หลังกลับออกมาจากวังหลวง กู้เหยียนฉีก็ยังไม่ได้รีบเร่งกลับจวน แต่ทว่าเขากลับมุ่งหน้าไปยังค่ายทหารเสียก่อน
ค่ายทหารของราชสำนักยามนี้แบ่งออกเป็นสองค่าย ค่ายหนึ่งเป็นของเขา และอีกค่ายหนึ่งเป็นของแม่ทัพใหญ่เจี่ยง แต่ทว่าทหารทุกคนล้วนภักดีต่อฝ่าบาทและขึ้นตรงต่อฝ่าบาททั้งสิ้น
เมื่อจัดการเรื่องราวต่างๆในค่ายทหารจบสิ้นก็เป็นเวลาใกล้ยามเย็นเสียแล้ว กู้เหยียนฉีละสายตาจากงานตรงหน้าแล้วจึงออกมาจากค่ายทหาร เดินเตร็ดเตร่อยู่บนท้องถนน ผู้คนที่พบเห็นเขาล้วนไม่กล้าสบตาอีกทั้งยังหลบเลี่ยง เขาเองไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย ชื่อเสียงภายนอกของเขาไม่ใคร่จะดี ที่เป็นเช่นนี้ล้วนมาเจี่ยงฮองเฮาส่วนหนึ่ง นางคิดจะทำให้เขาดูย่ำแย่ในสายตาผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวง แล้วอย่างไรเล่าเขาไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
หลังจากเสด็จพ่อและเสด็จแม่จากไป สมบัติทุกชิ้นในจวนชินอ๋องล้วนตกเป็นของเขา รวมถึงกองกำลังทหารก็เช่นเดียวกัน ส่วนสินเดิมของเสด็จแม่ก็เป็นเขาที่ดูแลต่อ เสด็จแม่ของเขาเป็นบุตรสาวที่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลคหบดีที่มั่งคั่ง แม้ฐานะจะร่ำรวยแต่อย่างไรในสายตาของผู้คนทั่วไป อาชีพคหบดีก็ยังนับว่าต่ำต้อยอยู่ดี
ร้านรวงต่างๆของเสด็จแม่ในเมืองหลวงมีมากกว่ายี่สิบร้าน และยังมีเรือนตากอากาศอยู่ที่ชานเมืองอีกสองหลัง ทุกที่ล้วนมีพ่อบ้านตู้คอยจัดการช่วยดูแลให้ เพราะเขาเองไม่มีเวลามากปานนั้น ทุกๆปีเขาจะได้กำไรมหาศาลจากร้านรวงเหล่านั้น เขาจึงไม่เคยขัดสนเรื่องเงินทองเลยสักครั้ง ลำพังเพียงเบี้ยหวัดรายเดือนที่ได้จากราชสำนักก็มากพอจะเลี้ยงดูคนทั้งจวนได้อย่างสุขสบายแล้ว
"ถวายพระพรชินอ๋อง ไม่คิดเลยว่าพระองค์จะมีเวลามาเดินเล่นผ่อนคลายเช่นนี้ด้วย"
กู้เหยียนฉีที่กำลังเดินเล่นไปเรื่อยเปื่อยพลันชะงักไปเล็กน้อย เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นแม่ทัพใหญ่เจี่ยงนั่นเอง ชายวัยกลางคนผู้นี้แม้อายุจะมากแต่กลับยังดูองอาจเยี่ยงชายชาตินักรบ อีกทั้งยังมีความเจ้าเล่ห์อยู่ในที เขาไม่อยากจะเสวนากับแม่ทัพใหญ่เจี่ยงมากนัก แต่ในเมื่อคนเขามาคำนับทักทายแล้วก็ทำได้เพียงปล่อยตามน้ำไป อย่างไรเสียยามนี้ก็ยังไม่ใช่เวลาจะมางัดข้อกับคนผู้นี้
"ไม่ต้องมากพิธี ข้าเพียงรู้สึกเบื่อ จึงมาเดินเล่นผ่อนคลายเสียหน่อย กำลังจะกลับพอดี"
