Share

๓ หลีกหนีจากอดีต

last update Last Updated: 2025-09-08 01:12:24

หลายปีก่อน ตั้งแต่จำความได้ นางก็เอ่ยปากเรียกบุรุษผู้นั้นว่าท่านพี่มาตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งก้าวเข้าสู่จวนสกุลเซี่ยในฐานะภรรยาของเซี่ยจวิ้นอี้ ความคุ้นชินนั้นก็ยังไม่เคยเลือนหายไป

ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเขาในฐานะสามีภรรยา ไม่เคยมีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้นหรือบางทีอาจเป็นเพียงความเคยชินที่รู้นิสัยใจคอมานานหาได้มีเรื่องอันใดต้องปรับตัวเข้าหากัน

ไป๋ซูหนิงเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของสกุลไป๋ ทว่าไม่ใช่บุตรเพียงคนเดียวของนายท่านไป๋และไป๋ฮูหยินนางยังมีพี่ชายร่วมสายเลือดอีกสามคน

ในยามนั้นกิจการค้าของสกุลไป๋กำลังเฟื่องฟูยิ่งนัก ทั้งบิดา มารดาและเหล่าพี่ชายต่างเดินทางค้าขายไปต่างแคว้นอยู่บ่อยครั้ง นางจึงถูกส่งเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงกับท่านย่า เพราะฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่านางเป็นสตรีและยังเด็กเกินไปไม่สมควรเดินทางไกล

นับตั้งแต่ตอนนั้นนางจึงต้องห่างเหิมกับครอบครัว

บางทีเรื่องราวทั้งหมดคงเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น…ตั้งแต่วันที่นางย้ายมาอยู่กับท่านย่า และได้ผูกชะตาชีวิตกับบุรุษผู้นี้อย่างแน่นหนาเกินกว่าจะคลายออกได้

ท่านย่าของนางเป็นภรรยาของขุนนางผู้เคยทรงอำนาจในวังหลวง มีทายาทเพียงสองคนคือบิดาของนางและท่านลุง แต่บิดานั้นไม่ชอบความวุ่นวายในเมืองใหญ่ จึงย้ายออกไปตั้งรกรากไกลถึงเมืองชิงโจวจนได้พบและแต่งงานกับมารดาของนาง เหลือเพียงท่านลุงที่สืบทอดชื่อเสียงและอำนาจของสกุลไป๋ต่อไป

ในวัยเด็กของไป๋ซูหนิง…นางเชื่อฟังทุกอย่างที่ท่านย่าสอน ไม่ว่าจะพาไปที่ใดหรือทำสิ่งใด นางก็ก้มหน้าพยักหน้าหงึกๆ ไม่เคยเอ่ยปากขัดจนกระทั่งวันหนึ่ง ปลายฤดูเหมันต์ปีนั้น…จวนสกุลเซี่ยส่งเทียบเชิญให้ไป๋ฮูหยินผู้เฒ่ามาดื่มน้ำชาที่จวนและนั่นเป็นครั้งแรกที่นางได้พบกับเซี่ยจวิ้นอี้ในวัยเยาว์

เด็กสาวที่จากบ้านมาไกล ไร้สหายสนิท เมื่อได้พบพี่ชายผู้นั้นซึ่งอ่อนโยนและคอยตามใจนางเสมอ ไหนเลยหัวใจจะไม่ผูกพัน

ทุกครั้งที่ว่างจากคัดอักษร ปักผ้าหรือร่ำเรียนศาสตร์ทั้งสี่ของสตรี นางก็มักจะขอไปจวนสกุลเซี่ยทุกคราและฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่ได้ขัดอันใดแต่กลับคิดว่าอย่างไรเสียในอนาคตทั้งสองตระกูลย่อมกลายเป็นทองแผ่นเดียวกันอยู่แล้ว ย่อมไม่มีเรื่องเสียหายให้กังวล

