หวังเยี่ยนหลงยามไร้โอสถละอองบุปผาโลหิตต้องทรมานจากปราณมารปะทุอย่างน้อยเดือนละครั้ง ทั้งยังเสี่ยงจะถูกคนล่วงรู้ความลับนี้แล้วฉวยโอกาสลอบสังหารเขา
นับว่าเขายังคงพอมีโชคอยู่บ้างเรื่องความจงรักภักดีของลูกน้องคนสนิทอย่างซวงและหลุน อย่างน้อยคงเพราะมีสายเลือดเดียวกันกระมังและเขาช่วยให้สองคนนี้หลุดพ้นจากการกดขี่ของผู้อื่น
หวังเยี่ยนหลงเพิ่งจะปลดปล่อยปราณมารเมื่อสองคืนก่อน ปิดบังตัวตนของตนเองเดินทอดน่องอย่างไร้จุดหมายจนมาหยุดยืนด้านหน้าป้ายหลุมศพของคนผู้หนึ่ง เดิมทีมีป้ายอีกชื่อวางไว้เคียงข้างกัน แต่ถูกเขาทำลายแตกกระจายไม่มีชิ้นดี
“เฮอะ” ทันทีที่อ่านป้ายนั้น เขาก็หัวเราะตัวเองที่ทำเรื่องงี่เง่า ชอบหลงมายังที่แห่งนี้ทุกครา
หวังเยี่ยนหลงนอนลงข้าง ๆ หลับตาฟังเสียงสายลมจนเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
เสียงนกบินกลับรังทำให้เขารู้สึกได้ว่าฟ้ากำลังจะมืด หวังเยี่ยนหลงเดินกลับสำนักของตนเองตามเคย หากแต่วันนี้ได้พบใครบางคนที่เหมือนคนผู้นั้นจนทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป
เขาเอื้อมมือคว้าตัวชายหนุ่มผู้นั้นเอาไว้ สายตายังคงมองไม่วางตา ปลายนิ้วไล้ใบหน้าคนตรงหน้าราวโหยหา
“ท่านเป็นผู้ใดกัน” ชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีเอ่ยปากถาม
“...” หวังเยี่ยนหลงไม่ตอบ
ชายหนุ่มผู้นี้สบแววตาของเขาแล้วยิ้มให้
“ใต้เท้า ปล่อยข้าเถิด” เขาพยายามสะบัดมือ ทำทีเดินจากไป
หวังเยี่ยนหลงกลับดึงเขาเข้ามาใกล้ มองดวงหน้าให้ชัดเจน พินิจพิเคราะห์ แล้วพาตัวของชายผู้นั้นกลับมาที่เรือนใบไผ่ของตน
“ใต้เท้า ท่านจะทำสิ่งใดกับข้า” ชายผู้นี้ควรจะต้องรู้สึกตกใจหรือหวั่นใจบ้างแล้วที่ถูกคนแปลกหน้าพามายังที่ไม่คุ้นเคย ทว่า เขากำลังปิดซ่อนความรู้สึกปลื้มใจไว้อยู่
“เจ้า... เหตุใดดูคล้ายกันเพียงนี้” หวังเยี่ยนหลงยังคงพึมพำ เจ้าตัวดูหักห้ามใจเอาไว้ไม่ได้ “เป็นเจ้าจริงหรือ”
“ใต้เท้า ข้าเกรงว่าท่านจะจำคนผิดแล้ว ปล่อยข้าเถิด”
โจวอิ่งฉิน มั่นใจว่าเขาไม่เคยพบคนตรงหน้ามาก่อน รูปร่างหน้าตาดึงดูดใจเพียงนี้ เห็นเพียงครั้งเดียวย่อมต้องจำได้ขึ้นใจ
“เฮอะ นั่นสินะ ข้าคงจำผิดไปจริง ๆ” หวังเยี่ยนหลงรู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้นผ่านมาแค่สิบปี ไม่มีทางเป็นชายหนุ่มผู้นี้ไปได้
