สามเดือนผ่านไป
เหลียนเฟินเดินทางมุ่งหน้าไปที่ภูเขามู่ชิงเพราะมีไอปราณมารโผล่ขึ้นมาใจกลางหุบเขา ผู้คนต่างหมู่บ้านไม่อาจใช้ทางนี้ไปมาหาสู่กันได้ จำต้องอ้อมเขาลูกใหญ่ไกลกว่าหลายร้อยลี้เดือดร้อนไปตาม ๆ กัน
เขาหยิบถุงย่ามมาเปิดดูข้างในเห็นของหวาน ขนม อาหาร และถุงเงินมากมายกองไว้
“มิน่าเล่า ถึงได้หนักปานนี้” เหลียนเฟินส่ายหน้า เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องของเขาพากันเอาของที่คิดว่าเหลียนเฟินจำเป็นต้องใช้ใส่เข้ามาเพิ่มด้วย กลัวขาดตกบกพร่องสิ่งใดแล้วจะลำบาก
เขาลองใช้วิชาย่นระยะทางที่เพิ่งเรียนเมื่ออาทิตย์ก่อนเพราะเป็นห่วงชาวบ้านแถวนั้น แต่วิชาพวกนี้สิ้นเปลืองแรงไปไม่น้อย เหลียนเฟินจึงรู้สึกอ่อนเพลียคิดจะนอนนิ่ง ๆ ใต้ร่มไม้ใหญ่ หายเหนื่อยเมื่อใดจะรีบออกเดินทางในทันที
เสียงใบไม้กรอบแกรบดังมาจากด้านหลังไม่ไกลนัก ชายหนุ่มผู้หนึ่งยิ้มแป้นด้วยความดีใจ เขาค่อย ๆ ย่องเข้ามาหาเหลียนเฟินที่กำลังนอนหลับเพราะไม่อยากรบกวน
เหลียนเฟินร่ายอาคมรอบตัวเอาไว้จึงรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังมุ่งหน้ามาหาเขาเพียงแต่ยังคงหลับตาไว้เพื่อดูลาดเลา
จู่ ๆ เสียงเดินก็หยุดอยู่ไม่ไกลจากร่มเงาของต้นไม้ คนผู้นี้ราวกับหายไปเฉย ๆ
เหลียนเฟินนึกสงสัยจึงลืมตาพลางลุกขึ้นมาดู “โอ๊ย!” หน้าผากของเขาชนเข้ากับหน้าผากของอีกคนจนเผลออุทานออกมา
“อาเฟิน” คนตรงหน้าเอ่ยปากทักทาย “เจ็บมากหรือไม่” เขาเอื้อมมือมาลูบหน้าผากของเหลียนเฟินอย่างอ่อนโยน
“ข้าไม่เป็นไร” เหลียนเฟินถอยออกมา ไม่ค่อยคุ้นชินกับการกระทำเช่นนี้เท่าใดนัก
หลิ่งอินหยิบตลับยาออกมาจากถุง ป้ายขี้ผึ้งในนั้นแล้วทำท่าจะทาบนหน้าผากของเหลียนเฟิน “ข้าขอโทษที่ทำเจ้าตกใจ”
เหลียนเฟินตาโต ถึงจะรู้จักเขามาก่อน แล้วก็รู้ว่าเขาเป็นคนจิตใจดี เพียงแต่ว่าเขาดูสนิทสนมกับคนแปลกหน้าเร็วเกินไปแล้วกระมัง
มือที่เร็วกว่าของเหลียนเฟินจับมือเขา ปลายนิ้วชี้ของหลิ่งอินจึงแต้มโดนหน้าผากของตัวเองแทน
“ข้าดูแลตัวเองได้” เหลียนเฟินเอ่ยปาก
“อาเฟิน เจ้ามาทำอันใดที่นี่” หลิ่งอินถามบ้าง เขาไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะได้พบกันอีกเร็วเช่นนี้
“ข้ามีเรื่องต้องตรวจสอบที่ภูเขามู่ชิง” เขาตอบตามตรง พลางจิ้มขี้ผึ้งมาทาหน้าผากของตนเอง