จนกระทั่งไป๋ซูหนิงเติบโตเป็นดรุณีน้อย ความรู้สึกนั้นก็ยิ่งชัดเจนขึ้นฝังรากลึกลงในจิตใจ

นางถึงขั้นเอ่ยปากกับท่านย่าอย่างแน่วแน่ว่า หากไม่ได้ชาตินี้ไม่ได้แต่งกับเซี่ยจวิ้นอี้ก็ขออยู่ผู้เดียวไปตลอดชีวิตเสียยังดีกว่าที่จะ ต้องฝืนใจกลายเป็นภรรยาของผู้อื่นที่ไม่ได้มีใจให้

ทว่า จู่ๆ ท่านย่าของนางก็ล้มป่วยอย่างกระทันหันและสิ้นใจจากไปอย่างรวดเร็ว นั่นคือช่วงเวลาที่มืดมนไร้หนทางที่สุดในชีวิตของไป๋ซูหนิงที่เสียคนที่สนิทและคุ้นเคยไป

ทว่าในยามที่นางสิ้นหวังที่สุด…แต่กลับมีเขาเพียงผู้เดียวที่คอยอยู่เคียงข้างและยื่นมือมาจับนางเอาไว้แน่นไม่ให้หลงทาง

ภายหลังไป๋ซูหนิงจึงได้รู้ว่า แท้จริงแล้วสกุลไป๋และสกุลเซี่ยได้ตกลงจะผูกทั้งสองตระกูลเข้าด้วยกันไว้ตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อนแล้ว รวมกับจะรวมทองเป็นแผ่นเดียวกัน

ไป๋ซูหนิงยิ่งมั่นใจว่านางได้เลือกสามีในวันข้างหน้าไม่ผิดแน่

บุรุษผู้นี้คือคนที่นางต้องการให้เป็นสามี และเป็นบิดาของบุตรในอนาคต แม้ยามนั้นจะถึงวัยปักปิ่นแล้ว ทว่านางก็ยังเลือกที่จะไว้ทุกข์ให้ท่านย่านานถึงสามปีก่อนที่จวนสกุลเซี่ยจะส่งแม่สื่อมาสู่ขออย่างเป็นทางการ

สามหนังสือหกพิธีถูกจัดขึ้นตามธรรมเนียม จนกระทั่งได้วันมงคลที่ดีที่สุดของปี ไป๋ซูหนิงได้สวมชุดเจ้าสาวสีชาดที่ใฝ่ฝันมานานเสียที งานแต่งนั้นยิ่งใหญ่จนกลายเป็นเรื่องที่เหล่าสตรีทั่วทั้งเมืองหลวงต่างอิจฉา สามีของนางเพียบพร้อมทั้งรูปโฉม ฐานะและชาติตระกูล สมกับที่นางเคยเฝ้ารอคอยมาทั้งชีวิต…หรืออย่างน้อยนางก็เคยเชื่อเช่นนั้น

เซี่ยจวิ้นอี้ในยามนั้นเป็นสามีที่ดีอย่างแท้จริงตอนที่ยังเป็นเพียงพี่ชาย…นางก็คิดว่าเขาดีกับตนมากแล้ว

ทว่าภายจากที่หลังแต่งเข้าจวนสกุลเซี่ย เขายิ่งอ่อนโยนต่อนางมากกว่าเดิมเสียอีก มิหนำซ้ำยังให้เกียรติทั้งต่อหน้าและรับหลัง ไม่ทำให้นางต้องรู้สึกเหนื่อยใจหรือลำบากใจเลยแม้แต่น้อย

การกระทำทั้งหมดเหล่านี้…นางไม่เคยร้องขอ แต่เขากลับพร้อมยื่นให้อย่างเต็มใจ

มิหนำซ้ำแล้ว นอกจากสามีจะรักใคร่เอ็นดูนาง ผู้คนในจวนสกุลเซี่ยก็ยิ่งเอ็นดูนางมากขึ้นกว่าเดิมเพราะเห็นว่าคุ้นเคยเห็นมาตั้งแต่วัยเยาว์จนได้กลายมาเป็นสะใภ้ของสกุลเซี่ยเสียที

