LOGINอากาศช่วงนี้แปรปรวนเสียจริง กลางวันแดดออกแต่พอตกกลางคืนกลับมืดครึ้ม ฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนักจนไม่ทันตั้งตัว
เปรี้ยง! เสียงฟ้าคำรามดังก้องฟาดลงกลางลานจวนสกุลเซียวราวกับมีว่าผู้ใดกล้าฝ่าฝืนกฎสวรรค์ ไป๋ซูหนิงสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมากลางดึก ลมหายใจหอบถี่จนหน้าอกกระเพื่อมสั่นไหว กรอบใบหน้าคนงามเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อที่ผุดพราย ริมฝีปากแห้งเหือดคล้ายปลาขาดน้ำ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งสั่นระริกเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก นี่คือเรือนของนางมิใช่หรือ…? แต่เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ ทั้งที่เมื่อคืนสมควรต้องตายอย่างอนาถอยู่กลางลานจวนแล้วมิใช่หรือ! ความหนาวเหน็บเย็นยะเยือกพลันกัดกร่อนลึกถึงกระดูก ความร้อนผ่าวของยาพิษรสเฝื่อนที่ไหลลงคอ ความเจ็บปวดหน่วงในหน้าท้อง…ความรู้สึกเหล่านั้นช่างสมจริงราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ แต่พอนางลืมตาตื่นขึ้นมากลับพบว่าเป็นเพียงแค่ความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้นหรือ? ไป๋ซูหนิงหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนจะผ่อนออกยาวราวกับระบายความคิดและความหวาดกลัวที่เอ่อท่วมอก เรือนผมงามที่ปรกกรอบใบหน้ายังคงชื้นไปด้วยหยาดเหงื่อ นางลุกขึ้นนั่งบนเตียง ตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ยกมือที่สั่นเครือด้วยความหวาดหวั่นขึ้นลูบหน้าท้องแผ่วเบา สัมผัสอุ่นราวกับยังมีชีวิตอยู่…ลูกยังอยู่ในท้องของนาง นัยน์ตาคู่งามพลันร้อนผ่าว หยาดน้ำตาเอ่อคลอราวกับไม่อาจกลั้นไว้ได้อีกต่อไป น้ำเสียงหวานสั่นเครือพร่ำพึมพำออกมา “เจ้ายังอยู่…ยังอยู่กับแม่” นางจำได้ชัดเจนว่าได้ดื่มยาพิษจอกนั้นไปแล้ว ความแสบร้อนผ่าวแล่นลามแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่างคล้ายเพลิงโหมแผดเผา ความเจ็บปวดแผ่ซ่านราวกับร่างถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ก่อนสติจะดับวูบไปพร้อมเสียงฝีเท้ากึกก้องในความทรงจำ และคราบน้ำตาที่หลั่งรินกลางพายุฝนกระหน่ำไม่หยุดยั้ง ยามนั้น นางได้แต่คิดว่าทุกสิ้นสุดลงแล้ว….