และนี่เป็นครั้งที่สามที่อ้ายอ้ายรู้สึกว่าตัวเองถูกเครื่องดูดฝุ่นอันใหญ่ดูดอีกครั้ง วิญญาณของอ้ายอ้ายหายเข้าไปในห้องนั้นพร้อมกันกับเสียงของหมอตำแยทำคลอดที่ร้องขึ้นมา
"คลอดแล้วเป็นคุณหนู คลอดแล้วเจ้าค่ะ"
สายรกถูกตัดออกพร้อมกับร่างของเด็กน้อยที่ถูกอุ้มไปชำระล้างร่างกายแล้วห่อในห่อผ้ามงคลสีแดง เด็กน้อยลืมตาขึ้นแล้วมีสีหน้าที่ดูค่อนข้าง งุนงง
สีหน้านี้ทำให้หมอตำแยถึงกับมองด้วยความประหลาดใจเด็กคนนี้เกิดมาก็ลืมตาทันใด
ดวงตากลมโตของนางยังกลอกไปมาแล้วจ้องมองใบหน้าหมอตำแยด้วยความสงสัย
หมอตำแยถูกทารกแรกเกิดจ้องมองด้วยดวงตาใสแจ๋วก็รู้สึกใจไม่ดี มิหนำซ้ำเด็กน้อยยังไม่ร้องสักแอะหรือว่าจะมีสิ่งใดผิดปกติ
อ้ะ หรือว่า...นางเป็นใบ้!
ไม่ได้การแล้วต้องรีบทำให้ร้องไห้ให้เร็วที่สุด
ในเมื่อเจ้าหัวไชเท้าขาวอวบที่เพิ่งดึงออกมาจากดินด้วยตนเองไม่ยอมส่งเสียง หมอตำแยจึงใช้ฝ่ามือฟาดที่ตูดไปสองที แต่เด็กน้อยยังมองตาแป๋วเหมือนไม่รู้สึกอันใด
หมอตำแยเริ่มใจเสีย ฮูหยินคนนี้ไม่ได้รับความโปรดปรานหากว่าบุตรสาวที่คลอดมาเป็นใบ้ชีวิตที่เหลือของนางคงไม่พ้นถูกมอบหนังสือหย่าและจากนั้นไม่ต้องเอ่ยว่าจะมีชีวิตที่ยากลำบากเพียงใด
ในขณะที่หมอตำแยกำลังตกอกตกใจ อ้ายอ้ายที่เพิ่งถือกำเนิดในร่างเด็กน้อยก็อยู่ในสภาวะงวยงงสงสัย
ความตายสำหรับนางช่วงรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน และการเกิดใหม่ก็เช่นเดียวกัน เผลอพริบตาเดียวก็ดูเหมือนว่าอ้ายอ้ายกำลังถูกผู้ใหญ่ตัวโต ๆ อุ้มเอาไว้แล้ว
อ้ายอ้ายมองไปรอบ ๆ และนางก็มองเห็นไม่ค่อยชัด นางจึงพยายามโฟกัสไปที่การมองเห็น
'ในบันทึกไม่ได้มีบอกเอาไว้ว่าเด็กน้อยตาบอด ไม่นะ ฉันไม่น่าตาบอดหรอก ต้องไม่บอดสิ สวรรค์อย่าทำร้ายฉันนักเลย!'
