“เจ้าช่างโชคดีนัก ที่มีลูกชายกตัญญูเช่นนี้…” ฟ่านหนิงเอ่ยเสียงแผ่ว สายตามองไปยังแม่ลูกอย่างเงียบงัน ความทรงจำถึงลูกที่จากไปทำให้นางรู้สึกอ้างว้างในหัวใจ ฤดูหนาวปีนี้ นางต้องอยู่เพียงลำพังอีกครั้ง
เริ่นหรงฮวาจับความรู้สึกของนางได้ จึงกล่าวอย่างอ่อนโยน “ท่านป้า หากท่านไม่รังเกียจ มาอยู่กับพวกเราก็ได้นะเจ้าคะ ท่านจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียว เราสองแม่ลูกยินดีต้อนรับท่านเสมอ” ฟ่านหนิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบาง ๆ และเช็ดน้ำตาที่คลอหน่วย “ขอบใจในความหวังดีของพวกเจ้านะ… แต่ข้ายังละทิ้งบ้านที่เคยมีครอบครัวอยู่ด้วยกันไม่ลง หากวันใดข้าตัดใจได้ ข้าจะย้ายมาอยู่กับพวกเจ้าแน่นอน ตอนนี้… ดูแลตัวเองให้ดี หิมะกำลังตกหนักขึ้นทุกวัน ไม่ต้องเป็นห่วงข้า” นางกล่าวลาทั้งสอง และหันหลังกลับไปด้วยแววตาที่ยังมีรอยเศร้า ทางด้านผ้าแพรที่ยังคงสิงอยู่ในต้นหญ้า มองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความรู้สึกปนเป ความอบอุ่นระหว่างคนและบ้านใหม่ทำให้นางยิ่งรู้สึกเดียวดาย ‘นี่ข้ามาอยู่ที่นี่ได้เกินเดือนแล้วสินะ…’ ความคิดที่ผุดขึ้นมานั้น ทำให้จิตใจของผ้าแพรยิ่งหม่นหมอง ดอกหญ้าสีม่วงที่นางสิงสถิตอยู่ก็พลอยเหี่ยวเฉาลงด้วยอารมณ์ที่แปรเปลี่ยน หลังจากย้ายเข้าบ้านใหม่ได้ไม่นาน เหว่ยหยางก็วุ่นวายกับการจัดเตรียมฟืนและเสบียงให้พร้อมรับฤดูหนาว ปีนี้เขาตุนฟืนไว้มากพอ ทำให้ไม่จำเป็นต้องขึ้นเขาอีกสักพัก ชีวิตที่ลำบากกำลังค่อย ๆ กลายเป็นความอบอุ่นที่จับต้องได้… วันเวลาผ่านไปทีละวัน ผ้าแพรเฝ้ามองชีวิตของเริ่นเหว่ยหยางมาตลอดโดยไม่มีวันละสายตา นางได้รับรู้เรื่องราวทุกอย่างของเขาอย่างเงียบงัน หลายครั้งที่เด็กชายพามารดาออกมาเดินเล่นรับอากาศภายนอก ผ้าแพรรู้สึกว่าร่างกายของตนเริ่มมีพลังบางอย่าง จึงลองใช้พลังนั้นเพื่อช่วยรักษาอาการป่วยของแม่เหว่ยหยาง และดูเหมือนจะได้ผล เพราะอาการของนางดีขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด เวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว นับจนวันนี้ผ้าแพรมาอยู่ในโลกนี้ได้สามปีแล้ว ในตอนนี้นางพอจะรู้ว่าตนสามารถทำอะไรได้บ้าง ทว่าเรื่องหนึ่งที่ยังคงทำไม่ได้ก็คือการขยับเคลื่อนย้ายไปไหนตามใจต้องการ จนกระทั่งคืนหนึ่ง… วันที่พระจันทร์เต็มดวง มิติที่ผ้าแพรเฝ้ามองมานานก็เปิดออกอย่างเงียบงัน