5
อาหารก็เป็นยาได้
“เสี่ยวหรงยกอาหารมาที” หลังพาอ๋องอันไปนั่งได้นางก็ขยับไปนั่งเก้าอี้ข้าง ๆ เรียกชามโจ๊กจากสาวใช้ พอเปิดฝาชามโจ๊กออกกลิ่นโจ๊กที่มีสมุนไพรก็ลอยขึ้นมา กลิ่นหอมนี้ชวนให้อยากอาหารยิ่งนัก หลังถูกพิษอ๋องอันไม่เคยเสวยอาหารเกินห้าคำเลย ทั้งที่เมื่อก่อนโปรดปรานเนื้อสัตว์มาก
“นี่คือสิ่งใด”
“โจ๊กผักเพคะ”
“พระชายาทดสอบพิษก่อนดีหรือไม่” จื่ออี้เอ่ยถามขณะเห็นนางกำลังเป่าไอร้อนจากโจ๊กบนช้อนอยู่ คิดว่านางคงจะป้อนอ๋องอันเองเป็นแน่ ถึงนางจะเป็นพระชายาแต่อย่างไรเขาในฐานะองครักษ์สิ่งใดควรระวังก็ยังต้องทำอยู่
แม้จะทำให้นางโกรธก็จำต้องยอมถูกลงโทษ แต่สิ่งที่นางบอกทำเขางุนงงไม่น้อยเลย
“อ๋อ ได้สิ เช่นนั้นเจ้าลองตรวจดู” นางว่าจบก็วางช้อนใส่ชามไว้ แล้วยื่นให้องครักษ์หนุ่มน้อยผู้นั้นได้ตรวจสอบพิษตามใจอยาก จื่ออี้ค้อมตัวลงต่ำคล้ายกับกำลังขอประทานอภัยจากพระชายา นางมิได้คิดมากที่ถูกระแวงอย่างไรก็เพิ่งแต่งงาน เขาไม่ไว้ใจก็ไม่ผิดอันใดนางเข้าใจดี
“แต่จื่ออี้เจ้ารู้หรือไม่ว่าไม่ใช่พิษทุกชนิดจะตรวจได้ด้วยเข็มเงิน ข้ามีวิธีที่ดีกว่านั้น หากไม่เชื่อแล้วส่งชามมาให้ข้าสิ” ในห้องบรรทมไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีกหลังฉีอ้ายฉิงว่าจบ จื่ออี้ชั่งใจสักครู่ไม่รู้ว่าตนเองควรทำอย่างไรจะดื้อดึงไม่ฟังนาง นางก็ถือเป็นพระชายาอยู่ดี
“ให้พระชายาเถอะจื่ออี้” อ๋องอันคงรู้ว่าองครักษ์ตนเองคิดอย่างไร จึงรับสั่งให้เขามอบชามนั่นให้นาง หากผู้เป็นนายทำเช่นนี้หมายความว่าทรงเชื่อพระทัยพระชายาอยู่มาก จื่ออี้ยื่นโจ๊กคืนให้นางค้อมตัวแล้วขยับไปยืนข้าง ๆ เสี่ยวหรง รอดูว่าสตรีสูงศักดิ์ผู้นี้จะทำสิ่งใดต่อ
“เช่นนี้ก็ไม่ต้องทดสอบพิษแล้ว” นางหยิบช้อนอีกคันมาตักโจ๊กใส่ปากตนเองแล้วหันไปพูดกับจื่ออี้ สิ่งที่นางทำทำผู้คนพูดไม่ออกจริง ๆ ไม่มีผู้ใดเอ่ยสิ่งใดออกมาภายในห้องบรรทมที่เงียบอยู่แล้วจึงเงียบมากขึ้นไปอีก
“มีสิ่งใดกันหรือ” ชายหนุ่มที่มองไม่เห็นรู้สึกว่าบรรยากาศรอบข้างแปลกไป เขาเอ่ยถามทหารคนสนิท ฉีอ้ายฉิงยิ้มรับแล้วมองหน้าจื่ออี้อย่างอารมณ์ดี
“พระชายาทรงกินโจ๊กทดสอบพิษด้วยองค์เองพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
“เห็นหรือไม่ข้าไม่ตายแปลว่าโจ๊กนี้ไม่มีพิษ ข้าไม่มีเหตุผลให้วางยาพิษท่านอ๋องของเจ้าไม่ต้องห่วง”
“ปล่อยให้นางทำเถอะ นางอยากทำสิ่งใดก็ทำ พวกเจ้าไม่ต้องขัดนาง”