แม่ทัพใหญ่เจี่ยงพยักหน้าและยิ้มให้กู้เหยียนฉี แต่แววตากลับไม่ยิ้ม เขาปรายตามองดูร้านรวงโดยรอบคราหนึ่ง ได้ยินมานานแล้วว่าสมบัติที่อยู่ในมือกู้เหยียนฉีมีมากมายนัก ใช้ทั้งชาติยังใช้ไม่หมด หากล้มคนผู้นี้ได้และยึดทุกอย่างมาเป็นของเขาสำเร็จ แน่นอนว่าตระกูลเจี่ยงจะต้องรุ่งเรืองไม่มีที่สิ้นสุดอย่างแน่นอน เขาเองก็ไม่เข้าใจ กู้เหยียนฉีมีทั้งอำนาจเงินและอำนาจทหารในมือ แต่กู้ฮ่องเต้กลับไม่มองว่าเขามีใจมักใหญ่ใฝ่สูง ซ้ำยังไม่เคยก้าวก่ายเรื่องในจวนอ๋องอีกด้วย เมื่อฮ่องเต้ทรงกางปีกปกป้องกู้ชินอ๋องถึงเพียงนี้ พวกเขาจึงไม่อาจลงมือส่งเดชได้
เดิมทีหากคนผู้นี้ยอมสนับสนุนองค์ชายใหญ่แต่โดยดี พวกเขาคงไม่ต้องเปลืองสมองเปลืองแรงกายครุ่นคิดวางแผนถึงเพียงนี้ แต่กู้เหยียนฉีกลับไม่สนใจพวกเขาอีกทั้งยังทำตัวไม่เห็นหัวผู้ใด เขาย่อมไม่อาจปล่อยคนเช่นนี้ให้กลายเป็นหนามแหลมกลับมาทิ่มแทงพวกเขาได้ในภายหลังเป็นอันเด็ดขาด
แม่ทัพใหญ่เจี่ยงมีน้องสาวเป็นถึงฮองเฮา มีหลานชายเป็นถึงว่าที่ฮ่องเต้ แน่นอนว่าย่อมต้องขบคิดเพื่อพวกเขาอยู่แล้ว
อยู่ๆเขาก็คิดแผนการหนึ่งขึ้นมาได้
"ท่านอ๋องทรงเพรียบพร้อมไปด้วยอำนาจวาสนา กระหม่อมมีบุตรสาวอยู่คนหนึ่งอายุถึงวัยแต่งงานพอดี นามว่าเจี่ยงเหยา ท่านอ๋องคงจะเคยพบเจอนางตามงานเลี้ยงอยู่บ้าง นางพึงใจในตัวท่านอ๋องมาก หากท่านอ๋องทรงพึงใจในตัวนาง มิสู้รับนางเข้าจวนเป็นพระชายาเอกดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?"
อยู่ๆแม่ทัพใหญ่เจี่ยงก็เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา กู้เหยียนฉีส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง เจี่ยงเหยาน่ะหรือคู่ควรจะเป็นพระชายาเอกของเขา นางทำอันใดไม่เป็นสักอย่างนอกจากนอนเสพสุขไปวันๆ จิตใจนางม่ีแต่ความทะเยอทะยาน แม่ทัพใหญ่เจี่ยงมีหรือจะคิดเพื่อเขา ที่อยากส่งบุตรสาวเข้ามาก็เพราะมีเจตนาแอบแฝงเสียมากกว่า
กู้เหยียนฉียิ้มให้แม่ทัพใหญ่เจี่ยง ก่อนจะเดินเข้าไปกระซิบบางอย่างกับชายวัยกลางคน
"ข้าเพิ่งรู้วันนี้เองว่าแม่ทัพใหญ่เจี่ยงนอกจากจะมีความสามารถในการออกรบทัพจับศึกแล้ว ยังมีความสามารถในการเอาบุตรสาวมาเร่ขายอีกด้วย แต่ข้าว่าอย่าดีกว่า ข้าเป็นคนเจ้าอารมณ์ ไม่มีใจนึกรักหยกถนอมบุปผา เกรงว่าหากนางทำข้าโมโหขึ้นมา ข้าอาจจะส่งนางกลับบ้านเดิมด้วยการตัดแยกชิ้นส่วนร่างกายนางออกเป็นเสี่ยงๆ แล้วส่งกลับไปให้ท่านวันละชิ้น อย่างเช่นวันนี้ส่งศีรษะ วันต่อไปส่งแขนขา แม่ทัพใหญ่เจี่ยง ท่านคงไม่อยากเห็นบุตรสาวที่น่ารักน่าชังของท่าน ตายอย่างน่าเวทนาหรอกใช่หรือไม่?"
