Share

ตอนที่ 8 พบเจอ

last update Huling Na-update: 2025-08-11 18:06:39

ผ้าแพรแทบกลั้นยิ้มไม่ได้ นางดีใจยิ่งนักที่จะได้ออกไปจากบริเวณนี้เสียที “เจ้าช่วยขุดข้าไปปลูกที่อื่นได้ไหม ข้าเบื่อเจ้าไก่พวกนี้เต็มที!”

เมื่อได้ยินคำขอร้องแรก เหว่ยหยางหลุดหัวเราะเบา ๆ อย่างอดไม่ได้ “ได้สิ ข้าจะย้ายเจ้าไปปลูกในกระถางดี ๆ สักใบ…แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่เป็นอะไร?”

“เจ้าขุดพร้อมกับดินที่ข้าอยู่ด้วยก็แล้วกัน ข้าอาจจะเงียบไปสักพักหนึ่ง เพราะรู้สึกว่าพลังของข้ากำลังอ่อนลง” เสียงของผ้าแพรเบาลงตามแรงวิญญาณที่ค่อย ๆ ถดถอย

เหว่ยหยางไม่รอช้า เขารีบหากระถางพร้อมตักดินโดยรอบต้นหญ้ามาด้วยอย่างระมัดระวัง ในขณะที่มือขุดดินอยู่นั้น เขารู้สึกได้ถึงพลังอบอุ่นบางอย่างจากต้นหญ้า หรือเขาจะคิดไปเอง?

เมื่อจัดการย้ายต้นหญ้าเสร็จแล้ว เขานำกระถางไปวางไว้ใต้ชายคา ให้แสงแดดอ่อนส่องถึงอย่างพอดี ขณะนั้นเอง มารดาเดินผ่านมาเห็นเข้าโดยบังเอิญ

เริ่นหรงฮวาเลิกคิ้ว มองกระถางในมือของลูกชายด้วยความฉงน “เจ้าปลูกต้นหญ้าไปทำไมกัน?”

เหว่ยหยางหันมายิ้มบาง ๆ “ต้นหญ้าต้นนี้เป็นเพื่อนของข้าน่ะขอรับ ข้ารู้สึกผูกพันกับมันเหลือเกิน ว่าแต่…ท่านแม่รู้จักชื่อของต้นหญ้านี้หรือไม่?”

เริ่นหรงฮวาเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ แล้วพยักหน้า “เจ้าต้นนี้เรียกว่าหญ้าปักกิ่ง เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง มีประโยชน์ใช้รักษาโรคได้ แต่ก็ไม่ได้หายากเท่าไรนัก ผู้คนจึงมองว่ามันเป็นเพียงต้นหญ้าธรรมดาเท่านั้น”

เมื่อได้ยินชื่อของมัน เหว่ยหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย “ที่แท้เจ้าชื่อว่าปักกิ่ง ข้าชอบดอกสีม่วงของเจ้ามาก มันดูแวววาวราวกับมีแสงในตัวเอง ท่านแม่ว่า…มันสวยหรือไม่?”

เริ่นหรงฮวาเพ่งมองดอกไม้เล็ก ๆ สีม่วงที่กำลังไหวเบา ๆ ใต้แสงแดด นางรู้สึกประหลาดใจ ราวกับคุ้นเคยกับต้นหญ้าต้นนี้มาก่อน ทั้งที่จำไม่ได้ว่าพบเจอมันที่ใด…

“เจ้าพาต้นหญ้านี้มาจากที่ใดหรือ?” เริ่นหรงฮวาหันไปถามลูกชาย ขณะจ้องมองต้นหญ้าดอกม่วงในกระถางอย่างสนใจ

“มันขึ้นอยู่ข้างเล้าไก่ขอรับ อยู่ที่บ้านของเรามานานแล้ว” เหว่ยหยางตอบพร้อมรอยยิ้มบาง

นางพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนกล่าวเตือนเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ต้นหญ้าชนิดนี้ชอบแดด เจ้าวางมันไว้ตรงชานบ้านนั่นก็แล้วกัน มีที่ให้วางต้นไม้พอดี”

เมื่อได้ยินคำแนะนำจากมารดา เหว่ยหยางก็รีบย้ายกระถางต้นหญ้าไปไว้ตามจุดที่นางชี้ เขาดูแลมันราวกับเป็นเพื่อนคนหนึ่ง ทว่าก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเมื่อไร ต้นหญ้าต้นนี้จะพูดคุยกับเขาได้อีกครั้ง…

