เรื่องราวในนิยายเล่าถึงช่วงเวลาสมัยเด็กของพระเอกและนางเอกไว้ไม่กี่บท ทั้งคู่ได้เจอกัน เกิดมาจากโรคจิตเวชของอีเลนคนเก่ากำเริบ
วันหนึ่งคุณแม่ของเด็กชายออกไปรับของทางไปรษณีย์ข้างนอกโดยใช้เวลาไม่ถึงห้านาที พอกลับมาพัสดุยังไม่ทันวางพลันร่วงหลุดมือ เมื่อเธอเห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนยืนถือมีดปอกผลไม้ ที่แขนเล็กตรงข้อพับมีรอยกรีดลึกยาว เลือดสีเข้มไหลซึมออกมาทีละหยดสองหยด
ผู้เป็นแม่แข้งขาอ่อนแรง ทรุดฮวบลงกับพื้นทันที หญิงวัยกลางคนมีอาการตัวสั่นหน้าซีดเผือด ตกตะลึงกับการกระทำของลูกน้อย
หลังจากนั้นไม่นานเสียงทะเลาะปนสะอื้นไห้ดังแซดไปทั่วบ้าน เธอต่อสายถกเถียงกับสามีเรื่องลูกชายของตน กล่าวโทษทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ลูกเป็นแบบนี้
กล่าวว่าสามีที่ไม่มีเวลาให้ลูกบ้างก็ดี กล่าวว่าตัวเองที่ดูแลลูกไม่ดีบ้างก็ดี ผู้เป็นสามีเคร่งเครียดถอนหายใจดังลั่นจนปลายสายได้ยินเสียง
‘เฮ้อ’ “งั้นเอางี้ คุณย้ายบ้านไปอยู่เมืองหลวงซะ ที่นั่นมีหมอเก่งด้านจิตเวช เดี๋ยวผมส่งเขาไปเป็นหมอประจำตัวอีเลนให้”
พูดจบก็วางสายไป คนเป็นแม่สะอื้นไห้โผเข้ากอดดูแขนลูกรักอย่างสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ปากพร่ำบอกกับลูกชายราวกับพูดกล่อมตัวเอง
“ไม่เป็นไรนะลูก ไม่เป็นไรแล้ว”
อีเลนมองใบหน้าหญิงที่เปรอะไปด้วยคราบน้ำตาอย่างไม่เข้าใจความโศกเศร้า แม่ของเขาจะร้องไห้เสียใจไปทำไม ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองรู้สึกยินดีกับการเห็นเลือดมากขนาดนี้
หลังจากนั้นไม่นานอีเลนก็ได้ย้ายบ้าน ในทุกวันเขาได้รับการรักษาจากหมอจิตแพทย์ชื่อดัง และโรงพยาบาลนี้ก็เป็นสถานที่ ซึ่งเหล่าพระนางได้พบกันเป็นครั้งแรกก่อนทั้งคู่จะพัฒนาความสัมพันธ์ฉันเพื่อนจนกลายเป็นคนรัก
แล้วคนที่ควรจะออกมาตอนกลางเรื่องซึ่งไม่ใช่ตอนนี้ก็คือ เคียร์น!! ตัวร้ายสุดเล่ห์เหลี่ยมที่ชอบเข้ามาหาเรื่องกับพระเอกเพียงเพราะต้องการแย่งชิงนางเอก!!
