“... อื้อ เดี๋ยว!”
“ข้าหลงใหลเจ้าเหลือเกิน เจ้าที่บริสุทธิ์งดงามถึงเพียงนี้ ข้าจักมิทำร้ายเจ้าดอก” สิ้นคำนั้น ร่างกำยำก็เบียดชิดริมฝีปาก โลมเล้ามธุรสด้วยการรุกรานกลีบปากบาง เขาแค่แตะเบาๆ พอให้ใจของมธุรสกระสันต้องการมากกว่านี้
สัมผัสอุ่นวาบจากริมฝีปากบุรุษเพศนั้นทำให้สาวเจ้าอ่อนเคลิ้มตาม มธุรสนั้นในชาติก่อนยังอ่อนต่อโลกกับเรื่องเพศ ในขณะที่สุวรรณราพณ์นั้นมีหลายเมียจนช่ำชอง สนมหลายๆ คนของเขาเป็นงานยิ่งกว่าเธอนัก
แต่สุวรรณราพณ์กลับไม่ขัดข้องหมองใจกับความไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ผุดผ่องของแม่นกน้อยของเขาเลยแม้แต่เพียงนิด นั้นเพราะมันเป็นสัญญาณว่าเขากำลังจะได้เป็นผู้ชายคนแรกของเธอ
เธอที่มีเขาเป็นผู้ชายคนแรก กับร้อยกว่าปีที่เขารอคอย มันวิเศษสุดๆ ไปเลยไม่ใช่หรือ
“อื้ม... คุณ เดี๋ยว อะ” เสียงหวานกังวานราวกับนกที่ร้องเรียกตัวผู้ในยามเช้า เสียงหวานใสเสียจนอยากเย้าหยอก สุวรรณราพณ์กดเรียวลิ้นลงไปเมื่อเธอเผลออ้าปากเรียกชื่อเขา และทำตราประทับร่างกายเธอผ่านรสจูบอันดุเดือด
รสชาติจูบของเขาทำให้มธุรสคิดอะไรมิออก ในสมองของเธอขาวโพลน เป็นความฝันที่สมจริงเหลือเกิน สัมผัสได้ถึงน้ำลายและปลายลิ้นหยอกเย้าในปาก พร้อมกับมือใหญ่ที่ค่อยๆ ปลดสไบของเธอออกอย่างแนบเนียน
“ดะ... เดี๋ยวค่ะ” เธอผลักแผงอกกำยำนั่นออกเมื่อเขาตั้งท่าจะปลดเกาะอกด้านในออกด้วย มือเล็กสัมผัสกับความแข็งแกร่งราวกับกำแพงยักษ์ของเขา ทำให้มือถึงกับสั่น “ฉะ... ฉันยังไม่พร้อม”
“ไม่พร้อมกระไรหรือ ในเมื่อสีหน้าของเจ้าช่างยวนใจข้าถึงเพียงนี้” คนตัวเล็กใต้ร่างใหญ่หน้าแดงก่ำเมื่อถูกบุรุษที่ชำนาญการกว่าเธอเย้า เธอเม้มริมฝีปากแน่น เพราะถึงจะเป็นความฝัน แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้จูบกับผู้ชาย (แถมเป็นผู้ชายที่ไม่ใช่มนุษย์ด้วย)
มันรู้สึกดีซซะจนมิอยากหยุด แต่เธอก็เป็นกังวลกับอะไรหลายๆ อย่าง
“ยะ... อย่างน้อย” มธุรสเอ่ยเสียงแกว่งๆ
“...”
“อย่างน้อยก่อนทำ ก็สวมถุงยางอนามัยก่อนได้มั้ยคะ?”