หาได้หลงเหลือความรู้สึกใดติดค้างอีก สายลมวูบหนึ่งพัดผ่านหน้าต่างกระทบผิวกายจนรู้สึกเย็นยะเยือก ขนลุกซู่ราวกับตอกย้ำความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ หากนี่มิใช่เพียงฝันตื่นหนึ่ง…หากสวรรค์เมตตา ให้โอกาสนางได้หวนคืนจริงๆ เช่นนั้นแล้ว เหตุการณ์นั้นจึงยังไม่เกิดขึ้นและนางยังมีหลีกหนีใช่หรือไม่!? ชาติที่แล้ว นางเป็นมารดาที่แย่ยิ่งนัก แม้แต่ลูกในท้องยังไม่อาจปกป้องซ้ำร้ายกลับมอบความตายให้อีกด้วย พอนึกแล้วนั้น เป็นนางโง่เขลานัก เชื่อใจคนผิดจนถูกตราหน้าว่าเป็นสตรีร่านไร้ยางอายสวมหมวกเขียวให้สามี ถูกใส่ความว่าคบชู้กับเว่ยอ๋องทั้งที่นางบริสุทธิ์และซื่อตรงต่อเขาแต่เพียงผู้เดียวไม่เคยคิดจะชายตามองผู้ใดทั้งสิ้น ทว่าสิ่งที่ได้ตอบแทนกลับมานันคือ เขาหลงเชื่อคำพูดจากปากผู้อื่นมากกว่านางผู้เป็นภรรยาเคียงข้างมาหลายปี เขาไม่แม้แต่จะเอ่ยปากถาม แต่กลับมอบความตายให้แทน หากเป็นเพียงนาง…ไป๋ซูหนิงคงไม่โกรธแค้นถึงเพียงนี้แต่ในท้องของนางนั้นมีเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาตั้งครึ่งหนึ่งเช่นกัน หากมีบิดาที่ชั่วช้า โง่งมถึงเพียงนี้ก็อย่าได้มีเลยจะดีกว่า นัยน์ตาเมล็ดซิ่งที่เคยสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวกลับแข็งกร้าวขึ้นมาด้วยความโกรธ มือทั้งสองกำหมัดแน่น ความรักที่ถักทอมานานหลายปีขาดสะบั้นลงตั้งแต่วันที่เขาสาดถ้อยคำด่าทอใส่หน้า ‘หึ! สตรีร่าน! จับนางไปคุกเข่าสำนึกผิดหน้าห้องบรรพชน!’ ‘ข้ามอบให้เจ้าทุกอย่าง! ไม่ว่าอยากได้สิ่งใดข้าก็ให้ แต่เจ้ากลับกล้าทรยศหักหลังข้าไป๋ซูหนิง!’ ไม่ว่าจะสายตาที่มองมาหรือถ้อยคำที่เปล่งออก ล้วนเต็มไปด้วยความถากถางแต่เขาไม่ถามนางแม้แต่ครึ่งคำว่า…แท้จริงแล้วเรื่องเป็นมาเช่นไร กลับเชื่อคนอื่นอย่างไร้ข้อแม้ บนใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มจางๆ มุมปากบางคลี่ยกยิ้มเย้ยเย้ยตัวเอง ไป๋ซูหนิงยังจำประโยคสุดท้ายก่อนตายได้ดี ทั้งที่อยากหลีกหนี แต่สวรรค์กลับผูกพันนางกับเขาอีกครั้งงั้นรึ!? นัยน์ตาเมล็ดซิ่งทอดมองฟ้าที่มืดสนิท หยาดฝนโปรยปรายไม่หยุด ก่อนรุ่งสาง หากไม่อยากมีชะตาเดิม นางต้องหนี… “หึ! ข้าฉลาดปราดเปรื่องถึงเพียงนี้แต่พอถูกความรักบังตากลับกลายเป็นคนตาบอดโง่งมไม่ต่างจากคนไร้การศึกษา” น้ำเสียงหวานพึมพำแผ่วเบา ก่อนที่นางจะขยับลุกขึ้นจากเตียง