษย์น้องจับพิรุธ
“ไม่รู้สิขอรับ” เหลียนเฟินไม่อยากตกเป็นเป้านิ่งเดินหนีนางไปทางท่าเรือด้วยท่าทีรีบร้อน
“อาเฟิน เจ้าเขินอายหรือ อาเฟิน” หลวนเล่อตะโกนเสียงดังทำให้เหลียนเฟินรีบเดินจ้ำอ้าวกว่าเดิม
หลิ่งอินผู้เป็นศิษย์สำนักเขาศิลาหยกอายุยี่สิบปีผู้นี้ มีรูปร่างสูงกว่าเหลียนเฟินอยู่หนึ่งคืบ ร่างกายภายนอกดูแข็งแรงเหมือนคนปกติทั่วไป แต่ภายในกลับอ่อนแอ
เขาสอบผ่านเข้าสำนักเมื่ออายุห้าขวบ เริ่มฝึกวิชาและร่ำเรียนการต่อสู้เหมือนศิษย์สำนักคนอื่น ๆ ทั่วไป
จู่ ๆ วันหนึ่งถูกไอของปราณมารหลั่งไหลเข้ามาจนทำร้ายร่างกายและอวัยวะภายในของเขาบอบช้ำ บิดามารดาของเขาเศร้าเสียใจอย่างหนักเพราะเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว ไม่อาจสูญเสียเขาไปได้
อาจารย์สำนักเขาศิลาหยกเคยบอกบิดามารดาของเขาแล้วว่าการยืดอายุของเด็กน้อยผู้นี้มีแต่จะทำร้ายเขาเปล่า ๆ ทางที่ดีควรจะตัดใจแล้วให้เขาจากไปอย่างสงบเสียดีกว่า
ทว่าเสียงร่ำไห้คร่ำครวญขอให้เอาชีวิตของตนไปแทนทำให้อาจารย์ต้องลองหาวิธีอื่นมาช่วยเหลือ
“ท่านนักพรต โปรดช่วยลูกชายข้าด้วย ท่านอยากได้สิ่งใดข้าจะหามาให้ท่าน” บิดาของเขาอ้อนวอนคุกเข่าหน้าสำนักเขาศิลาหยกอยู่ทุกเช้าค่ำ
“ร่างกายของเขาอ่อนแอนัก เวลานี้ข้าช่วยเขาได้ แต่วันดีคืนดีเขาอาจจะจากพวกเจ้าไปอีกครั้ง” อาจารย์สำนักเขาศิลาหยกกล่าวกับทั้งสอง
“ต่อให้ช่วยไปแล้วลูกชายข้ามีลมหายใจอีกเพียงแค่หนึ่งวันก็ตาม ข้าไม่สน ท่านนักพรตได้โปรดช่วยเขาด้วยเถิด อายุยังน้อยแท้ ๆ ข้าเพียงแค่อยากเห็นเขาเติบโตอย่างมีความสุขก็เพียงเท่านั้น” มารดาของเขาเอ่ยปากร้องไห้ฟูมฟาย
“เอาเถอะ ๆ ข้าจะหาวิธี” อาจารย์รับปากจะช่วย คืนนั้นเขานั่งคิดอยู่ทั้งคืนว่าจะช่วยลูกศิษย์ตัวน้อยอย่างไร
ทันใดนั้น เขาสัมผัสได้ถึงเสียงเต้นของหัวใจอยู่ใต้ฐานศิลาหยกของสำนัก
“แปลกนัก ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน” เขาพึมพำกับตัวเองแล้วร่ายอาคมตรวจตราสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่
พลันวิญญาณของคนทั้งสองปรากฏขึ้น
“อาจารย์ขอรับ” เสียงเด็กน้อยผู้เป็นเจ้าของร่างเอ่ยปากเรียก
“เสี่ยวหลิ่งอิน” อาจารย์เรียกเขาน้ำเสียงเอ็นดู