คืนหนึ่ง ในยามที่พระจันทร์เต็มดวง ผ้าแพรรู้สึกว่าร่างกายของตนร้อนวูบวาบอย่างบอกไม่ถูก จู่ ๆ วิญญาณของนางก็หลุดจากต้นหญ้า กลายเป็นร่างของเด็กหญิงอายุประมาณสิบขวบ นางก้มมองร่างตัวเองด้วยความตกตะลึง แม้จะเตี้ยเล็กและบอบบาง แต่ก็ยังรู้สึกเป็น “คน” อย่างแท้จริง

‘สามปีแล้วสินะ…ในที่สุด ข้าก็ได้กลับมาเป็นมนุษย์เสียที’ ผ้าแพรคิดในใจ พลางยิ้มออกมาด้วยความยินดีปนตื้นตัน

ในขณะที่นางกำลังสำรวจร่างกายใหม่อย่างตื่นเต้น เหว่ยหยางที่นอนไม่หลับก็เดินออกมาดูต้นหญ้าเช่นทุกคืน แต่สิ่งที่เห็นกลับไม่ใช่ต้นหญ้า ทว่าเป็นเด็กหญิงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงจุดนั้น แสงจันทร์อาบเงาร่างเล็กไว้จาง ๆ

“เจ้าต้นหญ้าน้อย…เป็นเจ้าหรือ?” เหว่ยหยางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจและยินดีปนกัน

เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ผ้าแพรหันกลับมา “เหว่ยหยาง…” นางขานชื่อของเขาแผ่วเบา

“เป็นเจ้าจริง ๆ หรือ?” เขาเบิกตากว้าง ยิ่งได้ยินเสียงยิ่งมั่นใจว่าเด็กหญิงตรงหน้าคือต้นหญ้าน้อยของเขา

“เจ้า…กลายเป็นคนได้อย่างไรกัน?” เขาถามออกมาด้วยความไม่มั่นใจในสิ่งที่ตนเห็น

ผ้าแพรส่ายหน้าเบา ๆ “ข้าเองก็ไม่รู้ อยู่ดี ๆ ก็กลายเป็นแบบนี้ ข้าไม่แน่ใจว่าจะอยู่ในร่างนี้ได้นานแค่ไหน”

เหว่ยหยางค่อย ๆ ก้าวเข้าไปใกล้ ดวงตาสบเข้ากับดวงตากลมโตของเด็กหญิงที่แต่งกายด้วยชุดสีเขียวอ่อน บนศีรษะมีปิ่นปักดอกไม้สีม่วง เขาเผลอจ้องอยู่นานจนใจเต้นผิดจังหวะ แล้วต้องรีบเบือนหน้าหนี

“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?” ผ้าแพรถามอย่างห่วงใย พลางยื่นมือเล็ก ๆ มาอังหน้าผากเขา

“เปล่า… ข้าไม่เป็นไร” เขาพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึก “ว่าแต่เจ้าหิวหรือไม่? ข้าอยากรู้หลายเรื่อง โดยเฉพาะ…ชื่อของเจ้า”

ผ้าแพรนิ่งไปชั่วครู่ นางไม่อยากเปิดเผยชื่อเดิมจากโลกก่อน จึงตั้งชื่อใหม่ให้ตนเอง “ข้าชื่อฟ่านฮวาอี้ เจ้าเรียกข้าว่าฮวาอี้ก็ได้”

“ชื่อเจ้าฟังไพเราะยิ่งนัก” เหว่ยหยางยิ้ม “ส่วนข้า… เริ่นเหว่ยหยาง เรียกข้าว่าเหว่ยหยางก็เหมือนเช่นคนอื่นก็พอ”

หลังจากแนะนำตนเองให้กันและกันรู้จัก ฮวาอี้เริ่มรู้สึกร้อนวูบวาบอีกครั้งที่กลางอก “เหว่ยหยาง ข้าคงต้องกลับคืนร่างเดิมแล้ว… ดีใจที่ได้พบเจ้า” เสียงสุดท้ายแผ่วเบา ก่อนร่างเด็กหญิงจะค่อย ๆ เลือนหาย กลับกลายเป็นต้นหญ้าเหมือนเดิม