แม่ทัพใหญ่เจี่ยงเมื่อฟังจบก็ถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เขามองกู้เหยียนฉีด้วยแววตาเย็นชาก่อนจะส่งเสียงหัวเราะแหบแห้งเพื่อกลบเกลื่อนโทสะในใจตน
"ท่านอ๋องทรงล้อเล่นแล้ว"
"ข้าล้อเล่นหรือไม่ ท่านเองย่อมรู้ดีแก่ใจ ขอตัวก่อน ข้ายังมีงานต้องทำ"
ไม่รอให้แม่ทัพใหญ่เจี่ยงได้เปิดปากพูดสิ่งใดต่อ กู้เหยียนก็จากไปทันที เมื่อคนจากไปแล้ว แม่ทัพใหญ่เจี่ยงก็กำมือแน่น โทสะคุกรุ่นจนแทบจะกระอักโลหิตออกมาอยู่รอมร่อ
บัดซบ กู้เหยียนฉีถึงกับกล้าขู่ฆ่าบุตรสาวของเขาเชียวหรือ ฝากไว้ก่อนเถอะกู้เหยียนฉี ข้าจะทำให้เจ้าอยู่ไม่สู้ตายในสักวันหนึ่ง!
กู้เหยียนฉีหมดอารมณ์จะเดินเล่นต่อแล้ว เขาจึงรีบกลับไปที่จวนอ๋องทันที แต่ทว่าเมื่อมาถึงจวนกลับไม่เห็นจินฝูออกมายืนรอ มีเพียงพ่อบ้านตู้คนเดียว ทุกคราที่เขากลับมา นางจะมารอเขาเสมอ แม้สตรีหน้าโง่ผู้นั้นจะทำงานไม่ค่อยถูกใจเขา ซ้ำยังเห็นแก่กิน แต่เขากลับรู้สึกว่าการมีอยู่ของนางมันช่วยคลายความว้าเหว่ในใจของเขาลงไปได้ไม่น้อยเลย
"ท่านอ๋องกลับมาแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ"
พ่อบ้านตู้รีบเดินมาต้อนรับเขา กู้เหยียนฉีไม่เอ่ยสิ่งใดเพียงเดินตรงเข้าเรือนใหญ่ พ่อบ้านตู้ที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบเข้ามาช่วยเขาผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ หลังจากเปลี่ยนอาภรณ์เสร็จเรียบร้อยแล้วเขาจึงเอ่ยถามพ่อบ้านตู้
"นางกำนัลจินเล่า?"
พ่อบ้านตู้มีท่าทีลังเลครู่หนึ่ง กู้เหยียนฉีที่เห็นท่าทางอึกๆอักๆของพ่อบ้านตู้ก็เริ่มโมโห
"ข้าถามเหตุใดเจ้าไม่รีบตอบ มัวอึกอักอันใดกัน หากเจ้ายังไม่ตอบ ตำแหน่งพ่อบ้านนี่ก็ไม่ต้องเป็นแล้ว!"
พ่อบ้านตู้ถึงกับตัวสั่นรีบเอ่ยตอบทันควัน
"ท่านอ๋องอย่าเพิ่งทรงกริ้วเลยพ่ะย่ะค่ะ เอ่อ ยามนี้นางกำนัลจินเมามาก นางนอนหลับกับสหายนางกำนัลที่เรือนติดกับโรงครัวไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!"
"เมา?"