“ใต้เท้า หากท่านไม่ถือสา ข้ายินดีช่วยท่าน” โจวอิ่งฉินโอบรอบคอของหวังเยี่ยนหลง สีหน้ายิ้มแย้ม น้ำเสียงที่เขาพูดนุ่มนวลราวกับจะสะกดหวังเยี่ยนหลงเอาไว้
รอยยิ้มนั้นที่เขาไม่ได้เห็นมาเนิ่นนาน ไม่ใช่สิ เขาไม่เคยเห็นมันด้วยซ้ำจึงทำให้ใจหวังเยี่ยนหลงเต้นตึกตัก
บัดซบ! เขาสบถด่าตัวเอง
“ไปซะ!” เขาตวาดโจวอิ่งฉิน เบือนหน้าหนีไม่สนใจ
“ใต้เท้า ข้ารู้ว่าท่านต้องการสิ่งใด ข้า... ช่วยท่านได้” เขายังคงพูดโน้มน้าวให้คล้อยตามสิ่งที่ตัวเขาเองปรารถนา
โจวอิ่งฉินเป็นคนในหอเงาราตรี วิชาเพลงขับกล่อมยามค่ำคืนจะทำให้คนผู้นั้นมองเห็นตัวเขาเป็นใครก็ตามที่หวนนึกถึง เขาใช้วิชานี้กับผู้คนมากมายที่หลั่งไหลมาหอเงาราตรีหาความสำราญ แต่เขาก็เป็นได้เพียงตัวแทน หาได้มีผู้ใดหลงใหลตัวเขาด้วยความจริงใจ
ผิดกับตอนที่ได้เจอหวังเยี่ยนหลง หน้าตาและรูปร่างของเขาคงจะบังเอิญเหมือนใครจริง ๆ จนไม่ต้องใช้วิชาเพลงขับกล่อมด้วยซ้ำ
“อย่ามายุ่งกับข้า” เสียงของหวังเยี่ยนหลงดังขึ้น “รีบไปซะ” เขาไล่ให้โจวอิ่งฉินออกมานอกเรือนใบไผ่
“เช่นนั้น ข้าขอตัว” โจวอิ่งฉินจึงจำยอมเดินจากไปด้วยความเสียดาย
ทันทีที่เขากลับมาถึงหอเงาราตรี โจวอิ่งฉินเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์สีสันลวดลายสวยงามเว้าแหวก ก้าวเข้าไปในห้องโถงใหญ่ที่มีผู้คนคลาคล่ำ เริ่มบรรเลงเพลงพิณไพเราะจับใจจนผู้คนในที่แห่งนั้นตกอยู่ในภวังค์
หลังจากบรรเลงดนตรีจบเรียบร้อย ชายหนุ่มวัยยี่สิบสองคนก็เดินตามเขากลับไปที่ห้อง สายตาจ้องมองตั้งแต่หัวจรดเท้า จับจ้องทุกท่วงท่าของโจวอิ่งฉิน เสื้อผ้าแหวกบนแหวกล่างวับแวมชวนค้นหาเรือนร่างภายใน
ทันทีที่ประตูห้องปิดลง คนทั้งสองก็เข้ามาใกล้โจวอิ่งฉิน เริ่มถอดเสื้อผ้าให้เขาทีละชิ้น มือไม้จับทั่วร่าง ขณะที่ริมฝีปากของเขากำลังจะประกบจูบใครสักคนในนั้น ประตูห้องก็ถูกเลื่อนเปิดออกเสียงดังจนคนในห้องสะดุ้ง
“เจ้าเป็นผู้ใด” หนึ่งในนั้นโพล่งถาม ใครกันบังอาจมาขัดจังหวะรื่นรมย์ของพวกเขา
“...” ผู้มาเยือนไม่ตอบสิ่งใด สายตามองร่างเปลือยเปล่าของคนทั้งสามแล้วเกิดอาการคิ้วกระตุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหน้าเหมือนที่เปลือยกายอยู่ใต้ร่างชายอื่น
“ใต้เท้า ท่านมาทำอะไรที่นี่หรือ” โจวอิ่งฉินเอ่ยปากถาม เมื่อครู่เพิ่งจะไล่เขาออกมา เหตุใดจู่ ๆ ถึงได้โผล่มาอยู่ในเรือนของเขาเร็วปานฉะนี้
หวังเยี่ยนหลงเดินเข้ามาใกล้ เอาเสื้อผ้าคลุมกายของโจวอิ่งฉิน แล้วตวาดใส่ชายหนุ่มทั้งสอง “ออกไป!”