“อ่า นี่บ้านฉันเอง”
พอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นตัวร้ายและเป็นคู่ปรับกับตัวเอกของเรื่องที่ตนเข้ามาสิงร่างอยู่ ก็อดรู้สึกเกร็งขึ้นมาไม่ได้
ในนิยายเล่าว่าทั้งสองคนไม่ถูกกันมาก ๆ เจอหน้าทีแทบชักมีดใส่ ถึงส่วนใหญ่ในเรื่องอีเลนคนเก่าจะชอบเปิดก่อนก็เถอะ
เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์ลอบมองอาการของคนที่ยืนอยู่ใกล้ตัว เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ อีกฝ่ายถึงเปลี่ยนท่าทีไปเมื่อรู้ชื่อของตัวเองก่อนเลิกสนใจคนข้างกาย
สายตาพลันกวาดมองไปยังป้ายชื่อตระกูลของคนที่ช่วยตัวเองซึ่งติดอยู่หน้ากำแพงบ้าน ในหัวคบคิดอะไรบางอย่าง
นัยน์ตาทอประกายแสงวูบหนึ่งก่อนจะปรับเปลี่ยนให้เรียบดังปกติ ริมฝีปากหยักฉีกยิ้มกว้างกระชับแขนที่กอดคล้องอีเลนแนบชิดขึ้น
“ว้าว บ้านนายสวยจังเลย รีบเข้าไปดูข้างในกันเถอะ”
อีเลนมองรอยยิ้มและดวงตาเปล่งประกายของเด็กข้างกาย ‘หมอนี่ตัวร้ายจริงแน่นะ ไหงไม่ตรงปกเลย’
เขาเก็บคำถามไว้ในใจ ก่อนตัดสินใจพาคนตัวสูงกว่าหน่อยเข้าไปข้างใน แม้จะรู้สึกระแคะระคายที่เพื่อนใหม่แอบเสแสร้งอยู่บ้าง ใช่ว่าดูไม่ออก แค่ไม่แน่ใจต่างหาก
พอรู้ว่าหมอนี่เป็นตัวร้ายของเรื่องจอมเจ้าเล่ห์มากแผนการก็ทำให้ฟันธงความรู้สึกที่ตนสัมผัสได้
อีเลนพาเคียร์นมานั่งบนโซฟาในห้องนั่งเล่นซึ่งเป็นที่ตัวเองตื่นขึ้นมาครั้งแรกเมื่อหลุดเข้ามาในโลกนิยาย
ตามจริงพระเอกควรจะได้ย้ายบ้านแล้วไปเจอกับนางเอก แต่เนื้อเรื่องคงเปลี่ยนไปเพราะเขาเข้ามาในเรื่องนี้แทน
ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วตีสนิทกับตัวร้ายแล้วคอยเชียร์ความรักของพวกเขาไปเลยดีไหม ตัวเองจะได้ไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายด้วย
ก่อนจะคิดไปถึงอนาคต ในเมื่อมีโอกาสได้ตีซี้แล้วทำไมไม่ลองเปลี่ยนบทให้เคียร์นไปเป็นพระเอกแทนอีเลนคนเก่าไปเลยละ ในเมื่อเขาไม่คิดจะทำตามเนื้อเรื่องเดิมอยู่แล้ว งานนี้ก็ต้องมีคนมารับบทบาทไปแทนสิ
อีเลนคิดไปเรื่อยพลางมองคนนั่งยิ้มแย้มมองนู้นมองนี่ก่อนจะหันมาสบสายตากันนิ่ง ๆ
ถึงเขาอยากจะให้อีกฝ่ายมารับบทแทนจริง ๆ แต่ไม่ได้แปลว่าจะเสี้ยมสอนให้เด็กคนหนึ่งไปเป็นฆาตกรต่อเนื่องแทนตัวเอกคนเก่าหรอกนะ ในฐานะที่ตนวางตัวเป็นเพื่อนกับตัวร้ายอย่างไม่ได้ตั้งใจแล้ว
เขาที่เป็นทั้งเพื่อนและอายุเยอะกว่าด้านจิตใจ คงต้องรับผิดชอบสั่งสอนชี้แนะให้ดี เผื่อวันไหนอีกฝ่ายคิดอยากฆ่าตนขึ้นมาคงยังพอใช้มิตรภาพและวันดี ๆ ในการต่อรองร้องขอชีวิตได้
