ตื่นขึ้นมาอีกที… ดาราสาวกลับกลายเป็นต้นหญ้าในโลกแปลกประหลาด! เธอไร้เสียง ไร้ร่าง แต่กลับมีหัวใจที่ยังรู้สึกเจ็บปวด และเด็กชายตัวน้อยผู้เป็นเพียงคนเดียวที่มอบหยาดน้ำให้เธอ…
view moreณ สถานที่ถ่ายทำละครแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่หลายคนกำลังเตรียมเซ็ตฉากอย่างขะมักเขม้น เสียงจากห้องด้านข้างดังลอดออกมาเบา ๆ ห้องที่นักแสดงนำของเรื่องกำลังนั่งอ่านบทอยู่ไม่ไกลนัก
“ผ้าแพร ได้เวลาถ่ายทำต่อแล้ว มัวทำอะไรอยู่!” ผู้จัดการส่งเสียงเรียกดาราสาวดาวรุ่งผู้กำลังเป็นกระแสอยู่ในตอนนี้ “ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันตามไป” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นตอบเรียบ ๆ เธอคือ “ผ้าแพร” ดาราสาวที่เพิ่งเข้าสู่วงการ แต่กลับได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ทั้งที่เมื่อไม่นานมานี้ยังเป็นเพียงพนักงานในร้านสะดวกซื้อใจกลางเมือง ความสวยที่โดดเด่นสะดุดตานั่นเองที่ทำให้เธอถูกแมวมองชักชวนเข้าสู่วงการบันเทิง หลังจากผลงานเรื่องแรกออกฉาย กระแสตอบรับก็ถาโถมจนชีวิตของเธอเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เธอรีบเก็บบทละครแล้วเดินตามผู้จัดการเข้าไปในกองถ่าย ใช้เวลาอยู่หน้ากล้องตั้งแต่เช้าจรดเย็น จนร่างกายแทบหมดแรง ผ้าแพรเดินออกจากกองถ่ายพลางนวดไหล่เบา ๆ ความเหนื่อยล้าถาโถมเข้าใส่จนไม่อยากแวะไปไหนต่อ อยากกลับไปซบเตียงนุ่ม ๆ ที่บ้านมากกว่า เพื่อให้หน้าตาได้พักผ่อน และพร้อมสำหรับการถ่ายทำในวันพรุ่งนี้ “ให้พี่ไปส่งที่บ้านไหม?” ผู้จัดการสาวหันมาถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย “ไม่เป็นไรค่ะพี่ส้ม เดี๋ยวแพรขับรถกลับเองดีกว่า ตอนนี้ก็มืดมากแล้ว ไม่น่ามีใครเห็นหรอก ที่พักก็อยู่ไม่ไกลจากกองถ่ายเท่าไหร่ด้วย” เธอตอบพร้อมฝืนยิ้ม ไม่อยากรบกวนใคร เพราะรู้ว่าทุกคนต่างก็เหนื่อยล้ามาทั้งวันเช่นกัน เมื่อได้ยินคำตอบนั้น ผู้จัดการยังไม่วางใจ “ไม่ให้พี่ไปส่งจริง ๆ นะ ถ้าอย่างนั้นก็ขับรถกลับดี ๆ ล่ะ พี่กลับก่อนนะ” ผ้าแพรพยักหน้ารับ ขอบคุณอีกฝ่ายในใจ ก่อนจะเดินออกไปยังที่จอดรถ ขณะกำลังจะเปิดประตู เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทว่ามันเป็นเพียงเสียงข้อความ เธอจึงไม่ใส่ใจนัก รีบขึ้นรถแล้วสตาร์ทออกไปทันที รถแล่นด้วยความเร็วปานกลาง เส้นทางคุ้นเคยผ่านไปอย่างราบรื่น จนเหลืออีกไม่ไกลก็จะถึงที่พักแล้ว ทว่าเสียงแจ้งเตือนข้อความดังขึ้นอีกครั้ง… หนนี้ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่ถึงสามครั้งติดกัน จนเธอเริ่มรู้สึกหงุดหงิด ‘ใครส่งข้อความมาตอนนี้กัน?’ เธอบ่นในใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปควานหาโทรศัพท์ เปิดหน้าจอขึ้นดูอย่างเสียไม่ได้ สายตาผละจากถนนชั่วครู่เพื่ออ่านข้อความ “สิทธิ์พิเศษของผู้โดดเดี่ยว” เธอหลุดหัวเราะเบา ๆ ‘อะไรกันเนี่ย ข้อความไร้สาระชะมัด’ ขณะที่กำลังจะกดปิด ดันเผลอไปแตะที่ลิงก์แนบมากับข้อความ และเผลอกดยืนยันเข้าไปโดยไม่ทันระวัง ใจของเธอเริ่มเต้นแรง ความกลัวแล่นขึ้นมาทันที ‘หรือว่านี่จะเป็นมิจฉาชีพ!? เงินเก็บทั้งหมดของฉันจะปลอดภัยไหม?’ มือหนึ่งยังกุมพวงมาลัย ส่วนอีกข้างพยายามโทรหาเจ้าหน้าที่ธนาคารด้วยความลนลาน ทว่าในจังหวะที่สายตาหันกลับมามองถนนอีกครั้ง กลับเห็นแมวสีดำตัวหนึ่งพุ่งตัดหน้ารถไปอย่างรวดเร็ว! เธอตกใจสุดขีด รีบหักพวงมาลัยหลบ แต่ข้างทางกลับมีเสาไฟฟ้าตั้งตระหง่านอยู่ การหลบเลี่ยงไม่ทันทำให้รถพุ่งชนเสาเข้าอย่างจัง โครม! หัวของเธอกระแทกกับถุงลมนิรภัยแรงจนหมดสติทันที… “ตู๊ด!…” “สวัสดีค่ะ คุณลูกค้ามีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ” เสียงจากธนาคารดังขึ้นในสายที่เธอโทรไปเมื่อครู่ แต่เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับ สายก็ค่อย ๆ ถูกตัดไปในความเงียบ ทันใดนั้น หน้าจอโทรศัพท์ที่หล่นอยู่ก็ปรากฏข้อความขึ้นมาอีกครั้ง… “ท่านได้กดยืนยันเพื่อเข้าสู่ชีวิตใหม่ เพื่อบรรเทาความโดดเดี่ยว ณ สถานที่แห่งใหม่…” “ระบบจะเริ่มพาท่านเข้าสู่โลกใหม่ใน…” 3… 2… 1… ปิ้บ! ความเจ็บแปลบแล่นไปทั่วร่างทำให้เธอค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้น “โอ๊ย… เจ็บ! ใครมาหยิกฉันเนี่ย!” เสียงร้องหลุดจากปากทันทีที่รู้สึกตัว ภาพแรกที่เธอเห็น… ไม่ใช่คน ไม่ใช่สถานที่เดิม…แต่เป็นหัวของไก่ตัวหนึ่ง มันยืนอยู่ในระดับสายตา และจ้องเธอเขม็ง “ว้ากกกกก!” เธอกรีดร้องลั่น พยายามจะปัดมันออกไป แต่มือกลับขยับไม่ได้อย่างใจคิด ‘นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!?’ เธอได้แต่ตั้งคำถามในใจด้วยความสับสนปนหวาดกลัว เมื่อไก่ตัวนั้นหมดความสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มันก็เดินจากไปอย่างไม่ใยดี ผ้าแพรค่อย ๆ ปรับสายตา พยายามกวาดมองไปรอบตัว ทุกสิ่งรอบข้างดูใหญ่โตผิดธรรมชาติ ไม่ใช่แค่ใหญ่ธรรมดา แต่ใหญ่กว่าร่างของเธอราวกับเธอกลายเป็นสิ่งมีชีวิตตัวจ้อยในโลกของยักษ์ ‘นี่มันที่ไหนกัน… ทำไมทุกอย่างถึงได้ใหญ่โตขนาดนี้?’ เธอพรึบคิดในใจด้วยความสับสน หญิงสาวพยายามยกมือขึ้นมาตรวจดูให้แน่ใจ แต่ไม่ว่าจะพยายามขยับสักแค่ไหน แขนของเธอกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย มันยังคงแนบติดอยู่ในตำแหน่งเดิมราวกับถูกตรึงเอาไว้ เธอทำได้เพียงแค่มองเห็นโลกตรงหน้า แต่ไม่อาจตอบสนองได้ดั่งใจปรารถนา เมื่อหันสายตาไปด้านหน้า เธอสังเกตเห็นเล้าไก่ขนาดย่อมตั้งอยู่ห่างออกไปไม่มากนัก ตัวเล้าทำจากไม้เก่า ดูทรุดโทรมจวนเจียนจะพังลงมาทุกเมื่อ ใกล้กันมีบ้านหลังเล็กสร้างจากไม้ไผ่เก่า ๆ สภาพยิ่งย่ำแย่กว่ากันนัก หลังคาบางจุดแหว่งหาย รอยรั่วและรอยผุพังปรากฏชัดราวกับเวลาหลายปีได้กลืนกินมันไปทีละน้อย ‘เจ้าของบ้านนี้คงลำบากมากทีเดียว…’ เธอครุ่นคิด ขณะสายตากวาดมองไปรอบบริเวณ เธอเห็นเพียงไก่ป่าสองสามตัวเดินคุ้ยเขี่ยอย่างเชื่องช้า ดูแล้วคงเป็นสิ่งมีชีวิตไม่กี่ตัวที่ถูกเลี้ยงไว้ในบริเวณนี้ ทุกอย่างเงียบเชียบจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง ภาพตรงหน้าเหมือนฉากหนึ่งในความฝัน… หรือบางที อาจเป็นฝันร้ายที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นจริง ๆขณะที่เริ่นเหว่ยหยางบังคับเกวียนลามุ่งหน้ากลับหมู่บ้าน เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีตั้งแต่ยังไม่พ้นเขตเมือง สัมผัสแปลก ๆ เหมือนมีสายตาคอยจับจ้องอยู่เบื้องหลังตั้งแต่ตอนที่เขาขายกวางตัวนั้นมือเล็ก ๆ กำแน่นตรงหน้าอก ที่ซ่อนเงินทั้งหมดไว้ในเสื้อผ้าชั้นใน ความกังวลเกาะกินหัวใจ เขาได้แต่ภาวนาว่า ขอให้ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นในคืนที่ดึกดื่นเช่นนี้เมื่อเดินทางมาได้ครึ่งทาง ชายผู้หนึ่งก็โผล่ออกมาจากพุ่มไม้กระโจนเข้าขวางเกวียนของเขา ชายคนนั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าขาดวิ่น ร่างผอมโซจนแทบเห็นกระดูก เหว่ยหยางรีบหยุดเกวียนด้วยความตกใจเขาจับจ้องชายเบื้องหน้าด้วยสายตาแข็งกร้าว ก่อนเอ่ยเสียงนิ่ง“เจ้าคือใคร? มาขวางทางข้าทำไม?”ขณะนั้น ดวงตาของเขากวาดไปสองข้างทาง สำรวจว่าอาจมีใครซ่อนตัวอยู่อีกชายขอทานหัวเราะในลำคอ พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เจ้าหนูน้อย ข้ารู้นะว่าเจ้าเพิ่งขายของมีค่า ได้เงินมาไม่น้อย เอามาแบ่งข้าบ้างสิ แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ”ได้ยินเช่นนั้น เหว่ยหยางกลับแสยะยิ้มเย็น มองชายตรงหน้าขึ้นลงราวกับประเมินศัตรู“เจ้าก็มีมือมีเท้าครบ เหตุใดไม่ไปหาเลี้ยงชีพด้วยตนเอง ต้องมาดักปล้นเด็กเช่นข้า เจ้านึกว่าข้