ดวงตาคู่งามฉายแววแข็งกร้าวและแน่วแน่ “เซี่ยจวิ้นอี้…จากนี้ไป ทุกภพทุกชาติ ข้าขอไม่รักท่านอีก” นับจากนี้ นางจะขอเพียงปกป้องชีวิตและลูกน้อยในครรภ์ให้ปลอดภัย เท่านั้นก็นับว่าเกินพอแล้ว รุ่งสางวันถัดมา ท้องฟ้ายังมืดมิดสนิท ไม่ทันได้เปลี่ยนสี หมอกหนาทึบจากไอฝนเมื่อคืนแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ หลงเหลือเพียงความเปียกชื้นเกาะเต็มพื้นและหลังคา เดิมทีบรรยากาศยามเช้าในจวนสกุลเซี่ยมักเงียบสงัด ทว่าในวันนี้ยังไม่ถึงปลายยามเฉิน (07.00 – 09.00 น.) ก็เกิดความวุ่นวายขึ้นทั่วทั้งจวนเสียแล้ว “ฮูหยินหายไปแล้ว!” “ฮูหยินหนีออกไปจากจวน!” เสียงร้องโหวกเหวกดังลั่นจากเรือนหลังหนึ่ง ทำให้บ่าวรับใช้ทั่วจวนแตกตื่นราวรังผึ้งถูกรบกวน บางคนรีบวิ่งไปแจ้งยามประตู บ้างกระจายตัวออกค้นหาในเรือนใกล้เคียงกันอย่างสับสนอลหม่าน “ปิดทุกประตูจวน! ห้ามผู้ใดออกไปได้แม้แต่คนเดียว! ตามหาฮูหยินให้เจอ ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าอย่าหวังจะได้รอด!” น้ำเสียงของแม่บ้านคำรามลั่น ทำเอาบ่าวรับใช้หน้าถอดสี รีบวิ่งแตกกระเจิงไปตามคำสั่ง สตรีตัวเล็กเพียงนั้นจะหนีไปได้อย่างไรกัน! ข่าวลือที่ว่าฮูหยินลอบคบชู้กับเว่ยอ๋อง สวมหมวกเขียวให้นายท่านเซี่ยแพร่กระจายไปทั่วจวน แม้ว่าเจ้าตัวไม่เคยยอมรับหรือเอ่ยคำแก้ต่างสักคำ แต่การหนีหายไปเช่นนี้ยิ่งตอกย้ำว่าคำกล่าวหานั้นเป็นจริง แม้จะไร้หลักฐานก็ตาม มิหนำซ้ำ วันนี้ผู้เป็นนายยังจะจัดการเรื่องนี้อีก! “ค้นทั่วทั้งเรือนแล้ว ไม่พบเจ้าค่ะแม่บ้าน!” สาวใช้ผู้หนึ่งวิ่งออกมารายงาน หอบหายใจถี่ แม่บ้านแค่นเสียงฮึอย่างดูแคลน ก่อนจะปรายตามองไปยังมุมเรือน ส่งสัญญาณพยักหน้าเล็กน้อยให้คนของตน “อย่างไรเรื่องนี้ก็ต้องแจ้งแก่นายท่านเซี่ยโดยด่วน!” เดิมทีวันนี้อากาศแจ่มใสเช่นนี้ นางยังไม่ทันได้ลุกจากเตียงด้วยซ้ำ แต่กลับมีสาวใช้จากเรือนหลังวิ่งแจ้นมาบอกว่าผู้เป็นนายหายตัวไปเช่นนี้ ไฉนเลยคนเป็นแม่บ้านของจวนจะนิ่งเฉยได้ ยิ่งเมื่อเป็นคนของฮูหยินรอง เรื่องเช่นนี้ย่อมต้องสอดมือเข้ายุ่งให้ถึงที่สุด มุมปากหญิงชราลอบยิ้มสะใจ ‘เป็นเช่นนี้ก็ดี…หายไปแล้วก็อย่าได้หวนกลับมาอีก!’ ภายในเรือนหลังใหญ่ บรรยากาศที่เคยปลอดโปร่งชวนผ่อนคลายบัดนี้กลับขุ่นมัว หนักอึ้งคล้ายเมฆฝนถล่มลงมาถึงในเรือน เหล่าสาวใช้ต่างคุกเข่าก้มหน้าติดพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง “ว่าอย่างไร” เซี่ยจวิ้นอี้กดเสียงต่ำ ลมหายใจร้อนผ่าวจากโทสะที่เดือดพล่านแทบปะทุออกมา ขมับของเขาเต้นตุบๆ ยามนึกถึงถ้อยคำซุบซิบนินทาที่ได้ยินบ่อยครั้งจนแทบจำได้ขึ้นใจ มุมปากหยักกระตุกยกยิ้มเย้ยหยัน แววตาคมกริบแข็งกร้าวชัดเจนว่าโกรธเกรี้ยวเพียงใด หากแต่ยังพยายามข่มอารมณ์เอาไว้ “พี่หญิง…หายไปหรือเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของเหม่ยจินฮวาสั่นเล็กน้อยคล้ายไม่อยากเอ่ยคำนี้ออกมา ริมฝีปากเม้มแน่นแต่ก็แอบช้อนตาขึ้นมองบุรุษตรงหน้าอย่างระวัง เปรี้ยง! ฝ่ามือใหญ่ปัดถ้วยชาบนโต๊ะตกกระแทกพื้นแตกเป็นเสี่ยง น้ำชากระเซ็นกระจายทั่ว พาให้บรรยากาศในเรือนเย็นยะเยือกลงทันตา ใบหน้าหล่อเหลาของเซี่ยจวิ้นอี้ยกยิ้มเย้ยหยัน มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโป่ง น้ำเสียงทุ้มลอดไร้ฟันดังชัดเจนทุกคำ “ไป๋ซูหนิง! ช่างอวดดีนัก! กล้าสวมหมวกเขียวให้ข้าอย่างเปิดเผยไร้ซึ่งความเกรงกลัว มิหนำซ้ำยังกล้าหนีความผิดไปอีกหรือ!” เหม่ยจินฮวาลอบยิ้มสะใจในใจ แววตาฉายความพึงพอใจ แต่ก็รีบเสแสร้งตีหน้าเศร้าสงสารปั้นคำยุยงเสริม “พี่หญิงช่างใจกล้าสวมหมวกเขียวให้ท่านพี่ มิหนำซ้ำบุรุษผู้นั้นยังไม่ใช่ผู้ใดอื่นแต่เป็นสหายใกล้ชิดอีก…นางซ่อนได้ถึงเพียงนี้ช่างไม่เกรงกลัวหรือระอายใจต่อฟ้าดินเลยจริงๆ” ฟังแล้วโทสะของเซี่ยจวิ้นอี้ยิ่งพุ่งสูง หากนางยังอยู่ต่อหน้า ไหนเลยเขาจะไม่ถามความจริงให้กระจ่าง แต่เวลานี้สิ่งเดียวที่คิดคือราวกับว่านางยอมรับ เช่นนั้น ก็ต้องลงโทษสั่งสอนใหราบจำเท่านั้น “ไปตามหาสตรีร่านผู้นั้นให้พบ!” น้ำเสียงทุ้มตวาดลั่นเรือน “และลากนางมาคุกเข่าสำนึกผิดต่อหน้าบรรพชลสกุลเซี่ย!”หลายเดือนผ่านไปจวนสกุลไป๋เผชิญเรื่องราวมากมายจนหาความสงบไม่ได้ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างเริ่มราบรื่น ไม่มีอุปสรรคใดกีดขวางและแม้กิจการของสกุลไป๋จะมีเศรษฐีมู่คอยจัดการให้ ทุกอย่างราบรื่นจนแทบไม่น่าเชื่อ ยิ่งกว่านั้น ครรภ์ของคุณหนูก็ล่วงเลยมาถึงเดือนสุดท้ายก่อนคลอด สุขภาพทั้งมารดาและบุตรก็แข็งแรงสมบูรณ์หากเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว ไม่มีผู้ใดไม่ตื่นเต้นรอคอยวันที่จะได้พบเด็กน้อยผู้นั้น