หน้าจอฉายภาพเคลื่อนไหวสลับตัดช่วงกับโฆษณา อีเลนนั่งดูเกี่ยวกับพวกหนังคุณธรรมจริยธรรมมาได้ครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว
เขาหวังพึ่งเล็กน้อยว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นแบบอย่างที่ดีให้เคียร์นเดินรอยตาม แม้ในใจจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับการต้องมาดูแต่มันก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่อตัดสินใจอยากให้ตัวร้ายกลายเป็นคนดีก็มีแต่ต้องอดทนเท่านั้น!!
ดวงตาสีแซฟไฟร์สายตาไม่ได้จับจ้องที่หน้าจอเลยตลอดระยะเวลาครึ่งชั่วโมง เขาเอาแต่ลอบสังเกตคนที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปมาอยู่ด้านข้างและก็พบว่ามันน่าสนใจกว่าสิ่งที่เปิดให้ดูบนหน้าจอเสียอีก
เคียร์นพอเดาสาเหตุที่อีเลนเปิดของพวกนี้ให้ดูได้ แต่แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันถึงสนใจปลูกฝังจิตใจใฝ่ดีให้คนอื่นมากกว่าชวนออกไปเล่นสนุกเหมือนเด็กทั่วไปนัก
หลังจากนั่งมองมาได้สักพัก เคียร์นพบว่าเพื่อนใหม่ชอบน้ำตาคลอก็ต่อเมื่อถึงช่วงเรื่องราวท้าย ๆ แล้วมีดนตรีบรรเลงประกอบฉากขึ้นมา
'สรุปซึ้งเพราะเนื้อเรื่องหรือเพราะดนตรีกันแน่'
เด็กชายตั้งคำถามกับตัวเอง พร้อมดูสีหน้าเพื่อนใหม่อย่างสนอกสนใจ ยิ่งเป็นช่วงโฆษณาไทยประกันภัยคนด้านข้าง ยิ่งกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
เขาแอบขำให้การแสดงออกของอีกฝ่ายพลางคิดว่ามันตลกดีสร้างความบันเทิงใจให้ไม่น้อย
ตลอดการดูหนังอีเลนเผลออินไปกับบางเรื่องไม่ก็โฆษณามากกว่าคนที่ต้องการให้ดู เจ้าตัวรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมาตลอดแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร อาจเพราะเคียร์นยังเด็กจึงไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้
เขาคงจะคิดตื้นไปแค่ให้ดูหนังไม่อาจเปลี่ยนให้คนคนหนึ่งดีขึ้นมาได้ ถึงดีมันก็ได้แค่แป๊บเดียวจิตสำนึกจริง ๆ มันต้องลงมือทำถึงจะเห็นผล!!!