เริ่นเหว่ยหยางรีบวิ่งไปยังบ้านของท่านป้าฟ่านหนิงซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจากบ้านของเขา แต่ก่อนในยามที่บ้านเขาขาดแคลนอาหาร ท่านป้าฟ่างหนิงก็มักจะนำอาหารมาแบ่งปันให้อย่างไม่ขาดสาย เป็นผู้ใหญ่ใจดีที่เขานับถือเสมอมาเมื่อมาถึงหน้าบ้าน เขาหยุดยืนหอบหายใจอยู่หน้ารั้วดินเหนียวที่ก่อขึ้นอย่างมั่นคง ตัวบ้านดูดีกว่าของเขามากนัก“ท่านป้าฟ่านหนิงขอรับ!” เขาเรียกออกไปด้วยเสียงดังฟังชัดไม่นาน หญิงสูงวัยผู้หนึ่งก็เปิดประตูออกมา นางชะเง้อมองก่อนจะเห็นหน้าเด็กชายผู้คุ้นเคย จึงยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน“เหว่ยหยางหรือ? มาหาข้ามีธุระอันใดหรือ?” นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น แม้จะเป็นเวลาดึกแล้วเด็กชายรีบยกมือไหว้ และเอ่ยสิ่งที่ตนต้องการอย่างไม่รีรอ“ข้ามีเรื่องรบกวนท่านป้าเพียงเล็กน้อยขอรับ ข้าอยากขอยืมเกวียนลาของท่าน เพื่อจะนำของเข้าเมือง”“เจ้าอยากเข้าเมืองในเวลานี้หรือ?” นางถามอย่างประหลาดใจ“ใช่ขอรับ และข้ายังอยากขอร้องให้ท่านช่วยไปดูแลท่านแม่ให้สักพัก พอดีข้าต้องรีบเอาของไปขายข้างในเมืองให้ทันตลาด” เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ปิดบัง เพราะรู้ว่าท่านป้าฟ่านหนิงเป็นคนใจดีและไว้ใจได้นางพยักหน้าโดยไม่ลังเล “ได้สิ เ
ผ้าแพรเลิกสนใจเหล่าไก่ที่เคยเดินเข้ามารบกวน และหันสายตามองไปยังเด็กชายผู้มีแววตาโตเกินวัย เขานั่งพิงฝาไม้ของเล้าไก่ เศษไม้ไผ่ในมือถูกจับเล่นเบา ๆ พลางทอดสายตามองไปยังที่ว่างเบื้องหน้าเริ่นเหว่ยหยางนั่งนิ่ง ท่ามกลางสายลมอ่อนของยามบ่ายที่พัดผ่านใบหญ้าให้เอนลู่ช้า ๆ ข้างเล้าไก่ทรุดโทรมในหมู่บ้านเล็ก ๆ ห่างไกลผู้คน ดอกหญ้าแห้งเหี่ยวโผล่ขึ้นจากผืนดินแข็งกระด้าง สะท้อนความว่างเปล่าที่ไม่มีใครเหลียวแลแม้จะมีอายุเพียงสิบขวบ แต่แววตาของเขากลับแข็งกร้าวเกินวัยนัก ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปยังท้องฟ้าที่ทอดยาวไร้จุดสิ้นสุด เสียงจิ้งหรีดร้องระงม เสียงไก่ขันดังแทรกอยู่ใกล้ ๆ เขาเงียบงัน ราวกับกำลังกลืนกินความทรงจำบางอย่างที่ฝังแน่นไม่เคยจางเขาคือ “หวังเหว่ยหยาง” บุตรชายของแม่ทัพหวังแห่งเมืองหลวง ผู้เคยเป็นเสาหลักของกองทัพแคว้นชาง แต่ในวันที่อำนาจเริ่มสั่นคลอน ขุนนางผู้ละโมบและจักรพรรดิผู้หวาดระแวงก็ร่วมกันวางแผนโค่นล้มตระกูลหวังจนสิ้นคืนนั้น… ตอนที่เขาอายุเพียงห้าขวบ เปลวไฟลุกท่วมทั่วจวนใหญ่ เสียงดาบฟาดฟันปะทะกันระงม เสียงทหารโห่ร้องดังทั่วฟ้าเหว่ยหยางถูกปลุกขึ้นจากนิทราด้วยมือสั่นเทาของมารดา มือที