“อย่างนั้นหรือ พอดีเลย ข้ากำลังจะกลับสำนักต้องผ่านทางนั้น ข้าขอไปด้วยได้หรือไม่” หลิ่งอินรอคำตอบพยายามเก็บสีหน้าคาดหวังของตนเองเอาไว้
“ไม่รบกวน เจ้าคงจะมีงานต้องสะสางอีกเยอะ” เหลียนเฟินปฏิเสธ แต่คนตรงหน้ากลับทำสีหน้าหดหู่เมื่อได้ยินเขาตอบเช่นนั้น จึงกล่าวต่อ
“แต่หากว่างานนั้นไม่เร่งด่วน เจ้ามาด้วยก็ได้”
“ไม่เร่งด่วนเลย จริง ๆ นะ” คำเชิญชวนของเหลียนเฟินราวกับทำให้เขามีพลังใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขาคิดถึงหน้าอาจารย์ในใจ อาจารย์กลับไปข้าจะรีบเร่งทำให้เสร็จนะขอรับ
คืนนั้นทั้งสองคนจึงได้พักแรมในป่าด้วยกัน หลิ่งอินเห็นว่าเหลียนเฟินรู้สึกเพลียเขาจึงอาสาเฝ้ายามให้ตลอดทั้งคืน คอยดูกองไฟไม่ให้มอด
เกรงว่าร่างบางจะหนาวแต่คงจะลืมไปว่าเหลียนเฟินเป็นศิษย์วังธาราเหมันต์ซึ่งเป็นสถานที่ที่ปกคลุมด้วยหิมะตลอดปี
“เจ้าหลับหรือยัง อาเฟิน” เขาพึมพำเบา ๆ พลางแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน เวลานี้ดวงดาวทอแสงประกายระยิบระยับสวยงามนัก
“ยัง เจ้าง่วงหรือ” เหลียนเฟินหันมามองหน้าเขา คิดว่าคงจะเหนื่อยจากการเดินทางเช่นกัน
“ไม่หรอก ข้าแค่จะบอกให้เจ้านอนหลับฝันดี” น้ำเสียงนุ่มนวลทำให้ใจของเหลียนเฟินเต้นตึกตัก
“เจ้าทำแบบนี้กับคนแปลกหน้าหรืออย่างไร” เหลียนเฟินถามสิ่งที่ตนเองสงสัย
“แปลกหน้าหรือ ข้าเคยเจอเจ้ามาแล้ว ไม่นับว่าแปลก” หลิ่งอินแก้ตัว
“เช่นนั้น ต้องถามว่าเจ้าสนิทสนมกับผู้อื่นเร็วเพียงนี้เลยหรือ”
“อาเฟิน เจ้าอย่าได้บอกผู้ใด เดี๋ยวคนอื่นจะน้อยใจ ข้าสนิทสนมเร็วเพียงนี้กับเจ้าผู้เดียว” สีหน้าจริงจังของหลิ่งอินทำให้เขาต้องรีบพลิกตัวหันหน้าหนี “เอ๊ะ เจ้าง่วงแล้วหรือ”
“อื้ม” เหลียนเฟินตอบสั้น ๆ คิดในใจว่าคนอะไรพูดออกมาได้ไม่เขินอาย
หลิ่งอินยิ้มกว้าง พูดกับเขาอีกครั้ง “นอนหลับฝันดี อาเฟิน”
เช้าวันต่อมา
ทั้งสองคนจึงเริ่มออกเดินทางไปที่ภูเขามู่ชิงตามกำหนดการเดิม จากตรงนี้ไปจนถึงที่หมายต้องใช้เวลาประมาณสี่ห้าวัน ทำให้เหลียนเฟินและหลิ่งอินได้ใช้ช่วงเวลานี้ทำความรู้จักกันมากขึ้น
“อาเฟิน พักเหนื่อยก่อนดีหรือไม่ อีกไม่เกินหนึ่งชั่วยามจะถึงใจกลางหุบเขามู่ชิงแล้ว หากที่นั่นมีปราณมารรุนแรงอาจเป็นอันตรายกับเจ้าได้” หลิ่งอินแนะนำเขาเพราะเป็นห่วง
“อื้ม” เขาพยักหน้าแล้วปูผ้าบนพื้นหญ้าก่อนนอนเอนกายพักผ่อนตามที่หลิ่งอินบอก “คืนนี้ข้าเฝ้ายาม เจ้านอนเอาแรงเถิด”