ร่างของนางปรากฏขึ้นภายในนั้นเป็นครั้งแรก หมอกขาวที่เคยบดบังสายตาค่อย ๆ จางลง เผยให้เห็นทิวทัศน์บางส่วน ขณะที่บางพื้นที่ยังคงถูกปิดบังไว้ นางไม่เข้าใจว่ามิตินี้มีไว้เพื่ออะไร แต่ภายในกลับมีบ้านหลังเล็กหลังหนึ่ง ตกแต่งครบถ้วน มีห้องน้ำ ห้องครัว ห้องนั่งเล่น และห้องนอน ทุกอย่างดูอบอุ่นและน่าอยู่ราวกับเคยเป็นบ้านของนางมาก่อนก็ไม่ปาน การรับรู้ของผ้าแพรชัดเจนขึ้นกว่าเดิมมาก จิตวิญญาณของนางไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ในต้นหญ้าต้นเดียวอีกต่อไป หากบริเวณใดมีต้นหญ้าชนิดเดียวกัน นางก็สามารถย้ายสำนึกรับรู้ไปสัมผัสที่นั่นได้ เมื่อเดินออกจากบ้านหลังเล็ก นางพบกับบ่อน้ำพุที่มีพลังวิญญาณไหลเวียนอบอวล กลิ่นอายของมันทำให้ร่างวิญญาณสดชื่นขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ นางเฝ้าถามตัวเองว่าทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่ แต่ก็ยังไร้คำตอบ ระหว่างสำรวจจนถึงขอบเขตของมิติ นางพบว่าเส้นทางบางส่วนยังคงถูกหมอกปกคลุมไว้ ‘หรือว่าด้านหลังหมอกนั้นจะยังมีบางสิ่งซ่อนอยู่’ นางคิดอย่างสงสัย ทว่าในเวลานี้ สิ่งที่พอทำได้ก็คือสำรวจผ่านสายตาและจิตสำนึกเท่านั้น โดยเฉพาะในป่านอกมิติรอบหมู่บ้าน ที่แม้จะเต็มไปด้วยต้นหญ้า แต่น้อยนักที่จะมีต้นไม้ใหญ่เขียวชอุ่มให้เห็น เมื่อสำรวจจนครบ ผ้าแพรก็กลับเข้าสู่ต้นหญ้าต้นเดิม ทว่า…นางยังไม่อาจรู้ได้ว่าต้นหญ้าที่สิงอยู่นี้คือพันธุ์ใด เพราะไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย “เจ้าต้นหญ้า ได้ยินข้าหรือเปล่า?” เหว่ยหยางเอ่ยทักต้นหญ้าอย่างที่เคยทำเป็นกิจวัตรประจำวัน แต่ครั้งนี้…ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ ผ้าแพรที่กำลังล่องลอยอยู่ ได้ยินเสียงเรียกของเขาก็สั่นไหวดอกหญ้าเล็กน้อยเป็นเชิงตอบรับ เมื่อเห็นดอกหญ้าสะบัดเบา ๆ เหว่ยหยางก็ยิ้มอย่างโล่งใจ “ข้านึกว่าเจ้าโดนไก่จิกตายเสียแล้ว” เขาพูดหยอกอย่างขบขัน ใบหน้าของเด็กหนุ่มฉายแววสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ‘เมื่อไหร่ฉันจะหลุดพ้นจากสภาพนี้เสียทีนะ… ฉันเบื่อเหลือเกินกับการพูดไม่ได้แบบนี้’ ผ้าแพรคิดอย่างหงุดหงิด ลำต้นของนางค่อย ๆ เหี่ยวเฉาลงสะท้อนความรู้สึก เมื่อเห็นต้นหญ้าเริ่มเหี่ยวเฉา เหว่ยหยางก็ตกใจ รีบลุกไปตักน้ำมารดรดให้โดยไม่ลังเล “เจ้าต้นหญ้า อยู่ดี ๆ ทำไมถึงได้ซึมเซาไปแบบนี้กันนะ” ผ้าแพรเห็นว่าเขาเป็นห่วงจึงคลายความเศร้า