เรื่องราวอลหม่านที่เกิดขึ้นทำให้กูเหยียนฉีปวดหัวไม่น้อย ชายหนุ่มรีบสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและอุ้มจินฝูที่หมดสติไปแล้วมาที่ห้องนอนของตน แล้วให้พ่อบ้านตู้ไปตามหมอหลวงมาตรวจดูอาการของนาง อย่างไรให้ท่านหมอตรวจดูเสียหน่อยย่อมดีกว่า นางจะได้ไม่ต้องมาตายในเรือนของเขา
ท้ายที่สุดแล้ว คืนนั้นจินฝูก็นอนอยู่ที่ห้องของเขาทั้งคืน เพราะเขาอยากจะแน่ใจว่านางไม่เป็นอันใด ดีกว่าปล่อยนางกลับห้องไปแล้วเกิดไปขาดใจตายในห้องโดยไม่มีผู้ใดรู้ขึ้นมา เขาไม่ได้คิดมากอันใดกับการที่จะให้นางนอนดูอาการอยู่ที่นี่
แต่เขาแทบไม่ได้นอนเลยจวบจนรุ่งสาง เพราะสตรีบ้านี่เอาแต่นอนกรนไม่หยุด อีกทั้งยังนอนน้ำลายไหลเปื้อนหมอนเขาอีกด้วย ไม่เพีียงเท่านั้น เขาพยายามใช้เท้าเขี่ยตัวนางให้ออกไปให้ห่าง แต่นางกลับดื้อดึงนัก นางขยับเข้าหาเขาไม่หยุด ทั้งกอดทั้งก่าย ทั้งยังใช้ขาเกี่ยวรั้งเอวเขาเอาไว้ กว่าจะสงบลงได้ก็เกือบรุ่งสาง เขาต้องทนให้นางนอนกอดแทนหมอนข้างเช่นนี้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
บัดซบ รู้เช่นนี้ส่งนางกลับไปที่ห้องของนางก็ดี!
ด้านจินฝูนั้นนางกำลังหลับฝันดี นางฝันว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงที่แสนนุ่มนิ่ม อีกทั้งยังมีหมอนข้างแสนอุ่นให้นางนอนกอดอีกด้วย หญิงสาวพอใจมาก จวบจนรุ่งเช้าจึงค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา เมื่อตื่นเต็มตาจึงพบว่าสิ่งที่นางกอดอยู่ไม่ใช่หมอนข้างแต่เป็นกู้เหยียนฉีต่างหาก!
ยามนี้ชายหนุ่มตื่นนอนแล้ว และกำลังมองนางด้วยแววตาเย็นชา เขาลุกไม่ได้เพราะนางเอาแต่กอดรัดตัวเขา ปากก็พึมพำถึงหนังไก่ทอดกรอบไม่หยุด
"ตื่นได้แล้วหรือ?"
จินฝูสะดุ้งโหยงรีบดีดกายลุกขึ้นมานั่ง นางมองเขาด้วยสายตาระแวดระวัง ก่อนจะก้มมองสำรวจตนเองอย่างละเอียด แล้วจึงเงยหน้าไปถามเขาอย่างหวาดๆ
"ท่านอ๋อง พระองค์คงไม่ได้ แหวกนาผืนน้อยของหม่อมฉันดูหรอกใช่หรือไม่เพคะ?"
กู้เหยียนฉีถึงกับหน้าดำคล้ำขึ้นมาทันที
"เจ้าคิดว่าตัวเจ้าน่าพิศวาสมากหรือไรกัน หน้าตาก็แย่ ผมเผ้าก็กระเซอะกระเซิง เหอะ เจ้าคิดว่าข้าจะทำอันใดเจ้าได้อย่างนั้นหรือ ทั้งคืนเจ้าเอาแต่ถีบข้า หากจะเอ่ยให้ถูก ข้าต่างหากที่ถูกเจ้าล่วงล้ำ เจ้ากอดก่ายข้าไม่หยุด เจ้ามันสตรีไร้ยางอาย!"
จินฝูถูกคนตรงหน้ารัวด่าจนสำนึกผิดไม่ทัน หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น แล้วเอ่ยกับเขาอย่างประจบเอาใจ
"ท่านอ๋องทรงเข้าใจผิดแล้วเพคะ หม่อมฉันฝันเห็นหมอนข้างต่างหากจึงกอดเอาไว้ หากรู้ว่าเป็นพระองค์หม่อมฉันมีหรือจะกล้าอาจเอื้อม พระองค์เป็นชายชาติทหาร ฐานะสูงส่งราวเทพลงมาจุติ แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางยอมลดตัวมาเกลือกกลั้วกับคนต่ำต้อยอย่างหม่อมฉันแน่นอน ใช่หรือไม่เพคะ?"