“เจ้าเป็นผู้ใดถึงกล้าทำเรื่องเสียมารยากับข้า เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเป็นใคร”
“ข้าจ่ายค่าตัวเขาแล้ว เจ้าสิต้องออกไปจากห้องนี้”
ชายหนุ่มทั้งสองคนดึงดัน พวกเขาจ่ายค่าตัวของโจวอิ่งฉินเพื่อหาความสำราญในคืนนี้ไปไม่น้อย ฉะนั้นแล้วเจ้าคนไร้มารยาทมีสิทธิ์อันใดมาไล่
“จะไปดี ๆ หรือจะไปแบบไม่เหลือวิญญาณ” แววตาของหวังเยี่ยนหลงเปลี่ยนเป็นดุดัน น้ำเสียงเยือกเย็น คำพูดกดดันทำให้ชายหนุ่มทั้งสองไม่กล้าหือพากันรีบคว้าเสื้อผ้าแล้ววิ่งออกจากห้องไปทันที
“คนอะไรน่ากลัวชะมัด”
“อื้อ นิสัยต่ำทรามสุด ๆ”
เสียงบ่นกระปอดกระแปดของทั้งคู่ดังมาระยะหนึ่งจนหายลับไป
หวังเยี่ยนหลงมองคนตรงหน้า สายลมพัดผ้าคลุมกายไหลลงมากองที่เอวบางของโจวอิ่งฉิน เผยให้เห็นผิวนวลใต้แสงจันทร์
“ใต้เท้า ท่านคงเห็นข้าแล้วนึกถึงผู้ใดกระมัง แต่ข้าไม่ใช่ อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับข้าอีกเลย อีกอย่างท่านมารบกวนข้าถึงที่นี่ ต่อไปลูกค้าของข้าจะกล้าเข้าหาข้าหรือ” โจวอิ่งฉินเอ่ยปากเตือนเขา
“ลูกค้า?” หวังเยี่ยนหลงทวนสิ่งที่คนตรงหน้าพูด
“ท่านตามข้ามาถึงที่นี่ ไม่ได้สังเกตหรือว่าเป็นที่ใด” โจวอิ่งฉินยืนขึ้น ผ้าคลุมชิ้นนั้นจึงร่วงหล่นลงกับพื้น ร่างเปลือยเปล่ากำลังเดินนวยนาดเข้ามาหาเขากระซิบบอกข้างหู “ท่านกำลังทำให้ข้าเสียเวลา”
ลมหายใจของโจวอิ่งฉินเป่ารดต้นคอ มือของเขาที่สัมผัสใบหน้าของหวังเยี่ยนหลงนุ่มนวลจนเขาอยากจะคว้ามันไว้
เพียงแต่คนทั้งสองไม่ใช่คนเดียวกัน
“เจ้าจะไปที่ใด” เขาเอ่ยถาม
“หาลูกค้าคนใหม่ มีคนอีกมากมายที่รอข้าอยู่” โจวอิ่งฉินทำท่าเดินจากไปอย่างไม่ใยดี
“เพื่อสิ่งใด”
เสียงหัวเราะของโจวอิ่งฉินดังขึ้น “อยู่หอเงาราตรี จะทำสิ่งใดเล่า หากเมื่อครู่ไม่ถูกท่านขัดจังหวะไปเสียก่อน ข้าคงได้สุขสมกับคุณชายทั้งสองท่านนั้นไปแล้ว ร่างกายอิงแอบแนบชิด ท่วงท่าเร่าร้อน เสียงครางกระเส่าคงจะดังจนรุ่งสาง”
หวังเยี่ยนหลงฟังที่โจวอิ่งฉินเล่าพลางคิดตาม “เจ้าใช้ใบหน้านี้ทำเรื่องเช่นนั้นหรือ”
“ใบหน้าข้า ร่างกายข้า จะทำสิ่งใดย่อมได้” โจวอิ่งฉินขึ้นเสียง
“ไม่ได้!”