เพราะมัวแต่กังวลเรื่องดวงตาอ้ายอ้ายจึงเหม่อลอยไม่ยอมร้องไห้ จึงทำให้หมอตำแยยิ่งเข้าใจผิดว่าเด็กอาจเป็นใบ้ หมอตำแยจึงได้ลงมือตีก้นเด็กแรงขึ้น ด้วยความที่เนื้อยังอ่อนเกินไปเมื่อถูกฝ่ามือตีเข้าไปอย่างแรงคราวนี้อ้ายอ้ายก็รู้สึกเจ็บจนทนไม่ไหว
"อุแว้ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ"
คราวนี้อ้ายอ้ายร้องกังวานจนแสบแก้วหูไม่หยุดเพราะทั้งเจ็บที่โดนตีก้นและตกใจที่คิดว่าตัวเองอาจจตาบอด กระทั่งอ้ายอ้ายได้ยินเสียงของมารดาเอ่ยว่า
"ปลอดภัยดีหรือไม่ ให้ข้าดูนางหน่อย บุตรสาวข้า"
ดูเหมือนหมอตำแยจะพ่นลมหายใจด้วยความรู้สึกโล่งอก ตั้งแต่ทำคลอดเด็กมาตลอดชีวิตไม่เคยเห็นเด็กคนใดดื้อด้านไม่ยอมร้องไห้ออกมา และยังมีสีหน้าราวกับผู้ใหญ่เช่นนั้น
"คุณหนูปลอดภัยดี ร้องเสียงดังเช่นนี้ย่อมบ่งบอกว่าสุขภาพแข็งแรง เห็นครรภ์ของฮูหยินเล็ก ๆ ตอนแรกยังเกรงว่าเด็กจะคลอดออกมาไม่สมบูรณ์ แต่ฮูหยินดูรูปร่างอ้วนท้วนนี่สิเจ้าคะ คุณหนูช่างเป็นซาลาเปาน้อยนุ่มฟูน่ารักยิ่งนักเจ้าค่ะ"
หมอตำแยส่งอ้ายอ้ายให้มารดา มารดารับอ้ายอ้ายมาอุ้มเอาไว้พร้อมกับก้มหน้าต่ำลงมาจูบที่หน้าผากของอ้ายอ้าย เด็กน้อยหยุดร้องทันใดเมื่อเห็นใบหน้าของมารดาชัดเจน
อ้ายอ้ายเหลือบตาขึ้นลงแล้วจ้องมารดาเขม็ง ไม่อ้าปากร้องอีกทำเอามารดาประหลาดใจกับท่าทางรู้ความของเด็กน้อย
หมอตำแยปาดเหงื่อพร้อมกับเอ่ยว่า
"คุณหนูช่างรู้ความนัก เพียงฮูหยินอุ้มก็หยุดร้องทันที ราวกับเด็กเจ็ดเดือนกระนั้นไม่เหมือนเด็กแรกคลอดเลยสักนิด"
อ้ายอ้ายไม่ทันฟังคำของคนแก่คนนั้น เพราะตอนนี้อ้ายอ้ายกำลังสงสัยว่าทำไมเดี๋ยวเห็นชัดทำไมเดี๋ยวเห็นไม่ชัด
'เอ๋ ตอนหม่าม้าขยับหน้าเข้ามาใกล้ เห็นหม่าม้าชัดเจน ไม่ตาบอดหรือ'
จากนั้นจึงคิดได้ว่า
'อ้อ เพิ่งคลอดออกมา เด็กจะมองเห็นไม่ชัดนอกจากจะมองใกล้ ๆ กว่าจะมองเห็นชัดก็น่าจะอีกหลายเดือน ไม่ตาบอดแล้ว ไม่ตาบอดแล้ว'
อ้ายอ้ายก็พลันรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขยิ่งนัก ดวงตากลมใสแจ๋วจ้องมองมารดา จากนั้นก็ส่งเสียงร้องอ้อแอ้และส่งรอยยิ้มออกมาเมื่อเห็นใบหน้าของนางชัดเจน
มือเล็กป้อมยื่นมาข้างหน้าราวกลับจะคว้าใบหน้าของมารดาเอาไว้ ดูเป็นเจ้าก้อนแป้งน้อยที่กระตือรือร้นเกินเด็กแรกเกิดคนอื่น
'หม่าม้าจ๋า หม่าม้าสวยจังเลย มีหม่าม้าที่สวยแบบนี้อ้ายอ้ายก็คงไม่ขี้เหร่แล้ว'