"เหอะ"
จินฝูคิดว่าอยู่เช่นนี้นานๆคงไม่เหมาะ นางจึงคิดจะลงจากเตียง หญิงสาวคลานไปที่ปลายเตียงช้าๆ แต่เมื่อสายตาเจ้ากรรมมองไปที่หว่างขาของเขา ภาพเมื่อคืนก็ผุดขึ้นมาในหัวอีกหน จินฝูใบหน้าแดงซ่าน ก่อนจะยกมือขึ้นปิดตาตนและค่อยๆคลานลงจากเตียงนอนอย่างทุลักทุเล
"หม่อมฉันไม่เห็นสิ่งใดเลยนะเพคะ ไม่เห็นเลยเพคะ ท่านอ๋องโปรดวางใจได้"
"ไสหัวไป!"
“เพคะ ไสก็ไสเพคะ!”
กู้เหยียนฉีหมดความอดทนแล้ว ตั้งแต่นางเข้ามาในชีวิต เขาก็รู้สึกว่าตนเองโมโหจนแทบจะกระอักโลหิตออกมาทุกวัน
จินฝูรีบเร่งฝีเท้าเดินออกมาจากห้องนอนของกู้เหยียนฉีพลางพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อนางเดินออกมาถึงห้องโถงก็พบกับพ่อบ้านตู้และนางกำนัลหลายคนที่ยืนอยู่อย่างพร้อมเพรียงกัน
"ยินดีด้วยขอรับนายหญิง"
จินฝูหันซ้ายหันขวาด้วยความงงงวย ก่อนจะเอ่ยถามพ่อบ้านตู้
"นายหญิงที่ไหนหรือเจ้าคะ?"
พ่อบ้านตู้ยิ้มตาหยี ส่วนนางกำนัลคนอื่นๆก็ลอบมองนางอย่างอิจฉาในวาสนา จินฝูเริ่มประติดประต่อเรื่องราวจนกระทั่งเข้าใจทุกอย่าง นางจึงรีบโบกมือไปมาเพื่อปฏิเสธทันที
"ไม่ใช่นะเจ้าคะ นายหญิงอันใดกัน ข้าคือนางกำนัลจินคนดีคนเดิม ข้าไม่ได้มีอันใดกับท่านอ๋องเลย ข้าเพียงนอนข้างเขาเฉยๆ ระหว่างพวกเราไม่มีอันใดเกิดขึ้นทั้งสิ้น เช่นนั้นอย่าเรียกข้าแบบนี้อีก ให้ตายเถอะ ขนลุกชะมัด!"
จินฝูจะบ้าตายแล้ว อยู่ๆมาเรียกนางเช่นนี้นางรับไม่ไหวหรอกนะ
"นายหญิงอันใดกัน พวกเจ้าว่างมากนักหรือจึงมายืนโง่กันอยู่ที่นี่ ไสหัวไปทำงานสิ!"