“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง”
“เช่นนั้นข้ากินได้หรือยัง” อาหารก็ถูกทดสอบพิษแล้วอ๋องอันจึงทรงตรัสถามหาอาหารของตน แม้จะไม่หิวแต่ถึงอย่างไรนางก็ตั้งใจทำมาให้
“ได้เพคะ หม่อมฉันได้ยินจากสาวใช้ว่าพระองค์ไม่ทรงโปรดผักทุกชนิดเลย อ้าปากเพคะ” นางพูดขณะตักโจ๊กขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปากของพระสวามี อ๋องอันยกมือขึ้นมาแตะข้อมือนางเบา ๆ ราวกับกำลังห้ามปราม
“ข้าตาบอดแต่ไม่ได้พิการ กินเองได้”
“พระองค์ไม่ได้ตาบอดเพคะ พระองค์แค่เพียงมองไม่เห็นชั่วคราวเท่านั้น หากทรงยิ่งพูดเช่นนั้น พระองค์ก็ทรงท้อแท้พระทัย ไม่มีจิตใจอยากหาย ยิ่งพระองค์หดหู่พระองค์ก็จะยิ่งมีโอกาสหายน้อยลงนะเพคะ หม่อมฉันรู้ว่าพระองค์ไม่อยากให้ผู้ใดคิดว่าทรงเป็นภาระ แต่พระองค์หาใช่ภาระ ทรงเป็นพระสวามี สิ่งนี้คือหน้าที่ของหม่อมฉันเพคะ” ในใจรู้สึกดีไม่น้อยเมื่อนางเริ่มพูดตั้งแต้ต้นประโยค แต่อยู่ ๆ รอยยิ้มนี้ก็หายไปหลังได้ยินคำว่าหน้าที่ แต่เพราะเหตุใดเขาต้องไม่พอใจทั้งที่จริงนี่ก็คือหน้าของภรรยาจริง ๆ เขาไม่ควรลืมว่านางเองก็ถูกบังคับให้แต่งกับคนมองไม่เห็นเช่นเขา
“ข้ารู้แล้ว แต่อย่างไรก็ควรเรียนรู้จะทำเองมิใช่หรือ หากเจ้าไม่อยู่ผู้ใดจะทำให้ข้า”
“หม่อมฉันจะไปไหนละเพคะ เอาล่ะไม่ต้องพูดแล้ว อ้าปากเถอะเพคะ โจ๊กเย็นมากจะคาว อาหารพวกนี้หม่อมฉันทำเองทั้งหมด แม้จะช่วยได้ไม่มากแต่อาหารพวกนี้ถือว่าเป็นยา” ไม่ว่านางพูดสิ่งใดก็ล้วนแล้วแต่มีเหตุผล มีเหตุผลจนเขาไม่รู้ว่าจะโต้เถียงสิ่งใดกับนางได้อีก จึงยินยอมนั่งนิ่ง ๆ ให้นางป้อนโจ๊กต่อไป
นางเอกก็นั่งป้อนเขา ชวนเขาพูดคุยเรื่องเรื่อยเปื่อยราวกับภายในห้องมีเพียงทั้งสองคน แต่ภาพตรงหน้าล้วนแต่ทำให้บ่าวคนสนิททั้งสองดีใจไม่น้อย หลังคุณหนูของนางถูกสองแม่ลูกนั่นลงโทษจนหัวฟาดหมดสติ เมื่อตื่นมาคุณหนูก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยดูไม่ใช่ผู้ที่จะคอยยอมให้ผู้ใดรังแกอีก สำหรับนางเรื่องนี้นั้นดีมากจริง ๆ
ส่วนจื่ออี้ดีใจที่อย่างน้อยพระชายาก็ทำให้อ๋องอันยอมพูดคุยด้วย ยิ้ม หัวเราะได้ เมื่อทรงรู้ว่าตนเองจะมองไม่เห็นอีกจากเดิมที่เคยเงียบขรึม กลับยิ่งเงียบขรึมยิ่งขึ้น ไม่นึกเลยว่าเพียงคืนเดียวพระชายาก็ทำให้ท่านอ๋องของเขาเปลี่ยนไป
แม้เขาจะไม่เชื่อว่านางจะช่วยให้อ๋องอันกลับมามองเห็นได้ แต่เพียงมีนางอยู่ข้าง ๆ ไปเช่นนี้ ท่านอ๋องก็คงมีความสุขมากแล้ว อีกทั้งพระชายายังทำให้ท่านอ๋องของเขากินโจ๊กนั่นจนหมดชามได้
“เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าอ๋องอันจะกลับมามองเห็นอีกไม่ได้” ชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ที่ยืนหันหลังให้ถามเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ภายในห้องบรรทมขององค์ชายนี้ไม่มีผู้อื่นอยู่อีกนอกจากเขาและหมอหลวงผู้นั้น ผู้ที่ได้ให้การรักษแก่อ๋องอันตั้งแต่เมื่อหนึ่งเดือนก่อน
“กระหม่อมมั่นใจพ่ะย่ะค่ะ หลังจากตรวจละเอียดแล้วพบว่าพิษนี้คือสิ้นทิวา ผู้ที่โดนไม่มีทางกลับมามองเห็นได้อีกเป็นแน่” หมอหลวงกราบทูลเสร็จก็เงยหน้ามองบุรุษตรงหน้า
“ดี เช่นนั้นไปเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย” หมอหลวงกราบทูลเพราะคิดว่าเป็นพี่น้องกันย่อมต้องห่วงกันเป็นธรรมดา เลยมิได้คิดว่าผู้ที่อยู่เบื้องหน้านี้คือผู้ที่เป็นคนใช้พิษนี้มาทำลายพี่น้องด้วยกันเอง เพียงแต่เขาไม่ต้องการให้อีกฝ่ายตายจึงเลือกใช้สิ้นทิวาที่มีฤทธิ์ต่อดวงตาเท่านั้น
28สตรีใดที่ท่านหลงรัก“เห็นอยู่กับตาว่าเจ้าคือฉีอ้ายฉิง เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น” ชายหนุ่มถามอย่างสงสัย ไม่รู้เหตุใดชายาตนเองจึงพูดจาแบบนี้ ถามผู้ที่เคยพบล้วนต้องบอกว่านางคือฉีอ้ายฉิงบุตรตระกูลฉีเป็นแน่“เดิมทีฉีอ้ายฉิงถูกฉีอ้ายเหม่ยบุตรสาวคนโตทำร้ายจนสิ้นใจภายในจวน และหม่อมฉันตายจากที่อื่นก็เลยเข้ามาอยู่ในร่างนางแทน เช่นนั้นข้าจึงจำไม่ได้ว่าเคยช่วยท่านเอาไว้ เพราะผู้ที่ช่วยพระองค์ไม่ใช่หม่อมฉัน แต่เป็นนาง”“...”“หม่อมฉันฟื้นขึ้นมาวันที่ต้องเข้าพิธีสมรส จนได้เจอกับพระองค์ คราแรกกังวลใจไม่น้อยที่อยู่ ๆ ต้องเข้าพิธีกับผู้ที่มีชื่อเสียงโหดร้ายเช่นท่าน แต่เมื่อแต่งแล้วจึงรู้ว่าท่านไม่ได้เป็นดั่งที่ชาวบ้านร่ำลือ”“...”“ที่หม่อมฉันช่วยพระองค์ก็เพื่อให้ตนเองได้อยู่อย่างไม่ลำบาก จนไม่นานมานี้ได้รับรู้ว่าที่พระองค์ดีกับหม่อมฉันเพราะทรงจำได้ว่าฉีอ้ายฉิงเคยช่
27เรื่องเหลือเชื่อนี้“โชคดีจริง ๆ ที่ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมอุปสรรคเยอะแยะเหมือนในละคร ไม่งั้นตายแน่เลย เนาะไอ้จิ๋วของแม่” หญิงสาวพึมพำกับตนเองเบาๆ ขณะนั่งหน้าคันฉ่องบานใหญ่ เรื่องนี้ยังไม่มีผู้ใดรู้นางไม่กล้าบอกเพราะกลัวว่าจะไม่มีผู้ใดเชื่อเรื่องเหลือเชื่อนี้เสียงเรียกแผ่วเบาหน้าประตูทำให้นางลุกไปดู