เพราะบุตรสาวเป็นทารกตัวน้อยจ้ำหม้ำอ้วนท้วนตัวขวบอวบ เวลาแย้มยิ้มแม้จะยังไม่มีฟันก็เหมือนเทพธิดาตัวน้อย พลอยทำให้หัวใจของเมิ่งสืออีพลันรู้สึกเหมือนดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน นางรู้สึกเหมือนตนเองเป็นผีเสื้อที่กำลังกระพือปีกบินวนอยู่บนดอกไม้ที่หอมกรุ่น
"เด็กดี อีเจี่ยเอ๋อร์[1]ของแม่ ถึงคนอื่นจะไม่รักแต่แม่รักลูกที่สุดเลยรู้หรือไม่"
น้ำตาของเมิ่งสืออีไหลออกเป็นทางยาวจากนั้นก็สะอื้น ในวันนี้ที่นางต้องทรมานเพราะคลอดบุตร นางกลับต้องอยู่เพียงลำพังโดยไร้เงาสามีมาคอยดูแล กระทั่งแม่สามีก็ยังไม่สนใจว่าหลานจะเป็นหญิงหรือชายจะคลอดออกมาปลอดภัยหรือไม่
แต่เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้และเห็นรอยยิ้มไร้เดียงสาของลูกน้อยก็ดูเหมือนว่านางจะมีกำลังวังชาขึ้นมาโดยพลัน ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้าจะคลอดเจ้าก้อนแป้งนี้ออกมานางยังหวาดวิตกและเต็มไปด้วยความรู้สึกหดหู่จนรู้สึกว่าจิตใจกำลังร่วงดิ่งลงเหวอันมืดมิด
เมื่อสองแม่ลูกปลอดภัยหน้าที่ของหมอตำแยก็เสร็จสิ้นลงแล้ว หญิงชราเดินออกไปข้างนอกกำชับไฉไฉสาวรับใช้ของฮูหยินซึ่งเป็นหลานสาวของตนเองในเรื่องการดูแลสตรีหลังคลอดหลายคำ
"ขอบคุณท่านป้าเจ้าค่ะ หากไม่ได้ท่านป้าฮูหยินของข้าไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นใด"
สตรีสูงวัยเอ่ยว่า
"ช่างเป็นฮูหยินที่น่าสงสารยิ่งนัก ข้าอยู่มาจนอายุเกือบจะหกสิบแล้วยังไม่เคยพบเห็นฮูหยินใหญ่บ้านใดตกต่ำเช่นนี้มาก่อน ฮูหยินของเจ้าทั้งงดงามทั้งอ่อนหวาน จิตใจดีงามเช่นนี้ไยพวกเขาจึงทำร้ายได้ลงคอ ดูเอาเถิดกระทั่งคุณหนูน้อยที่เพิ่งคลอดยังน่าเอ็นดูเพียงนั้น เฮ้ย เห็นทีว่าข้าต้องมองท่านแม่ทัพใหม่เสียแล้ว วันคลอดบุตรสาวคนแรกแท้ ๆ ยังขับไล่ฮู่หยินใหญ่ออกนอกจวนเพื่อเอาใจภรรยารอง ทั้งเหยียบย่ำคน จัดงานแต่งงานใหญ่เพื่อฮูหยินรองเพียงนี้"
ไฉไฉเองก็น้ำตาซึม นางแทบจะกลั้นเสียงของตนเองไม่อยู่แล้วด้วยสงสารผู้เป็นนายของตนเอง
ก่อนหน้านี้ไฉไฉได้เร่งหาหมอตำแยในเมืองหลวงมาหลายคนเพราะกำหนดคลอดของฮูหยินใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว แต่กลับไม่มีผู้ใดที่สะดวกมาทำคลอดให้
ไฉไฉย่อมรู้ว่าฮูหยินของตนเองกำลังถูกกลั่นแกล้ง ตั้งแต่เข้าจวนท่านแม่ทัพมาฮูหยินซึ่งกำลังตั้งครรภ์ก็มีชีวิตที่ยากลำบากยิ่งนัก
ในขณะที่ไฉไฉกำลังจะหมดหวังท่านป้าซึ่งเป็นหมอตำแยกลับมายังเมืองหลวงเพื่อมาเยี่ยมมารดาของนางพอดี ไฉไฉจึงขอร้องให้ท่านป้าของตนมาทำคลอดให้ฮูหยิน