อยู่ๆกู้เหยียนฉีก็เดินออกมาและด่าทุกคนอย่างไม่ไว้หน้า พ่อบ้านตู้ไม่กล้ารบกวนเจ้านายจึงรีบพานางกำนัลคนอื่นๆออกไป ก่อนจะหันมาส่งยิ้มประจบเอาใจจินฝูเล็กน้อย จินฝูยิ้มแห้งไม่ได้เอ่ยอันใดออกไปแม้เพียงครึ่งคำ
เมื่อคนอื่นๆออกไปหมดแล้ว ยามนี้จึงเหลือแค่นางและเขาเพียงสองคน บรรยากาศกระอักกระอ่วนจึงเริ่มเกิดขึ้นอีกครา
ชายหนุ่มปรายตามองนางคราหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ จินฝูยิ้มหวานกลบเกลื่อนแล้วจึงรีบหาเรื่องออกไปจากที่นี่
"ท่านอ๋องคงหิวแล้ว หม่อมฉันจะไปเตรียมอาหารเช้าเดี๋ยวนี้เพคะ"
หลังจากกินมื้อเช้าอิ่มแล้ว เขาก็ไล่นางออกมา บอกว่ามีเรื่องต้องจัดการไม่ต้องการให้ใครมารบกวน จินฝูเองก็คร้านจะอยู่ต่อเช่นเดียวกัน จึงเดินออกจากห้องโถงไปหาฉินเซียงและซ่งเอ๋อร์ที่เรือนปีกข้าง สหายทั้งสองเมื่อเห็นนางก็มีท่าทีเกรงอกเกรงใจมาก ฉินเซียงและซ่งเอ๋อร์แม้จะอิจฉาในวาสนาของสหายแต่ไม่ได้ริษยาเช่นเสิ่นหลี จินฝูที่เห็นเช่นนั้นจึงบอกให้พวกนางทำตัวตามปกติ อย่างไรเสียตนก็เป็นเพียงนางกำนัลไม่ได้มีตำแหน่งใดเลยแม้แต่น้อย ฉินเซียงและซ่งเอ๋อร์เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงทำตัวตามปกติเฉกเช่นที่เคยทำและไม่ได้รู้สึกเกร็งอีก
ด้านกู้เหยียนฉีนั้น หลังจากที่เขาไล่จินฝูออกไปแล้ว ก็เรียกองค์รักษ์ออกมาพบ ไม่นานก็ปรากฏร่างชายหนุ่มผู้หนึ่งเบื้องหน้าเขา คนผู้นี้มีนามว่าไป๋หลางเป็นหัวหน้าองค์รักษ์ที่เขาไว้ใจมากที่สุด อีกทั้งยังทำงานได้ดีมากด้วย เขาและไป๋หลางกว่าจะมีวันนี้ก็ผ่านความยากลำบากด้วยกันมาไม่น้อย
"ท่านอ๋อง"
ไป๋หลางทำความเคารพกู้เหยียนฉีอย่างนอบน้อม กู้เหยียนฉีเพียงยกมือขึ้นบอกว่าไม่ต้องมากพิธีอันใดกับเขา ไป๋หลางจึงลุกขึ้น ระหว่างเขาและไป๋หลางนั้นความผูกพันมากว่าคำว่าเจ้านายและลูกน้องแต่เปรียบเสมือนญาติสนิทคนหนึ่งไปเสียแล้ว
"ท่านอ๋อง หลายวันมานี้กระหม่อมพบว่า องค์ชายใหญ่ได้ส่งคนมาที่จวนของท่านอ๋องอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งยังมีท่าทีลับๆล่อๆอย่างเห็นได้ชัด เดิมทีกระหม่อมคิดว่าพวกเขาคงเพียงมาแอบสืบเรื่องเดิมๆเหมือนเช่นที่เคยทำ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าครั้งนี้องค์ชายใหญ่จะเป็นฝ่ายเสด็จมาด้วยองค์เอง และที่สำคัญ ดูเหมือนว่าองค์ชายใหญ่จะให้ความสนใจกับจินฝูเป็นพิเศษด้วยพ่ะย่ะค่ะ"
"ม่อหลี สนใจจินฝูอย่างนั้นหรือ?"
กู้เหยียนฉีเมื่อได้ฟังที่ไป๋หลางเอ่ยมาก็พลันขมวดคิ้วมุ่นคราหนึ่ง ยามนี้เขามีความคิดที่คาดเดาอยู่ในใจสองเรื่อง เรื่องแรกคือจินฝูอาจจะเป็นคนของเจี่ยงฮองเฮา และนางทำงานไม่ได้เรื่อง กู้ม่อหลีจึงมาดูนางด้วยตนเอง แต่นางก็เป็นเพียงนางกำนัลเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้น คนเช่นกู้ม่อหลีย่อมไม่มีทางให้ความสำคัญถึงเพียงนี้ ข้อที่สองก็คือกู้ม่อหลีอาจจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนาง แต่ความเป็นไปได้ที่จะนำมาเกี่ยวโยงกันมันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