หยินซูหยางหรือมารดาแท้ ๆ ของฉีอ้ายฉิงคนเก่า นางมาอยู่ที่จวนอ๋องได้เกือบหนึ่งเดือนแล้วเพราะตระกูลฉีถูกเนรเทศจากเมืองหลวงหลังถูกโบย“ท่านแม่มีอันใดหรือเจ้าคะ”“แม่ไม่ได้พูดคุยกับเจ้ามานานจึงอยากมาพูดคุยด้วยสักหน่อย เป็นอย่างไรบ้าง ยังอาเจียนอยู่หรือไม่”“ท่านแม่เชิญเข้ามาก่อนเถอะเจ้าค่ะ” หยินซูหยางเดินตามบุตรสาวเข้าไปนั่งเก้าอี้ในห้อง อ๋องอันยามนี้คงอยู่ในวังเพื่อวางเรื่องการป้องกันเมืองกับไท่จื่อ นางรินชาให้มารดาแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน แม้ไม่ใช่บุตรแท้ ๆ แต่อย่างไรยามนี้นางก็เป็นฉีอ้
26โอกาสสุดท้ายของการกลับตัวไท่จื่อเบิกตาโตมองผู้คนที่เดินเข้ามาภายในโถงร้านค้าเก่าแห่งนี้ ภายนอกมีคนของเขาเฝ้าอยู่ด้านนอกหลายคนรวมถึงองครักษ์ประจำตัว แต่เมื่อเห็นผู้ที่เดินเข้ามาเป็นคนสุดท้ายจึงรู้ว่าเพราะเหตุใดองค์จักรพรรดิทรงเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ไม่มีอารมณ์ใดปะปนอยู่เลย ร่างกายเย็นวูบชาไปทั่วทั้งร่างไม่นึกเลยว่าองค์จักรพรรดิจะเสด็จเองเช่นนี้ แต่เขากลับไม่รู้เลย“อ้ายฉิงเป็นอย่างไรบ้าง”“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ เพียงรู้สึกอับชื้นจึงหายใจไม่สะดวกเท่านั้น” น้ำเสียงหวานใสบอกกับผู้เป็นสามี ใบหน้ายิ้มแย้มไม่ได้โกรธเคืองหรือตื่นกลัวอันใด“ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อ เหตุใดเสด็จพ่อจึงเสด็จมาเองเช่นนี้” องค์ไท่จื่อหันไปพูดกับฮ่องเต้ด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด คงกังวลว่าจะถูกกล่าวโทษที่ทำเรื่องเช่นนี้ หรืออาจกังวลว่าฮ่องเต้ทรงรู้สิ่งใดมาบ้าง“ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”
25ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง“เช่นนั้นก่อนตายข้าจะสงเคราะห์ให้” เขาพูดจบก็แหวกม่านหมวกออกทั้งสองฝั่ง เผยให้เห็นใบหน้าโหดเหี้ยม นางไม่คุ้นเคยใบหน้านี้แม้แต่น้อย ไม่เคยเห็นสักครั้งเดียว“แม้จะเห็นหน้าท่านเช่นนี้ข้าก็ไม่รู้อยู่ดีว่าท่านเป็นผู้ใด อยากจะพูดก็พูดเถอะ หากไม่แล้วก็เชิญทำตามใจ” สิ่งที่เอ่ยออกไปนางไม่ได้จงใจยั่วยุแต่นางคิดเช่นนั้นจริง ๆ อย่างไรนางก็เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง แม้ไม่ได้อยากตายก็ตาม ครั้งนี้ก็เช่นกันเมื่อฟ้าลิขิตให้ตายผู้ใดเล่าจะรอดนางพูดจบก็เงยหน้ามองเขาอีกครั้งด้วยแววตานิ่งไม่หวั่นไหว