สวรรค์ยังไม่โหดร้ายเกินไป ยังให้ทางรอดแก่แม่ลูกผู้น่าสงสารอยู่บ้าง
ตั้งแต่ฮูหยินมาถึงที่จวนแม่ทัพ ไฉไฉได้รับหน้าที่ดูแลนางจากท่านแม่ทัพ ไฉไฉเป็นคนดีและคนซื่อตั้งใจปรนนิบัติฮูหยินเอกอย่างเต็มที่แม้คนอื่นจะรังแกและหลีกหนี
หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้มีซินแสมาตรวจดูดวงชะตาพบว่าในวันแต่งงานรับฮูหยินรอง ไม่สามารถให้ฮูหยินเอกอยู่ในจวนได้เพราะจะทำให้ชะตาชีวิตของท่านแม่ทัพตกต่ำ
ฮูหยินผู้เฒ่าเชื่อในคำทำนายนี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นฮูหยินของนางจึงถูกฮูหยินผู้เฒ่าผู้เป็นใหญ่ในจวนขับไล่ให้ออกมาอยู่นอกจวน อาศัยที่เรือนหลังเล็กอันหนาวเหน็บแห่งนี้ทั้ง ๆ ที่ท้องโตใกล้คลอด
บ้านหลังนี้ไม่มีคนอยู่มาเนิ่นนานเป็นบ้านร้างที่ถูกซื้อไว้หลายปีแล้วหลายจุดจึงผุพัง ไม่มีกระทั่งเตียงอุ่นสักหลัง
ฮูหยินของนางมีเงินไม่มากสินเดิมที่ได้รับมาไฉไฉก็รู้ว่าถูกพวกโจรปล้นไปจนหมด ฮูหยินมีปิ่นทองล้ำค่าที่ติดกายมาหนึ่งอันรวมกับหยกขาวห้อยเอวอยู่ชิ้นหนึ่งจึงมอบให้ไฉไฉนำไปจำนำ จึงพอมีเงินมาจ้างให้คนทำเตียงอุ่นและซื้อถ่านมาเตรียมไว้ได้บางส่วน
แต่ว่าเงินมีจำนวนจำกัดไม่รู้ว่าจะสามารถผ่านหน้าหนาวนี้ไปได้หรือไม่
"เจ้าเข้าไปดูแลฮูหยินเถิด พรุ่งนี้ข้าจะมาช่วยเจ้าแต่เช้า"
ไฉไฉคุกเข่าลงแล้วคำนับผู้เป็นป้า
"ขอบคุณท่านป้าเจ้าค่ะ"
ท่านป้าหมอตำแยรีบพยุงให้ไฉไฉลุกขึ้น
"เจ้าเป็นหลานข้า หากข้าไม่ช่วยเจ้านายของเจ้าพวกเราก็ไม่ต้องมานับญาติกันแล้ว อาไฉอย่างไรก็ดูแลฮูหยินให้ดี ข้าเห็นว่าคุณหนูน้อยช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ดูสิหลังถูกข้าตีแล้วจนป่านนี้ยังไม่ร้องไห้สักแอะ เหมือนจะรู้ความเกินเด็กทารกทั่วไป ใบหน้าของคุณหนูล้วนเต็มไปด้วยลักษณะผู้มีบารมี ข้าคิดว่านับจากนี้ไปชีวิตของฮูหยินอาจจะพลิกผันดีขึ้นเพราะบุตรสาวผู้นี้"
เชิงอรรถ
^ เจี่ยเอ๋อร์คือคำที่ใช้เรียกเด็กผู้หญิง โดยมีตัวเลขนำหน้าอี = 1อีเจี่ยเอ๋อร์หมายถึงเด็กหญิงคนที่ 1