คุณชายไป๋ทั้งสามต่างก็หลงหลานกันไม่ต่างกัน และนายท่านมู่ก็ไม่แพ้กัน ถึงขั้นอยากย้ายข้าวของเข้ามาอยู่ในจวนสกุลไป๋เพื่อดูแลคุณหนูอย่างใกล้ชิด แต่ถูกคุณชายทั้งสามห้ามไว้เสียก่อนแม้คุณหนูไป๋กับเศรษฐีมู่จะยังไม่ได้แต่งงานร่วมกราบไหว้ฟ้าดินกันแต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เป็นที่รู้กันในชิงโจวว่างานมงคลครั้งใหญ่กำลังจะมาถึงในไม่ช้าแน่!ไป๋ซูหนิงนอนเอนกายริมสระบัว สายลมพัดผ่านทำให้รู้สึกเย็นสบาย เคลิบเคลิ้มเกือบจะหลับไปหลายครั้งนัยน์ตาคู่สวยหนักอึ้ง ปรือขึ้นอย่างยากลำบาก จริงๆ แล้ว นางก็ไม่ได้ทำอะไรทั้งวัน นอกจากนอนและกินเกือบทั้งวัน“อาเหยียน…” เสี
น้ำเสียงหวานแฝงความน้อยเนื้อต่ำใจ หากแต่เจือไปด้วยความโกรธลึกอย่างถึงที่สุด ภายในใจของนางก็เดือดดาลไม่แพ้กัน มือทั้งสองข้างกำจนข้อนิ้วขาวซีด ลมหายใจหอบถี่ เนื้อตัวสั่นทึ่มนัยน์ตาเมล็ดซิ่งสบเข้ากับดวงตาคมกริบของบุรุษตรงหน้า หาได้กระพริบตาหรือหลบสายตาเลยแม้แต่น้อยมู่เหยียนเจ๋อรู้สึกปวดใจจริงๆ ไหนเลยยามนี้นางจะยังท้องอยู่อีก เขาเดินเข้าไปใกล้ก่อนเอ่ยแผ่วเบาเจือด้วยความอ่อนโยน“หากยุ่งยากนักก็ปล่อยให้ข้าปล่อยให้พี่ชายของเจ้าและข้าจัดการเรื่องนี้เถอะ” เขาไม่อยากเห็นนางโกรธ หรือต้องเจ็บช้ำน้ำใจ ไม่ว่าผู้ใดก็อย่าได้บังอาจทำให้อารมณ์ของนางต้องขุ่นเคืองและมัวหมองเด็ดขาด!“อือ! พวกเจ้าพานางเข้าไปในจวนเถอะ” ไป๋อวี่เซวียนเห็นด้วย เขาออกคำสั่งกับสาวใช้ที่ยืนมองอยู่ อย่างรวบรัด หาได้ให้อีกฝ่ายเอ่ยปฏิเสธจัดการเอง มองดูแล้วคนสกุลเซี่ยผู้นี้ไม่มีทางยอมจากไปโดยง่ายแน่!เกรงว่าคงจะได้โดนเขาตีก่อนจริงๆ ถึงจะหลาบจำมู่เหยียนเจ๋อว่ามือลงบนหน้าท้องของนางอย่างแผ่วเบาสัมผัสแรกพลันทำให้หัวใจแกร่งกระตุกวูบ แผ่ซ่านไปด้วยความรู้สึกอยากจะกางแขนใช้ทั้งชีวิตปกป้อง สายตาคมกริบช้อนสบกับสตรีตรงหน้า “ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่
นึกไม่ถึงเลยว่านางจะปล่อยให้แมวกินปลาย่างได้!เหม่ยจินฮวาหาได้คุ้นเคยกับสถานที่และผู้คนที่นี่ ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางใด ล้วนเจอสายตาแปลกประหลาดจับจ้อง นางเดินออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็เปลี่ยนใจหันหลังกลับเข้าโรงเตี๊ยมทันทีทว่าเมื่อก้าวเข้าห้อง สิ่งที่เห็นกลับทำให้นางชะงัก