แววตาของกู้เหยียนฉีฉายแววเย็นเยียบขึ้นมาสายหนึ่ง แล้วจึงหันไปกำชับไป๋หลาง
"เฝ้าระวังเอาไว้ อย่าให้พวกเขารู้ตัวว่าเราพบพิรุธ"
"พ่ะย่ะค่ะ"
หลังจากกำชับทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว กู้เหยียนฉีก็มุ่งหน้าไปที่วังหลวงเพื่อร่วมประชุมยามเช้าเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ทว่าครั้งนี้หลังจากการประชุมเสร็จสิ้น กู้ฮ่องเต้กลับเอ่ยปากรั้งตัวเขาเอาไว้ให้ไปเดินหมากด้วยกันที่ห้องทรงพระอักษรเสียก่อน
กู้ฮ่องเต้มองหลานชายของตนด้วยแววตารักใคร่ แต่ทว่าหลานชายกลับไม่แสดงท่าทีใดใด อีกทั้งใบหน้ายังเย็นชาเหมือนไม่อยากจะเสวนากับเขาอย่างไรอย่างนั้น กู้ฮ่องเต้ถึงกับทอดถอนใจออกมาเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรกู้เหยียนฉีก็เย็นชาเช่นนี้ เขาเองก็จนใจนัก
"ฉีหลาง ยามนี้เจ้าก็อายุไม่น้อยแล้วเราคิดว่าควรจะคัดเลือกสตรีจากตระกูลสูงศักดิ์สักคนมาเป็นพระชายาเอกคอยปรนนิบัติดูแลเรือนหลังให้เจ้า ว่าแต่เจ้า มีสตรีนางใดที่หมายตาหรือไม่ หากมีให้รีบบอกเรา เราจะพระราชทานสมรสให้เจ้าเอง"
กู้เหยียนฉีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยื่นมือมาวางเม็ดหมากสีดำลงบนกระดานหมาก ยามนี้หมากสีดำของเขาล้อมหมากสีขาวของกู้ฮ่องเต้เอาไว้ทั้งหมด ชายหนุ่มละสายตาจากกระดานหมากตรงหน้าแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยกับกู้ฮ่องเต้ด้วยน้ำเสียงไม่เย็นชาไม่ห่างเหิน
"ชายาของหลาน หลานย่อมต้องเลือกด้วยตนเอง คงไม่รบกวนให้เสด็จลุงต้องเป็นกังวล"
"แต่ว่า?"
“ชายาของหลานจะต้องเป็นสตรีที่หลานรัก หลานไม่สนว่านางจะมีฐานะต่ำต้อยหรือสูงศักดิ์ ขอเพียงนางมีใจตรงกันกับหลาน และจริงใจกับหลาน พร้อมจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่าก็เพียงพอแล้ว หลานจะทำให้นางเป็นสตรีที่มีแต่ความสุขไปชั่วชีวิต และหลานจะไม่ยอมให้นางพบจุดจบเช่นเดียวกับเสด็จแม่เป็นอันขาด!"
กู้ฮ่องเต้เมื่อได้ยินเช่นนั้นแววตาก็ฉายแววหม่นแสงเล็กน้อย แต่เพียงครู่เดียวก็กลับมาเป็นปกติ
"ที่เราทำไปล้วนหวังดีต่อเจ้า"
กู้เหยียนฉีเมื่อได้ฟังก็ส่งเสียงเหอะออกมา หวังดีหรือ หากคนตรงหน้าหวังดีกับเขาจริง เหตุจึงไม่เหลือความอบอุ่นสุดท้ายในชีวิตของเขาเอาไว้เล่า เหตุใดจะต้องทำเช่นนั้นด้วย เหตุใดต้องพรากเสด็จแม่ไปจากเขาด้วย!
ชายหนุ่มพยายามข่มกลั้นอารมณ์ตนเอง
"เก็บความหวังดีของพระองค์ไว้เถอะพ่ะย่ะค่ะ ที่พระองค์ทรงทำดีกับกระหม่อมเช่นนี้ ก็เป็นเพราะไม่อาจลบล้างบาปในใจตนเองได้ พระองค์ก็ทรงรู้ดีว่า การชดเชยเหล่านี้หลานไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งใจเลยแม้แต่น้อย!"
เอ่ยจบเขาก็ลุกขึ้นเดินออกมาจากห้องทรงอักษรโดยไม่หันกลับมามองกู้ฮ่องเต้อีก กู้ฮ่องเต้เองก็ไม่ได้เหนี่ยวรั้งหลานชายเอาไว้ เขาหลับตาลงช้าๆ รู้สึกว่าตนเองไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาเสียดื้อๆ
เขาเองก็จนใจเช่นเดียวกัน จะให้ทำเช่นไรได้เล่า!