“เดี๋ยวก่อน… เจ้าอย่าเพิ่งไป!” เหว่ยหยางเอื้อมมือไขว่คว้า แต่ไม่ทัน ร่างนั้นหายไปพร้อมกับเงามืดที่กลืนจันทร์จนหมด เขาเงยหน้ามองฟ้า ความรู้สึกบางอย่างบอกเขาว่า การที่ฮวาอี้กลายเป็นคนได้ อาจเกี่ยวข้องกับคืนพระจันทร์เต็มดวง

ด้านฮวาอี้…เมื่อกลับคืนสู่ร่างต้นหญ้าแล้ว ก็หลับใหลไปทันที เพราะพลังทั้งหมดถูกใช้ไปกับการปรากฏกายในร่างมนุษย์อย่างหมดสิ้น…

ทุกคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ฮวาอี้จะสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ และมาพูดคุยกับเหว่ยหยางเสมอ ทั้งสองใช้เวลาอยู่ด้วยกันจนความผูกพันค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว ด้านฮวาอี้เอง เมื่อได้กลายร่างเป็นมนุษย์บ่อยครั้งขึ้น ร่างนั้นก็คงอยู่ได้นานขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มใกล้เคียงกับมนุษย์จริง ๆ

ทว่าในขณะที่ความสัมพันธ์ของทั้งสองค่อย ๆ งอกงาม กลุ่มชายแปลกหน้าห้าคนก็เริ่มตามสืบหาหญิงม่ายที่มีลูกชายติดตัว ตามหมู่บ้านต่าง ๆ เรื่อยมา จนกระทั่งมาถึงหมู่บ้านที่เหว่ยหยางกับมารดาอาศัยอยู่

“หมู่บ้านนี้คือที่สุดท้ายที่เราต้องตรวจสอบ” เสียงชายคนหนึ่งซึ่งดูเป็นหัวหน้ากลุ่มเอ่ยอย่างจริงจัง

“ถ้ายังไม่พบสองแม่ลูกนั้น เราจะเอาหน้าไปพบนายท่านได้อย่างไร? หากกลับไปตัวเปล่า พวกเราทั้งหมดอาจไม่มีโอกาสมีชีวิตอยู่ต่อก็เป็นได้” หนึ่งในลูกน้องพูดอย่างหวาดหวั่น

หัวหน้ากลุ่มชายซึ่งมีใบหน้าเคร่งขรึม ก้มศีรษะลงน้อย ๆ เขาได้รับคำสั่งให้ตามล่าและสังหารสองแม่ลูกที่เป็นครอบครัวของอดีตแม่ทัพซึ่งหมดอำนาจไปแล้ว เพื่อไม่ให้พวกนางเป็นภัยต่ออนาคตของนายท่านอีก

“เราต้องพบตัวพวกนางให้ได้ ข้าได้ยินมาว่าเมื่อหลายปีก่อนมีหญิงร่อนเร่ร่างกายอ่อนแอพาลูกชายมาขอพึ่งพิงอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้” เขาเว้นวรรคเล็กน้อยก่อนสั่งการต่อ “พวกเจ้าแยกย้ายกันไปสืบข่าวเงียบ ๆ อย่าให้เรื่องนี้รั่วไหลจนชาวบ้านสงสัยเป็นอันขาด”

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • เกิดใหม่เป็นต้นหญ้าข้างเล้าไก่   ตอนที่ 10 ทำลายหลักฐาน