“อาจารย์มาดูนี่เถิดขอรับ” หลิ่งอินเดินมาจูงมือเขาพาไปยังวิญญาณของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่กำลังหลับใหล
“เจ้าพาอาจารย์มาที่นี่ทำไมหรือ”
“ปลุกเขาเถิด”
“แต่ว่าวิญญาณของเจ้าจะหายไปนะเสี่ยวหลิ่งอิน” อาจารย์สำนักเขาศิลาหยกห้ามปราม เขารู้ว่าวิญญาณของคนที่หลับใหลนั้นมีความปรารถนาแรงกล้าซ่อนอยู่ แม้ตัวจะตายจากไปแล้วแต่ยังหลงเหลือสิ่งเหล่านี้เอาไว้ราวติดค้างคำสัญญาในภพนี้
เด็กน้อยยิ้มให้อาจารย์ของเขา “อาจารย์ ตัวข้าน้อยใกล้จะดับสูญอยู่แล้วขอรับ วาสนาคงมีอยู่เท่านี้ หากเป็นพี่ชายผู้นี้ อย่างน้อยก็ยังจะพอทำให้ท่านพ่อท่านแม่ของข้าน้อยไม่โศกเศร้านักไม่ใช่หรือขอรับ”
“...” อาจารย์ของเขาไม่ตอบ เอามือลูบหัวศิษย์ตัวน้อย ความคิดความอ่านของเขามากมายเกินเด็กผู้หนึ่งจริง ๆ
“ฝากดูแลท่านพ่อท่านแม่ข้าน้อยได้หรือไม่ขอรับ” หลิ่งอินยิ้มให้พลางทำหน้าตาอ้อนอาจารย์ของเขาเป็นครั้งสุดท้าย
“อื้ม ข้ารับปาก”
“หากชาติหน้ามีจริง เจอกันใหม่นะขอรับ” เสียงและภาพของเขาค่อย ๆ เลือนหายไป สีหน้ายิ้มแย้มสดใสเช่นนั้นคงจะไม่ได้เห็นอีกต่อไปแล้ว
อาจารย์สำนักเขาศิลาหยกร่ายอาคมปลุกชายหนุ่มให้ตื่นขึ้น ก่อนจะใช้วิชาและสมุนไพรรักษาร่างกายของหลิ่งอินอย่างสุดความสามารถ
เขาเคยลองทำเช่นนี้มาแล้ว แต่ทว่าร่างกายของเขาไม่ตอบสนอง ครั้งนี้จึงนำหัวใจของคนผู้นี้มาสับเปลี่ยน ยามที่วิญญาณของเขาลงมาประทับอยู่ในร่างของหลิ่งอิน ร่างกายเหมือนค่อย ๆ ฟื้นฟูตนเอง
“หลิ่งอิน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เขาถามคนที่กำลังนอนทำหน้ายู่ยี่เพราะเจ็บปวด “นอนพักก่อนเถิด พรุ่งนี้ข้าจะต้มยามาให้เจ้าดื่ม”
รุ่งเช้า
หลิ่งอินน้อยลืมตา มองรอบตัวเห็นสถานที่แปลกไป ครั้นได้ยินเสียงเปิดประตูจึงหันไปมอง
“หลิ่งอิน เจ้าฟื้นแล้วหรือ” อาจารย์คนเดิมถามด้วยความแปลกใจ ก่อนรีบเข้าไปจับเส้นชีพจรและโคจรพลังปราณ
“ท่านเป็นผู้ใด” เขาถามพลางขยี้ตา สีหน้างุนงง
“จำไม่ได้หรือ อาจารย์ของเจ้าอย่างไรเล่า” เขาเอ่ยปากแล้วยกถ้วยยามาให้หลิ่งอิน “ดื่มเถิด เจ้าไม่สบาย”
“ขอรับ” หลิ่งอินรับถ้วยยามาอย่างว่าง่าย ผิวที่เคยซีดเผือดกลับมามีชีวิตชีวาบ้างแล้ว อาจารย์อย่างเขาจึงพอโล่งใจได้บ้างว่าอย่างน้อยก็ทำสิ่งที่หลิ่งอินน้อยฝากฝังไว้สำเร็จ