กู้เหยียนฉีจำได้ว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ในตอนนั้นเขาและจินฝูยังเป็นเพียงข้ารับใช้และเจ้านาย ไม่ได้มีความรักลึกซึ้งอันใดต่อกันเลยแม้แต่น้อยอากาศเช้านี้ค่อนข้างเย็นสบายไม่น้อยเลย หลังจากที่เตรียมอาหารมื้อเช้าให้กู้เหยียนฉีเสร็จเรียบร้อยแล้ว จินฝูก็ตรงมายังห้องโถงใหญ่เพื่อปรนนิบัติเขากินอาหารมื้อเช้า นี่คืองานที่นางต้องทำในแต่ละวัน จะขาดตกบกพร่องไม่ได้ เมื่อมาถึงก็พบว่ากู้เหยียนฉีตื่นนอนแล้ว ชายหนุ่มกินอาหารเช้าและแบ่งให้นางกินเหมือนกับทุกวันที่เคยทำ จินฝูรู้สึกฟินมาก ท้องอิ่มหนังตาก็เริ่มหย่อน แต่นางยังไม่ทันจะไปนอนก็ได้ยินกู้เหยียนฉีเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน"ตามข้าไปที่ห้องนอนด้วย"เอ่ยจบเขาก็เดินตรงไปรอนางที่ห้องนอนทันที จินฝูที่ได้ยินเช่นนั้นใจก็เต้นถี่ระรัว นางกำมือแน่น พลางครุ่นคิดในใจอย่างหวาดหวั่นนี่นางกับเขา ต้องทำเรื่องอย่างว่ากันแล้วอย่างนั้นหรือ?!แม้ในใจจะร้องโอดครวญ แต่กลับไม่อาจปฏิเสธ ในเมื่อนางเป็นคนของเขาแล้ว การที่เขาจะทำอันใดกับนางก็นับว่าไม่ผิด หญิงสาวถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง แล้วจึงเดินตามเขาเข้าไปในห้องนอน เมื่อมาถึงก็พบว่ายามนี้กู้เหยียนฉีกำลังนั่งอยู่บนเตี
วันคืนล่วงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็กู้เหยียนฉีและจินฝูก็ได้แต่งงานกัน พิธีการจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมฐานะมีผู้คนมาร่วมเฉลิมฉลองกันอย่างคึกคัก ก่อนที่เขาและนางจะแต่งงานกัน กู้เหยียนฉีพาจินฝูไปเที่ยวชมสถานที่งดงามและกินดื่มอย่างสำราญใจ นางจึงมีความสุขเป็นอย่างยิ่งการแต่งงานครั้งนี้มิใช่การแต่งงานธรรมดา แต่เป็นการสถาปนาการขึ้นครองราชย์ของกู้เหยียนฉีด้วยแม้จะไม่ต้องการสักเท่าไร่ แต่กู้เหยียนฉีรู้ดีว่าสุดท้ายแล้ว มันคือหน้าที่ของเขา อย่างน้อยเขาก็ยังมีจินฝูที่เป็นแสงสว่างในชีวิตของเขา ขอเพียงมีนางในวังหลวงที่น่าเบื่อแห่งนี้ก็งดงามขึ้นมาทันตาหลังจากกู้เยียนฉีขึ้นครองราชย์ กู้ฟานก็สละราชบัลลังก์ เขาใช้บั้นปลายชีวิตไปกับการอ่านตำราและวาดภาพอยู่ที่ตำหนักท้ายวังหลวง ทุกวันผ่านไปอย่างมีความสุข กู้เหยียนฉีเองก็ดูแลเขาเป็นอย่างดี ส่วนจินฝูนั้นเป็นเด็กร่าเริงอารมณ์ดี นางมักจะชอบมาเล่าเรื่องต่างๆให้เขาฟัง ทำให้เขาไม่เหงาเลยแม้แต่น้อยรัชศกฉีปีที่หนึ่ง กู้เหยียนฉีขึ้นครองราชย์ และแต่งตั้งจินฝูเป็นฮองเฮา เหล่าขุนนางไม่กล้าคัดค้าน เพราะฮองเฮาพระองค์ใหม่คือกำลังสำคัญเช่นกันที่ทำให้ฝ่าบาททรงได้ขึ้นค