ก่อนจะมานั่งสอนเรื่องคุณธรรมให้เพื่อนจอมเจ้าเล่ห์ฟัง อีเลนอยากให้เคียร์นเปิดใจรับเขาเสียก่อน
เด็กชายหย่อนกายนั่งลงข้าง ๆ เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์ สายตาจับจ้องเด็กตรงหน้าอย่างจริงจัง เขาตัดสินใจพูดเรื่องที่รู้สึกระแคะระคายตลอดระยะเวลาที่เดินกลับบ้านมาด้วยกัน
“เคียร์น ถ้านายอยากเป็นเพื่อนกับฉันจริง ๆ นายควรเลิกใส่หน้ากากเข้าหาฉันนะ”
อีเลนเป็นคนซื่อตรง รู้สึกยังไงก็พูดออกไปแบบนั้น เขามั่นใจมากว่าเด็กตรงหน้าไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงกับตัวเอง
ในเนื้อเรื่องรักสุดซาดิสม์ เคียร์นเป็นตัวละครเดียวที่ชอบใส่หน้ากากเข้าหาคนอื่น เขาเหมือนคนที่ชอบคิดอะไรตลอดเวลา แม้จะอ่านเนื้อเรื่องในนิยายแต่ก็ยังเดาทางความคิดเจ้าตัวไม่ออกอยู่ดี
ประวัติของเคียร์นนักเขียนไม่ได้ลงรายละเอียดไว้มาก รู้แค่ว่าเป็นคนฉลาด ฐานะดีมีชาติตระกูล เป็นเศรษฐีซึ่งมีธุรกิจกว้างขวางในวงกว้าง
เด็กชายปรากฏตัวมาช่วงมัธยมปลาย เป็นบอสและคู่อริที่อีเลนคนเก่าจ้องจะฆ่าทิ้งให้ได้ แต่ตอนนี้ตัวร้ายในนิยายจะเป็นยังไงก็ช่าง แต่เด็กตอนนี้ต้องเปิดใจให้ก่อน
คนสองคนในเมื่อตกลงปลงใจเป็นเพื่อนกันแล้วก็ไม่ควรตีสองหน้าเข้าหากัน ไม่งั้นจะเรียกว่าเพื่อนได้เต็มปากเต็มคำได้ยังไงถ้ายังลอบแทงข้างหลังกันอยู่
เด็กดวงตาสีน้ำเงินเข้มชะงักเมื่อได้ยินคำพูดของคนที่เข้ามาช่วยตัวเอง เขาคิดว่าการแสดงของตนนั้นสมบูรณ์แบบไม่มีขาดตกบกพร่อง ขนาดบรรดาเครือญาติสกปรกที่คิดจะหาโอกาสตักตวงผลประโยชน์จากเขาหลาย ๆ คนยังดูนิสัยจริง ๆ ไม่ออก แต่นี่เพื่อนตัวน้อยคนนี้กลับมองขาดช่างน่าสนใจจริง ๆ ดวงตาสีแซฟไฟร์วูบไหวในเมื่อรู้ทันแล้วก็ไม่จำเป็นต้องแสดงละครอีกต่อไป
อีเลนมองท่าทางยิ้มแย้มเหมือนเด็กน้อยใสซื่อบนใบหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว กลายเป็นวางมาดนิ่งสงบ สง่างาม ดูภูมิฐาน แผ่กลิ่นอายหยิ่งยโสเปี่ยมไปด้วยอำนาจ
มุมปากกดลึกเผยรอยยิ้มเล็กน้อยดูพราวเสน่ห์ ดวงตาสีแซฟไฟร์สะท้อนแสงแดดที่ลอดผ่านทางหน้าต่างสว่างวาบ
ภาพตรงหน้าคล้ายซ้อนทับกับร่างจิ้งจอกสีเงินในสารคดีพลันทำลมหายใจคนมองสะดุดกึกไปช่วงหนึ่ง
“หึ เห็นแบบนี้แล้วยังอยากเป็นเพื่อนกันต่อไหม”
เด็กชายใบหน้าราวฟ้าประทานผู้ดูลึกลับ เปล่งเสียงหัวเราะนิ่ง ๆ ในลำคอ ริมฝีปากเหยียดมุมยิ้มบางมองคนนั่งเงียบงันไปด้วยท่าทีใจเย็นอย่างไม่ รีบรั้นคำตอบ
อีเลนตัวเกร็ง ตกตะลึงอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าเด็กชายตรงหน้าพอเลิกเสแสร้งแล้วจะเปี่ยมไปด้วยออร่าสมกับบทตัวร้ายมากขนาดนี้!!