ชีวิตหลังแต่งงานของไป๋ซูหนิงราบรื่นดั่งที่ฝันเอาไว้

ทว่า…เพียงหนึ่งปีให้หลัง เหมือนสวรรค์จงใจจะกลั่นแกล้ง มารดาของเซี่ยจวิ้นอี้ล้มป่วยด้วยโรคชราและจากไป ทั้งนางและเขาต้องไว้ทุกข์ถึงสามปีเต็ม หลังพ้นช่วงเวลานั้น ทุกอย่างราวกับเป็นฝันร้ายที่ฉุดกระชากนางลงเหวลึกโดยไม่ทันตั้งตัว

สามีที่เคยอ่อนโยนกลับเปลี่ยนเป็นคนละคน ราวกับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เซี่ยจวิ้นอี้กลายเป็นบุรุษเสเพลที่เข้าออกหอคณิกาไม่เว้นวัน คลุกเคล้าสุราและสตรี มากกว่าที่จะกลับจวนเพื่ออยู่กับภรรยาอย่างที่เคยทำ

ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงเปลี่ยนไปเช่นนั้น…!?

บางทีอาจเพราะการสูญเสียมารดาทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยว ว้าเวง หรือบางทีเขาอาจเพียงแค่เบื่อหน่ายที่ชีวิตต้องถูกผูกติดอยู่กับนางมานานเกินไป

แท้จริงแล้วไม่ว่าเพราะจะเหตุใด แต่ไป๋ซูหนิงกลับตัดสินใจโทษตัวเองและแบกรับความผิดทั้งหมดเอาไว้

นางพยายามเข้าใจความรู้สึกเจ็บปวดและสูญเสียของเขาให้มากที่สุด จนกระทั่งวันหนึ่งเขาพาสตรีผู้ผู้หนึ่งกลับจวน พร้อมกล่าวเพียงว่า เป็นสตรีสมควรมีสหายไว้พูดคุย

สหายหรือ!?

หากมีสามีที่เอาใจใส่ดั่งเคย…ผู้ใดก็ไม่จำเป็น

แต่ทว่าหากเขาอยากมีสตรีอื่น นางก็จะไม่ขัดขวาง

ไป๋ซูหนิงถูกท่านย่าสั่งสอนมาว่า หน้าที่ของภรรยาที่ดีคือคอยแบ่งเบาความเหนื่อยล้าของสามี หากเขาทำงานหนักนอกจวน นางก็ควรอ่อนโยน ยอมตามเพื่อให้จวนสงบสุข

เพราะเหตุนี้นางจึงยอมรับสตรีผู้นั้นเข้ามา คิดเพียงว่าหากสตรีนั้นช่วยปรนนิบัติให้เขาผ่อนคลายอารมณ์ลงได้ก็ดี

ทว่านับตั้งแต่วันนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเขากลับสั่นคลอนราวเรือนที่ถูกพายุพัดจนเกือบพังไม่เหลือชิ้นดี

ยามซื่อ (09.00 – 11.00 น.)

ไป๋ซูหนิงหนีออกจากจวนสกุลเซี่ยตั้งแต่เมื่อคืน จนกระทั่งยามนี้แดดสายส่องจ้า ความร้อนเริ่มแผ่ลงมาบนศีรษะ นางเดินเท้าติดต่อกันมาตลอดทางจนถึงประตูทางออกเมืองหลวง นับตั้งแต่ถูกพามาอยู่เมืองหลัวกับท่านย่า นางแทบไม่ได้กลับบ้านเดิมเลย

นอกจากในวันครบรอบการจากไปของบิดากับมารดาเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น

ยิ่งกว่านั้นแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างพี่ชายทั้งสามของนางก็ห่างเหินราวกับคนแปลกหน้า ไม่หลงเหลือความอบอุ่นและคุ้นเคยให้ยึดเหนี่ยวแม้แต่น้อย