สุวรรณราพณ์ถึงกับอึ้งตะลึงงันเมื่อได้ยินภาษาถิ่นที่ไม่คุ้นเคย ถุงยางอนามัยนั้นคืออะไร ไม่เคยได้ยินผ่านหูผ่านตามาก่อนเลย
“เจ้าหมายถึงกระไรรึ” ถามด้วยสีหน้าสงสัย จะว่าไปเจ้าจันทร์ตั้งแต่ฟื้นพิษไข้ประหลาดก็ดูแปลกพิกลขึ้น พูดภาษาถิ่นเมืองเกิดของตนออกมาบ่อยๆ ทำให้รู้สึกสับสน
จริงด้วยสิ ถึงจะเป็นความฝันแต่ฉากก็เซ็ตมาอยู่ในยุควรรณคดี ถุงยางอนามัยในยุคนั้นคงยังไม่ผลิตหรอกมั้ง
มธุรสคิดในใจแล้วยิ้มอ่อน
“ท่านมีมาตราการป้องกันการมีเซ็กซ์จากอะไรบ้างเหรอคะ” หลังจากนั้นก็ถามคำถามเป็นทางการออกไป ถ้าให้สดไม่ป้องกันใดๆ มันอาจจะเสี่ยงและเป็นอันตรายต่อตัวเธอมากกว่าเขา เผลอๆ อาจจะตั้งครรภ์เด็กตัวยักษ์เหมือนอีกฝ่าย จนเบ่งออกมาไม่ไหวโจ๊ะโม๊ะฉีกขาดจนตาย หรือไม่อย่างร้ายแรงที่สุดก็ติดเชื้อ
ก็ดูเขานุ่งลมห่มฟ้าสิ ไม่น่าจะมีกางเกงในกันความชื้นหรอก ท่าทางกลับจากสงครามตีเมือง (เพื่อล่อหญิง) ก็คงจะถอยทัพกลับมาเลย เนื้อตัวก็ยังไม่ได้อาบไม่ได้ทำความสะอาดอะไร คงมอมแมมไปด้วยฝุ่นดิน
ได้ยินมาว่าช่องคลอดของหญิงสาวนั้นบอบบางและติดเชื้อง่ายมาก ทางที่ดีที่สุดควรยืดอกพกถุงก่อนทุกครั้ง
“มาตราการ? เซ็กซ์? มันคือกระไร ข้ามิรู้จัก” คนตัวใหญ่เลิกคิ้วสงสัย มธุรสถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ช่างเถอะค่ะ” ก่อนจะหลับก็ไม่ได้พกถุงยางอนามัยวางไว้ใต้หมอนบนเตียงคนไข้ซะด้วย ถึงจะเป็นความฝันแต่ก็น่าเสียดาย คิดว่าจะได้ลิ้มรสชาติสุขสมฟีโรโมนคลั่งเป็นครั้งแรกแล้วเชียว “เรานอนกันเถอะค่ะ หรือยังไงถ้ามีเรือนเล็กๆ ให้ฉันนอนคนเดียวได้ก็ดี”
สุวรรณราพณ์ขมวดคิ้วตีสีหน้าดุดันทันที อุตส่าล่าถอยไม่ยอมเสพสังวาสกับสนมคนใหม่อีกคนเพื่อตรงมาหาเธอแต่เพียงผู้เดียว ใยจึงตัดรอนสัมพันธ์สวาทกันอย่างไร้เยื่อใยเช่นนี้
“แต่ข้าปรารถนาเจ้าเหลือแสน เจ้าจันทร์ยอดรัก” แน่นอนว่ายักษ์หนุ่มไม่ยอมแพ้ เอื้อมมือหนาพลิกหลังมือไล้ไปตามเรียวแขนเปลือยของสาวเจ้าอย่างเว้าวอนกลายๆ “คืนนี้ถ้าไม่ได้ร่วมรักกับเจ้า ข้าคงแทบมอดมลาย”
อะไรจะเว่อร์ปานนั้น เจ้าจันทร์เบ้ปากคิดในใจแล้วชักไหล่หลบเพราะสยิวจนขนลุกซู่
“ขอโทษนะคะ แต่ฉันง่วงจริงๆ เดินทางมาก็ไกล เหนื่อยไม่ไหวจริงๆ ค่ะ” พูดพลางปิดปากแสร้งหาวหวอดไปหนึ่งกรุบ การอ้างว่าง่วงเป็นการกระทำที่สิ้นคิดอย่างมาก แต่เธอก็แอบคิดว่าดูอีกฝ่ายจะหลงใหลคนที่เธออยู่ในร่างถึงขนาดนี้ อย่างน้อยก็คงยินยอมไม่แตะต้องได้เพราะว่าสาวเจ้าง่วงหงาวหาวนอนไร้เรี่ยวแรงจะสานต่ออยู่แล้วละน่า
แต่มธุรสนั้นยังอ่อนประสบการณ์ที่จะเดาเชิงบุรุษเพศมากนัก โดยเฉพาะกับคนที่เลือดร้อนและเอาแต่ใจดั่งสุวรรณราพณ์ตนนี้
มิเคยมีหญิงสาวผู้ใดปฏิเสษยักษ์หนุ่มรูปงามเช่นเขา สนมที่ผ่านมา แค่เพียงโอ้โลมแค่นิดหน่อยก็ยินยอมเสียแล้ว แต่เจ้าจันทร์ที่เขารอคอยมาตลอดหลายปีกลับไม่มีทีท่าจะสมยอมเขาเลยแม้แต่นิด
“เจ้ามิควรปฏิเสธข้าตั้งแต่หนแรกแล้วเจ้าจันทร์ เจ้ามิมีสิทธิ์นั้น” สุ้มเสียงดุกร้าวเมื่อยักษ์หนุ่มหมดความอดทน เขาคว้าต้นแขนขาวแล้วบีบแน่นจนมธุรสต้องเบ้หน้า ขยายร่างใหญ่ขึ้นอีกพร้อมกับเคี้ยวโค้งงอ หวังข่มขู่อีกฝ่ายให้ร่วมเสพสวาทกับตน “เจ้าเป็นเพียงแค่เชลยของเมืองที่เจ้าจากมา บิดาของเจ้าขายเจ้าให้เป็นเมียข้า”
“...!!”