“ฉันว่าฉันชอบท่าทางของนายตอนนี้มากกว่าเด็กแอ๊บแบ๊วใสซื่ออีก” อีเลนเผลอพูดคำที่คิดอย่างไม่ได้ตั้งใจ เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์หลุดหัวเราะเล็กน้อย เอ็นดู ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะพูดตรงขนาดนี้
คนเผลอหลุดประโยคน่าอายหน้าขึ้นสีเพราะถูกสายตาแปลก ๆ ของอีกฝ่ายจ้องมองมา อีเลนเหลือบมองคนที่เลิกเสแสร้งเบื้องหน้าพลางคิด แม้เจ้าตัวจะดูดีกว่าหรือมีภูมิฐานมากแค่ไหน ยังไงอายุจิตเขาก็มากกว่าอยู่ดีและเด็กก็คือเด็ก!!
ความคิดที่จะปลูกฝังธรรมะในจิตใจให้เคียร์นของตนยังคงไม่เสื่อมคลาย! “นายบอกนายไม่อยากอยู่บ้านคนเดียว งั้นเรามาหาหนังดูรอพ่อแม่นายกลับมากันไหม”
เคียร์นมองท่าทีสบาย ๆ ของอีเลน เขาแปลกใจที่เพื่อนตัวน้อยปรับเข้ากับท่าทางที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือของตนได้อย่างรวดเร็ว
ที่จริงเด็กชายตามอีเลนมาถึงบ้านเพราะอยากพิสูจน์ข้อมูลอะไรบางอย่าง ไม่ได้ต้องการจะข้องแวะกับคนที่พึ่งเจอหน้ากันตั้งแต่แรก
ตอนนี้เขาก็ได้รู้ในสิ่งที่อยากรู้มาแล้วและไม่มีความจำเป็นต้องนั่งอยู่ในบ้านหลังนี้อีกต่อไป ที่จริงมันควรเป็นแบบนั้น
ดวงตาสีน้ำเงินเข้มนั่งครุ่นคิดจมอยู่กับตัวเองสักพักหนึ่งก่อนลอบยิ้มที่มุมปาก เขาพยักหน้าตอบรับข้อเสนอของเพื่อนใหม่ นัยน์ตาสีแซฟไฟร์เปล่งประกายเพียงชั่วครู่ก่อนจะปรับมาเรียบเฉย
อีเลนเมื่อเห็นตัวร้ายวัยเด็กน้อยพยักหน้าพลันปรากฏรอยยิ้มแฉ่ง ก่อนจะรีบคว้ารีโมทกดเปิดโทรทัศน์หาช่องที่ตนต้องการให้อีกฝ่ายดู
ดวงตาสีแซฟไฟร์มองการกระทำของคนข้างกาย ริมฝีปากมีรอยยิ้มบางเอ่ยถามคนที่ตั้งหน้าตั้งตากดหาช่องอะไรให้เขาดูขนาดนั้น
“นายเปิดหาอะไรอยู่เหรอ”
“หนังคุณธรรม!!”