ไป๋ซูหนิงยืนนิ่งอยู่หน้าประตูเมือง สายตาทอดยาวออกไปเบื้องหน้า ความคิดหนักอึ้งวนเวียนในหัว หากไม่ลองหนีออกไปตายเอาดาบหน้าก็คงจะจบชีวิตซ้ำรอยเดิมอยู่ดี มือเรียวเผลอยกขึ้นลูบหน้าท้องที่ยังราบเรียบอย่างแผ่วเบา

เรื่องที่นางตั้งครรภ์ เดิมตั้งใจจะบอกเซี่ยจวิ้นอี้ตั้งแต่วันแรกที่รู้ทว่าแต่ละวันเขากลับจวนดึกดื่นจนไม่เคยมีโอกาสได้พูด จนเวลาล่วงเลยเข้าสู่เดือนที่สอง…กระทั่งวันที่ตนสิ้นใจ ตายไปพร้อมลูกในครรภ์ เขาก็ยังไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นบิดาแล้ว เลือดเนื้อเชื้อไขครึ่งหนึ่ของเขาถูกฆ่าไปพร้อมกับนางอย่างน่าสมเพช

บุรุษใจด้านชาผู้นั้น…จะรู้สึกผิดแม้แต่น้อยหรือไม่?

นางคงไม่หวังอีกแล้ว

“แม่นาง! หากไม่ขึ้นรถม้าก็หลบไปหน่อย”

เสียงห้วนๆ ของสารถีดังขึ้น เรียกไป๋ซูหนิงหลุดจากภวังค์ ความคิดฟุ้งซ่านถูกตัดขาด นางเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา เห็นแววตาอีกฝ่ายที่มองมาอย่างคลางแคลง ราวกับกำลังสงสัยว่าเหตุนางถึงยืนเหม่ออยู่ท่ามกลางแดดแต่เช้า

ไป๋ซูหนิงสูดหายใจลึก

นางตัดสินใจแล้ว นับจากนี้ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร นางก็ต้องกลับบ้านเกิดให้ได้ อย่างน้อยก็หาที่ตั้งหลักก่อนจะหาทางรอดต่อไป ดีกว่าถูกจับกลับไปจบชีวิตในจวนสกุลเซี่ยอีกครั้ง!

นางโค้งศีรษะเล็กน้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พาข้ากลับบ้านด้วยเถอะเจ้าค่ะ”

สารถีมองหญิงสาวตรงหน้า ไล่สายตาตั้งแต่ใบหน้านางจนสังเกตุอาภรณ์ที่สงมใส่ แล้ฝไหนจะผิวพรรณไปจนถึงท่าทางสง่างาม เชาพลันรู้ได้ทันทีว่า หากไม่เป็นคุณหนูหรือฮูหยินจากจวนผู้ดีแน่!

และหากไม่ใช่หนีออกจากบ้านเพราะถูกแม่สามีรังแกก็คงเพราะถูกสามีขับไล่ไสส่งให้ออกจาเรือน

เขาจึงพยักหน้าหงึกๆ เอ่ยอย่างไม่ลังเล

“รีบขึ้นมาเถอะ! ข้าจะพาแม่นางกลับไปส่งถึงบ้านอย่างปลอดภัยเอง”

ไป๋ซูหนิงกล่าวอย่างสุภาพ “ขอบคุณเจ้าค่ะ”

“อืม…เมืองหลวงกว้างใหญ่ ผู้คนมากมาย ใจคนบางครั้งก็เย็นชาดุจหิน ไหนเลยจะเทียบได้กับบ้านเกิดที่เคยจากมา”

รถม้าค่อยๆ พลางเคลื่อนตัวออกไป ทิ้งเพียงฝุ่นบางเบาลอยตามแรงลม ขณะที่ไป๋ซูหนิงก้าวขึ้นรถม้าพร้อมกับยกมือขึ้นกอบกุมหน้าท้งองเอาไว้แน่นราวกับจะปกป้องสิ่งล้ำค่าที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของนาง

ณ จวนเว่ยอ๋อง

ทั้งที่ปากเคยพ่นคำขับไล่ด่าไสส่ง ราวกับว่าอยากจะไม่เห็นหน้านางไปตลอดชีวิต ทว่าเมื่อเงาของสตรีผู้นั้นหายไปจริงๆ ในใจของเซี่ยจวิ้นอี้กลับว้าวุ่นจนแทบไม่อาจข่มความร้อนรนลงได้

สตรีไม่สนิทสนมกับผู้ใดในเมืองจะหนีไปได้ที่ใดกันเล่า?

ลึกๆ ในใจแล้วนั้น เซี่ยจวิ้นอี้ย่อมรู้สึกเป็นห่วง อย่างไรเสียก็เป็นคุ้นเคยที่รู้จักมาหลายปี จนปานนี้ก็ยังไร้วี่แวว พลันทำให้หัวใจที่ด้านชามานานกระตุกวูบด้วยความหวาดกลัวอย่างไม่รู้ตัว

“หึ! นายท่านเซี่ยหรือ”

เว่ยอ๋องยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ สายตาคมกริบทอดมองอีกฝ่ายด้วยแววขบขันปนดูแคลน “สหายมาเยี่ยมเยือนทั้งที สมควรดื่มสุราสักจอกกับข้าก่อนหรือไม่ หากมีเรื่องอันใดเอาไว้ค่อยพูดคุยทีหลัง”

ยามนั้นเขากำลังผ่อนคลายอารมณ์อยู่แต่ จู่ๆกลับมีแม่บ้านวิ่งแจ้นสีหน้าตื่นตะหนกเข้าไปรายงานว่า นายท่านเซี่ยเดินบุกเข้ามาในจวนท่าทางนีบร้อนถามหาภรรยาที่นี่…แต่เหตุใดสตรีผู้นั้นจึงต้องมาปรากฏกายอยู่ในจวนเว่ยอ๋องของเขาเล่า?

เห็นทีบุรุษตรงหน้าคงโง่งมจนทำให้นางต้องโกรธเคืองถึงได้หนีหายไปเป็นแน่!

“นางอยู่ที่ใด” เซี่ยจวิ้นอี้เอ่ยถามเสียงต่ำ ข่มความโกรธที่ปะทุในอกเอาไว้แทบไม่ไหว

เขาถอนหายใจกระฟัดกระเฟียด มทอทั้งสองข้ากำมัดแน่น หาได้อยากพูดอันใดให้มากความจนกระทบกระทั่งกับสหายผู้นี้ไปมากกว่านี้

เซี่ยจวิ้นอี้เพียงต้องการให้ภรรยากลับจวนเท่านั้น มิได้คิดมานั่งร่ำสุรากับสหายผู้จิตใจไม่ซื่อตรงไม่!

เว่ยอ๋องแค่นหัวเราะเบาๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า “หึ…นายท่านเซี่ยที่จิตใจด้านชานักหนา ก็รู้จักหึงหวงภรรยาเป็นด้วยหรือ”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เกิดใหม่อีกคราข้าจะพาลูกหนีสามีชั่ว   ๔ ยามที่สิ้นหวัง