“เจ้ามีแต่สิ่งเดียวที่จะเปิดปากเอ่ยได้ นั่นคือเพรียกหาข้ายามที่อยู่ใต้เรือนกายของข้าเท่านั้น”
นี่มันไม่ต่างอะไรกับคำพูดก่อนจะเยเย้มารูโจ้ของพระเอกนิยาย SM เลยสักนิด!
“ว้าย!” สิ้นคำพูดนั้น ร่างกายที่เล็กและบอบบางอ้อนแอ้นก็ถูกยกขึ้นนั่งบนตักแกร่งของสุวรรณราพณ์ทันควัน สไบถูกถอดออกไปแล้ว พร้อมกับผ้ารัดอกที่ถูกถอดเป็นอย่างที่สอง หน้าอกขาวผ่องสล้างออกมาสัมผัสอากาศและกลิ่นอบอวลของเทียนหอม
เสียงจิ้งหรีดเรไรเป็นเสียงเดียวที่ดังอื้ออึงข้างกกหูของมธุรสในเพลานี้
ทรวงและปทุมถันคู่นั้น เป็นสีชมพูอ่อนงดงาม สุวรรณราพณ์สางผมสีดำขลับยาวตรงและนุ่มละมุนของเธออย่างอ้อยอิ่ง รั้งมาชิดปลายจมูกโด่งเป็นสันอย่างหลงใหลในเธอ จิตใจที่เดือดพล่านนั้นเย็นลงเมื่อได้เห็นของสวยงาม ริมฝีปากหยักได้รูปกดจูบข้างซอกคอใกล้สันกรามสวย
ส่วนมือใหญ่นั้นก็กอบกุมทรวงอกของเธอไว้ แล้วคลึงด้วยความปรารถนา
มธุรสหน้าแดงแจ๋ ทั้งที่เป็นความฝันแต่ทุกอย่างกลับชัดเจนตรงหน้าเธอ สัมผัสที่ทรวงอกนั้นก็รู้สึกได้เต็มอิ่มเหมือนกับว่านี่คือความจริง นิ้วมือใหญ่คลึงเคล้าเธออย่างละมุนละม่อมเพราะกลัวว่าถ้าบีบไปเต็มแรง อกนิ่มของเธออาจจะเละคาอุ้งมือเสียได้
นุ่มนวล กลิ่นกายหอมหวาน แทบจะทานทนมิไหว
สุวรรณราพณ์แลบลิ้นฉกชิมรสหวานจากซอกคอขาวและหอมกลิ่นดอกมะลิ มธุรสครางเสียงหวาน ปลายนิ้วยักษ์จึงบดบี้เม็ดบัวสีสวยเป็นอย่างถัดไป ความนุ่มละมุนในเรือนร่างแน่งน้อยเนื้อนิ่ม ทำให้เขาอยากลิ้มชิมใจแทบขาด
ตัวเล็กน่าพะเน้าพะนอ ใบหน้าสวยหวานดูเป็นกุลสตรี ผิวขาวจัดอมชมพู และผมยาวตรงสลวย
งดงามถึงเพียงนี้ ข้าถึงได้หมายปองเจ้ามานับร้อยปี
หลังจากที่จันทร์ดาได้พบกับแม่ที่แท้จริงของตนเอง แถมกรรณิกาอัปสรกับพระสุวรรณราพณ์ก็คิดจะจับมือกันเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ต่อลูกอีก ต้องยอมรับว่าเธอมีความสุขมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมากทีเดียว “จันทร์ดา เจ้านี่ฝีมือดีจริงหนา” หญิงสาวยิ้มเขินเมื่อมารดาของตนยกผ้าทอมือที่ถูกปักจากขนของครุฑขึ้นมาเชยชม แค่สอนการเย็บปักถักร้อยไม่กี่เดือน นับว่าลูกสาวของเธอหัวไวมากทีเดียว ถึงกับเย็บชุดสไบทรงเครื่องมาให้เลย แถมยังงามจับตาเสียด้วย “เจ้านี่มีพรสวรรค์น่าดู