ผ้าแพรรู้สึกสับสนอย่างหนัก นางไม่รู้เลยว่าตัวเองอยู่ที่ใด และเหตุใดจึงไม่สามารถขยับร่างกายได้ ความทรงจำสุดท้ายที่ยังคงหลงเหลือ คือภาพรถชนเสาไฟฟ้าอย่างแรงจนหมดสติไป หลังจากนั้น…ทุกอย่างก็ดับวูบ‘มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…’ นางครุ่นคิดในความเงียบ และในขณะนั้นเอง เสียงจากบ้านไม้ไผ่หลังเล็กที่อยู่เบื้องหน้าก็ดังขึ้น“ท่านแม่ขอรับ ท่านเป็นเช่นไรบ้าง?”เป็นเสียงของเด็กชายคนหนึ่ง พูดภาษาจีนชัดถ้อยชัดคำ ซึ่งฟังดูไม่เหมือนภาษาที่นางใช้ในชีวิตประจำวันเลยแม้แต่น้อย‘ภาษาจีน?’ นางคิดอย่างประหลาดใจ ทั้งที่ตนเป็นคนไทยแท้ ทำไมถึงเข้าใจถ้อยคำเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายราวกับเป็นภาษาแม่ในไม่ช้า เด็กชายอายุราวสิบขวบเดินออกมาจากตัวบ้าน ในมือหิ้วถังไม้เก่าใบหนึ่งไว้แน่น เขาตรงไปยังเล้าไก่ใกล้ ๆ และเทน้ำให้ไก่ป่าดื่มอย่างคล่องแคล่วเริ่นเหว่ยหยาง เด็กชายผู้นั้น เดินเข้ามาตามกิจวัตร สายตาของเขาเหลือบไปเห็นต้นหญ้าต้นหนึ่งงอกอยู่ข้างเล้า มันมีขนาดเล็กจิ๋ว แต่กลับมีดอกสีม่วงอ่อนบานสะพรั่ง ราวกับของขวัญจากธรรมชาติที่ซุกซ่อนความงามไว้ในความธรรมดาเขาเดินเข้าไปใกล้ เอื้อมมือรดน้ำลงไปที่ลำต้น“เจ้าก็ต้องการน้ำเช่นกันใช
ณ สถานที่ถ่ายทำละครแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่หลายคนกำลังเตรียมเซ็ตฉากอย่างขะมักเขม้น เสียงจากห้องด้านข้างดังลอดออกมาเบา ๆ ห้องที่นักแสดงนำของเรื่องกำลังนั่งอ่านบทอยู่ไม่ไกลนัก“ผ้าแพร ได้เวลาถ่ายทำต่อแล้ว มัวทำอะไรอยู่!” ผู้จัดการส่งเสียงเรียกดาราสาวดาวรุ่งผู้กำลังเป็นกระแสอยู่ในตอนนี้“ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันตามไป” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นตอบเรียบ ๆเธอคือ “ผ้าแพร” ดาราสาวที่เพิ่งเข้าสู่วงการ แต่กลับได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ทั้งที่เมื่อไม่นานมานี้ยังเป็นเพียงพนักงานในร้านสะดวกซื้อใจกลางเมือง ความสวยที่โดดเด่นสะดุดตานั่นเองที่ทำให้เธอถูกแมวมองชักชวนเข้าสู่วงการบันเทิง หลังจากผลงานเรื่องแรกออกฉาย กระแสตอบรับก็ถาโถมจนชีวิตของเธอเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเธอรีบเก็บบทละครแล้วเดินตามผู้จัดการเข้าไปในกองถ่าย ใช้เวลาอยู่หน้ากล้องตั้งแต่เช้าจรดเย็น จนร่างกายแทบหมดแรงผ้าแพรเดินออกจากกองถ่ายพลางนวดไหล่เบา ๆ ความเหนื่อยล้าถาโถมเข้าใส่จนไม่อยากแวะไปไหนต่อ อยากกลับไปซบเตียงนุ่ม ๆ ที่บ้านมากกว่า เพื่อให้หน้าตาได้พักผ่อน และพร้อมสำหรับการถ่ายทำในวันพรุ่งนี้“ให้พี่ไปส่งที่บ้านไหม?” ผู้จัดการสาวหันมาถามด้วยน้ำเส
Mga Comments