อีเลนกดรีโมทปิดหน้าจอโทรทัศน์แล้วดันตัวเองขึ้นจากโซฟา
“เคียร์น นายหิวไหม”
ก่อนจะดำเนินแผนการต่อไป คงต้องเพิ่มค่าความสนิทและหาอะไรกินแก้หิวหลังจากทนนั่งดูหนังมาชั่วโมงกว่าก่อน ตอนนี้ท้องไส้เขาร้องประท้วงจนแสบท้องไปหมดแล้ว
“ไม่รู้สิ ถ้านายหิวฉันก็หิว” เคียร์นตอบกำกวมเผยรอยยิ้มมีเลศนัย
‘ให้ตายสิทำไมพวกตัวร้ายถึงชอบตอบคำถามกันดี ๆ ไม่ได้นะ’
อีเลนนึกในใจก่อนถามเด็กเจ้าเล่ห์ต่อ “โอเค งั้นฉันหิวแล้ว มีกับข้าวที่แม่ฉันทำทิ้งไว้ในห้องครัวอยู่พอดี นายพอกินได้ไหม”
“ไม่เอา”
คนโดนปฏิเสธอึ้ง เขาคิดว่าเด็กชายตรงหน้าดูมีนิสัยโตเหมือนผู้ใหญ่มากพอที่จะไม่เลือกกินเสียอีก
“ฉันอยากกินฝีมือนาย”
“หะ”
ยังไม่ทันหายอึ้งความไม่เข้าใจก็เข้ามาแทนที่ ปกติเด็กตัวแค่นี้ทำอาหารได้ใช่ไหม แม่กลับมาเห็นจะไม่ช็อกไปเลยเหรอ
แต่ถึงจะอยากทำให้จริงๆ ก็คงไม่ได้หรอกเพราะเขาทำอาหารไม่เป็น โลกก่อนก็เอาแต่กินของสำเร็จรูป เข้าห้องครัวทีก็แค่ตอนล้างจานไม่ก็ตอนไปเอาขนมกิน
“ฉันทำอาหารไม่เป็นนะ แต่ต้มบะหมี่ซองให้นายได้เอาไหม”
เคียร์นไม่พูดเขาเพียงทำการพยักหน้า อีเลนเดินไปในห้องครัวเสียบกาน้ำร้อนก่อนหยิบซองบะหมี่น้ำข้นที่วางอยู่บนชั้นล่างมาแกะซองใส่ชาม รอน้ำเดือดสักพักเสร็จแล้วลงมือเทน้ำใสร้อนระอุลงไปในชามขาว
ใช้เวลาเพียงไม่นาน บะหมี่กลิ่นหอมฟุ้งผสมเครื่องเทศรสเปรี้ยวก็มาวางเสิร์ฟตรงหน้าคนนั่งรออยู่บนโต๊ะอาหาร
“ได้แล้ว กินเลย กินตอนยังร้อน ๆ นะ”
อีเลนพูดเสริม เข้าใจไปเองว่าเคียร์นคงเป็นลูกคุณหนูคงไม่เคยกินของพวกนี้มาก่อน แต่เขาก็ไม่ได้เข้าใจผิดไปเองซะทีเดียวเพราะเจ้าตัวไม่เคยกินของสำเร็จรูปเลยจริง ๆ
เด็กชายทานก็แต่อาหารที่แม่บ้านทำให้อย่างมีโภชนาการ ถึงแม้เคียร์นจะเป็นลูกคนมีเงินแต่เขาก็ไม่ได้เรื่องมากในการกิน ทำอะไรให้ก็กินแบบนั้น
ร่างเล็กยืนรอลุ้นรสชาติจากคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะ แม้เขาจะทำแค่แกะซองใส่น้ำร้อนเฉย ๆ แต่ก็อยากฟังความรู้สึกจากคนชิมอยู่ดี
ดวงตาสีแซฟไฟร์วูบไหว จะกินก็ไม่กินมัวแต่นั่งวนช้อนเล่นแกล้งคนที่ยืนรอลุ้น มุมปากกดลึกเผยรอยยิ้มนึกสนุก
“เมื่อไหร่นายจะกินสักที”
อีเลนหลุดปากเมื่อรู้สึกว่าตนกำลังโดนกวน
“ฉันไม่รีบ”
เขาถึงกับคิ้วกระตุกให้กับเด็กบ้านรวยหน้าหล่อผู้เอาแต่ใจ ‘อ่าาาาไม่แปลกใจเลยทำไมอีเลนคนเก่าถึงอยากไล่ฆ่าจะเป็นจะตาย ขี้แกล้งตั้งแต่เด็กเลยเจ้าเด็กนี่!!’
เคียร์นเมื่อเห็นปฏิกิริยาท่าทางอย่างที่ต้องการจนพอใจ เขาเริ่มทำการตักน้ำซุปเข้าปากชิมรสชาติก่อนจะตามด้วยเส้นสีเหลืองยาวเข้าไป ดวงตาสีแซฟไฟร์เบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อได้ลิ้มรสไปคำแรก
“……..”