หยาดน้ำจากมือของเขาหยดลงลำต้น สัมผัสถึงความอบอุ่นจนต้นหญ้ากลับมาตั้งตรงได้อีกครั้ง ‘ตอนนี้เขาอายุสิบสามแล้วสินะ ยิ่งโตยิ่งหล่อขึ้นทุกวันแน่ ๆ’ ผ้าแพรคิดพลางจ้องเขาด้วยสายตาอบอุ่น และไม่รู้อะไรดลใจ นางจึงเปล่งเสียงเรียกชื่อเขาออกมาเป็นครั้งแรกในรอบสามปี “เหว่ยหยาง…” เด็กชายหยุดชะงักทันที มือที่กำลังรดน้ำค้างอยู่กลางอากาศ “ใคร… ใครเรียกข้า?” ผ้าแพรเบิกตากว้าง ‘เขาได้ยินเสียงของข้าแล้ว!’ นางสั่นใบหญ้าอีกครั้ง แล้วพยายามเปล่งเสียงออกมาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น “เหว่ยหยาง… ข้าอยู่ตรงนี้… ตรงหน้าของเจ้า…” เหว่ยหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย ‘อยู่ตรงหน้าข้าหรือ?’ เขาก้มหน้าลงมองพื้นเบื้องหน้า และสายตาก็หยุดที่ต้นหญ้าเล็ก ๆ ต้นหนึ่งซึ่งกำลังสั่นไหวคล้ายยินดีที่เขาหันมาสนใจมัน “เสียงเมื่อครู่…เจ้าหรือต้นหญ้า?” เขาถามออกมาเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “เจ้าได้ยินข้าแล้วใช่ไหม?” ผ้าแพรเอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจสุดขีด นับตั้งแต่นางมาอยู่ในโลกนี้ นางได้เรียนรู้และเปลี่ยนแปลงตนเองมากมาย แม้แต่ภาษาที่ใช้ก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา เริ่นเหว่ยหยางเบิกตากว้าง ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น “เจ้า… เจ้าเป็นต้นหญ้าวิเศษหรือ?” “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ข้าเป็นอะไร และไม่รู้ว่าจะสามารถพูดคุยกับเจ้าได้นานแค่ไหน…แต่มีสิ่งหนึ่งที่อยากจะขอร้องเจ้า” เสียงของผ้าแพรแผ่วเบา แต่เจือด้วยความจริงจัง “เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร บอกมาเถิด ข้ายินดีทำให้ทุกอย่าง” เหว่ยหยางเอ่ยรับคำทันที ดวงตาเต็มไปด้วยความตั้งใจ“ใครส่งพวกเจ้ามา?” เริ่นหรงฮวาถามเสียงเข้มข้น แววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นฮวาอี้ซึ่งอยู่ในกระถางต้นหญ้า มองเห็นสองแม่ลูกที่ยังไม่ลงมือเสียที นางจึงส่งเสียงเตือน“เหว่ยหยาง เจ้าควรรีบจัดการพวกมัน เดี๋ยวฤทธิ์เกสรจะเสื่อมเสียก่อน”เสียงจากต้นหญ้าทำให้เริ่นหรงฮวาหันขวับไปมอง สลับสายตาระหว่างต้นหญ้ากับลูกชาย นางอยากจะเอ่ยถามแต่สถานการณ์ตรงหน้าเร่งด่วนเสียยิ่งกว่า“ข้ารู้ว่าท่านแม่คงมีคำถามมากมาย เอาไว้จัดการพวกมันก่อนเถิด