"พ่ะย่ะค่ะ เมื่อตอนบ่าย คนทางบ้านกระหม่อมนำสุราบุปผามามอบให้หลายไห นายหญิง เอ่อนางกำนัลจินจึงมาขอลองชิม บ่าวไม่กล้าขัดใจนางจึงให้นางลองดื่มดู ผู้ใดจะทราบ นางกลับดื่มไปถึงสองไห ยามนี้จึงเมามายไม่ได้สติไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
กู้เหยียนฉีไม่เอ่ยอันใดอีก เพียงเดินพรวดพราดออกจากเรือนตนและมุ่งหน้าไปยังเรือนพักของนางกำนัลที่อยู่ติดกับโรงครัวทันที เมื่อเขามาถึงก็พบว่านางกำนัลหลายคนต่างเมามายไม่ได้สติเช่นเดียวกัน พ่อบ้านตู้จึงบอกอีกว่าจินฝูเอาสุราไปแบ่งนางกำนัลคนอื่นๆให้กิน เพราะทุกคนเกรงใจนางจึงยอมดื่มกับนางด้วย
กู้เหยียนฉีกวาดตามองไปโดยรอบเขาเดินไปเปิดห้องพักของนางกำนัลทีละห้อง ก่อนจะพบว่ายามนี้จินฝูกำลังนอนอยู่ในห้องท้ายสุด ขาของนางพาดอยู่บนเตียง น้ำลายไหลยืดออกมาจากปาก ส่วนที่พื้นก็มีสหายของนางสองคนนอนหลับไม่ได้สติอยู่ เขาจำได้ว่านางกำนัลสองคนนี้คือคนที่อยู่รับใช้บนเรือนใหญ่ของเขา กู้เหยียนฉีโมโหนัก นางไม่อยู่ในกฎระเบียบยังพอว่าแต่กลับพานางกำนัลคนอื่นๆเสียคนไปด้วยมันใช้ได้ที่ใดกัน!
เขาตั้งจะเดินไปลากตัวนางกลับเรือนปีกข้าง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เดินเข้าไปหา นางก็ดีดกายลุกขึ้นมานั่งบนเตียง พ่อบ้านตู้ที่เห็นอย่างนั้นก็ถึงกับสะดุ้งโหยง
"ไก่ทอด! ไก่ทอดอยู่ตรงนั้น มันลอยมาแล้ว อ๊า ตรงนั้นมีพิซซ่าด้วย ให้ตายเถอะข้าอยู่ในผับหรือนี่ ว้าว เพลงนี้ดี!"
เอ่ยจบนางก็ลุกขึ้นยืนทั้งที่ตายังปิดอยู่ ก่อนจะยกเท้าขึ้นไปเหยียบบนขอบเตียงในสภาพทุลักทุเล และสะบัดศีรษะหมุนไปมาจนผมเผ้ากระเซอะกระเซิงไปหมด
"วู้ เพลงนี้ดีมาก เสียงเบสดี โยว่ วอสซัพแมน!"
กู้เหยียนฉีทนมองต่อไปไม่ไหวแล้ว เขารีบตรงเข้าไปหานางทันที
"จินฝู อย่าทำตัวเหลวไหล!"
จินฝูค่อยๆลืมตาขึ้นมามองบุรุษตรงหน้า ก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง แล้วจึงยื่นมือมาตบแก้มเขาเบาๆ
"พ่อหนุ่ม จะขอเบอร์ฉันเหรอ หน้าตาหล่อดีนะเนี่ยเราน่ะ มีเว่ยปั๋วไหม วีแชทล่ะมีไหม?"
กู้เหยียนฉีปวดหัวนัก อีกทั้งยังหันไปคาดโทษพ่อบ้านตู้คราหนึ่ง พ่อบ้านทำได้เพียงลอบไว้อาลัยให้ตนเองล่วงหน้าแล้ว
ชายหนุ่มคิดจะลากหญิงสาวตรงหน้ากลับเรือนใหญ่ แต่จินฝูกลับไม่ยอม ซ้ำร้ายนางยังกระโดดขึ้นขี่หลังเขาอีกด้วย พ่อบ้านตู้ขาสั่นพับๆ แต่จินฝูกลับหัวเราะร่า
"ไปเลยเจ้าม้า วันนี้ข้าจะขี่เจ้า เจ้าม้า ฮรี่ๆๆๆ!"