“รสชาติเป็นไงบ้าง” ชายหนุ่มในร่างเด็กถามอย่างอยากรู้คำตอบ
“อยากรู้ก็มาลองชิมเองสิ เดี๋ยวบอกให้ฟัง” เคียร์นยักคิ้วก่อนตักเส้นบะหมี่และน้ำซุปใส่ช้อนพอดีคำ ยื่นไปจ่อปากคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล
อีเลนได้แต่ลังเลคิดกับตนเองว่าปกติคนเป็นเพื่อนกันเขาชอบกินของร่วมกันเหรอ ถึงสงสัยไปแต่ก็ยอมเอาเข้าปากอยู่ดี
เขาไม่นึกรังเกียจอีกฝ่ายอยู่แล้ว ตอนอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็แลกขนมกินรวมกับพวกน้อง ๆ ออกจะบ่อย
“เป็นไงบ้าง”
“อร่อย”
“ก็ตามนั้น”
เคียร์นยิ้มมุมปากก่อนตักบะหมี่กินต่ออย่างไม่รู้สึกรู้สา ผิดกับอีเลนที่รู้สึกเหมือนตนพลาดท่าเรื่องอะไรไปสักอย่างแต่ก็นึกไม่ออก
เขาเดินไปเอาอาหารที่แม่ตนทำไว้มาอุ่นไมโครเวฟ ก่อนจะนั่งลงด้านตรงข้ามเอ่ยปากชวนคุย
“นายได้เรียนรู้อะไรจากหนังคุณธรรมบ้างไหม” คนนั่งกินข้าวถามด้วยสายตาคาดหวัง อยากรู้ว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นมีประโยชน์บ้างรึเปล่า
“อืม ได้เรียนรู้เยอะเลยละ”
(ได้เรียนรู้เรื่องของนายอ่ะนะ)
อีเลนผู้ไม่รู้ตัวว่าเรื่องที่ตัวเองทำนั้นไม่ส่งผลอะไรเลยแต่กลับได้ผลตรงกันข้าม พอเจ้าตัวได้ยินเคียร์นบอกแบบนั้นก็พึงพอใจริมฝีปากฉีกยิ้มแป้น คิดว่าอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงที่เสียไปก็ไม่เปล่าประโยชน์……
“ตอนนั่งรถมาเมื่อเช้า ฉันเห็นนายอุ้มหนูตัวเล็กไปไหนเหรอ” เด็กตาสีน้ำเงินถามขึ้นอย่างสงสัย อีเลนได้ฟังก็กลืนข้าวลงท้องก่อนตอบ
“มันโดนแมวตะปบฉันเลยพาไปหาหมอ คุณหมอบอกว่าให้ฉันกลับไปก่อนค่อยมาใหม่อีกทีพร้อมคุณแม่ตอนเย็น” พูดเสร็จก็ตักข้าวอีกคำ
“หนูน้อยนั่นเป็นสัตว์เลี้ยงนายเหรอ”
“เปล่า ฉันแค่รู้สึกผิดไม่อยากปล่อยให้มันตาย”
เคียร์นได้ฟังอีเลนพูด ดวงตาสีแซฟไฟร์ฉายแววครุ่นคิดเกี่ยวกับคนตรงหน้า ก่อนจะนั่งทานบะหมี่ของตนต่อให้เสร็จ
ทั้งคู่ใช้เวลาทานข้าวเรียบร้อยก็มายืนล้างจานด้วยกัน ตอนเเรกอีเลนปฏิเสธเพราะตนจะล้างคนเดียวในฐานะที่เป็นเจ้าบ้าน แต่ในเมื่อเคียร์นอยากอาสาช่วยจัดการ เขาจะไปห้ามอะไรได้ ดีเสียอีกถือว่าเป็นพฤติกรรมการเกรงอกเกรงใจที่ดี
เมื่อทำอะไรให้เข้าที่เข้าทางอีเลนชวนเคียร์นคุยเรื่องเรื่อยเปื่อยก่อนจะวกเข้าเรื่องคุณธรรมจริยธรรมเอย การฆ่าคนถือเป็นบาป ไหน ๆ แล้วก็สอนเรื่องศาสนาที่ตนรู้จักให้ด้วยเลยแล้วกัน
สาดศีลธรรมใส่อีกฝ่ายเข้าไว้ เวลาเจอหน้านางเอกจะได้ไม่ต้องผีบ้า เข้าไปลักพาตัวเหมือนเนื้อเรื่องในนิยายอีก
เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์ไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไงดี เขาพึ่งเคยเจอเด็กที่จริงจังกับการสอนคนอื่นเรื่องพวกนี้เป็นครั้งแรก
อีเลนทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองจะโตไปเป็นคนไม่ดีเอามาก ๆ ยังไงยังงั้น เขาไม่ทำร้ายใครหรอกถ้าอีกฝ่ายไม่เริ่มก่อน ถือคติถ้าเริ่มเกมแล้วก็ต้องเล่นให้จบ!!