    “ใครส่งพวกเจ้ามา?” เริ่นหรงฮวาถามเสียงเข้มข้น แววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นฮวาอี้ซึ่งอยู่ในกระถางต้นหญ้า มองเห็นสองแม่ลูกที่ยังไม่ลงมือเสียที นางจึงส่งเสียงเตือน“เหว่ยหยาง เจ้าควรรีบจัดการพวกมัน เดี๋ยวฤทธิ์เกสรจะเสื่อมเสียก่อน”เสียงจากต้นหญ้าทำให้เริ่นหรงฮวาหันขวับไปมอง สลับสายตาระหว่างต้นหญ้ากับลูกชาย นางอยากจะเอ่ยถามแต่สถานการณ์ตรงหน้าเร่งด่วนเสียยิ่งกว่า“ข้ารู้ว่าท่านแม่คงมีคำถามมากมาย เอาไว้จัดการพวกมันก่อนเถิด แล้วลูกจะอธิบายให้ฟังทุกอย่าง” เหว่ยหยางรีบพูดพลางส่งสายตาขอความเชื่อมั่นเริ่นหรงฮวาพยักหน้าแน่น พลันกระชับมีดในมือแน่นก่อนจะเดินเข้าไปปาดคอชายคนหนึ่งอย่างเยือกเย็นเหว่ยหยางเบิกตากว้าง นึกไม่ถึงว่ามารดาผู้แสนอ่อนโยนจะสามารถฆ่าคนได้อย่างไม่ลังเล เขาจึงเร่งจัดการกับชายที่เหลือตามด้วยความเด็ดขาดชายชุดดำที่ยังพอรู้สึกได้มองเพื่อนของตนตายไปทีละคนด้วยความหวาดกลัว เขาพลาดไปแล้ว เขาควรระวังตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านหลังนี้เริ่นหรงฮวาหันไปเห็นสายตาหวาดหวั่นของอีกคนที่ยังเหลืออยู่ นางแสยะยิ้ม ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น“เจ้ากลัวหรือ? เจ้าคงไม่รู้สินะว่าการฆ่าสามีของข้า ทำ

  • เกิดใหม่เป็นต้นหญ้าข้างเล้าไก่   ตอนที่ 9 บุกรุก

    ลูกน้องทั้งสี่พยักหน้ารับคำ ต่างแยกย้ายปลอมตัวเข้าไปสืบข่าวตามบ้านเรือน เมื่อได้ข้อมูลที่อยู่ของสองแม่ลูกชัดเจนแล้ว ทั้งห้าคนก็กลับมารวมตัวและซุ่มดูอยู่หน้าบ้านเงียบ ๆ อย่างมีพิรุธด้านฮวาอี้ ขณะนั้นนางเริ่มชินกับพลังเวทที่สามารถใช้สอดส่องสิ่งรอบตัวผ่านต้นหญ้าชนิดเดียวกัน เมื่อนางตรวจสอบพื้นที่รอบหมู่บ้าน ก็พบกับชายแปลกหน้าห้าคนที่กำลังแอบซุ่มดูบ้านของเหว่ยหยางอย่างน่าสงสัย กลิ่นอายของพวกมันเต็มไปด้วยเจตนาร้าย นางขมวดคิ้ว รู้ได้ทันทีว่าคนพวกนี้ต้องเป็นศัตรูอย่างแน่นอนความกังวลเริ่มกัดกินใจ ฮวาอี้รู้ว่าเหว่ยหยางคงไม่สามารถต่อกรกับคนทั้งห้าได้ หากพวกมันบุกเข้ามาจริง นางจึงตั้งใจจะเตือนเขาให้เตรียมตัวรับมือ และคิดหาทางช่วยอีกแรงหนึ่งระหว่างที่นางกำลังไตร่ตรองอยู่นั้น เหว่ยหยางก็กลับมาจากการล่าสัตว์บนเขา เขาเดินมาหาต้นหญ้าน้อยเหมือนเช่นทุกวัน เมื่อเห็นว่าต้นหญ้าเหี่ยวเฉาลงเล็กน้อย เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไปด้วยความห่วงใย“เจ้าต้นหญ้าน้อย วันนี้ดูเจ้าจะไม่สดใสเลยนะ”ฮวาอี้ไม่รอช้า นางรีบบอกสิ่งที่พบให้เขารับรู้ทันที “เหว่ยหยาง รอบ ๆ บ้านของเจ้าตอนนี้ ข้าตรวจพบชายแปลกหน้าห้าคน ข้าเชื่อว่า