หลักจากถามไถ่เรื่องราวเผื่อว่าหลิ่งอินคนใหม่นี้จะจำสิ่งใดเกี่ยวกับตนเองได้บ้าง กลับไม่พบคำตอบใด เจ้าตัวจำอะไรไม่ได้แม้แต่เรื่องเดียว ส่วนร่างกายที่เคยบาดเจ็บ เวลานี้ค่อย ๆ ฟื้นฟูขึ้นมาบ้างแล้ว หากแต่จะให้ฝึกวิชาหรือโคจรพลังปราณเหมือนศิษย์คนอื่น ๆ คงจะยากเอาการ
ทันทีที่ได้ข่าวบุตรชาย บิดามารดาของเขาก็รีบมาเยี่ยมที่สำนักด้วยความตื่นเต้น
“เสี่ยวหลิ่งอิน ลูกแม่” นางตะโกนเรียกเขา สีหน้ายินดี
“...” หลิ่งอินที่จำความไม่ได้นิ่งเฉย แต่บิดาและมารดาก็เข้าใจได้
“เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก เพียงแค่เจ้าฟื้นขึ้นมา ข้ากับแม่ของเจ้าก็ดีใจมากแล้ว เสี่ยวหลิ่งอิน” ทั้งสองคนสวมกอดบุตรของตนเองด้วยความคิดถึง หันมาขอบคุณอาจารย์ยกใหญ่ที่ช่วยเหลือ
นับตั้งแต่นั้นมา
หลิ่งอินผู้นี้ก็ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ เขาเติบโตมาท่ามกลางความรักของอาจารย์และเพื่อนร่วมสำนัก คอยดูแลบิดามารดาอย่างดีจนทั้งสองจากไปเพราะโรคชรา
“หลิ่งอิน เจ้าเบา ๆ หน่อย ฝืนร่างกายเกินไปจะแย่เอา” อาจารย์พยายามห้ามเขา
“อาจารย์ ศิษย์ทนได้ขอรับ” รอยยิ้มกว้างของเขาทำให้อาจารย์ถอนหายใจ
ครั้งนั้นเขายังคิดอยู่เลยว่าทำเช่นนี้จะดีหรือ แต่ในวันที่บิดามารดาของหลิ่งอินจากไป เขาเห็นคนทั้งสองพร้อมเสี่ยวหลิ่งอินในความฝันราวกับมาเพื่อบอกลาครั้งสุดท้าย
“อาจารย์ คิดถึงท่านเหลือเกิน” เสี่ยวหลิงอินเดินมาหาเขา“ข้าไปจริง ๆ แล้วนะขอรับ”
“ท่านนักพรต ขอบคุณมากขอรับสำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมา หลิ่งอินผู้นั้น หวังว่าเขาจะพบสิ่งที่รอคอยนะขอรับ”
ทันทีที่พวกเขาพูดจบ ร่างของทั้งสามก็หายไปในม่านหมอก เสียงหัวเราะยินดียามได้หวนมาพบกันใหม่ของพ่อแม่ลูกทั้งสามคนยังคงก้องอยู่ในความคิดของเขา “ดีแล้ว ดีแล้ว ลาก่อนเสี่ยวหลิ่งอิน”
เช้าวันต่อมา เมื่อคลี่คลายเรื่องราวทุกอย่างได้แล้ว เหล่าศิษย์จากสำนักต่าง ๆ จึงออกเดินทางกลับสำนักของตนเอง หลิ่งอินหันมายิ้มและบอกลาเหลียนเฟินด้วยท่าทีสดใส “อาเฟิน เจอกันใหม่ ขอบคุณที่ช่วยข้า” หลิ่งอินพูดจบแล้วก็รีบวิ่งตามศิษย์พี่ของเขากลับไป “อาเฟินหรือ อาเฟิน” หลวนเล่อสะกิดแขนของเหลียนเฟิน ยิ้มมีเลศนัย “ทำไมหรือ” เหลียนเฟินยังคงไม่รู้ตัวว่านางต้องการสื่อสิ่งใด “อาเฟิน เขาเรียกเจ้าเช่นนี้ หมายความว่าอันใด” หลวนเล่อหรี่ตามองท่าทางคนตรงหน้า “เขาเรียกชื่อข้า ไม่เห็นมีอันใดแปลกนี่ขอรับ” เหลียนเฟินทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “นี่ศิษย์น้องที่รัก หน้าเจ้าแดงแล้วนะ ไม่แปลกจริงหรือ อีกอย่างเขาเรียกข้าว่าอะไรนะ ศิษย์พี่หญิงหลวนเล่อแห่งวังธาราเหมันต์ ชื่อข้าจะไม่ยาวไปหน่อยหรือ” นางยังคงจ้องมองศิษย์น้องจับพิรุธ “ไม่รู้สิขอรับ” เหลียนเฟินไม่อยากตกเป็นเป้านิ่งเดินหนีนางไปทางท่าเรือด้วยท่าทีรีบร้อน “อาเฟิน เจ้าเขินอายหรือ อาเฟิน” หลวนเล่อตะโกนเสียงดังทำให้เหลียนเฟินรีบเดินจ้ำอ้าวกว่าเดิม หลิ่งอินผู้เป
เพียงแค่นึกภาพว่ามีผู้อื่นมาแตะต้องใบหน้านี้ เขาก็รู้สึกหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก เสียงพิณเริ่มบรรเลงขับกล่อมราตรีอีกครั้ง โจวอิ่งฉินยิ้มหวานมีเลศนัยเมื่อเห็นคนตรงหน้าโอบกอดรัดรึง เริ่มจู่โจมเขาแบบไม่ทันตั้งตัว “ใต้เท้า ท่านเบามือหน่อย” เสียงพึมพำดังข้างหูของหวังเยี่ยนหลงที่เวลานี้ห้ามใจของตัวเองไม่ไหว “อย่ายุ่งกับผู้ใด” เขาเอ่ยปากแล้วอุ้มร่างบางของโจวอิ่งฉินไปนอนบนเตียง เริ่มต้นค่ำคืนแสนยาวนานของทั้งสองคน เช้าวันต่อมา หวังเยี่ยนหลงซื้อตัวโจวอิ่งฉินจากหอเงาราตรีแล้วพากลับไปอยู่ที่สำนักตระกูลหวังนับตั้งแต่นั้นมา ชายหนุ่มเผลอคิดไปว่าเขาอาจจะพอมีใจให้บ้าง เวลานี้หวังเยี่ยนหลงมองเขาเป็นเพียงตัวแทน แต่หากนานวันไปเมื่อใด เขาจะทำให้หวังเยี่ยนหลงลืมคนผู้นั้นไปให้ได้ ทว่า ความคิดนั้นกลับตื้นเขินนัก จนถึงวันนี้ หวังเยี่ยนหลงไม่ได้มองเขาเปลี่ยนไปจากเดิม ทั้งยังทำร้ายเขายามที่ปราณมารปะทุ ครั้นจะหนีไปที่ใดก็ทำไม่ได้ มิหนำซ้ำยังรู้สึกผูกติดกับเขาและโหยหาความรักจากหวังเยี่ยนหลงจนยอมทนทุกอย่างไปเสียแล้ว ณ โรงเตี๊ยม หวังเยี่ยนห
หวังเยี่ยนหลงยามไร้โอสถละอองบุปผาโลหิตต้องทรมานจากปราณมารปะทุอย่างน้อยเดือนละครั้ง ทั้งยังเสี่ยงจะถูกคนล่วงรู้ความลับนี้แล้วฉวยโอกาสลอบสังหารเขา นับว่าเขายังคงพอมีโชคอยู่บ้างเรื่องความจงรักภักดีของลูกน้องคนสนิทอย่างซวงและหลุน อย่างน้อยคงเพราะมีสายเลือดเดียวกันกระมังและเขาช่วยให้สองคนนี้หลุดพ้นจากการกดขี่ของผู้อื่น