เวลาล่วงเลยไปถึงยามเย็น รถแท็กซี่คันสีเหลืองจอดตรงหน้าบ้านก่อนที่ร่างหญิงคุ้นตาจะเปิดประตูก้าวขาออกมา
อีเลนเมื่อได้ยินเสียงรถยนต์เจ้าตัวตื่นเต้นดีอกดีใจรีบวิ่งไปหาผู้เป็นแม่ เคียร์นซึ่งมองตามแผ่นหลังคนตัวเล็กกว่าลุกวิ่งออกไปก็ค่อย ๆ ยันตัวเองขึ้นก้าวเดินตาม
“แม่ครับ คุณหมอว่ายังไงบ้างครับ”
เด็กชายโผเข้ากอดหญิงวัยกลางคนอย่างแนบแน่น เธอมองลูกชายตัวน้อยด้วยสายตาอบอุ่นพลางลูบหัวอย่างอ่อนโยน
“แม่ไม่เป็นไร คุณหมอให้ยาแม่มาทานนิดหน่อย แค่แม่นอนพักผ่อนทานยาให้ตรงเวลาก็หายแล้ว”
“จริงนะครับแม่ ผมจะช่วยดูแลแม่เองครับ” อีเลนออดอ้อนดีใจ ดีที่เธอไม่ค่อยมีอาการหนักมาก
แม่อีเลนได้ฟังเช่นนั้นก็ชื่นใจ เธอรู้สึกสดชื่นจิตใจแจ่มใสกว่าเดิมตั้งแต่ที่ลูกเปลี่ยนไป แม้จะรู้สึกดีมากแค่ไหนแต่ลึก ๆ ภายในสักแห่งกลับรู้สึกเหมือนตนสูญเสียสิ่งสำคัญบางอย่าง ในอกซ้ายพลันวูบโหวงเหมือนขาดอะไรไปแต่ก็นึกไม่ออก
“สวัสดีครับคุณน้า”
ผู้เป็นแม่เห็นเด็กผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาราวกับตุ๊กตาเดินได้ออกมาจากบ้านของตัวเองก็ตกใจ
เธอสงสัยว่าเด็กคนนี้เป็นใครทำไมถึงเดินออกมาจากบ้านเธอ อีเลนเห็นแม่ทำสีหน้าสับสนจึงรีบแทรกขึ้น
“เพื่อนผมเองครับแม่ เขาพึ่งย้ายมาแถวนี้”
“ขุ่นพระ”
หญิงมีอายุยกมือขึ้นปิดปาก ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองว่าลูกชายคนที่เอาแต่นั่งเหม่อมองท้องฟ้าไปวัน ๆ ไม่สนใจใครนอกจากเลือดที่ทำให้หันมาได้กลับมีเพื่อนเป็นตัวเป็นตน แถมยังพามาเล่นที่บ้านอีกด้วย เธอน้ำตารื้น รีบกล่าวต้อนรับเด็กชายด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าเปี่ยมสุข
“ยินดีต้อนรับจ้ะ แม่ดีใจที่ได้เจอเรานะ แล้วลูก ๆ ไปรู้จักกันได้ยังไงเนี่ย ไหนลองเล่าให้แม่ฟังหน่อยสิ”
ภายในห้องนั่งเล่นบนโซฟา ทั้งสามคนใช้เวลานั่งคุยกันสักพักใหญ่ก่อนเคียร์นจะขอตัวกลับบ้านเพราะเป็นเวลายามเย็นแล้ว
อีเลนไม่สบายใจที่ปล่อยให้เด็กน้อยเดินกลับตัวคนเดียว ยังไงก็ต้องแวะไปเอาหนูแฮมสเตอร์ด้วยเขาจึงเสนอให้เคียร์นติดรถไปพร้อมกันแต่ดันถูกเจ้าตัวปฏิเสธ