กู้เหยียนฉีหลับตาลงเพื่อระงับโทสะ ก่อนจะพานางกลับเรือนใหญ่ทั้งที่นางยังขี่หลังเขาอยู่ เมื่อมาถึงเรือนใหญ่แล้วเขาก็พานางไปนอนพักที่เรือนปีกข้างซึ่งเป็นห้องพักของนาง จินฝูทั้งดื้อทั้งซนจนเขาทอดถอนใจ ใบหน้าของหญิงสาวยามนี้แดงก่ำเพราะฤทธิ์สุรา กู้เหยียนฉีถึงกับหมดคำจะกล่าว
สรุปแล้วเขาให้นางมาดูแลเขาหรือเป็นเขากันแน่ที่ต้องดูแลนาง?
"เจ้านอนเถอะ ข้าไปแล้ว วันพรุ่งนี้ค่อยลงโทษเจ้า!"
เขาวางนางลงบนเตียงและคิดจะเดินกลับไปที่ห้องนอนของตน แต่อยู่ๆนางก็ยื่นมือของตนมาคว้าจับข้อมือของเขาเอาไว้ กู้เหยียนฉีหันขวับมาจึงเห็นว่าตอนนี้นางลุกพรวดพราดจากเตียงมายืนมองหน้าเขา ใบหน้าที่แดงระเรื่อของนางมันทำให้นางดูงดงามขึ้นเป็นเท่าตัว กู้เหยียนฉีพยายามไล่ความคิดไร้สาระนี้ออกไปจากหัว ส่วนจินฝูก็เอาแต่จ้องหน้าเขาอย่างไม่ลดละ
"ข้าจำได้แล้ว ท่านคือ ลูกพี่กู้นี่เอง"
"หา?"
กู้เหยียนฉีถึงกับร้องหาออกมาเมื่อได้ยินนางเรียกเขาเช่นนั้น
จินฝูยกมือขึ้นตบไหล่เขาเบาๆ พลางเอ่ยวาจาเรื่อยเปื่อยที่หาแก่นสารไม่ได้
"ลูกพี่กู้ ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะปกป้องลูกพี่กู้เอง ถึงแม้ท่านจะเย็นชา ชอบใส่อารมณ์ ทั้งยังชอบใช้ข้าจนหัวหมุน แต่ข้าก็จะภักดีต่อลูกพี่กู้คนเดียว เป็นอย่างไร ข้าดีมากใช่ไหมเล่า เอาอย่างนี้ ตอบแทนความดีของข้าด้วยหนังไก่ทอดกรอบเป็นอย่างไร แต่ท่านต้องทอดให้กรอบนะ เอาแบบเคี้ยวแล้วมีเสียงดังกรุ๊บๆ แล้วยังต้องทำน้ำจิ้มรสเด็ดมาพร้อมสรรพด้วย ท่านทำได้หรือไม่ ตอบข้าสิ ลูกพี่กู้!"
กู้เหยียนฉีหมดความอดทนแล้ว เขาจึงใช้หลังมือทุบคอนางจนสลบไป แล้วจึงวางนางลงบนเตียงนอนและห่มผ้าให้ ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับทอดถอนใจคราหนึ่ง
ลูกพี่กู้หรือ ฟังดูแปลกเหมือนกำลังเรียกพวกหัวหน้าอันธพาล แต่เหตุใดเขากลับรู้สึกชอบกันเล่า?