“แต่ว่า...” หลิ่งอินกำลังจะปฏิเสธแต่ถูกเหลียนเฟินห้ามไว้ก่อน
“คืนก่อนเจ้าเฝ้ายามแล้ว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้า ดูแลร่างกายเจ้าด้วย ข้ากลัวอาการของเจ้ากำเริบ” เวลานี้เหลียนเฟินรู้แล้วว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกับหลิ่งอินในวัยเด็ก เขาจึงพยายามโน้มน้าวใจคนผู้นี้ แต่หลิ่งอินนั้นดื้อรั้นเหลือเกิน
“เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ” สีหน้าของเขาดีใจจนออกนอกหน้า
“ไม่ใช่ ข้าเป็นห่วงร่างกายเจ้าต่างหาก” เหลียนเฟินส่ายหน้าถอนหายใจ แม้คนผู้นี้จะอายุมากกว่าเขาสองปี หากแต่ทำตัวเหมือนซิ่นเฉิงไม่มีผิด
“อื้ม เข้าใจแล้วว่าเจ้าเป็นห่วง ข้าจะรีบนอนเดี๋ยวนี้เลย” เขาเอนตัวลงนอน หันหน้ามาหาเหลียนเฟินแล้วหลับตา
เหลียนเฟินนั่งเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่งจึงหันมามองใบหน้าของเขาบ้าง พูดพึมพำเบา ๆ “ฝันดี”
ช่วงสายของวันทั้งคู่เดินทางมาถึงใจกลางหุบเขา ไอปราณมารปกคลุมจนมองไม่เห็นว่าด้านล่างเคยเป็นหนองน้ำมาก่อน เหลียนเฟินเดินไล่สำรวจจากทางซ้ายมือวนไปทางขวามือ ส่วนหลิ่งอินตรวจหาอาคมที่ซ่อนอยู่ในนั้น
“พบอันใดหรือไม่” หลิ่งอินถามเขา สายตามองซ้ายมองขวาเหมือนเห็นเงาราง ๆ ในไอหมอก
เหลียนเฟินส่ายหน้า มองตามหลิ่งอินพลันหยิบกระบี่เงินออกมาถือไว้ข้างกาย
“อาเฟิน เจ้าถอยออกมา” หลิ่งอินพบอาคมหนึ่งถูกร่ายไว้ แต่ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร พลังรุนแรงที่บีบอัดปะทะกับพลังปราณของเขาไม่ขาดสาย
ทันใดนั้น ไอหมอกที่อยู่ใจกลางก็เริ่มขยายตัวใหญ่ขึ้นราวกับจะกลบพวกเขาทั้งสองคนเข้าไปด้านใน
เหลียนเฟินค่อย ๆ ก้าวถอยหลังไปพร้อมกับหลิ่งอิน ร่ายอาคมเตรียมพร้อม หากมีสิ่งใดไม่ชอบมาพากลจะได้ตั้งรับได้ทันท่วงที
ห่างจากพวกเขาไม่ไกลนัก คนผู้หนึ่งกำลังยืนรอชมเรื่องสนุกด้วยความอยากรู้อยากเห็น รอยยิ้มมีเลศนัยดูเจ้าเล่ห์ไม่น้อย เพียงแค่ขยับมือเพียงเล็กน้อย ไอหมอกก็หนาขึ้นในพริบตา เหลียนเฟินและหลิ่งไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าถูกมันกลืนกิน