ถามว่ากลัวหรือไม่นางย่อมต้องกลัว แต่จะให้อ้อนวอนขอชีวิตก็คงไม่มีประโยชน์อันใด“ยิ่งเห็นสายตาราวกับไม่กลัวสิ่งใดของเจ้า ทำให้ข้ายิ่งนึกถึงคนผู้นั้นยิ่งนัก ข้าเคยให้โอกาสเจ้าเลือกแล้วที่จะไม่รักษาอ๋องอัน แต่เจ้าดื้อรั้นและดื้อดึง”“อย่างที่ท่านกล่าวมา ข้าทั้งดื้อรั้นและดื้อดึงต่อให้ท่านจะฆ่
24มีเวลาให้พักมากพอ“ขอแสดงความยินดีกับพระชายา พระองค์ทรงตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” นางยกมือกุมขมับตนเองทันที เป็นหมอแท้ ๆ แต่กลับไม่ทันได้คิดเรื่องนี้เลย มัวแต่ใช้เวลาดูแลผู้อื่นจนลืมสังเกตตนเอง“ขอบคุณท่านหมอ เชิญท่านหมอเถอะ ข้าขอพักเสียหน่อย”“กระหม่อมทูลลา” รายงานเสร็จหมอก็ออกไปจากรถม้าให้นางได้อยู่ตามลำพัง ไม่ได้สั่งยาหรือมอบเทียบยาใดให้เพราะเห็นว่านางอ่อนเพลียจึงปลีกตัวออกมาให้ได้พักผ่อน“ตัวจิ๋วเดียวก็สร้างเรื่องเลยนะ ถ้าอยากมาเกิดจริง ๆ อย่าให้แม่ทรมานนักสิ” นางพึมพำกับตนเองพร้อมกับลูบหน้าท้องแบนราบแผ่วเบาแล้วผล็อยหลับไป“ท่านหมอพระชายาเป็นอย่างไรบ้าง”“ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋อง พระชายาทรงตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ดวงตาคมเบิกกว้างตกใจกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ไม่น้อย ริมฝีปากยกยิ้มกว้างอย่างไม่รู้ตัว
23ป่วยแล้วหรือไม่“เสด็จพี่ เช่นนั้นผู้บงการนี้”“แม้จะไม่อยากคิด แต่ข้าคิดว่าคงเป็นคนผู้เดียวกับที่เจ้าคิด บัดนี้มีหลักฐานแต่ยังขาดพยาน อาจจะไม่ใช่ก็ได้ ต้องหาคนผู้นั้นให้เจอเราจึงจะได้คำตอบ” น้ำเสียงราบเรียบ เขาให้จื่ออี้ตามหาผู้ที่จับตัวฉีอ้ายฉิงในวันนั้น แม้จะยังไม่พบแต่ไม่นานต้องพบแน่ คนผู้นั้นเองก็คงไม่อยากตาย“หากมีสิ่งใดที่ข้าพอช่วยได้”“ย่อมต้องมีเรื่องรบกวนเจ้าในภายหน้าเป็นแน่” คนเจ็บยิ้มมุมปากขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินผู้เป็นพี่ชายบอกว่าต้องมีโอกาสใช้งานเขาแน่นอน เพราะไม่ได้ถูกเลี้ยงดูด้วยกันองค์ชายสามจึงมีแบบอย่างเป็นองค์ชายรองมาโดยตลอด ไม่ว่าองค์ชายรองจะทำอย่างไรจะเป็นอย่างไร เขาล้วนพยายามพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพื่อที่ในสักวันจะได้คอยช่วยพี่ชายออกรบในสนามรบได้หลังได้ยินว่าเขาจะต้องไปช่วยอ๋องอันบรรเทาทุกข์ที่เซียงโจวก็ดีใจมาก คิดตลอดคืนว่าจะพูดคุยกับพี่ชายอย่างไรดีแต่จน