    เซี่ยจวิ้นอี้เจอกับไป๋ซูหนิงครั้งแรก เมื่อตอนที่อีกฝ่ายยังอายุเพียงแค่เจ็ดขวบเท่านั้นส่วนเขาเพิ่งมีอายุสิบห้าปีเต็ม ผู้ใดจะคาดคิดว่ามีวาสนาได้พบพานแล้วยังมีวาสนาได้ครองคู่อีก เด็กสาวที่เอ็นดูในวันวานกลับกลายเป็นภรรยาที่ร่วมกราบไหว้ฟ้าดินในวันนี้ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าฐานะพี่ชายหรือสามี…เซี่ยจวิ่นอี้ล้วนถนุถนอมทะนุถนอมไป๋ซูหนิงราวกับไข่ในหิน ไม่เคยทำให้นางต้องเจ็บช้ำน้ำใจ ทว่ายามนี้กลับเป็นเขาที่ถูกหักหลังและทรยศอย่างไม่น่าให้อภัย!ภายในอกของเซี่ยจวิ้นอี้คับแน่นเต็มไปด้วยความโกรธที่พลุ่งพล่านจนคล้ายจะปะทุออกมา มุมปากหนากระตุกยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นยะเยือก เขาแค่นเสียงฮึดฮัดต่ำในลำคอ สายตาคมกริบตวัดจ้องบุรุษตรงหน้าอย่างแข็งกร้าว“หึ! ไม่คาดคิดเลยว่า เว่ยอ๋องจะมีนิสัยชอบแอบลักลอบกินของหลังจวนผู้อื่นเช่นนี้!”คิ้วของเว่ยอ๋องขมวดแน่นเล็กน้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงงไม่กระจ่างแจ้ง ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างขุ่นเคือง “นายท่านเซี่ย โปรดระวังคำพูดด้วย”เว่ยจิ้นหลานไม่เข้าใจนักว่าบุรุษผู้นี้เกิดคลุ้มคลั่งอะไรขึ้นมา จู่ๆ ถึงได้บุกเข้าจวนเว่ยอ๋องบุ่มบ่ามตามหาภรรยา ทั้งยังมีท่าทีโกรธเกรี้ยวประหนึ่งหากม

  • เกิดใหม่อีกคราข้าจะพาลูกหนีสามีชั่ว   ๓ หลีกหนีจากอดีต

    หลายปีก่อน ตั้งแต่จำความได้ นางก็เอ่ยปากเรียกบุรุษผู้นั้นว่าท่านพี่มาตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งก้าวเข้าสู่จวนสกุลเซี่ยในฐานะภรรยาของเซี่ยจวิ้นอี้ ความคุ้นชินนั้นก็ยังไม่เคยเลือนหายไปความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเขาในฐานะสามีภรรยา ไม่เคยมีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้นหรือบางทีอาจเป็นเพียงความเคยชินที่รู้นิสัยใจคอมานานหาได้มีเรื่องอันใดต้องปรับตัวเข้าหากันไป๋ซูหนิงเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของสกุลไป๋ ทว่าไม่ใช่บุตรเพียงคนเดียวของนายท่านไป๋และไป๋ฮูหยินนางยังมีพี่ชายร่วมสายเลือดอีกสามคนในยามนั้นกิจการค้าของสกุลไป๋กำลังเฟื่องฟูยิ่งนัก ทั้งบิดา มารดาและเหล่าพี่ชายต่างเดินทางค้าขายไปต่างแคว้นอยู่บ่อยครั้ง นางจึงถูกส่งเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงกับท่านย่า เพราะฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่านางเป็นสตรีและยังเด็กเกินไปไม่สมควรเดินทางไกลนับตั้งแต่ตอนนั้นนางจึงต้องห่างเหิมกับครอบครัวบางทีเรื่องราวทั้งหมดคงเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น…ตั้งแต่วันที่นางย้ายมาอยู่กับท่านย่า และได้ผูกชะตาชีวิตกับบุรุษผู้นี้อย่างแน่นหนาเกินกว่าจะคลายออกได้ท่านย่าของนางเป็นภรรยาของขุนนางผู้เคยทรงอำนาจในวังหลวง มีทายาทเพียงสองคนคือบิดาของนางและท่านลุง แต่