ตอนจบ ตอนพิเศษอ้ายอ้ายมองน้องสี่ที่มีสีหน้าอิ่มเอิบท่าทางครุ่นคิด บัดนี้น้องสี่ของนางกลายมาเป็นผู้ช่วยบิดาในการสอนเขียนอักษรให้กับเด็ก ๆ ที่โรงรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เขากลายเป็นอาจารย์ผู้หนึ่งไม่มีผู้ใดกล้าดูถูกเขาทุกคนต่างชื่นชมฝีมือการเขียนอักษรอันยากจะหาผู้ใดเปรียบของน้องสี่เขายังได้พบกับคนรักซึ่งเป็นเด็กกำพร้าผู้หนึ่งซึ่งเป็นสาวใช้ของเขาเอง ฮวาซานเหรินเห็นพวกเขารักใคร่จริงใจจึงจัดงานสมรสให้พวกเขาตามประเพณี บัดนี้คนที่มีความสุขที่สุดก็คงจะเป็นน้องสี่แล้วในเมื่อทุกคนให้อ้ายอ้ายเป็นคนตัดสินใจนางจึงเอ่ยว่า“ก็แค่ส่งคนผู้หนึ่งไป ไม่ยากอันใดเขาอยากให้ทำสิ่งใดข้าก็จะทำสิ่งนั้น ในเมื่อเขาอยากเจอพวกเราก็ไปพบเขากันดีหรือไม่”ทุกคนล้วนพยักหน้าส่งเสียงอืมในลำคอในวันต่อมาฮวาซานเหรินพาครอบครัวใหญ่ของเขาขึ้นรถม้าไปพบหานชางเหยียนที่นอนอยู่ที่โรงหมอแห่งหนึ่ง ท่านหมอประสานมือคารวะเขาแล้วเอ่ยว่า“นายท่าน ขอทานคนนี้ไร้ทางรักษาจริง ๆ แล้วขอรับ”ฮวาซานเหรินพยักหน้า“ไม่เป็นไร ท่านทำดีที่สุดแล้ว”จากนั้นเขาก็เดินไปนั่งลงบนตั่งไม้ข้างเตียงโดยมีบุตรและภรรยาเดินตามทุกคนล้วนจับจ้องที่ใบหน้าของบุรุษชราผู้หน
ตอนพิเศษ 1ในยามที่อ้ายอ้ายตื่นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาที่แสงอาทิตย์นอกหน้าต่างระยิบระยับดุจทองคำ นางบิดขี้เกียจพร้อมกับลุกขึ้นมองไปรอบ ๆ หลังจากที่ป่วยอยู่หลายวันตื่นขึ้นมาในวันนี้อ้ายอ้ายรู้สึกสดชื่นเป็นที่สุดแล้ว“คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”อ้ายอ้ายพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มสว่างไสว สาวใช้เห็นสีหน้าของนางสดชื่นเช่นนี้จึงเอ่ยว่า“ดูเหมือนว่าคุณหนูจะไข้ทุเลาแล้วนะเจ้าคะ”“สบายดีมากเลยตอนนี้ น่าจะเป็นเช่นนั้น”สาวใช้ยิ้มยินดี“บ่าวให้คนไปเรียนนายท่านกับฮูหยินนะเจ้าคะ เมื่อสักครู่เพิ่งมาดูอาการของท่านพร้อมกับองค์รัชทายาท”อ้ายอ้ายเบิกตากว้างจากนั้นก็ส่งเสียงใสแจ๋วออกมา“องค์รัชทายาทกลับมาแล้วหรือ”“เจ้าค่ะ มาตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ มาเยี่ยมคุณหนูแล้วแต่ว่าคุณหนูยังไม่ตื่นจึงได้ไปสนทนากับนายท่านที่เรือนรับรอง”“ข้าจะไปหาพี่ชายรัชทายาท”อ้ายอ้ายสั่งให้สาวใช้ปรนนิบัตินางล้างหน้าเปลี่ยนอาภรณ์ ทว่าสาวใช้กลับเอ่ยว่า“คุณหนูเพิ่งหายจากไข้ เกรงว่านายท่านจะตำหนิบ่าวเจ้าค่ะ ให้บ่าวไปเรียนนายท่านเถิดนะเจ้าคะ”อ้ายอ้ายส่ายหน้า“ไม่เอาข้าจะไปหาพี่ชายเอง ทำตามที่ข้าบอกเถิด”ผู้ใดก็รู้ว่าคุณหนูรองผู้นี้เป็นที