“ขอโทษนะ พอดีฉันชอบเดินเล่นก่อนกลับน่ะ”
เด็กตาน้ำเงินกล่าวเช่นนั้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนลุกขึ้นยืนไหว้ลาคุณแม่แล้วขอตัวเดินออกจากบ้านไป
อีเลนหน้ามุ่ยเดินตามเจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์มาส่งถึงหน้าบ้าน เงาร่างเล็กของทั้งสองทอดยาวอยู่บนพื้นถนน
ดวงตาสีน้ำเงินวาวระยับรับกับแสงอัสดง ใบหน้าหน้าหล่อเหลาค่อย ๆ เคลื่อนมาไว้ตรงใบหูเล็กทำให้อีกฝ่ายรู้สึกจั๊กจี้
อีเลนเผลอกลั้นหายใจเมื่อลมอุ่นร้อนของเคียร์นเฉียดสัมผัสกับใบหูอย่างบางเบา เจ้าตัวปั้นหน้าไม่ถูก เขาหดคอสู้อย่างเกร็ง ๆ
ดวงตาสีแซฟไฟร์โค้งเป็นสระอิ หัวเราะในลำคอเล็กน้อยเปล่งเสียงกระซิบแผ่วเบาเชิงหยอกล้อ
“บ้านฉันอยู่ข้างนายนี่เอง ไม่ต้องเดินไปส่งก็ได้”
เคียร์นยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะถอยตัวจากไปอย่างอารมณ์ดี
“……….”
“จะ จ๊างงงง!! เอาป้ายมาสิเชส” โจลี่สั่งให้เพื่อนซี้แน่นปึกยืนหันหลังพร้อมยกป้ายกระดาษหนาเท่าฟิวเจอร์บอร์ดขึ้นสูงเหนือหัว “ดูและฟังให้ดีนะคะน้อง ๆ นิทานที่พวกเราห้อง F ได้ก็คืออออ คือออออ” เด็กสาวลากเสียงยาวให้น้องมอหนึ่งทั้งหลายรู้สึกลุ้นระทึกกันอย่างสนุกสนาน น้ำเสียงร่าเริงดังขึ้น “นิทานที่พวกเราได้คือ….. สโนว์ ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ดค่ะ!! รีบตบมือกันเร็วเข้า!!” สิ้นสุดเสียงโจลี่ เชสทำการกลับป้ายเฉลยชื่อ ทีมซัพพอร์ตมอหกห้อง F ต่างช่วยกันส่งเสียงร้องเชียร์อย่างไม่มีใครยอมใคร บรรยากาศของรุ่นพี่ห้อง F ทำให้เหล่ารุ่นน้องที่น
เมื่อทำการจับฉลากเป็นคู่ในกล่องสุ่มเรียบร้อยแล้ว ครูอันให้นักเรียนที่อาสาตัวช่วยละครจบของรุ่นพี่เข้าไปรวมตัวกันที่หอประชุม แถวในหอประชุมจะถูกแบ่งแยกไปตามห้องที่แต่ละคู่จับสุ่มได้ โดยมีตัวแทนของพวกรุ่นพี่ห้อง S-F ยืนเรียงแถวหน้ากระดานเว้นระยะห่างหนึ่งช่วงแขน ให้พวกน้อง ๆ ที่จับฉลากได้ห้องไหนเข้ามายืนต่อแถวตอนห้องนั้น