“………”
“จะ จ๊างงงง!! เอาป้ายมาสิเชส” โจลี่สั่งให้เพื่อนซี้แน่นปึกยืนหันหลังพร้อมยกป้ายกระดาษหนาเท่าฟิวเจอร์บอร์ดขึ้นสูงเหนือหัว “ดูและฟังให้ดีนะคะน้อง ๆ นิทานที่พวกเราห้อง F ได้ก็คืออออ คือออออ” เด็กสาวลากเสียงยาวให้น้องมอหนึ่งทั้งหลายรู้สึกลุ้นระทึกกันอย่างสนุกสนาน น้ำเสียงร่าเริงดังขึ้น “นิทานที่พวกเราได้คือ….. สโนว์ ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ดค่ะ!! รีบตบมือกันเร็วเข้า!!” สิ้นสุดเสียงโจลี่ เชสทำการกลับป้ายเฉลยชื่อ ทีมซัพพอร์ตมอหกห้อง F ต่างช่วยกันส่งเสียงร้องเชียร์อย่างไม่มีใครยอมใคร บรรยากาศของรุ่นพี่ห้อง F ทำให้เหล่ารุ่นน้องที่น
เมื่อทำการจับฉลากเป็นคู่ในกล่องสุ่มเรียบร้อยแล้ว ครูอันให้นักเรียนที่อาสาตัวช่วยละครจบของรุ่นพี่เข้าไปรวมตัวกันที่หอประชุม แถวในหอประชุมจะถูกแบ่งแยกไปตามห้องที่แต่ละคู่จับสุ่มได้ โดยมีตัวแทนของพวกรุ่นพี่ห้อง S-F ยืนเรียงแถวหน้ากระดานเว้นระยะห่างหนึ่งช่วงแขน ให้พวกน้อง ๆ ที่จับฉลากได้ห้องไหนเข้ามายืนต่อแถวตอนห้องนั้น ใช้เวลาไม่นานนักเรียนอาสาของทุกห้องก็เดินเข้ามาเรียงแถวในหอประชุมกันจนครบ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยประธานนักเรียนชั้นมอห้าเดินขึ้นไปบนเวทียืนตรงแท่นโพเดียมก่อนจะทำการเทสเสียงไมค์แล้วเริ่มพูดเปิด “ฮัลโหล ๆ สวัสดีครับเพื่อน ๆ พี่ ๆ ทั้งหลาย ผมมีชื่อว่า อเล็กซ์ เป็นประธานนักเรียนที่จะเข้ามาช่วยประสานงานให้พวกรุ่นพี่มอหกและน้องมอหนึ่งร่วมใจทำงานกันเป็นหนึ่งเดียวนะครับ อย่างที่ทุกคนรู้กันดีโรงเรียน………” ครั้งอเล็กซ์เริ่มอธิบายเกี่ยวกับงานส่งจบ นักเรียนบางส่วนล้วนฟังบ้างไม่ฟังบ้าง อีเลนซึ่งยืนต่อแถวอยู่ห้อง F รู้สึกลำบากใจกับสายตาของเฮนรี่ ซึ่งมองมาจากแถวข้างหน้าตน “ไง ไม่เจอกันนานเลยนะครับ เคียร์น”
“ไปไหนมา เย็นปานนี้ทำไมไม่รีบกลับบ้าน!!” ผู้เป็นพ่อยืนเท้าเอวใบหน้าเคร่งขรึมน้ำเสียงจริงจังเปี่ยมอำนาจ เอ่ยถามลูกชายของตนที่นาน ๆ ทีจะเจอครั้งหนึ่ง พ่อของอีเลนเป็นทนายความชื่อดังวัน ๆ มีแต่งานสารพัดปัญหาเข้ามารุมล้อมไม่หยุด ทั้งต้องออกไปทำเรื่องว่าการให้พรรคการเมืองชื่อดัง ทั้งต้องขึ้นศาลให้ครอบครัวมหาเศรษฐี วันหนึ่งแทบไม่ได้หยุดพักอยู่บ้านดี ๆ เลยสักหน “พ่อกลับมาบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” เด็กชายเอ่ยถามคนได้ชื่อว่าเป็นพ่อตนตอนนี้ เขารู้สึกเกร็งนิดหน่อยเพราะไม่คุ้นเคยกับคนตรงหน้ามาก่อน แถมอีกฝ่ายยังมีท่าทางน่ากลัวทำให้รู้สึกชวนคุยด้วยลำบาก เขาเผลอบีบมือที่กุมเคียร์นไว้แน่นอย