บทที่ 53 ตอนจบหานชางเหยียนขอร้องฝ่าบาทให้ส่งฮวาซานเหรินกับองค์รัชทายาทมาเป็นตัวแทนพระองค์ในวันแต่งงานของเขาระหว่างทางกลับหานชางเหยียนที่ส่งผู้อื่นไปเข้าหอแทนตนเองก็วางแผนการสังหารองค์รัชทายาทกับฮวาซานเหรินไปพร้อม ๆ กันคืนนี้ฮวาซานเหรินดื่มสุราเพียงน้อยนิด ส่วนองค์รัชทายาทไม่อาจปฏิเสธผู้อื่นได้อีกทั้งเขาอายุยังน้อยเพิ่งเริ่มหัดดื่มสุราดื่มไปเพียงจองสองจอกก็เมามายไร้สติแล้วแม้ขบวนรถม้าขององค์รัชทายาทจะมีคนคุ้มกันมากเพียงใด แต่ทหารหลวงบัดนี้อยู่ในมือของหานชางเหยียนเขาจึงสับเปลี่ยนคนอ่อนแอมาอารักขาเมื่อรถม้ามาถึงจุดที่วางเอาไว้ ผงยาสลบจำนวนมากก็ถูกโปรยลงจากท้องฟ้าด้วยการยิ่งธนูขึ้นสูงและทำให้ถุงพวกนั้นแตกกระจายเพราะไม่คาดคิดว่าจะเจอแผนการรบเช่นนี้จึงทำให้ทหารคุ้มกันขององค์รัชทายาทสลบไสลไร้สติล้มไปกองลงบนพื้นหานชางเหยียนที่อยู่ในชุดดำบัดนี้จึงปรากฏกาย เขาหัวเราะในลำคอ“การที่ข้าไม่ลงมือมิใช่ว่าข้าหวาดกลัว เพียงแต่ให้โอกาสพวกเจ้าก็เท่านั้น ในเมื่อไม่สำนึกว่าควรเชื่อฟังผู้ใดก็จงตายไปด้วยกันเสีย”เขาสั่งให้คนลากองค์รัชทายาทออกจากรถม้าซึ่งภายในรถม้าคันนั้นแน่นอนว่ามีฮวาซานเหรินอยู่ด้วย
บทที่ 52 กฎแห่งกรรมที่แท้การแก้ไขปัญหาม้าที่ต้องส่งไปยังซีชวนก็คือการซื้อม้าจากดินแดนซยงหนู อ้ายอ้ายเพียงแต่จดจำได้ว่าช่วงเวลานี้ดินแดนซยงหนูต้องการพัฒนาการเกษตรเพราะพวกเขาไม่สามารถปลูกผลผลิตได้เพราะขาดคนเชี่ยวชาญในขณะที่แคว้นลู่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ปกติซยงหนูจะทะนงตนไม่ยอมส่งม้าขายให้ผู้อื่น พวกเขายังนับว่าเป็นดินแดนที่เลี้ยงม้ามากที่สุด เมื่อองค์รัชทายาทยื่นข้อเสนอขอซื้อม้าราคาถูกเพื่อแลกกับการช่วยเหลือการเกษตรส่งเสริมเครื่องมือและกำลังคนช่วยซยงหนูในการปลูกพืชเพื่อเลี้ยงตนเองอย่างแต่งที่ อีกทั้งยังมอบสัญญาแต่งงานตอบแทนเพื่อเป็นการยืนยันว่าแคว้นลู่จะให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ทั้งยังได้ฮองเฮาช่วยเจรจาอีกแรงเรื่องนี้จึงสัมฤทธิผลการจัดหาม้าส่งไปยังซีชวนทำได้ทันเวลา องค์รัชทายาทได้รับการกล่าวขานว่าเก่งกาจที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที ทำให้ขุนนางยกย่องยิ่งนักองค์หญิงที่มาแต่งงานเป็นองค์หญิงสายรองซึ่งหากนับญาติก็เป็นหลานสาวของฮองเฮา นางเดินทางมาถึงเมืองหลวงแคว้นลู่อย่างเร่งด่วนเพราะฮองเฮาขอร้องเพื่อให้มาร่วมงานเลี้ยง และพวกนางได้วางแผนการเอาไว้แล้ว องค์หญิงผู้นี้รักอ