หวังเยี่ยนหลงเพิ่งจะปลดปล่อยปราณมารเมื่อสองคืนก่อน ปิดบังตัวตนของตนเองเดินทอดน่องอย่างไร้จุดหมายจนมาหยุดยืนด้านหน้าป้ายหลุมศพของคนผู้หนึ่ง เดิมทีมีป้ายอีกชื่อวางไว้เคียงข้างกัน แต่ถูกเขาทำลายแตกกระจายไม่มีชิ้นดี “เฮอะ” ทันทีที่อ่านป้ายนั้น เขาก็หัวเราะตัวเองที่ทำเรื่องงี่เง่า ชอบหลงมายังที่แห่งนี้ทุกครา หวังเยี่ยนหลงนอนลงข้าง ๆ หลับตาฟังเสียงสายลมจนเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว เสียงนกบินกลับรังทำให้เขารู้สึกได้ว่าฟ้ากำลังจะมืด หวังเยี่ยนหลงเดินกลับสำนักของตนเองตามเคย หากแต่วันนี้ได้พบใครบางคนที่เหมือนคนผู้นั้นจนทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป เขาเอื้อมมือคว้าตัวชายหนุ่มผู้นั้นเอาไว้ สายตายังคงมองไม่วางตา ปลายนิ้วไล้ใบห
สิบปีต่อมา หวังเยี่ยนหลงอายุยี่สิบแปด พลังปราณและวิชาแกร่งกล้าพัฒนาไปมาก หากแต่ความเป็นคนของเขาราวกับหยุดอยู่ที่เดิม ความรู้สึกบางอย่างถูกเก็บซ่อนไว้ในใจ เวลานี้มีเพียงความเย็นชาไม่รู้ร้อนรู้หนาวต่อผู้ใด เขากลายเป็นประมุขสำนักตระกูลหวังและเป็นผู้กุมอำนาจตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังพรรคทลายฟ้าและพรรคบุปผาทมิฬ การกระทำของเขาส่งผลให้พรรคมารเรืองอำนาจ แม้จะหาเรื่องทะเลาะเบาะแว้งขัดขากันอยู่เรื่อย ๆ พอถึงคราวที่ต้องต่อกรกับสำนักเซียนก็พักรบชั่วคราวอย่างรู้ใจกัน หวังเยี่ยนหลงไม่เพียงมีเรื่องกับพรรคมารเท่านั้น ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเพราะเขายังทำให้ชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องโดนหางเลขไปด้วย สำนักเซียนต่าง ๆ จึงเริ่มเข้ามาจัดการทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง “นายท่าน พวกมันฝ่าเข้ามาด้านในสำนักแล้วขอรับ” ซวงรายงานด้วยสีหน้าไร้กังวล “แค่คนสำนักเซียนพวกเจ้าจัดการกันเองไม่ได้หรือ?” หวังเยี่ยนหลงเลิกคิ้วเอ่ยปากถาม “ศิษย์ผู้หนึ่งต้องการพบนายท่านขอรับ หลุนกำลังกันนางไว้ข้างนอก” ซวงอธิบายอย่างละเอียด ส่วนใหญ่คนที่บุกเข้ามามักจะต้องการพบหวังเยี่ยน