“เฮอะ ท่านเป็นใครถึงมาห้ามข้า คนรักข้าหรือ ก็ไม่ใช่” เขายั่วยุหวังเยี่ยนหลง เดินกลับมาหาแล้วจับมือของหวังเยี่ยนหลงมาลูบใบหน้าของตนเอง ไล้ผ่านคอเรียว หน้าอก หน้าท้องวางพักมือคู่นั้นไว้ที่บั้นท้าย แล้วประกบริมฝีปาก สอดลิ้นเข้าไปด้านใน จูบเขาอย่างดูดดื่ม จากนั้นจึงพูดกับหวังเยี่ยนหลงว่า “ข้าจะให้ผู้ใดทำเช่นนี้กับข้าย่อมได้”
เช้าวันต่อมา เมื่อคลี่คลายเรื่องราวทุกอย่างได้แล้ว เหล่าศิษย์จากสำนักต่าง ๆ จึงออกเดินทางกลับสำนักของตนเอง หลิ่งอินหันมายิ้มและบอกลาเหลียนเฟินด้วยท่าทีสดใส “อาเฟิน เจอกันใหม่ ขอบคุณที่ช่วยข้า” หลิ่งอินพูดจบแล้วก็รีบวิ่งตามศิษย์พี่ของเขากลับไป “อาเฟินหรือ อาเฟิน” หลวนเล่อสะกิดแขนของเหลียนเฟิน ยิ้มมีเลศนัย “ทำไมหรือ” เหลียนเฟินยังคงไม่รู้ตัวว่านางต้องการสื่อสิ่งใด “อาเฟิน เขาเรียกเจ้าเช่นนี้ หมายความว่าอันใด” หลวนเล่อหรี่ตามองท่าทางคนตรงหน้า “เขาเรียกชื่อข้า ไม่เห็นมีอันใดแปลกนี่ขอรับ” เหลียนเฟินทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “นี่ศิษย์น้องที่รัก หน้าเจ้าแดงแล้วนะ ไม่แปลกจริงหรือ อีกอย่างเขาเรียกข้าว่าอะไรนะ ศิษย์พี่หญิงหลวนเล่อแห่งวังธาราเหมันต์ ชื่อข้าจะไม่ยาวไปหน่อยหรือ” นางยังคงจ้องมองศิษย์น้องจับพิรุธ “ไม่รู้สิขอรับ” เหลียนเฟินไม่อยากตกเป็นเป้านิ่งเดินหนีนางไปทางท่าเรือด้วยท่าทีรีบร้อน “อาเฟิน เจ้าเขินอายหรือ อาเฟิน” หลวนเล่อตะโกนเสียงดังทำให้เหลียนเฟินรีบเดินจ้ำอ้าวกว่าเดิม หลิ่งอินผู้เป
เพียงแค่นึกภาพว่ามีผู้อื่นมาแตะต้องใบหน้านี้ เขาก็รู้สึกหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก เสียงพิณเริ่มบรรเลงขับกล่อมราตรีอีกครั้ง โจวอิ่งฉินยิ้มหวานมีเลศนัยเมื่อเห็นคนตรงหน้าโอบกอดรัดรึง เริ่มจู่โจมเขาแบบไม่ทันตั้งตัว “ใต้เท้า ท่านเบามือหน่อย” เสียงพึมพำดังข้างหูของหวังเยี่ยนหลงที่เวลานี้ห้ามใจของตัวเองไม่ไหว “อย่ายุ่งกับผู้ใด” เขาเอ่ยปากแล้วอุ้มร่างบางของโจวอิ่งฉินไปนอนบนเตียง เริ่มต้นค่ำคืนแสนยาวนานของทั้งสองคน เช้าวันต่อมา หวังเยี่ยนหลงซื้อตัวโจวอิ่งฉินจากหอเงาราตรีแล้วพากลับไปอยู่ที่สำนักตระกูลหวังนับตั้งแต่นั้นมา ชายหนุ่มเผลอคิดไปว่าเขาอาจจะพอมีใจให้บ้าง เวลานี้หวังเยี่ยนหลงมองเขาเป็นเพียงตัวแทน แต่หากนานวันไปเมื่อใด เขาจะทำให้หวังเยี่ยนหลงลืมคนผู้นั้นไปให้ได้ ทว่า ความคิดนั้นกลับตื้นเขินนัก จนถึงวันนี้ หวังเยี่ยนหลงไม่ได้มองเขาเปลี่ยนไปจากเดิม ทั้งยังทำร้ายเขายามที่ปราณมารปะทุ ครั้นจะหนีไปที่ใดก็ทำไม่ได้ มิหนำซ้ำยังรู้สึกผูกติดกับเขาและโหยหาความรักจากหวังเยี่ยนหลงจนยอมทนทุกอย่างไปเสียแล้ว ณ โรงเตี๊ยม หวังเยี่ยนห