“เข้ามาสิ ฉันให้ขยะที่ยังไม่ถูกรีไซเคิลอย่างพวกนายเปิดก่อนเลย” เด็กแว่นพูดกวนโมโห ท้าทายอย่างไม่เกรงกลัว ทำให้ชายหน้าโหดฉุนจัดหอบหายใจกระฟัดกระเฟียด โกรธจนหน้าแดงกำหมัดแน่น “เอาเลยลูกพี่ มันท้าทายอำนาจลูกพี่ครับ” “อัดไอ้เด็กไม่เจียมกะลาหัวมันเลยครับลูกพี่!!” “เป็นแค่ไอ้จ้อยอย่าปากดีนักนะไอ้ลูกหมานี่ เดี๋ยวโดนลูกพี่กูอัดยับอย่ากลับบ้านไปร้องไห้ฟ้องแม่นะมึง” เสียงกองเชียร์ดังกระหึ่มไปทั่ว เชาว์ยืนถือแว่นตาเพิร์ซ มองสถานการณ์ตอนนี้ด้วยสีหน้าซีดเผือด ใจเต้นระทึกไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ระแวงว่าเด็กตี๋ของตนจะถูกซ้อมยับ&n
คำเตือน เนื้อเรื่องตอนนี้เป็นเพียงส่วนเสริมอดีตของเพิร์ซ ให้รู้ที่มาที่ไปของตัวละครเท่านั้น มีฉากล่วงละเมิดทางเพศ พรากผู้เยาว์ ความรุงแรง ดราม่า ใครรับไม่ได้โปรดข้ามไปอ่านตอนต่อไป เด็กน้อยวัยใสอายุเพียงหกขวบ เขาถูกเลี้ยงมาด้วยความรักความอบอุ่นจากครอบครัว ถูกประคบประหงมดั่งไข่ในหิน ชีวิตของเด็กชายไม่เคยขาดอะไรเลย ได้ทานอาหารที่ชอบทุกมื้อ มีพ่อแม่ที่รักมากสุดหัวใจและมีพี่ชายแสนดียืนหนึ่งคอยอยู่เคียงข้างดูแลแทบตลอดเวลา ด้วยความขาวตี๋ตัวเล็ก ผมสีดำขลับเรียบตรง ดวงตากลมวาวสดใส แก้มขาวอมชมพูป่องนิด ๆ ทำให้เจ้าตัวดูน่ารักน่าชังรวมกับนิสัยเป็นมิตรของเพิร์ซวัยเด็กแล้ว ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็มักจะมีคนคอยเอ็นดูอยู่เสมอ “เพิร์ซ วันนี้ตอนเย็นอยากแวะที่ไหนไหมครับ” พี่ชายอายุวัยเพียงสิบห้าปีฉีกยิ้มหวาน เดินถือรองเท้านักเรียนสีดำเตรียมใส่ออกไปข้างนอกอยู่หน้าประตูบ้าน ผู้เป็นน้องชายสะพายกระเป๋ารูปกันดั้มสีน้ำเงินซึ่งพี่ชายเป็นคนเลือกให้วิ่งตามหลังมา เด็กชายอมยิ้มตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ครับ! ผมอยากไปเล่นที่สนามกับเพื่อ
นักเรียนห้อง S ของโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้อยู่ห้องนี้ล้วนไม่ใช่เด็กธรรมดา บางคนสอบเข้ามาได้ด้วยคะแนนสูงสุดเกือบเต็มร้อยนับว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ บางคนพ่อแม่มีอำนาจทางการเมือง ใช้เงินยัดใต้โต๊ะหวังให้ลูกหลานมีภาพลักษณ์เด็กเก่งเรียนดีมีหน้าตาทางสังคม เด็กนักเรียนส่วนใหญ่เกินครึ่งในห้อง S จึงล้วนเป็นเด็กที่สอบเข้ามาได้ด้วยเงิน มีเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่สอบเข้ามาได้ด้วยความสามารถของตัวเองจริง ๆ เด็กจิ้มลิ้มเขามีชื่อว่า เฮนรี่ เป็นเน็ตไอดอลชื่อดังที่กำลังได้รับความนิยมจากบรรดาวัยรุ่นหนุ่มสาวด้วยหน้าตาสุดน่ารักน่าชัง ภาพลักษณ์ดูเป็นเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์อ่อนต่อโลก ทำให้บรรดาชาวเน็ตต่างพากันชื่นชมหลงใหลไปกับความน่ารักไร้เดียงสา