ใช้เวลาไม่นานนักเรียนอาสาของทุกห้องก็เดินเข้ามาเรียงแถวในหอประชุมกันจนครบ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยประธานนักเรียนชั้นมอห้าเดินขึ้นไปบนเวทียืนตรงแท่นโพเดียมก่อนจะทำการเทสเสียงไมค์แล้วเริ่มพูดเปิด “ฮัลโหล ๆ สวัสดีครับเพื่อน ๆ พี่ ๆ ทั้งหลาย ผมมีชื่อว่า อเล็กซ์ เป็นประธานนักเรียนที่จะเข้ามาช่วยประสานงานให้พวกรุ่นพี่มอหกและน้องมอหนึ่งร่วมใจทำงานกันเป็นหนึ่งเดียวนะครับ อย่างที่ทุกคนรู้กันดีโรงเรียน………” ครั้งอเล็กซ์เริ่มอธิบายเกี่ยวกับงานส่งจบ นักเรียนบางส่วนล้วนฟังบ้างไม่ฟังบ้าง อีเลนซึ่งยืนต่อแถวอยู่ห้อง F รู้สึกลำบากใจกับสายตาของเฮนรี่ ซึ่งมองมาจากแถวข้างหน้าตน “ไง ไม่เจอกันนานเลยนะครับ เคียร์น”
“ไปไหนมา เย็นปานนี้ทำไมไม่รีบกลับบ้าน!!” ผู้เป็นพ่อยืนเท้าเอวใบหน้าเคร่งขรึมน้ำเสียงจริงจังเปี่ยมอำนาจ เอ่ยถามลูกชายของตนที่นาน ๆ ทีจะเจอครั้งหนึ่ง พ่อของอีเลนเป็นทนายความชื่อดังวัน ๆ มีแต่งานสารพัดปัญหาเข้ามารุมล้อมไม่หยุด ทั้งต้องออกไปทำเรื่องว่าการให้พรรคการเมืองชื่อดัง ทั้งต้องขึ้นศาลให้ครอบครัวมหาเศรษฐี วันหนึ่งแทบไม่ได้หยุดพักอยู่บ้านดี ๆ เลยสักหน “พ่อกลับมาบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” เด็กชายเอ่ยถามคนได้ชื่อว่าเป็นพ่อตนตอนนี้ เขารู้สึกเกร็งนิดหน่อยเพราะไม่คุ้นเคยกับคนตรงหน้ามาก่อน แถมอีกฝ่ายยังมีท่าทางน่ากลัวทำให้รู้สึกชวนคุยด้วยลำบาก เขาเผลอบีบมือที่กุมเคียร์นไว้แน่นอย
“เข้ามาสิ ฉันให้ขยะที่ยังไม่ถูกรีไซเคิลอย่างพวกนายเปิดก่อนเลย” เด็กแว่นพูดกวนโมโห ท้าทายอย่างไม่เกรงกลัว ทำให้ชายหน้าโหดฉุนจัดหอบหายใจกระฟัดกระเฟียด โกรธจนหน้าแดงกำหมัดแน่น “เอาเลยลูกพี่ มันท้าทายอำนาจลูกพี่ครับ” “อัดไอ้เด็กไม่เจียมกะลาหัวมันเลยครับลูกพี่!!” “เป็นแค่ไอ้จ้อยอย่าปากดีนักนะไอ้ลูกหมานี่ เดี๋ยวโดนลูกพี่กูอัดยับอย่ากลับบ้านไปร้องไห้ฟ้องแม่นะมึง” เสียงกองเชียร์ดังกระหึ่มไปทั่ว เชาว์ยืนถือแว่นตาเพิร์ซ มองสถานการณ์ตอนนี้ด้วยสีหน้าซีดเผือด ใจเต้นระทึกไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ระแวงว่าเด็กตี๋ของตนจะถูกซ้อมยับ&n