  • เกิดใหม่อีกคราข้าจะพาลูกหนีสามีชั่ว   ๒ หวนคืนกลับมา

    อากาศช่วงนี้แปรปรวนเสียจริง กลางวันแดดออกแต่พอตกกลางคืนกลับมืดครึ้ม ฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนักจนไม่ทันตั้งตัวเปรี้ยง!เสียงฟ้าคำรามดังก้องฟาดลงกลางลานจวนสกุลเซียวราวกับมีว่าผู้ใดกล้าฝ่าฝืนกฎสวรรค์ไป๋ซูหนิงสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมากลางดึก ลมหายใจหอบถี่จนหน้าอกกระเพื่อมสั่นไหว กรอบใบหน้าคนงามเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อที่ผุดพราย ริมฝีปากแห้งเหือดคล้ายปลาขาดน้ำ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งสั่นระริกเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกนี่คือเรือนของนางมิใช่หรือ…?แต่เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ ทั้งที่เมื่อคืนสมควรต้องตายอย่างอนาถอยู่กลางลานจวนแล้วมิใช่หรือ!ความหนาวเหน็บเย็นยะเยือกพลันกัดกร่อนลึกถึงกระดูก ความร้อนผ่าวของยาพิษรสเฝื่อนที่ไหลลงคอ ความเจ็บปวดหน่วงในหน้าท้อง…ความรู้สึกเหล่านั้นช่างสมจริงราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่แต่พอนางลืมตาตื่นขึ้นมากลับพบว่าเป็นเพียงแค่ความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้นหรือ?ไป๋ซูหนิงหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนจะผ่อนออกยาวราวกับระบายความคิดและความหวาดกลัวที่เอ่อท่วมอกเรือนผมงามที่ปรกกรอบใบหน้ายังคงชื้นไปด้วยหยาดเหงื่อ นางลุกขึ้นนั่งบนเตียง ตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ยกมือที่สั่นเครือด้วยความ

  • เกิดใหม่อีกคราข้าจะพาลูกหนีสามีชั่ว   ๑ ชาตินี้...ภพนี้ ขาดสะบั่น

    วันนี้ฝนตกหนักตลอดทั้งวันไร้วี่แววว่าจะหยุดลงราวกับว่าพายุห่าใหญ่พัดผ่านมาไม่สิ้นสุด เสียงท้องฟ้าคำรามดังกึกก้องสั่น สะเทือนสะท้อนไปทั่วราวกับสวรรค์กำลังโกรธเกรี้ยวณ จวนเซี่ย ผู้คนทั้งจวนแทนที่จะยืนหลบฝนแต่กลับกางร่มท่ามกลางสายฝนที่สาดกระหน่ำลงมาไม่หยุด บางคนถึงกับตัวสั่นระริกด้วยความหนาวเหน็บจากละอองฝนแต่ไม่ลดละจากไป สายตาทุกคู่จับจ้องมองไปยังร่างของสตรีชุดขาวผู้หนึ่งที่คุกเข่าอยู่หน้าห้องบรรพชนมานานหลายชั่วยาม ไร้วี่แววจะลุกหรือหาที่หลบฝน“…”อาภรณ์ของนางเปียกชุ่มด้วยน้ำฝน ใบหน้าคนงามซีดเซียว ริมฝีปากบางที่เคยอวบอิ่มกลับซีดสลดจนคล้ำคล้ำจางๆ“พี่หญิงก็ยอมรับมาเถอะเจ้าค่ะ ว่าท่านสวมหมวกเขียวให้ท่านพี่จริงๆ ความสัมพันธ์ของท่านกับเว่ยอ๋องลึกซึ้งเกินกว่าจะเป็นสหายสนิท!” น้ำเสียงหวานตะโกนดังลั่นแข่งกับเสียงฝนสาดกล่าวออกมาอย่างเหน็บแนมไร้ซึ่งความเห็นใจ“ไฉนเลยบุรุษและสตรีจะเป็นเพียงสหายกันได้”เหม่ยจินฮวายืนหลบฝนอยู่ใต้ชายคา เยื้องจากห้องบรรพชนเล็กน้อย สายตาของนางทอดมองสตรีตรงหน้าด้วยความสมเพชฉายออกมาอย่างปิดไม่มิด ขัดกับน้ำเสียงอ่อนหวานราวกับเห็นใตเมื่อครู่…ร่างที่ตากฝนมาหลายชั่วยาม หาก

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status