สามเดือนต่อมาเช้าวันหนึ่งเสี่ยวหยุนมองเหลียนเฟินที่กำลังนอนหลับใหลในอ้อมกอดของเขา สายตาเต็มไปด้วยความรักท่วมท้นในใจก่อนจะพึมพำร่ายอาคมอย่างหนึ่งขึ้นมาพลันกรีดปลายนิ้วจนได้เลือดหยดหนึ่งหลอมรวมกับลูกกลมสีฟ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้เป็นวิชาที่เขาเพิ่งคิดค้นขึ้นมาได้แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกเสี่ยวหยุนตั้งชื่ออาคมนั้นว่า “พันธะวิญญาณ” อาคมที่สามารถผูกวิญญาณของพวกเขาทั้งสองไว้ด้วยกันในทุก ๆ ชาติ ไม่ว่าเหลียนเฟินจะเกิดเป็นผู้ใด อยู่ที่ไหน เขาจะรู้ได้ในทันที นับต่อจากนี้ไม่มีพรากจากลมหายใจของร่างบางในอ้อมกอดสัมผัสแผ่นอกกว้างของเขาเตือนสติให้รู้ตัว ล้มเลิกความคิดเช่นนั้น เสี่ยวหยุนยิ้มมุมปากพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วบีบอาคมนั้นให้แตกสลายไปริมฝีปากจุมพิตหน้าผากเรียกเหลียนเฟินด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฟูเหรินของข้า”“อืม…” เหลียนเฟินยังคงงัวเงียพลันได้รับจุมพิตที่แก้ม โลมเลียลงลำคอ สัมผัสเรียวลิ้นร้อนชื้นดูดเม้มก่อนจะถูกใครบางคนคร่อมร่างกายท่อนบนเอาไว้“ฟูเหริน ท่านยังไม่ตื่นอีกหรือ” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำ
เหลียนเฟินนอนนิ่งบนแผ่นอกของเขา ส่วนล่างกระตุกบีบแก่นกายที่ค้างอยู่ราวกับเชิญชวนจึงถูกพลิกตัวเป็นฝ่ายนอนใต้ร่างพลางโดนเสี่ยวหยุนจับขาสองข้างยกขึ้นแล้วขย่มสะโพกเป็นจังหวะ“ข้าเพิ่งจะ…อ๊ะ...” เหลียนเฟินไม่ทันได้พูดอะไรก็ต้องเม้มปากตัวเองอีกครั้ง มือสองข้างจับหมอนที่วางอยู่ ขยำจนผ้ายับยู่ยี่ ลมหายใจร้อนหอบถี่ ฟังแล้วยิ่งกระตุ้นให้อีกฝ่ายเกิดความต้องการอย่างยิ่งยวดแก่นกายที่ครูดเข้าออกเร่งขึ้นอย่างเร่าร้อนจนน้ำที่ปล่อยเอาไว้เมื่อครู่กระเซ็นเปรอะเปื้อน คนกระทำยิ้มมุมปากชอบใจยิ่งนักที่ได้เห็นร่องรอยของเขาบนตัวคนรักเมื่อโพรงเนื้อโอบรอบจนมิดแน่นขนัดยิ่งเสียวซ่านจนตาเหลือกลอย “อือ… เหลียนเฟิน” ในใจวนเวียนแต่คำว่า อีกนิด ข้าขออีกนิดในขณะที่คนใต้ร่างแทบคุมสติตัวเองไม่อยู่ พึมพำแผ่วเบา “ข้าไม่ไหวแล้ว… อย่าเพิ่งขยับ”“จะให้ข้าหยุดจริงหรือ” เขาเอ่ยถามแต่ส่วนลับยังคงกระทุ้งเข้า ๆ ออก ๆ บดเบียดภายใน หยอกล้อเหลียนเฟินเพราะอยากเห็นสีหน้าแดงระเรื่อ สุขสม พลันวางขาทั้งสองข้างลงแล้วพลิกตัวเหลียนเฟินให้นอนคว่ำในพริบตาก่อนจะยกส