ย้อนกลับไปเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น หวังเยี่ยนหลงก็คลุ้มคลั่งเพราะควบคุมปราณมารไม่ได้ เขาถูกมันควบคุมความคิดจิตใจพยายามยึดร่างของเขา ยามที่สงบสติลงหวังเยี่ยนหลงก็เอาแต่นิ่งเงียบสับสน ครั้นปราณมารปะทุ อารมณ์รุนแรงอ่อนไหวยิ่งทวีมากขึ้น เขาเผลอร่ายอาคมโลหิตมารโดยไม่รู้ตัว จนทำให้คนที่มีโลหิตมารในร่างพลอยได้รับลูกหลงไปด้วย ในเวลานั้น หลิงซีแทบไม่มีทางเลือกอื่นใดแต่พอจะได้ยินเรื่องของละอองบุปผาโลหิตมาบ้างจึงส่งซวงและหลุนเข้าไปสืบหาข้อมูลเพิ่มเติม ระหว่างรอข่าวดี นางพยายามช่วยให้หวังเยี่ยนหลงควบคุมตนเองให้ได้ หากเขาไม่ถูกปราณมารโจมตี นางและพวกพ้องที่เหลือก็จะปลอดภัยไปด้วย บางครั้งหลิงซีคิดฉวยโอกาสสังหารหวังเยี่ยนหลงในเวลาที่อ่อนกำลังลง ทว่าไม่เป็นผลเลยสักครั้ง ไม่ว่าหวังเยี่ยนหลงจะมีสติหรือไม่ ปราณมารมักไม่ปล่อยให้ใครแตะต้องเขาได้ง่าย ๆ ร่างนี้เป็นของมัน ผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์ ละอองบุปผาโลหิตเป็นของวิเศษของพรรคบุปผาทมิฬ สวงนไว้ให้ประมุขพรรคและครอบครัวเท่านั้น หลิงซีรายงานเรื่องที่ได้รับจากซวงและหลุนให้หวังเยี่ยนหลงได้รู้
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป หลินหลีเหว่ยนับเวลาถอยหลังจะได้ร่ายอาคมถลกหนังนักพรตผู้นี้ “อ๊าก!” เหลียนเฟินร้องเสียงดังจนทำให้คนที่อยู่ตรงนั้นสะดุ้งด้วยความแปลกใจ เหตุใดคนที่ควรจะนอนหลับใหลถึงฟื้นสติได้เร็วปานนี้ “เจ้า...” เขาไม่รู้จะเอ่ยคำใด “คันจริง ๆ เจ้าเอาอะไรให้ข้ากิน” เหลียนเฟินจ้องหน้าชายขอทานพลางใช้มือลูบใบหน้าและร่างกายของตนเอง รอยแดงเป็นวงกลมปรากฏขึ้นบนผิวขาวของเขา “โอสถละลายร่าง” เขาเผลอตอบเพราะยังตกใจไม่หาย ใครก็ตามที่กินยานี้เข้าไปมักจะหนีไม่รอดสักราย ฤทธิ์ของมันจะค่อย ๆ กัดกร่อนหนังหุ้มร่างกาย ทำให้คนผู้นั้นทรมานปวดแสบปวดร้อนจนทนไม่ได้ วันนี้เข้าเพิ่มกำยานเข้าไปด้วยเพราะไม่อยากสู้กับเหลียนเฟิน ชะรอยไม่คิดว่าจะผิดแผนจนได้ “เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย” เหลียนเฟินร่ายกระบี่จ่อคอเขาในทันที “ท่านนักพรต ทำไมถึงจ่อกระบี่มาทางข้าเล่า” มารยาร้อยเล่มเกวียนยังคงถูกนำมาใช้ต่อเนื่อง “เจ้าเป็นคนทำร้ายชาวบ้าน ข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้” เหลียนเฟินกล่าวต่อ “ไม่มีใครรู้ว่าคนผู้นั้นทำอะไรกับร่างของชาวบ้าน แต่เจ้ากลับรู้ว่าจะมีคนเอาหนั