แล้วลูกจะอธิบายให้ฟังทุกอย่าง” เหว่ยหยางรีบพูดพลางส่งสายตาขอความเชื่อมั่นเริ่นหรงฮวาพยักหน้าแน่น พลันกระชับมีดในมือแน่นก่อนจะเดินเข้าไปปาดคอชายคนหนึ่งอย่างเยือกเย็นเหว่ยหยางเบิกตากว้าง นึกไม่ถึงว่ามารดาผู้แสนอ่อนโยนจะสามารถฆ่าคนได้อย่างไม่ลังเล เขาจึงเร่งจัดการกับชายที่เหลือตามด้วยความเด็ดขาดชายชุดดำที่ยังพอรู้สึกได้มองเพื่อนของตนตายไปทีละคนด้วยความหวาดกลัว เขาพลาดไปแล้ว เขาควรระวังตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านหลังนี้เริ่นหรงฮวาหันไปเห็นสายตาหวาดหวั่นของอีกคนที่ยังเหลืออยู่ นางแสยะยิ้ม ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น“เจ้ากลัวหรือ? เจ้าคงไม่รู้สินะว่าการฆ่าสามีของข้า ทำ
ลูกน้องทั้งสี่พยักหน้ารับคำ ต่างแยกย้ายปลอมตัวเข้าไปสืบข่าวตามบ้านเรือน เมื่อได้ข้อมูลที่อยู่ของสองแม่ลูกชัดเจนแล้ว ทั้งห้าคนก็กลับมารวมตัวและซุ่มดูอยู่หน้าบ้านเงียบ ๆ อย่างมีพิรุธด้านฮวาอี้ ขณะนั้นนางเริ่มชินกับพลังเวทที่สามารถใช้สอดส่องสิ่งรอบตัวผ่านต้นหญ้าชนิดเดียวกัน เมื่อนางตรวจสอบพื้นที่รอบหมู่บ้าน ก็พบกับชายแปลกหน้าห้าคนที่กำลังแอบซุ่มดูบ้านของเหว่ยหยางอย่างน่าสงสัย กลิ่นอายของพวกมันเต็มไปด้วยเจตนาร้าย นางขมวดคิ้ว รู้ได้ทันทีว่าคนพวกนี้ต้องเป็นศัตรูอย่างแน่นอนความกังวลเริ่มกัดกินใจ ฮวาอี้รู้ว่าเหว่ยหยางคงไม่สามารถต่อกรกับคนทั้งห้าได้ หากพวกมันบุกเข้ามาจริง นางจึงตั้งใจจะเตือนเขาให้เตรียมตัวรับมือ และคิดหาทางช่วยอีกแรงหนึ่งระหว่างที่นางกำลังไตร่ตรองอยู่นั้น เหว่ยหยางก็กลับมาจากการล่าสัตว์บนเขา เขาเดินมาหาต้นหญ้าน้อยเหมือนเช่นทุกวัน เมื่อเห็นว่าต้นหญ้าเหี่ยวเฉาลงเล็กน้อย เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไปด้วยความห่วงใย“เจ้าต้นหญ้าน้อย วันนี้ดูเจ้าจะไม่สดใสเลยนะ”ฮวาอี้ไม่รอช้า นางรีบบอกสิ่งที่พบให้เขารับรู้ทันที “เหว่ยหยาง รอบ ๆ บ้านของเจ้าตอนนี้ ข้าตรวจพบชายแปลกหน้าห้าคน ข้าเชื่อว่า
ผ้าแพรแทบกลั้นยิ้มไม่ได้ นางดีใจยิ่งนักที่จะได้ออกไปจากบริเวณนี้เสียที “เจ้าช่วยขุดข้าไปปลูกที่อื่นได้ไหม ข้าเบื่อเจ้าไก่พวกนี้เต็มที!”เมื่อได้ยินคำขอร้องแรก เหว่ยหยางหลุดหัวเราะเบา ๆ อย่างอดไม่ได้ “ได้สิ ข้าจะย้ายเจ้าไปปลูกในกระถางดี ๆ สักใบ…แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่เป็นอะไร?”