ชายหนุ่มเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
กู้เหยียนฉีจำได้ว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ในตอนนั้นเขาและจินฝูยังเป็นเพียงข้ารับใช้และเจ้านาย ไม่ได้มีความรักลึกซึ้งอันใดต่อกันเลยแม้แต่น้อยอากาศเช้านี้ค่อนข้างเย็นสบายไม่น้อยเลย หลังจากที่เตรียมอาหารมื้อเช้าให้กู้เหยียนฉีเสร็จเรียบร้อยแล้ว จินฝูก็ตรงมายังห้องโถงใหญ่เพื่อปรนนิบัติเขากินอาหารมื้อเช้า นี่คืองานที่นางต้องทำในแต่ละวัน จะขาดตกบกพร่องไม่ได้ เมื่อมาถึงก็พบว่ากู้เหยียนฉีตื่นนอนแล้ว ชายหนุ่มกินอาหารเช้าและแบ่งให้นางกินเหมือนกับทุกวันที่เคยทำ จินฝูรู้สึกฟินมาก ท้องอิ่มหนังตาก็เริ่มหย่อน แต่นางยังไม่ทันจะไปนอนก็ได้ยินกู้เหยียนฉีเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน"ตามข้าไปที่ห้องนอนด้วย"เอ่ยจบเขาก็เดินตรงไปรอนางที่ห้องนอนทันที จินฝูที่ได้ยินเช่นนั้นใจก็เต้นถี่ระรัว นางกำมือแน่น พลางครุ่นคิดในใจอย่างหวาดหวั่นนี่นางกับเขา ต้องทำเรื่องอย่างว่ากันแล้วอย่างนั้นหรือ?!แม้ในใจจะร้องโอดครวญ แต่กลับไม่อาจปฏิเสธ ในเมื่อนางเป็นคนของเขาแล้ว การที่เขาจะทำอันใดกับนางก็นับว่าไม่ผิด หญิงสาวถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง แล้วจึงเดินตามเขาเข้าไปในห้องนอน เมื่อมาถึงก็พบว่ายามนี้กู้เหยียนฉีกำลังนั่งอยู่บนเตี
วันคืนล่วงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็กู้เหยียนฉีและจินฝูก็ได้แต่งงานกัน พิธีการจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมฐานะมีผู้คนมาร่วมเฉลิมฉลองกันอย่างคึกคัก ก่อนที่เขาและนางจะแต่งงานกัน กู้เหยียนฉีพาจินฝูไปเที่ยวชมสถานที่งดงามและกินดื่มอย่างสำราญใจ นางจึงมีความสุขเป็นอย่างยิ่งการแต่งงานครั้งนี้มิใช่การแต่งงานธรรมดา แต่เป็นการสถาปนาการขึ้นครองราชย์ของกู้เหยียนฉีด้วยแม้จะไม่ต้องการสักเท่าไร่ แต่กู้เหยียนฉีรู้ดีว่าสุดท้ายแล้ว มันคือหน้าที่ของเขา อย่างน้อยเขาก็ยังมีจินฝูที่เป็นแสงสว่างในชีวิตของเขา ขอเพียงมีนางในวังหลวงที่น่าเบื่อแห่งนี้ก็งดงามขึ้นมาทันตาหลังจากกู้เยียนฉีขึ้นครองราชย์ กู้ฟานก็สละราชบัลลังก์ เขาใช้บั้นปลายชีวิตไปกับการอ่านตำราและวาดภาพอยู่ที่ตำหนักท้ายวังหลวง ทุกวันผ่านไปอย่างมีความสุข กู้เหยียนฉีเองก็ดูแลเขาเป็นอย่างดี ส่วนจินฝูนั้นเป็นเด็กร่าเริงอารมณ์ดี นางมักจะชอบมาเล่าเรื่องต่างๆให้เขาฟัง ทำให้เขาไม่เหงาเลยแม้แต่น้อยรัชศกฉีปีที่หนึ่ง กู้เหยียนฉีขึ้นครองราชย์ และแต่งตั้งจินฝูเป็นฮองเฮา เหล่าขุนนางไม่กล้าคัดค้าน เพราะฮองเฮาพระองค์ใหม่คือกำลังสำคัญเช่นกันที่ทำให้ฝ่าบาททรงได้ขึ้นค