เมื่อสามีที่สมควรจะนอนแผ่อยู่บนเตียงกลับหายตัวไปเหลือเพียงไออุ่นจางๆ บนฟูกเป็นหลักฐานว่ามีเคยคนอยู่ตรงนี้เมื่อไม่นานก่อนเพียงชั่วขณะนั้น ความอดทนที่อดกลั้นมาหลายวันพลันพลุ่งพล่านแตกกระจาย ราวกับหม้อต้มเดือดจัดจนฝาปิดกระเด็น เสียงกรีดร้องโกรธเกรี้ยวหลุดจากปาก ดวงตาคู่งามแดงก่ำ เส้นเอ็นบนขมับเต้นตุบๆ อย่างเด่นชัด มือกำแน่นจนข้อนิ้วขาวซีดเสียงแหลมปรี๊ดของนางดังลั่น ข้าวของบางชิ้นแตกกระจาย บางชิ้นหล่นกระแทกพื้นดังสนั่น ความโกรธเกรี้ยวของเหม่ยจินฮวาทำเอาห้องข้างเคียง ห้องตรงข้ามรวมถึงชั้นบนชั้นล่าง ต่างพากันได้ยินและรีบแห่มาดูอย่างตื่นตระหนก ทว่านางหาได้สนใจไม่แต่กลับตะโกนเรียกหาเจ้าของโรงเตี๊ยมแทน โดยไม่สนใจเสียงด่าทอหรือสายตาสาปส่งของผู้คนแม้แต่น้อยเหม่ยจินฮวาถามกับผู้ดูแลโรงเตี๊ยมอยู่สองสามประโยคก็ได้ความว่า ตอนนี้เขา
กว่าจะเดินทางมาถึงชิงโจวก็ใช้เวลาหลายวัน แล้วยิ่งห่างภรรยาเกือบสองเดือน เซี่ยจวิ้นอี้ยิ่งไม่อาจข่มตาหลับได้ทั้งที่ร่างกายจะเหนื่อยล้าเพียงใดก็ตามเซี่ยจวิ้นอี้ออกจากโรงเตี๊ยม สายตาคมกริบกวาดมองถนนยามสายที่หาได้คึกคักเหมือนวันแรกที่มาถึง และยอมรับตามตรงว่า เขาไม่รู้แม้แต่ว่าควรเริ่มตามหาภรรยาจากที่ใดโรงเตี๊ยมที่พักอยู่เป็นกิจการของสกุลไป๋ แซ่เดียวกับภรรยา เมื่อซักถามอยู่พักใหญ่จึงได้ความว่า ในชิงโจวมีเพียงสกุลไป๋ตระกูลเดียว ทว่ามีเพียงบุตรชายสามคน หาได้มีสตรีตามที่เขาตามหาเพียงเท่านี้ก็พอให้เขามั่นใจได้แล้ว เขาจำได้ว่าไป๋ซูหนิงเคยเล่าเรื่องพี่ชายทั้งสามให้ฟัง เพียงแต่ตอนนั้นเขาอาจมัววุ่นอยู่กับงาน จึงไม่ได้ใส่ใจนัก ใครจะคิดเล่าว่าวันหนึ่งนางจะหนีจากจวนไปเช่นนี้ จนต้องการมาตามหาเซี่ยจวิ้นอี้เดินตามทางที่ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมแนะนำ อย่างน้อยก็ยังมีความหวัง สายตาคมสอดส่องไปทั่ว ไม่แน่ว่าจะบังเอิญอาจได้พบนางระหว่างทางก็ได้ทว่ากลับผิดคาด…ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาคมคาย รูปร่างสูงกำยำ อาภรณ์ที่สวมใส่สะอาดสะอ้านและกลิ่นอายของขุนนาง ทำให้ระหว่างทางไม่ว่าผู้ใดต่างก็อดเหลียวมองไม่ได้ ราวกับถูกสะกดจนยา