ข้าละภาคภูมิใจเสียจริงๆ” “เป็นเพราะท่านแม่สอนสั่งข้าเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ” ฝ่ายจันทร์ดาเองก็ถ่อมตัวและยกย่องความดีความชอบไปให้แม่ของตนเองแทน กรรณิกาอัปสรที่นั่งอยู่ร่วมกันที่ศาลาริมบึงบัวอดไม่ได้ที่จักแย้มยิ้มปิติยินดี เพราะตอนนี้แม่ลูกได้เข้าใจกันโดยสมบูรณ์ แถมยังสนิทสนมกันเป็นปี่เป็นขลุ่ยอีกด้วย ดูเหมือนจันทร์ดาเองก็ค่อยๆ เปิดใจให้เธอแล้วเช่นเดียวกัน บางคราหญิงสาวก็มองมาราวกับจะสื่อความขอบคุณ ตั้งแต่วันนั้น พระสุวรรณราพณ์ก็เริ่มเข้ามามีบทบาทในทุกกิจกรรมของลูกโดยที่เธอไม่จำเป็นต้องบอก ในตอนนี้เหลือเพียงแค่จันทร์ดาที่ยังคงรักษาเอาไว้ได้ เขาจึงพยายามเข้าหาล
กว่าจักรู้สึกตัวก็โน้มดวงหน้าลงไป คุกเข่าลงเพื่อให้ร่างใหญ่ได้พอดีกับร่างกายเล็กๆ ของนาง ริมฝีปากของหญิงชายใกล้กันจนเอื้อมถึง แต่น้องคนดีกลับเบี่ยงหน้าหนีในทันใด“ข้าบอกพี่แล้วนะ ว่าข้ามีสามีแล้ว” นางยังคงใจแข็งแม้นดวงใจจักเต้นรัวราวกับกลองทับ ดวงหน้าคมคายจึงผละออกไป พระสุวรรณราพณ์ไม่คิดบังคับใจหล่อน หากพร้อมกลับมาคืนใจเมื่อใด เขาจักรออยู่ที่นี่เสมอ “ข้าอยากมาพูดคุยเรื่องอินทร์มุก... ข้ารู้มาว่าบุตรชายของเจ้าพี่หายตัวไป”“ข้าเองก็จนปัญญาที่จักอบรมบ่มสันดานไอ้ลูกชายคนนี้แล้ว ในคุกหลวงก็เหมือนกับว่าจักลักพาพระสนมเนตรเกล้าไปด้วย มันอาจหลงรักนางเข้าจริงๆ” กรรณิกาอัปสรนึกครุ่นคิดถึงชื่อหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในบทสนทนา เนตรเกล้า... คงเป็นผู้หญิงปากเสียที่จักเข้ามาทำร้ายเธอในตอนนั้น ไม่น่าเชื่อว่าลูกชายเราหลงรักผู้หญิงร้ายกาจตนนั้น “นางถูกคุมขังเพราะเล่นชู้กับพระโอรส พี่กลัดกลุ้มใจเหลือเกิน”อัปสรสาวนึกตกใจ ไม่คิดว่าลูกชายที่เคยตัวเล็กน่ารักเพียงครึ่งข้อขาคนนั้นจักเติบโตมาเกเรอาจหาญเล่นชู้กับผู้หญิงได้ แถมยังเป็นพระสนมของพ่อตนเอง ดูท่าว่าการเอาใจใส่ของเขานั้นจักมีปัญหา ลูกจึงเสียนิสัยไปได้ไกลเช่นน
หากแต่เด็กหนุ่มที่มองจ้องมาทางหล่อนนั้น ชวนให้รู้สึกแปลกๆ ราวกับเขาจ้องมองมาด้วยความใคร่อยากจักรู้ตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย แลไม่ได้ไว้ใจในตัวของหญิงสาวชาวมนุษย์นักไกรสรไม่ได้รับรู้เรื่องราวได้ชัดเจนสักเท่าไร เนื่องจากเจอแม่อีกทีก็ตอนที่พระสุวรรณราพณ์เล่าเรื่องราวทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว รู้แค่เพียงว่ามารดาพานางมาเพื่อต้องการชดเชยความผิดจากอดีตที่ทำต่ออีกฝ่าย เขาไม่ได้มาในตอนที่กรรณิกาเสกดวงตาที่ชิงมากลับไปให้เจ้าจันทร์ หรือแม้แต่เห็นตอนที่อีกฝ่ายอยู่ในฐานะที่น่าอดสู จึงยังคงมีความคลางแคลงในตัวของเจ้าจันทร์อยู่พอสมควรเมื่อนึกถึงอดีต... ภาพของจันทร์ดาก็หวนคืนกลับมา ชวนให้เขารู้สึกเศร้าใจอยู่เล็กน้อย ที่ถึงแม้มารดาของตนจักเป็นฝ่ายเจรจาให้เอง แต่ชายผู้นั้นคือบิดาของจันทร์ดา เขาคงไม่มีวันให้อภัยอสุราตนนั้นที่เคยทำร้ายแม่ เหมือนที่แม่ให้อภัยเขาได้หรอกไกรสรคงไม่กล้าอาจหาญครองรักกับจันทร์ดา ในขณะที่มองดูแม่ที่เคยผิดหวังจากความรักต่ออสุราผู้นั้นได้ หากมีแม่กับผู้หญิงที่สมควรจะรัก เขาคงเลือกแม่ตนเองอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะแม่คือทุกอย่างของเขา แม่ผู้ให้กำเนิด แม่ที่ทำให้เขาเติบใหญ่มาอย่างดีที่สุ
ณ เมืองจันทร์ในเวลานั้น“เจ้าหญิงงั้นรึ! ที่พระราชวังมิมีองค์หญิงอีกต่อไปแล้ว นางโดนราชายักษ์จับกินจนมิเหลือแม้แต่กระดูก แลเจ้าเองก็มิใช่องค์หญิง เจ้าตาบอด นำนังคนบ้านี่ออกไปนอกอาณาเขตราชวัง นี่เป็นรับสั่งจากกษัตริย์!”กว่าจักใช้ปีกน้อยๆ นั้นบินฝ่าเมฆหมอกมาสู่เมืองที่เคยจากมา จำต้องใช้สัญชาตญาณในการเอาตัวรอดสูง เจ้าจันทร์ในร่างนกการเวกตาบอดโผบินแลกลายเป็นร่างหญิงสาวในชุดไทยวิจิตร หากแต่ดวงตาที่บอดสนิททั้งสองข้างนั้น พร้อมทั้งท่าทางที่ราวกับคนไม่สมประกอบ ทำให้ชาวบ้านที่หลงเหลืออยู่ต่างพากันเข้าใจว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นคนบ้าใบ้สติไม่ดี เจ้าจันทร์นั้นเดินโซเซด้วยตีนเปล่ามาจนถึงหน้าประตูวังตามกลิ่นลมรอบตัว แต่กลับถูกนายทหารไล่ตะเพิดออกมาดูเหมือนว่าเมืองจักถูกซ่อมแซม เกณฑ์ประชาชนที่ยังมีชีวิตรอดมาสร้างเมืองใหม่ แม้จักทุลักทุเลแต่ก็กลับมาแทบจะเหมือนเก่า เพราะกษัตริย์ยักษ์ตนนั้นมิได้คิดจักทำลายไปทั้งเมือง คงต้องขอบใจในวาสนาของลูกสาวที่เป็นตัวตายตัวแทน แลนางคงไม่มีวันกลับมา ว่ากันว่ายักษ์นั้นดุร้าย ป่านนี้คงไม่เหลือแม้แต่ซากเป็นแน่เอาเถอะ ขอแค่เมืองแลพระราชารอดพ้นวิกฤตนี้ไปก็พอใช่ เสด็จพ่อที่ดู