หวังเยี่ยนหลงยามไร้โอสถละอองบุปผาโลหิตต้องทรมานจากปราณมารปะทุอย่างน้อยเดือนละครั้ง ทั้งยังเสี่ยงจะถูกคนล่วงรู้ความลับนี้แล้วฉวยโอกาสลอบสังหารเขา นับว่าเขายังคงพอมีโชคอยู่บ้างเรื่องความจงรักภักดีของลูกน้องคนสนิทอย่างซวงและหลุน อย่างน้อยคงเพราะมีสายเลือดเดียวกันกระมังและเขาช่วยให้สองคนนี้หลุดพ้นจากการกดขี่ของผู้อื่น หวังเยี่ยนหลงเพิ่งจะปลดปล่อยปราณมารเมื่อสองคืนก่อน ปิดบังตัวตนของตนเองเดินทอดน่องอย่างไร้จุดหมายจนมาหยุดยืนด้านหน้าป้ายหลุมศพของคนผู้หนึ่ง เดิมทีมีป้ายอีกชื่อวางไว้เคียงข้างกัน แต่ถูกเขาทำลายแตกกระจายไม่มีชิ้นดี “เฮอะ” ทันทีที่อ่านป้ายนั้น เขาก็หัวเราะตัวเองที่ทำเรื่องงี่เง่า ชอบหลงมายังที่แห่งนี้ทุกครา หวังเยี่ยนหลงนอนลงข้าง ๆ หลับตาฟังเสียงสายลมจนเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว เสียงนกบินกลับรังทำให้เขารู้สึกได้ว่าฟ้ากำลังจะมืด หวังเยี่ยนหลงเดินกลับสำนักของตนเองตามเคย หากแต่วันนี้ได้พบใครบางคนที่เหมือนคนผู้นั้นจนทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป เขาเอื้อมมือคว้าตัวชายหนุ่มผู้นั้นเอาไว้ สายตายังคงมองไม่วางตา ปลายนิ้วไล้ใบห
สิบปีต่อมา หวังเยี่ยนหลงอายุยี่สิบแปด พลังปราณและวิชาแกร่งกล้าพัฒนาไปมาก หากแต่ความเป็นคนของเขาราวกับหยุดอยู่ที่เดิม ความรู้สึกบางอย่างถูกเก็บซ่อนไว้ในใจ เวลานี้มีเพียงความเย็นชาไม่รู้ร้อนรู้หนาวต่อผู้ใด เขากลายเป็นประมุขสำนักตระกูลหวังและเป็นผู้กุมอำนาจตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังพรรคทลายฟ้าและพรรคบุปผาทมิฬ การกระทำของเขาส่งผลให้พรรคมารเรืองอำนาจ แม้จะหาเรื่องทะเลาะเบาะแว้งขัดขากันอยู่เรื่อย ๆ พอถึงคราวที่ต้องต่อกรกับสำนักเซียนก็พักรบชั่วคราวอย่างรู้ใจกัน หวังเยี่ยนหลงไม่เพียงมีเรื่องกับพรรคมารเท่านั้น ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเพราะเขายังทำให้ชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องโดนหางเลขไปด้วย สำนักเซียนต่าง ๆ จึงเริ่มเข้ามาจัดการทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง “นายท่าน พวกมันฝ่าเข้ามาด้านในสำนักแล้วขอรับ” ซวงรายงานด้วยสีหน้าไร้กังวล “แค่คนสำนักเซียนพวกเจ้าจัดการกันเองไม่ได้หรือ?” หวังเยี่ยนหลงเลิกคิ้วเอ่ยปากถาม “ศิษย์ผู้หนึ่งต้องการพบนายท่านขอรับ หลุนกำลังกันนางไว้ข้างนอก” ซวงอธิบายอย่างละเอียด ส่วนใหญ่คนที่บุกเข้ามามักจะต้องการพบหวังเยี่ยน