ไป๋ซูหนิงไม่รู้ว่าเมื่อวานพี่ชายทั้งสามของนางพูดอะไรกับนายท่านมู่บ้าง เหตุใดเช้าวันถัดมาจึงส่งรถม้าสกุลมู่มารับนางถึงที่จวนโดยไม่มีผู้ใดเอ่ยปากห้ามหรือแสดงท่าทีขุ่นเคืองไม่พอใจออกมาทางสีหน้า เพียงแค่กล่าวว่า เห็นนางอุดอู้เอาแต่อยู่ในจวนหลายวัน สมควรออกไปเดินเล่นผ่อนคลายบ้างไป๋ซูหนิงเพียงพยักหน้าหงึกๆ ออกมาอย่างว่าง่ายจวนสกุลไป๋อยู่ไม่ห่างจากตลาดนัก ทว่าตลอดทางนางเอาแต่นั่งเงียบ เก็บเงื่อนงำความสงสัยไว้ในใจ ไม่เอ่ยถามสักคำ เพียงทอดสายตามองเขาอย่างไม่วางใจจนกระทั่งเสียงล้อรถม้าหยุดลง“หากคุณหนูไป๋เปลี่ยนใจ ไม่อยากลงเดินแล้ว แต่อยากจะนั่งจ้องข้าเช่นนี้ ก็กลับดีกว่าหรือไม่ ข้าจะนั่งให้มองจนกว่าจะเบื่อ”มู่เหยียนเจ๋อรู้สึกได้ว่านางจ้องเขามาตลอดทาง ทั้งที่สงสัยมากแต่กลับนิ่งเงียบ เขาหันมาสบตากับนัยน์ตาเมล็ดซิ่งพอดีไป๋ซูหนิงชะงัก ก่อนเรียกสติกลับมา นัยน์ตาเมล็ดซิ่งกระพริบปริบๆ อย่างเก้อเขิน ริมฝีปากบางเม้มแน่น “วันนั้น…พี่ชายข้าพูดอะไรกับนายท่านมู่กันแน่”นางถามตรงๆ ไม่อ้อมค้อมมู่เหยียนเจ๋อลงจากรถม้า แล้วยื่นมือประคองนางลงอย่างระมัดระวัง สายตาคมเฝ้ามองทุกฝีเท้าราวกับกลัวว่าจะพลาดแล้วคว้
ครั้งนี้ แม้จะไม่ได้พูดคุยกันสองคน ท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่จับจ้องอยู่คุณชายไป๋ทั้งสามไม่เปิดโอกาสให้เศรษฐีมู่ผู้นี้ได้พูดคุยกับคุณหนูอย่างสงบแต่กลับชักชวนอีกฝ่ายมาดวลหมากด้วยกันเสียอย่างนั้น ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจจะให้ดื่มน้ำชาเพียงจอกเดียว แล้วไล่ออกไปจากจวนทันที ทว่าด้วยความตั้งแง่ จึงอยากข่มขู่หยั่งเชิงเพียงชั่วพริบตา บรรยากาศในจวนกลับคุกรุ่น เต็มไปด้วยกลิ่นอายกดดันปกคลุมทั่วบริเวณสาวใช้ที่อยู่แถวนั้นพลันรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก ราวนั่งอยู่ตรงหน้ากระดานหมากเสียเอง ไม่ว่าจะสายตาจริงจัง สีหน้าเคร่งขรึมของคุณชายทั้งสามที่จ้องเขม็งนายท่านมู่ พลางทำให้พวกนางรู้สึกแทบกระอักกระอ่วนแทนไป๋ซูหนิงนอนเอนกายทอดสายตามองลานประลองหมากตรงหน้า รอยยิ้มจางๆ ปรากฏบนใบหน้าอย่างเบิกบาน“เสี่ยวเถา…เจ้าว่า พี่ชายของข้าจะแพ้หรือไม่”เสี่ยวเถาจ้องหมากกระดานอย่างตั้งใจ ก่อนจะปรายตามองคนถาม “คุณหนูว่าอย่างไรเจ้าคะ”“พี่ชายของข้าชอบดวลหมากมาก เกรงว่าคงฝีมือดีแต่กับนายท่านมู่ที่วันๆ คงดีดลูกคิดนับแต่เงิน” ไป๋ซูหนิงกล่าวตามที่เห็น แม้พี่ชายทั้งสามนั้นต่างมีนิสัยและความชอบต่างกัน ทว่าหากเมื่อใดว่าก็ชักชวนกันดวลมาก