เหลียนเฟินโอบแขนรอบคอของเสี่ยวหยุนกดแรงโน้มตัวเขาลงมาหา จ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตาพลันยิ้มอ่อนโยน เอ่ยกระซิบยืนยันความรู้สึกของตัวเอง “ข้ารักเจ้า”คนได้ฟังคำรักน้ำตาไหลเอ่อไม่อาจกั้นด้วยความรู้สึกผิดระคนกับความรู้สึกอื่น ๆ ในใจ แม้รู้ตัวว่าไม่สมควรมายืนอยู่ข้างเขาแต่เวลานี้ก็ไม่อาจขยับกายหรือเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายได้เลยเขารักเหลียนเฟิน ผู้เป็นฟูเหรินของเขาและไม่อยากถูกพรากจากอีกแล้ว ทั้งยังดีใจเพราะใบหน้าที่มองเขาในเวลานี้ไม่ใช่ใบหน้าของคนที่เกลียดชังเขาจนต้องจ่อปลายกระบี่เข้าหาราวกับแค้นเคืองกันมาเนิ่นนาน“เสี่ยวหยุน” เสียงเรียกหาอ่อนหวานจับใจ “ยังคงจำได้อยู่ใช่หรือไม่ว่าเวลานี้เจ้าคือฟูจวินของข้า”“…” เขาพยักหน้าเล็กน้อย เม้มปากแน่นแล้วกอดเหลียนเฟินเอาไว้ครั้นสะสางความหลัง ปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างพลันคลี่คลาย ไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีกต่อไปหวังซีซวนและพรรคพวกแวะมาหาพวกเขาเหมือนอย่างเคย สังเกตได้ว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งสองคนดูอึมครึมเล็กน้อย ดวงตาเสี่ยวหยุนบวมช้ำปรากฏเด่นชัดจนอดถามไม่ได้“
ครั้นเรื่องราววุ่นวายที่ใจกลางตลาดจบลงไปได้ด้วยดี เหลียนเฟินจึงพาเสี่ยวหยุนกลับมาพักฟื้นร่างกายที่บ้านหลังน้อย พลางขอให้หวังซีซวนช่วยกลั่นยาสมุนไพรให้เขาจนกว่าจะหายดีเขาหลับลึกอยู่หลายวันเพราะใช้เรี่ยวแรงร่ายวิชาอาคมโดยไม่สนขีดจำกัดของตัวเองเพียงเพราะเป็นห่วงเหลียนเฟินและไม่อยากให้สถานการณ์ยืดเยื้อใบหน้าสงบนิ่งยามหลับใหลทำให้เหลียนเฟินโล่งใจได้บ้างว่าเขาคงไม่ได้ฝันร้ายเหมือนที่ผ่านมาจึงปล่อยให้คนตรงหน้าพักผ่อนให้เต็มที่“ท่านเซียน เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” หลี่จิ้นหลิงแวะมาเยี่ยมเพราะได้ข่าวว่าเสี่ยวหยุนยังไม่ฟื้น“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เขาเพียงแค่ต้องนอนให้เยอะ ๆ ก็เท่านั้น” เหลียนเฟินยิ้มให้อีกฝ่ายนึกขอบคุณที่เขาช่วยหาตำราต้องห้ามจนพบ“หากท่านเซียนต้องการให้ช่วยเหลือเรื่องใด อย่าได้ลังเลใจที่จะบอกข้านะขอรับ” หลี่จิ้นหลิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องฟื้นฟูพลังชีวิตของท่าน ถ้าตำราต้องห้ามไม่ได้ผล ข้ายินดีหาหนทางอื่น”เหลียนเฟินส่ายหน้าเข้าใจดีว่าทุกคนเป็นห่วงแต่ว่าเขาเตรียมใจเอาไว้แล้ว ไม่ว่าผลที่ได้จะออกมาเป็น