“มธุรสวดี งั้นเจ้ายินดีจักกลับไปอยู่กับพี่ใช่หรือไม่ เจ้ารู้ความในใจของพี่แล้ว แลพี่เองก็มิรู้ว่าจักชดเชยความรู้สึกที่เสียไปของเจ้าเช่นไร พี่โป้ปดเจ้า พี่ทำให้เจ้าช้ำอุรา พี่รู้ดี...”“พี่สุวรรณราพณ์ ข้าเคยมีความรักอันดีต่อพี่ ข้ามอบใจให้พี่ แลตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง” ท้าวไกรสิงห์สยายปีกสีชาดด้วยสีหน้าขุ่นหมองราวกับไม่อยากรับฟังสิ่งใดต่อจากนั้นอีกต่อไปแล้ว เขารู้ดีว่านางยังคงมอบดวงใจเฝ้ารักไอ้อสุราตนนั้น แลไม่มีเหตุผลที่จักไม่กลับไป ตลอดมาเขาทำได้เพียงรักแลถนอมนางให้ดีที่สุด“...”“แต่ข้าคงมิอาจตอบตกลงเพื่อกลับไปหาพี่ได้ ข้าค้นพบสถานที่ที่ข้าต้องอยู่แล้ว”“...”“แม้นจักไม่เทียบเท่าที่เคยมอบให้พี่ แต่ข้าไว้เนื้อเชื่อใจที่จักมอบชีวิตให้พี่ไกรสิงห์ แลข้าเอง... ก็มีลูกชายที่ต้องดูแลในฐานะมารดาต่อจากนี้”“...!!”“หากพี่เข้าใจแลกลับไปแต่โดยดี ข้าอาจจักขอมากไป แต่ข้าขอฝากอินทร์มุกแลจันทร์ดาไว้กับพี่ด้วย ข้าอยากให้พี่ดูแล มอบความรักให้พวกเขาราวกับเป็นลูกแท้ๆ ของเรา... ถึงแม้ว่าข้าจักมิได้ตั้งท้องพวกเขามาก็ตาม”“...”“แต่ถ้าหากพี่ยังดึงดันจักฆ่าพี่ไกรสิงห์ ก็เอาชีวิตของข้าไปแท
ความมืดที่กลืนกินสุวรรณราพณ์นั้นทำให้เมื่อครบวันตามกำหนด เขาจึงเคลื่อนทัพด้วยตัวคนเดียว ฝ่ามือกุมดาบทมิฬไว้แน่น ดวงตาวาวโรจน์ ร่างกายถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดจนเห็นเป็นเพียงเรือนกายสีทมิฬ เขาเหาะเหินเดินอากาศไปตามนภา ขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์พร้อมความพยาบาท บีบเค้นอัปสรบนท้องฟ้าเพียงถามหาทางไปวิมานฉิมพลี ด้วยความกลัวเพราะพญายักษ์นั้นเสียสติไปแล้ว เหล่าอัปสรชี้ไปทางเมฆที่เกาะกลุ่มแน่นหนาที่สุด เพียงขว้างศาสตราวุธไปทางกลุ่มเมฆเหล่านั้น ก็เกิดอัสนีบาตรจนกลุ่มเมฆเผยเส้นทางภายในที่เต็มไปด้วยแผ่นดินลอยฟ้า ปกคลุมไปด้วยต้นงิ้วออกดอกสีแดงฉานห้อยระย้าดูงดงามตระการตา แต่บัดนั้นสีแดงจักเป็นสีของโลหิตเหล่าประชาชนเมืองครุฑให้สาสมใจเขาเคลื่อนตัวออกจากเมืองยักษาโดยมิได้แจ้งจักษ์แก่ผู้ใดในเมือง มิว่าจักเป็นราชครูผู้สนิท หรือแม้แต่เหล่าอำมาตย์ผู้ภักดี เมื่อใช้เพลาจนสังวรีราพณ์สามารถกัดกินจิตใจได้เกินครึ่ง เขาจึงใช้แรงอสุรกายทมิฬขับเคลื่อนท่องคาถาเหาะเหินเดินอากาศหวังเพียงได้ฆ่าเผ่าพันธุ์ครุฑให้เหี้ยนแลพาอัปสรสุดที่รักกลับมาแลถ้าหากนางมิกลับมาที่นี่ เขาจักยอมดับดิ้นไปพร้อมกับคำสัตย์สาบานที่ว่ามิว่าชาติไหน ก็จ