“เจ้าขุดพร้อมกับดินที่ข้าอยู่ด้วยก็แล้วกัน ข้าอาจจะเงียบไปสักพักหนึ่ง เพราะรู้สึกว่าพลังของข้ากำลังอ่อนลง” เสียงของผ้าแพรเบาลงตามแรงวิญญาณที่ค่อย ๆ ถดถอยเหว่ยหยางไม่รอช้า เขารีบหากระถางพร้อมตักดินโดยรอบต้นหญ้ามาด้วยอย่างระมัดระวัง ในขณะที่มือขุดดินอยู่นั้น เขารู้สึกได้ถึงพลังอบอุ่นบางอย่างจากต้นหญ้า หรือเขาจะคิดไปเอง?เมื่อจัดการย้ายต้นหญ้าเสร็จแล้ว เขานำกระถางไปวางไว้ใต้ชายคา ให้แสงแดดอ่อนส่องถึงอย่างพอดี ขณะนั้นเอง มารดาเดินผ่านมาเห็นเข้าโดยบังเอิญเริ่นหรงฮวาเลิกคิ้ว มองกระถางในมือของลูกชายด้วยความฉงน “เจ้าปลูกต้นหญ้าไปทำไมกัน?”เหว่ยหยางหันมายิ้มบาง ๆ “ต้นหญ้าต้นนี้เป็นเพื่อนของข้าน่ะขอรับ ข้ารู้สึกผูกพันกับมันเหลือเกิน ว่าแต่…ท่านแม่รู้จักชื่อของต้นหญ้านี้หรือไม่?”เริ่นหรงฮวาเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ แล้วพยักหน
“เจ้าช่างโชคดีนัก ที่มีลูกชายกตัญญูเช่นนี้…” ฟ่านหนิงเอ่ยเสียงแผ่ว สายตามองไปยังแม่ลูกอย่างเงียบงัน ความทรงจำถึงลูกที่จากไปทำให้นางรู้สึกอ้างว้างในหัวใจ ฤดูหนาวปีนี้ นางต้องอยู่เพียงลำพังอีกครั้งเริ่นหรงฮวาจับความรู้สึกของนางได้ จึงกล่าวอย่างอ่อนโยน “ท่านป้า หากท่านไม่รังเกียจ มาอยู่กับพวกเราก็ได้นะเจ้าคะ ท่านจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียว เราสองแม่ลูกยินดีต้อนรับท่านเสมอ”ฟ่านหนิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบาง ๆ และเช็ดน้ำตาที่คลอหน่วย “ขอบใจในความหวังดีของพวกเจ้านะ… แต่ข้ายังละทิ้งบ้านที่เคยมีครอบครัวอยู่ด้วยกันไม่ลง หากวันใดข้าตัดใจได้ ข้าจะย้ายมาอยู่กับพวกเจ้าแน่นอน ตอนนี้… ดูแลตัวเองให้ดี หิมะกำลังตกหนักขึ้นทุกวัน ไม่ต้องเป็นห่วงข้า”นางกล่าวลาทั้งสอง และหันหลังกลับไปด้วยแววตาที่ยังมีรอยเศร้าทางด้านผ้าแพรที่ยังคงสิงอยู่ในต้นหญ้า มองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความรู้สึกปนเป ความอบอุ่นระหว่างคนและบ้านใหม่ทำให้นางยิ่งรู้สึกเดียวดาย ‘นี่ข้ามาอยู่ที่นี่ได้เกินเดือนแล้วสินะ…’ ความคิดที่ผุดขึ้นมานั้น ทำให้จิตใจของผ้าแพรยิ่งหม่นหมอง ดอกหญ้าสีม่วงที่นางสิงสถิตอยู่ก็พลอยเหี่ยวเฉาลงด้วยอารมณ์ที่แปรเปลี