กบฏตระกูลเจี่ยงถูกสังหารสิ้นแล้ว อีกทั้งราชสำนักยังประกาศความชั่วของพวกเขาให้ราษฏรทั่วทั้งใต้หล้าได้รับรู้เจีี่ยงฉยงอดีตแม่ทัพใหญ่ มีใจคิดไม่ซื่อ ลอบวางยาพิษเจ้าแผ่นดิน และลอบสังหารอดีตชินอ๋อง โชคดีที่สวรรค์เมตตาให้อดีตชินอ๋องทรงรอดชีวิตกลับมาได้ และกลับมาทวงคืนความยุติธรรมให้บ้านเมืองได้สำเร็จส่วนเจี่ยงหว่าน อดีตฮองเฮานั้น เพียงเพราะหลงใหลในอำนาจ จึงตบตาฮ่องเต้แต่งเข้าวังหลังมาทั้งที่ตั้งครรภ์บุตรกับชายอื่น และยังฆ่าปิดปากชายคนรักเพื่อไม่ให้เขากลับมาเปิดโปงความเลวทรามต่ำช้าของตน ซ้ำร้ายยังลอบส่งนักฆ่าไปสังหารกู้เหยียนฉีหลายต่อหลายครั้งด้วย กู้ม่อหลีแท้จริงแล้วไม่ใช่บุตรของโอรสสวรรค์ เขาเป็นองค์ชายตัวปลอม ส่วนองค์ชายใหญ่ที่แท้จริงซึ่งมีสายเลือดของฝ่าบาทไหลเวียนอยู่ในกายคือกู้เหยียนฉี องค์ชายใหญ่ตัวจริงที่ต้องปิดบังสถานะของตนเองเพื่อหาทางเอาตัวรอดและกำจัดคนชั่ว คนตระกูลเจี่ยงมีโทษหลอกลวงเบื้องสูง ให้ขายบ่าวในจวนทิ้งไปเสีย ยึดทรัพย์สินทั้งหมดเข้าคลังหลวง บุรุษให้สังหารทิ้งทั้งหมด ส่วนสตรีให้เนรเทศไปอยู่ที่ชายแดนแร้นแค้น ชั่วชีวิตนี้อย่าได้คิดจะกลับเข้าเมืองหลวงอีกผู้คนที่ได้รับรู้ต
กู้เหยียนฉีเดินเข้าไปในตำหนักที่กู้ฮ่องเต้พักรักษาตัวอยู่ด้วยใบหน้าที่เลื่อนลอย ครั้งนี้จินฝูไม่ได้ตามไปด้วย เพราะอยากให้พ่อลูกได้พูดคุยกันอย่างเปิดใจกู้ฮ่องเต้ได้สติฟื้นตื่นขึ้นมาแล้ว แต่เพราะสำลักควันไฟเข้าไปเป็นจำนวนมาก และยังถูกพิษมาก่อนหน้านี้ ทำให้ร่างหายของเขาย่ำแย่ลงไปมาก เขาให้นางกำนัลประคองตนนอนเอนพิงหมอนบนเตียง แล้วจึงให้พวกนางออกไปให้หมด ยามนี้จึงเหลือเพียงกู้เหยียนฉีและกู้ฟานเพียงเท่านั้นกู้ฮ่องเต้กระแอมไออยู่ตลอดเวลา เขาพยายามฝืนประคองตนให้ยืนหยัดเอาไว้ แล้วจึงเงยหน้าไปมองกู้ฟานน้องชายของตน"น้องสี่ ขอบใจเจ้ามากนะ หากไม่มีเจ้า ข้าคงไร้สามารถไม่อาจทำสิ่งใดได้ แค่กแค่ก"กู้ฟานน้ำตาไหล เขารีบเดินเข้าไปจับมือพี่ชายตนเอาไว้"พี่สาม ท่านเก่งที่สุดแล้ว ถึงแม้พวกเราจะไมได้เกิดจากมารดาคนเดียวกัน แต่ข้าก็รักท่านมาก รักท่านเหมือนพี่ชายร่วมมารดาเดียวกัน"กู้ฮ่องเต้พยักหน้า ก่อนจะหันมามองกู้เหยียนที่ยืนอยู่ไม่ไกล กู้ฮ่องเต้ยิ้มอย่างอ่อนแรงรู้สึกว่าตนเองเริ่มจะไม่ไหวมากขึ้นทุกที"ฉีหลาง เจ้ายังโกรธพ่ออยู่หรือ แต่ช่างเถิด ยามนี้คนตระกูลเจี่ยงตายสิ้นแล้ว เจ้าโกรธพ่อนานอีกสักหน่อย พ่อก