บทที่ 51 ถึงเวลาเอาคืนร่างกายของสตรีทั้งสองเย็นเยียบ รู้สึกอ่อนแรงไปทั้งร่างราวกับว่าบัดนี้ตนเองกำลังถูกคลื่นยักษ์สาดซัดอย่างรุนแรงกระแทกฝั่งเป็นธรรมเนียมที่ทุกคนต้องเข้าแถวยกจอกสุราถวายพระพร ทว่าบัดนี้ฮองเฮากลับตรัสว่า“ไท่ผินชรามากแล้ว ไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นข้าเองไม่ถือสาเรื่องตำแหน่ง ผู้ชราก็ควรได้รับการดูแล”จากนั้นฮองเฮาพลันลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้ฮูหยินชราโดยที่เด็กน้อยผู้นั้นเดินประกบข้างซ้ายและเมิ่งสืออีประกบข้างขวาภาพที่ฮูหยินชราเห็นอยู่ตามนี้ทำให้จิ้งจอกเฒ่าแทบลมจับ“ไท่ผินข้าเป็นผู้น้อยอย่างไรก็ต้องขอคารวะท่าน”มือของฮูหยินชราสั่นจนแทบจะยกจอกสุราไม่ไหวแล้ว พริบตานั้นจอกสุราก็พลันร่วงหล่นลงมาฮองเฮาเลิกคิ้ว“ดูสีหน้าซีดเซียวแล้วไท่ผินคงไม่สบายกระทั่งจอกสุรายังยกไม่ไหว”เมิ่งสืออีเอ่ยว่า“ฮองเฮาเพคะ ให้ท่านย่าผู้นี้ไปพักที่ห้องข้างดีหรือไม่เพคะ หม่อมฉันจะพาไปเอง”ฮองเฮาแย้มยิ้ม“เช่นนั้นก็ลำบากเสี่ยวสือแล้ว”เมิ่งสืออียอบกายก่อนจะขยิบตาให้อ้ายอ้ายเดินตามมา เด็กน้อยเอ่ยว่า“ฮองเฮาอ้ายอ้ายไปกับท่านแม่นะเจ้าคะ”ฮองเฮาพยักหน้า “ไปเถิด”จิ้งจอกเฒ่าสั่นไปทั้งร่างนางหวาดกลัวจนพิษในกาย
บทที่ 50 ตื่นตะลึงหลังเมิ่งสืออีและอ้ายอ้ายดื่มยาคลายกังวลพวกนางก็นอนหลับไปพร้อม ๆ กัน ฮวาซานเหรินดูแลนางจนวางใจจึงกลับมาหารือกับรัชทายาทที่ตำหนักบูรพารัชทายาทกลับมาที่ตำหนักบูรพาพร้อมกับฮวาซานเหรินเพื่อหารือ จากนั้นก็สั่งให้เสิ่นกงกงรีบตามหมอหลวงอีกคนมาดูอาการของเขา“อาจารย์ท่านได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่ขอรับ”ฮวาซานเหรินนั่งลงบนเตียงเขาขัดสมาธิเดินพลังครู่หนึ่งจึงกระอักเลือดคั่งออกมาคำโตก็พลันรู้สึกดีขึ้น เขารับผ้าซับเลือดมาจากเสิ่นกงกงพร้อมกับเอ่ยว่า“ข้าไม่เป็นอันใดไม่จำเป็นต้องเรียกหมอหลวง”ทว่ารัชทายาทไม่ยินยอมฮวาซานเหรินจึงคิดว่า“ข้าจะต้องเอาผิดเขาให้ได้ ข้าจะกราบทูลเสด็จพ่อ”ฮวาซานเหรินเอ่ยว่า“ข้าคิดว่าฝ่าบาทจะเข้าข้างเขา นอกจากคนของเราแล้วก็ไร้หลักฐาน คนของหานชางเหยียนที่จับได้ล้วนเป็นนักรบเดนตายพวกเขาฆ่าตัวตายไปหมดแล้ว”“แต่หานชางเหยียนผู้นี้เหิมเกริมนัก หากเขาลงมืออีกเล่า”ฮวาซานเหรินเอ่ยว่า“เขาบาดเจ็บหนักไม่น้อยคงต้องรักษาตัวพักใหญ่ อีกอย่างด้วยนิสัยระแวงระวังของเขาในเวลานี้คงยังไม่ลงมือ เกรงว่าจะถูกพวกเราวางแผนโต้กลับ”รัชทายาทเอ่ยว่า“ที่ท่านไม่ให้ข้าทูลเรื่องนี้เพราะ