วันต่อมา เหว่ยหยางทำกิจวัตรเหมือนเดิม เขาพยุงมารดาไปทำธุระส่วนตัว ให้อาหารไก่ แล้วอาบน้ำยามเช้า ก่อนจะมานั่งลงข้างเล้าไก่ เอ่ยทักต้นหญ้าสีม่วงที่เติบโตขึ้นกว่าเดิม“เจ้าต้นหญ้าน้อย เจ้ารู้หรือไม่ วันนี้เป็นวันที่ข้ามีความสุขที่สุด” เขาระบายความรู้สึกในใจอย่างผ่อนคลาย จ้องมองดอกไม้พลางเอื้อมมือแตะปลายใบอ่อนแผ่วเบาเขารู้สึก… สบายอย่างประหลาด ทุกครั้งที่สัมผัสต้นหญ้านี้ผ้าแพรที่สถิตอยู่ในต้นหญ้าเงียบฟังเรื่องราวของเด็กชายอย่างตั้งใจ นางอยากจะปลอบโยน อยากจะโอบกอดเขา แต่ก็ทำไม่ได้ ได้เพียงแค่สั่นไหวใบอ่อนเพื่อตอบรับอย่างสุดกำลังวันแล้ววันเล่า เหว่ยหยางมักจะมานั่งพูดคุยกับต้นหญ้าสีม่วงต้นนี้เป็นประจำ เขาระบายสิ่งต่าง ๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว ส่วนผ้าแพรก็เฝ้าฟังและเผลอผูกพันกับเด็กชายมากขึ้นทุกที… และในวันที่ไม่เห็นเขา นางก็รู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูก…ก่อนที่ฤดูหนาวจะย่างกรายมาถึง เริ่นเหว่ยหยางได้ขอให้ป้าฟ่างหนิงช่วยแนะนำช่างที่ไว้ใจได้เพื่อมาสร้างบ้านหลังใหม่ ท่านป้าจึงพาเขาเข้าเมืองซานเฉิง และในที่สุดก็สามารถว่าจ้างช่างฝีมือคนหนึ่งตกลงราคากันที่สามตำลึงทองฟ่านหนิงถึงกับตาโต เมื่อได้ยินราคาที
ขณะที่เริ่นเหว่ยหยางบังคับเกวียนลามุ่งหน้ากลับหมู่บ้าน เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีตั้งแต่ยังไม่พ้นเขตเมือง สัมผัสแปลก ๆ เหมือนมีสายตาคอยจับจ้องอยู่เบื้องหลังตั้งแต่ตอนที่เขาขายกวางตัวนั้นมือเล็ก ๆ กำแน่นตรงหน้าอก ที่ซ่อนเงินทั้งหมดไว้ในเสื้อผ้าชั้นใน ความกังวลเกาะกินหัวใจ เขาได้แต่ภาวนาว่า ขอให้ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นในคืนที่ดึกดื่นเช่นนี้เมื่อเดินทางมาได้ครึ่งทาง ชายผู้หนึ่งก็โผล่ออกมาจากพุ่มไม้กระโจนเข้าขวางเกวียนของเขา ชายคนนั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าขาดวิ่น ร่างผอมโซจนแทบเห็นกระดูก เหว่ยหยางรีบหยุดเกวียนด้วยความตกใจเขาจับจ้องชายเบื้องหน้าด้วยสายตาแข็งกร้าว ก่อนเอ่ยเสียงนิ่ง“เจ้าคือใคร? มาขวางทางข้าทำไม?”ขณะนั้น ดวงตาของเขากวาดไปสองข้างทาง สำรวจว่าอาจมีใครซ่อนตัวอยู่อีกชายขอทานหัวเราะในลำคอ พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เจ้าหนูน้อย ข้ารู้นะว่าเจ้าเพิ่งขายของมีค่า ได้เงินมาไม่น้อย เอามาแบ่งข้าบ้างสิ แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ”ได้ยินเช่นนั้น เหว่ยหยางกลับแสยะยิ้มเย็น มองชายตรงหน้าขึ้นลงราวกับประเมินศัตรู“เจ้าก็มีมือมีเท้าครบ เหตุใดไม่ไปหาเลี้ยงชีพด้วยตนเอง ต้องมาดักปล้นเด็กเช่นข้า เจ้านึกว่าข้