  • เกิดใหม่เป็นต้นหญ้าข้างเล้าไก่   ตอนที่ 8 พบเจอ

    ผ้าแพรแทบกลั้นยิ้มไม่ได้ นางดีใจยิ่งนักที่จะได้ออกไปจากบริเวณนี้เสียที “เจ้าช่วยขุดข้าไปปลูกที่อื่นได้ไหม ข้าเบื่อเจ้าไก่พวกนี้เต็มที!”เมื่อได้ยินคำขอร้องแรก เหว่ยหยางหลุดหัวเราะเบา ๆ อย่างอดไม่ได้ “ได้สิ ข้าจะย้ายเจ้าไปปลูกในกระถางดี ๆ สักใบ…แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่เป็นอะไร?”“เจ้าขุดพร้อมกับดินที่ข้าอยู่ด้วยก็แล้วกัน ข้าอาจจะเงียบไปสักพักหนึ่ง เพราะรู้สึกว่าพลังของข้ากำลังอ่อนลง” เสียงของผ้าแพรเบาลงตามแรงวิญญาณที่ค่อย ๆ ถดถอยเหว่ยหยางไม่รอช้า เขารีบหากระถางพร้อมตักดินโดยรอบต้นหญ้ามาด้วยอย่างระมัดระวัง ในขณะที่มือขุดดินอยู่นั้น เขารู้สึกได้ถึงพลังอบอุ่นบางอย่างจากต้นหญ้า หรือเขาจะคิดไปเอง?เมื่อจัดการย้ายต้นหญ้าเสร็จแล้ว เขานำกระถางไปวางไว้ใต้ชายคา ให้แสงแดดอ่อนส่องถึงอย่างพอดี ขณะนั้นเอง มารดาเดินผ่านมาเห็นเข้าโดยบังเอิญเริ่นหรงฮวาเลิกคิ้ว มองกระถางในมือของลูกชายด้วยความฉงน “เจ้าปลูกต้นหญ้าไปทำไมกัน?”เหว่ยหยางหันมายิ้มบาง ๆ “ต้นหญ้าต้นนี้เป็นเพื่อนของข้าน่ะขอรับ ข้ารู้สึกผูกพันกับมันเหลือเกิน ว่าแต่…ท่านแม่รู้จักชื่อของต้นหญ้านี้หรือไม่?”เริ่นหรงฮวาเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ แล้วพยักหน

  • เกิดใหม่เป็นต้นหญ้าข้างเล้าไก่   ตอนที่ 7 มิติที่เปิดออก

    “เจ้าช่างโชคดีนัก ที่มีลูกชายกตัญญูเช่นนี้…” ฟ่านหนิงเอ่ยเสียงแผ่ว สายตามองไปยังแม่ลูกอย่างเงียบงัน ความทรงจำถึงลูกที่จากไปทำให้นางรู้สึกอ้างว้างในหัวใจ ฤดูหนาวปีนี้ นางต้องอยู่เพียงลำพังอีกครั้งเริ่นหรงฮวาจับความรู้สึกของนางได้ จึงกล่าวอย่างอ่อนโยน “ท่านป้า หากท่านไม่รังเกียจ มาอยู่กับพวกเราก็ได้นะเจ้าคะ ท่านจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียว เราสองแม่ลูกยินดีต้อนรับท่านเสมอ”ฟ่านหนิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบาง ๆ และเช็ดน้ำตาที่คลอหน่วย “ขอบใจในความหวังดีของพวกเจ้านะ… แต่ข้ายังละทิ้งบ้านที่เคยมีครอบครัวอยู่ด้วยกันไม่ลง หากวันใดข้าตัดใจได้ ข้าจะย้ายมาอยู่กับพวกเจ้าแน่นอน ตอนนี้… ดูแลตัวเองให้ดี หิมะกำลังตกหนักขึ้นทุกวัน ไม่ต้องเป็นห่วงข้า”นางกล่าวลาทั้งสอง และหันหลังกลับไปด้วยแววตาที่ยังมีรอยเศร้าทางด้านผ้าแพรที่ยังคงสิงอยู่ในต้นหญ้า มองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความรู้สึกปนเป ความอบอุ่นระหว่างคนและบ้านใหม่ทำให้นางยิ่งรู้สึกเดียวดาย ‘นี่ข้ามาอยู่ที่นี่ได้เกินเดือนแล้วสินะ…’ ความคิดที่ผุดขึ้นมานั้น ทำให้จิตใจของผ้าแพรยิ่งหม่นหมอง ดอกหญ้าสีม่วงที่นางสิงสถิตอยู่ก็พลอยเหี่ยวเฉาลงด้วยอารมณ์ที่แปรเปลี