กู้เหยียนฉีที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองกู้ฟานด้วยความสงสัย ด้านจินฝูนั้นคิดว่าเรื่องที่พวกเขาจะพูดคุยกันย่อมเป็นเรื่องสำคัญ นางจึงบอกว่าจะไปรอเขาที่ด้านนอกตำหนักเสียก่อน แต่ทว่ากู้เหยียนฉีกลับยื่นมือของตนมารั้งตัวนางเอาไว้ จินฝูมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความสงสัยปราดหนึ่ง แล้วจึงพบว่าเขากำลังมองนางด้วยแววตาอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง"เสด็จอา นางเป็นคนรักของหลานเป็นคนที่พวกเราไว้ใจได้พ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งเรื่องที่เหล่ากองทัพเสริมของเจี่ยงฉยงถูกระเบิดจนล้มตายไปกว่าครึ่ง ก็เป็นฝีมือของนาง"กู้ฟานหันมามองจินฝูด้วยสายตาเอ็นดู"ที่แท้ก็เป็นหลานสะใภ้ของข้าเองหรือ"จินฝูยิ้มให้กู้ฟานอย่างนอบน้อม ตอนที่ได้ยินว่าเขายังไม่ตาย นางแอบตกใจอยู่ไม่น้อย ไม่คิดเลยว่าเรื่องราวต่างๆจะซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากมายถึงเพียงนี้กู้ฟานเองเมื่อรู้ว่าจินฝูคือคนสำคัญของกู้เหยียนฉีก็ไม่ได้ระแวดระวังสิ่งใดอีกเขาทอดถอนใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า"ฉีหลาง อารู้ว่าหลายปีมานี้เจ้าคับแค้นใจมาก เจ้าคงรู้แล้วว่าเสด็จพี่คือบิดาของเจ้า อาเองก็มีส่วนผิดเช่นกันที่รู้เรื่องราวทุกอย่างแต่กลับไม่อาจบอกกล่าวกับเจ้าได้"กู้เหยียนฉีกำมือแน่น ใบหน้าฉายแววเย็
กู้เหยียนฉีและจินฝูรีบกลับเข้าเมืองหลวง ก่อนไปยังสั่งให้องค์รักษ์พาครอบครัวของจินฝูและคนในจวนอ๋องกลับเข้าเมืองหลวงโดยเร็ว ส่วนพ่อบ้านตู้และฉินเซียง ซ่งเอ๋อร์ก็เร่งรุดกลับไปที่จวนอ๋องเพื่อตรวจดูว่ามีตรงไหนเสียหายบ้างหรือไม่ ระหว่างทางที่กลับเข้าวังหลวง เขาและนางได้พบเจอกู้ม่อหลีเข้าเสียก่อน กู้ม่อหลีจ้องมองกู้เหยียนฉีด้วยความเคียดแค้น เขาไม่มีทางเชื่อว่าตนเองไม่ใช่บุตรของโอรสสวรค์ อีกทั้งยังคิดจะแย่งจินฝูมา กู้เหยียนฉีคร้านจะสนใจคนบัดซบนี่ เขาจึงยิงหน้าไม้เข้าใส่กู้ม่อหลีทันที กู้ม่อหลีไม่ทันระวังทำให้ลูกศรแทงเข้าที่ลำคอ กู้ม่อหลีสิ้นใจตายทั้งที่ดวงตายังเบิกกว่าง ไม่มีผู้ใดสนใจความเป็นตายของเขาเลยแม้แต่น้อยกู้เหยียนฉีได้เล่าให้จินฝูฟังแล้วว่า กู้ม่อหลีไม่ใช่บุตรแท้ๆของฮ่องเต้ จินฝูตกใจไม่น้อย แต่กลับดีใจมากกว่า คนเช่นนี้ไม่เหมาะจะเป็นองค์ชายเลยด้วยซ้ำ สมควรแล้วที่ถูกสังหารเช่นนี้กู้เหยียนฉีและจินฝูวิ่งไปตามทางเดินในวังหลวงอย่างรีบร้อน เมื่อมาถึงตำหนักมังกรสวรรค์ก็พบว่าในตำหนักกำลังเกิดเพลิงไหม้โหมแรงมาก พวกเขาเข้าไปไม่ได้ ทำได้เพียงมองดูอยู่ด้านนอก“ฝ่าบาทยังทรงประทับอยู่ด้านใน รีบช