คำเตือน เนื้อเรื่องตอนนี้เป็นเพียงส่วนเสริมอดีตของเพิร์ซ ให้รู้ที่มาที่ไปของตัวละครเท่านั้น มีฉากล่วงละเมิดทางเพศ พรากผู้เยาว์ ความรุงแรง ดราม่า ใครรับไม่ได้โปรดข้ามไปอ่านตอนต่อไป เด็กน้อยวัยใสอายุเพียงหกขวบ เขาถูกเลี้ยงมาด้วยความรักความอบอุ่นจากครอบครัว ถูกประคบประหงมดั่งไข่ในหิน ชีวิตของเด็กชายไม่เคยขาดอะไรเลย ได้ทานอาหารที่ชอบทุกมื้อ มีพ่อแม่ที่รักมากสุดหัวใจและมีพี่ชายแสนดียืนหนึ่งคอยอยู่เคียงข้างดูแลแทบตลอดเวลา ด้วยความขาวตี๋ตัวเล็ก ผมสีดำขลับเรียบตรง ดวงตากลมวาวสดใส แก้มขาวอมชมพูป่องนิด ๆ ทำให้เจ้าตัวดูน่ารักน่าชังรวมกับนิสัยเป็นมิตรของเพิร์ซวัยเด็กแล้ว ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็มักจะมีคนคอยเอ็นดูอยู่เสมอ “เพิร์ซ วันนี้ตอนเย็นอยากแวะที่ไหนไหมครับ” พี่ชายอายุวัยเพียงสิบห้าปีฉีกยิ้มหวาน เดินถือรองเท้านักเรียนสีดำเตรียมใส่ออกไปข้างนอกอยู่หน้าประตูบ้าน ผู้เป็นน้องชายสะพายกระเป๋ารูปกันดั้มสีน้ำเงินซึ่งพี่ชายเป็นคนเลือกให้วิ่งตามหลังมา เด็กชายอมยิ้มตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ครับ! ผมอยากไปเล่นที่สนามกับเพื่อ
นักเรียนห้อง S ของโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้อยู่ห้องนี้ล้วนไม่ใช่เด็กธรรมดา บางคนสอบเข้ามาได้ด้วยคะแนนสูงสุดเกือบเต็มร้อยนับว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ บางคนพ่อแม่มีอำนาจทางการเมือง ใช้เงินยัดใต้โต๊ะหวังให้ลูกหลานมีภาพลักษณ์เด็กเก่งเรียนดีมีหน้าตาทางสังคม เด็กนักเรียนส่วนใหญ่เกินครึ่งในห้อง S จึงล้วนเป็นเด็กที่สอบเข้ามาได้ด้วยเงิน มีเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่สอบเข้ามาได้ด้วยความสามารถของตัวเองจริง ๆ เด็กจิ้มลิ้มเขามีชื่อว่า เฮนรี่ เป็นเน็ตไอดอลชื่อดังที่กำลังได้รับความนิยมจากบรรดาวัยรุ่นหนุ่มสาวด้วยหน้าตาสุดน่ารักน่าชัง ภาพลักษณ์ดูเป็นเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์อ่อนต่อโลก ทำให้บรรดาชาวเน็ตต่างพากันชื่นชมหลงใหลไปกับความน่ารักไร้เดียงสา