ย้อนกลับไปเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น หวังเยี่ยนหลงก็คลุ้มคลั่งเพราะควบคุมปราณมารไม่ได้ เขาถูกมันควบคุมความคิดจิตใจพยายามยึดร่างของเขา ยามที่สงบสติลงหวังเยี่ยนหลงก็เอาแต่นิ่งเงียบสับสน ครั้นปราณมารปะทุ อารมณ์รุนแรงอ่อนไหวยิ่งทวีมากขึ้น เขาเผลอร่ายอาคมโลหิตมารโดยไม่รู้ตัว จนทำให้คนที่มีโลหิตมารในร่างพลอยได้รับลูกหลงไปด้วย ในเวลานั้น หลิงซีแทบไม่มีทางเลือกอื่นใดแต่พอจะได้ยินเรื่องของละอองบุปผาโลหิตมาบ้างจึงส่งซวงและหลุนเข้าไปสืบหาข้อมูลเพิ่มเติม ระหว่างรอข่าวดี นางพยายามช่วยให้หวังเยี่ยนหลงควบคุมตนเองให้ได้ หากเขาไม่ถูกปราณมารโจมตี นางและพวกพ้องที่เหลือก็จะปลอดภัยไปด้วย บางครั้งหลิงซีคิดฉวยโอกาสสังหารหวังเยี่ยนหลงในเวลาที่อ่อนกำลังลง ทว่าไม่เป็นผลเลยสักครั้ง ไม่ว่าหวังเยี่ยนหลงจะมีสติหรือไม่ ปราณมารมักไม่ปล่อยให้ใครแตะต้องเขาได้ง่าย ๆ ร่างนี้เป็นของมัน ผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์ ละอองบุปผาโลหิตเป็นของวิเศษของพรรคบุปผาทมิฬ สวงนไว้ให้ประมุขพรรคและครอบครัวเท่านั้น หลิงซีรายงานเรื่องที่ได้รับจากซวงและหลุนให้หวังเยี่ยนหลงได้รู้
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป หลินหลีเหว่ยนับเวลาถอยหลังจะได้ร่ายอาคมถลกหนังนักพรตผู้นี้ “อ๊าก!” เหลียนเฟินร้องเสียงดังจนทำให้คนที่อยู่ตรงนั้นสะดุ้งด้วยความแปลกใจ เหตุใดคนที่ควรจะนอนหลับใหลถึงฟื้นสติได้เร็วปานนี้ “เจ้า...” เขาไม่รู้จะเอ่ยคำใด “คันจริง ๆ เจ้าเอาอะไรให้ข้ากิน” เหลียนเฟินจ้องหน้าชายขอทานพลางใช้มือลูบใบหน้าและร่างกายของตนเอง รอยแดงเป็นวงกลมปรากฏขึ้นบนผิวขาวของเขา “โอสถละลายร่าง” เขาเผลอตอบเพราะยังตกใจไม่หาย ใครก็ตามที่กินยานี้เข้าไปมักจะหนีไม่รอดสักราย ฤทธิ์ของมันจะค่อย ๆ กัดกร่อนหนังหุ้มร่างกาย ทำให้คนผู้นั้นทรมานปวดแสบปวดร้อนจนทนไม่ได้ วันนี้เข้าเพิ่มกำยานเข้าไปด้วยเพราะไม่อยากสู้กับเหลียนเฟิน ชะรอยไม่คิดว่าจะผิดแผนจนได้ “เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย” เหลียนเฟินร่ายกระบี่จ่อคอเขาในทันที “ท่านนักพรต ทำไมถึงจ่อกระบี่มาทางข้าเล่า” มารยาร้อยเล่มเกวียนยังคงถูกนำมาใช้ต่อเนื่อง “เจ้าเป็นคนทำร้ายชาวบ้าน ข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้” เหลียนเฟินกล่าวต่อ “ไม่มีใครรู้ว่าคนผู้นั้นทำอะไรกับร่างของชาวบ้าน แต่เจ้ากลับรู้ว่าจะมีคนเอาหนั