กบฏตระกูลเจี่ยงถูกสังหารสิ้นแล้ว อีกทั้งราชสำนักยังประกาศความชั่วของพวกเขาให้ราษฏรทั่วทั้งใต้หล้าได้รับรู้เจีี่ยงฉยงอดีตแม่ทัพใหญ่ มีใจคิดไม่ซื่อ ลอบวางยาพิษเจ้าแผ่นดิน และลอบสังหารอดีตชินอ๋อง โชคดีที่สวรรค์เมตตาให้อดีตชินอ๋องทรงรอดชีวิตกลับมาได้ และกลับมาทวงคืนความยุติธรรมให้บ้านเมืองได้สำเร็จส่วนเจี่ยงหว่าน อดีตฮองเฮานั้น เพียงเพราะหลงใหลในอำนาจ จึงตบตาฮ่องเต้แต่งเข้าวังหลังมาทั้งที่ตั้งครรภ์บุตรกับชายอื่น และยังฆ่าปิดปากชายคนรักเพื่อไม่ให้เขากลับมาเปิดโปงความเลวทรามต่ำช้าของตน ซ้ำร้ายยังลอบส่งนักฆ่าไปสังหารกู้เหยียนฉีหลายต่อหลายครั้งด้วย กู้ม่อหลีแท้จริงแล้วไม่ใช่บุตรของโอรสสวรรค์ เขาเป็นองค์ชายตัวปลอม ส่วนองค์ชายใหญ่ที่แท้จริงซึ่งมีสายเลือดของฝ่าบาทไหลเวียนอยู่ในกายคือกู้เหยียนฉี องค์ชายใหญ่ตัวจริงที่ต้องปิดบังสถานะของตนเองเพื่อหาทางเอาตัวรอดและกำจัดคนชั่ว คนตระกูลเจี่ยงมีโทษหลอกลวงเบื้องสูง ให้ขายบ่าวในจวนทิ้งไปเสีย ยึดทรัพย์สินทั้งหมดเข้าคลังหลวง บุรุษให้สังหารทิ้งทั้งหมด ส่วนสตรีให้เนรเทศไปอยู่ที่ชายแดนแร้นแค้น ชั่วชีวิตนี้อย่าได้คิดจะกลับเข้าเมืองหลวงอีกผู้คนที่ได้รับรู้ต
กู้เหยียนฉีเดินเข้าไปในตำหนักที่กู้ฮ่องเต้พักรักษาตัวอยู่ด้วยใบหน้าที่เลื่อนลอย ครั้งนี้จินฝูไม่ได้ตามไปด้วย เพราะอยากให้พ่อลูกได้พูดคุยกันอย่างเปิดใจกู้ฮ่องเต้ได้สติฟื้นตื่นขึ้นมาแล้ว แต่เพราะสำลักควันไฟเข้าไปเป็นจำนวนมาก และยังถูกพิษมาก่อนหน้านี้ ทำให้ร่างหายของเขาย่ำแย่ลงไปมาก เขาให้นางกำนัลประคองตนนอนเอนพิงหมอนบนเตียง แล้วจึงให้พวกนางออกไปให้หมด ยามนี้จึงเหลือเพียงกู้เหยียนฉีและกู้ฟานเพียงเท่านั้นกู้ฮ่องเต้กระแอมไออยู่ตลอดเวลา เขาพยายามฝืนประคองตนให้ยืนหยัดเอาไว้ แล้วจึงเงยหน้าไปมองกู้ฟานน้องชายของตน"น้องสี่ ขอบใจเจ้ามากนะ หากไม่มีเจ้า ข้าคงไร้สามารถไม่อาจทำสิ่งใดได้ แค่กแค่ก"กู้ฟานน้ำตาไหล เขารีบเดินเข้าไปจับมือพี่ชายตนเอาไว้"พี่สาม ท่านเก่งที่สุดแล้ว ถึงแม้พวกเราจะไมได้เกิดจากมารดาคนเดียวกัน แต่ข้าก็รักท่านมาก รักท่านเหมือนพี่ชายร่วมมารดาเดียวกัน"กู้ฮ่องเต้พยักหน้า ก่อนจะหันมามองกู้เหยียนที่ยืนอยู่ไม่ไกล กู้ฮ่องเต้ยิ้มอย่างอ่อนแรงรู้สึกว่าตนเองเริ่มจะไม่ไหวมากขึ้นทุกที"ฉีหลาง เจ้ายังโกรธพ่ออยู่หรือ แต่ช่างเถิด ยามนี้คนตระกูลเจี่ยงตายสิ้นแล้ว เจ้าโกรธพ่อนานอีกสักหน่อย พ่อก