  • เกิดใหม่เป็นต้นหญ้าข้างเล้าไก่   ตอนที่ 6 สร้างบ้าน

    วันต่อมา เหว่ยหยางทำกิจวัตรเหมือนเดิม เขาพยุงมารดาไปทำธุระส่วนตัว ให้อาหารไก่ แล้วอาบน้ำยามเช้า ก่อนจะมานั่งลงข้างเล้าไก่ เอ่ยทักต้นหญ้าสีม่วงที่เติบโตขึ้นกว่าเดิม“เจ้าต้นหญ้าน้อย เจ้ารู้หรือไม่ วันนี้เป็นวันที่ข้ามีความสุขที่สุด” เขาระบายความรู้สึกในใจอย่างผ่อนคลาย จ้องมองดอกไม้พลางเอื้อมมือแตะปลายใบอ่อนแผ่วเบาเขารู้สึก… สบายอย่างประหลาด ทุกครั้งที่สัมผัสต้นหญ้านี้ผ้าแพรที่สถิตอยู่ในต้นหญ้าเงียบฟังเรื่องราวของเด็กชายอย่างตั้งใจ นางอยากจะปลอบโยน อยากจะโอบกอดเขา แต่ก็ทำไม่ได้ ได้เพียงแค่สั่นไหวใบอ่อนเพื่อตอบรับอย่างสุดกำลังวันแล้ววันเล่า เหว่ยหยางมักจะมานั่งพูดคุยกับต้นหญ้าสีม่วงต้นนี้เป็นประจำ เขาระบายสิ่งต่าง ๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว ส่วนผ้าแพรก็เฝ้าฟังและเผลอผูกพันกับเด็กชายมากขึ้นทุกที… และในวันที่ไม่เห็นเขา นางก็รู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูก…ก่อนที่ฤดูหนาวจะย่างกรายมาถึง เริ่นเหว่ยหยางได้ขอให้ป้าฟ่างหนิงช่วยแนะนำช่างที่ไว้ใจได้เพื่อมาสร้างบ้านหลังใหม่ ท่านป้าจึงพาเขาเข้าเมืองซานเฉิง และในที่สุดก็สามารถว่าจ้างช่างฝีมือคนหนึ่งตกลงราคากันที่สามตำลึงทองฟ่านหนิงถึงกับตาโต เมื่อได้ยินราคาที

  • เกิดใหม่เป็นต้นหญ้าข้างเล้าไก่   ตอนที่ 5 ความสัมพันธุ์ที่แปลก

    ขณะที่เริ่นเหว่ยหยางบังคับเกวียนลามุ่งหน้ากลับหมู่บ้าน เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีตั้งแต่ยังไม่พ้นเขตเมือง สัมผัสแปลก ๆ เหมือนมีสายตาคอยจับจ้องอยู่เบื้องหลังตั้งแต่ตอนที่เขาขายกวางตัวนั้นมือเล็ก ๆ กำแน่นตรงหน้าอก ที่ซ่อนเงินทั้งหมดไว้ในเสื้อผ้าชั้นใน ความกังวลเกาะกินหัวใจ เขาได้แต่ภาวนาว่า ขอให้ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นในคืนที่ดึกดื่นเช่นนี้เมื่อเดินทางมาได้ครึ่งทาง ชายผู้หนึ่งก็โผล่ออกมาจากพุ่มไม้กระโจนเข้าขวางเกวียนของเขา ชายคนนั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าขาดวิ่น ร่างผอมโซจนแทบเห็นกระดูก เหว่ยหยางรีบหยุดเกวียนด้วยความตกใจเขาจับจ้องชายเบื้องหน้าด้วยสายตาแข็งกร้าว ก่อนเอ่ยเสียงนิ่ง“เจ้าคือใคร? มาขวางทางข้าทำไม?”ขณะนั้น ดวงตาของเขากวาดไปสองข้างทาง สำรวจว่าอาจมีใครซ่อนตัวอยู่อีกชายขอทานหัวเราะในลำคอ พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เจ้าหนูน้อย ข้ารู้นะว่าเจ้าเพิ่งขายของมีค่า ได้เงินมาไม่น้อย เอามาแบ่งข้าบ้างสิ แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ”ได้ยินเช่นนั้น เหว่ยหยางกลับแสยะยิ้มเย็น มองชายตรงหน้าขึ้นลงราวกับประเมินศัตรู“เจ้าก็มีมือมีเท้าครบ เหตุใดไม่ไปหาเลี้ยงชีพด้วยตนเอง ต้องมาดักปล้นเด็กเช่นข้า เจ้านึกว่าข้

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status