“ปล่อยคุณหนูหลี่” เหลียนเฟินพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเห็นอีกฝ่ายเคลื่อนไหวรวดเร็ว เขากำกระบี่ในมือไว้แน่นพลันยกขึ้นมากันท่าไม่ให้เสิ่นหยางพุ่งตัวเข้าใกล้ระยะประชิดก่อนจะม้วนตัวแล้วถีบคนตรงหน้ากระเด็นไปอีกทางด้วยแรงที่ออมไว้สามส่วน“ฝีเท้าหนักใช่เล่น” เขาเอ่ยชม รอยยิ้มกวนประสาทราวกับถูกใจอย่างยิ่งยวด “อย่าขัดขืนนักเลย เมื่อครู่ข้าเพียงยั้งมือเอาไว้เท่านั้นเพราะไม่อยากทำให้ร่างกายของท่านเซียนมีบาดแผล”เสิ่นเหยา แฝดผู้พี่ที่จับตัวหลี่ฮวาเอาไว้ลูบปลายจมูกตัวเอง “หากท่านเซียนยินยอมมากับพวกข้า ข้าจะคืนสตรีนางนี้เป็นการแลกเปลี่ยน”“เช่นนั้นปล่อยนางก่อน” เหลียนเฟินไม่ตกลงง่าย ๆ และเป็นห่วงความปลอดภัยหลี่ฮวาที่เวลานี้กำลังกลั้นน้ำตาไม่ร้องไห้เสียงดังด้วยความหวาดกลัว“ท่านเซียนคงไม่รู้ว่าข้าเป็นผู้ใดจึงพยายามเล่นแง่ยืดเวลาออกไปใช่หรือไม่ แต่ข้ายืนยันได้เลยว่าสองชั่วยามต่อจากนี้ไม่มีผู้ใดเข้ามาก้าวก่ายที่แห่งนี้ได้อย่างแน่นอนและหากทุกสิ่งไม่เป็นอย่างที่ข้าต้องการ ข้าจะทำลายหมู่บ้านให้ราบคาบ” เสิ่นหยางประกาศก้อง คำพูดของเขาทำให้ชาวบ้านขวัญ
ครั้นพูดคุยเรื่องตำราต้องห้ามเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็กลับมายังบ้านหลังน้อยจึงได้เห็นว่าหลี่จิ้นหลิงกำลังนั่งเล่นอยู่ตั่งไม้กับเหลียนเฟินแววตาเสี่ยวหยุนเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”“ข้าเห็นว่าท่านเซียนเมาหลับไป วันนี้จึงอยากมาดูให้แน่ใจว่ามีอาการใดหรือไม่” เขายักไหล่พูดด้วยสีหน้าสบายอารมณ์หากแต่เสี่ยวหยุนอารมณ์ดีจึงไม่ใส่ใจแล้วเดินไปนั่งข้างเหลียนเฟิน เอ่ยกับเขาว่า “ข้าต้องไปหอสมุดวังหลวง คุณชายหวังซีซวนบอกว่าที่นั่นมีตำราเก็บไว้อยู่ อาจช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตของท่านได้”“เขาไม่ได้บอกหรือว่าที่แห่งนั้นห้ามให้คนนอกเข้าไป” เหลียนเฟินหรี่ตามองคนตรงหน้าที่ทำท่าเหมือนรู้ทุกอย่าง “หากคิดไปขโมยตำรามาก็หยุดแต่เพียงเท่านั้นเถิด พลังชีวิตของข้ามีแค่ครึ่งเดียวแล้วอย่างไร ไม่เห็นหรือว่าข้ายังแข็งแรงดี”“ไม่อยากอยู่กับข้านานกว่านี้หรือ” สีหน้าของเขาเศร้าสร้อยหากต้องล้มเลิกความตั้งใจ รู้ว่าบำเพ็ญคู่จะสามารถยืดอายุขัยออกไปได้ แต่หากพลังชีวิตของเขากลับมาเหมือนเดิม ย่อมมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันนานมากขึ้นไปอีกเ