กู้เหยียนฉีที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองกู้ฟานด้วยความสงสัย ด้านจินฝูนั้นคิดว่าเรื่องที่พวกเขาจะพูดคุยกันย่อมเป็นเรื่องสำคัญ นางจึงบอกว่าจะไปรอเขาที่ด้านนอกตำหนักเสียก่อน แต่ทว่ากู้เหยียนฉีกลับยื่นมือของตนมารั้งตัวนางเอาไว้ จินฝูมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความสงสัยปราดหนึ่ง แล้วจึงพบว่าเขากำลังมองนางด้วยแววตาอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง"เสด็จอา นางเป็นคนรักของหลานเป็นคนที่พวกเราไว้ใจได้พ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งเรื่องที่เหล่ากองทัพเสริมของเจี่ยงฉยงถูกระเบิดจนล้มตายไปกว่าครึ่ง ก็เป็นฝีมือของนาง"กู้ฟานหันมามองจินฝูด้วยสายตาเอ็นดู"ที่แท้ก็เป็นหลานสะใภ้ของข้าเองหรือ"จินฝูยิ้มให้กู้ฟานอย่างนอบน้อม ตอนที่ได้ยินว่าเขายังไม่ตาย นางแอบตกใจอยู่ไม่น้อย ไม่คิดเลยว่าเรื่องราวต่างๆจะซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากมายถึงเพียงนี้กู้ฟานเองเมื่อรู้ว่าจินฝูคือคนสำคัญของกู้เหยียนฉีก็ไม่ได้ระแวดระวังสิ่งใดอีกเขาทอดถอนใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า"ฉีหลาง อารู้ว่าหลายปีมานี้เจ้าคับแค้นใจมาก เจ้าคงรู้แล้วว่าเสด็จพี่คือบิดาของเจ้า อาเองก็มีส่วนผิดเช่นกันที่รู้เรื่องราวทุกอย่างแต่กลับไม่อาจบอกกล่าวกับเจ้าได้"กู้เหยียนฉีกำมือแน่น ใบหน้าฉายแววเย็
กู้เหยียนฉีและจินฝูรีบกลับเข้าเมืองหลวง ก่อนไปยังสั่งให้องค์รักษ์พาครอบครัวของจินฝูและคนในจวนอ๋องกลับเข้าเมืองหลวงโดยเร็ว ส่วนพ่อบ้านตู้และฉินเซียง ซ่งเอ๋อร์ก็เร่งรุดกลับไปที่จวนอ๋องเพื่อตรวจดูว่ามีตรงไหนเสียหายบ้างหรือไม่ ระหว่างทางที่กลับเข้าวังหลวง เขาและนางได้พบเจอกู้ม่อหลีเข้าเสียก่อน กู้ม่อหลีจ้องมองกู้เหยียนฉีด้วยความเคียดแค้น เขาไม่มีทางเชื่อว่าตนเองไม่ใช่บุตรของโอรสสวรค์ อีกทั้งยังคิดจะแย่งจินฝูมา กู้เหยียนฉีคร้านจะสนใจคนบัดซบนี่ เขาจึงยิงหน้าไม้เข้าใส่กู้ม่อหลีทันที กู้ม่อหลีไม่ทันระวังทำให้ลูกศรแทงเข้าที่ลำคอ กู้ม่อหลีสิ้นใจตายทั้งที่ดวงตายังเบิกกว่าง ไม่มีผู้ใดสนใจความเป็นตายของเขาเลยแม้แต่น้อยกู้เหยียนฉีได้เล่าให้จินฝูฟังแล้วว่า กู้ม่อหลีไม่ใช่บุตรแท้ๆของฮ่องเต้ จินฝูตกใจไม่น้อย แต่กลับดีใจมากกว่า คนเช่นนี้ไม่เหมาะจะเป็นองค์ชายเลยด้วยซ้ำ สมควรแล้วที่ถูกสังหารเช่นนี้กู้เหยียนฉีและจินฝูวิ่งไปตามทางเดินในวังหลวงอย่างรีบร้อน เมื่อมาถึงตำหนักมังกรสวรรค์ก็พบว่าในตำหนักกำลังเกิดเพลิงไหม้โหมแรงมาก พวกเขาเข้าไปไม่ได้ ทำได้เพียงมองดูอยู่ด้านนอก“ฝ่าบาทยังทรงประทับอยู่ด้านใน รีบช