มธุรสถูกจับอาบน้ำ ตบแต่งอย่างสวยงาม หากแต่สาวเจ้ากลับห่อเหี่ยวและเต็มไปด้วยความขลาดกลัว
หลังจากแอบลอบๆ เคียงๆ ถามสาวรับใช้ร่างยักษ์ จึงได้ความเป็นเรื่องราวที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงที่สุด ที่ว่าชายที่ชื่อสุวรรณราพณ์นั้นเป็นราชายักษ์ที่ปกครองกรุงยักษาแห่งนี้ และแน่นอนว่าพวกสาวรับใช้ก็คือเผ่าพันธุ์ยักษ์ที่เป็นข้ารับใช้ของเขามาตั้งแต่โบราณนั่นเอง
สุวรรณราพณ์เป็นยักษ์หนุ่มที่เกิดมาในตระกูลยักษ์ตั้งแต่กาลก่อน ที่วิวัฒนาการตามมนุษย์และสร้างเมืองยักษ์ขึ้นมา โดยรวบรวมเผ่าพันธุ์ยักษ์ตั้งแต่เด็กยันวัยชราให้มาอยู่ร่วมกันราวกับครอบครัวขนาดใหญ่ เท่าที่ฟังมาก็ไม่ได้ต่างอะไรกับวิวัฒนาการของมนุษย์ในสมัยสงครามนัก หากแต่ยักษ์จะมีร่างกายที่ใหญ่โต และสามารถท่องคาถายืดหดขนาดตัวได้อย่างใจนึก
นี่มันโดราเอม่อนชัดๆ มธุรสนึกทึ่งในใจ
หากแต่สุวรรณราพณ์นั้นมีนิสัยชื่นชอบสาวมนุษย์ที่งดงามมาก พอขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ก็กำเริบเสิบสานในอำนาจที่มีอยู่จนถึงขั้นไปรุกรานเมืองกรุงของมนุษย์และบังคับให้กษัตริย์ของเมืองที่ถูกตีจนราบเป็นหน้ากลองยกลูกสาวให้เป็นสนมในวัง
เรียกได้ว่าเป็นบุรุษที่บ้าในการทำสงคราม พอๆ กับบ้าผู้หญิงเลย
ส่วนเรื่องโล้สำเภา (ร่วมรัก) กับสาวๆ นั้นก็ไม่ต้องพูดถึง เพราะทางสาวรับใช้เองก็ไม่รู้เช่นกัน ตกดึกสุวรรณราพณ์จะมีเรือนใหญ่เป็นของตัวเอง ที่จะพาสาวงามเข้าเรือนใหญ่นั้นโดยไม่ให้ใครเข้าไปยุ่มย่ามใกล้ๆ เรือน (หรือเรียกในภาษาบ้านๆ ว่าห้องเชือดนี่เอง)
ได้ความคร่าวๆ ว่าคืนนี้เจ้าจันทร์ที่เธออยู่ในร่าง จะต้องถูกส่งตัวเข้าเรือนใหญ่นั่นกับสุวรรณราพณ์ตามลำพังสองต่อสอง
นี่มันโคตรจะน่ากลัวเลยไม่ใช่หรือคะ!
มธุรสเหงื่อตก บัดนี้เธอนั่งอยู่ในเรือนใหญ่ที่ว่านั่นอยู่เพียงลำพัง ตะเกียงส่องสว่างเป็นแสงไฟอีโรติคแบบเย้ายวนใจ พร้อมๆ กับเทียนหอมที่ส่งกลิ่นทำให้เธอรู้สึกเหมือนจะหลับได้ตลอดเวลา
การตกแต่งเป็นสไตล์จีนโบราณ ที่ดูเหมือนว่าสุวรรณราพณ์จะเรียนรู้วัฒนธรรมของมนุษย์ได้ดีทีเดียว มันสวยแต่ในคราเดียวก็ก็ดูออกไม่ยากว่านี่คือห้องเชือดดีๆ นี่เอง เอาเป็นว่าคืนนี้ถ้าไม่รีบหลับแล้วตื่นขึ้นมาจากฝัน เธอคงได้เสร็จสมบุรุษอสุราผู้นั้นเป็นแน่
แต่... มธุรสกลับนอนไม่หลับซะนี่!
โอ้พระพุทธเจ้าช่วยด้วย นอนไม่หลับแบบไม่หลับจริงๆ แถมตอนนี้ก็เริ่มเข้าช่วงหัวค่ำแล้วด้วย เรียกว่าตาแข็งตั้งแต่ช่วงสายจนมืดค่ำเลยทีเดียว ไม่รู้จะเดินไปที่ไหนเพราะเกร็งไปหมดแม้ว่ามันจะเป็นแค่ความฝันก็ตาม เลยทำได้แค่นั่งๆ นอนๆ อยู่ในเรือนนี้
นั่งกระสับกระส่ายอยู่เป็นหลายนาที อยู่ๆ เสียงดังกระหึ่มเหมือนฝีเท้าใหญ่ดังมาแต่ไกล ดูท่าจะเป็นหน้าวังตรงนู้น มธุรสสะดุ้งโหยงสุดตัว คิดว่าสุวรรณราพณ์คงกลับมาจากทำสงคราม (หรือการไปตีเมืองเขาเพื่อล่อหญิง) เรียบร้อยแล้ว ใช้ช่วงเวลาเฮือกสุดท้ายในการล้มตัวลงนอนบนเตียงขนาดใหญ่เกินพอดี หลับตาลงเพื่อสดับตัวเองให้หลับสนิท
จนรู้สึกเหมือนเคลิ้มๆ จะหลับแหล่มิหลับแหล่ ก็สัมผัสได้ถึงฝ่ามือขนาดใหญ่อุ่นวาบสัมผัสที่ลาดไหล่ ไล่มาจนถึงสะโพกผายที่ตะแคงข้างอยู่
“เฮือก!” สาวเจ้าตกใจจนต้องลืมตาตื่น เหลียวไปเห็นว่าใบหน้าหล่อเหลาหากแต่ดุดันอยู่ใกล้ชิด เขานั่งอยู่ริมเตียง และใช้มือใหญ่ลูบไล้ร่างกายของเธออย่างอุกอาจ
เธอขยับตัวหนีทันที ด้นกระถดตัวถอยไปจนชิดหัวเตียง
“ตื่นแล้วหรือ” คนตัวใหญ่โตชักมือกลับ กระตุกรอยยิ้มที่แฝงเลศนัยบางอย่างออกมา “สาวรับใช้ตบแต่งเจ้าได้งดงามยิ่ง จนข้าแทบจะอดรนทนไม่ไหว”
“เอ่อ คือกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอคะ” เพราะไม่รู้จะใช้ภาษาอะไรดี เลยเลือกที่จะใช้ภาษาไทยปัจจุบันใส่ซะเลย เธอคิดว่าถ้าเปลี่ยนไปยังเรื่องอื่นอาจจะพอมีความหวังที่อีกฝ่ายไม่จับตนกินทั้งตัวได้
“เมื่อสักครู่นี้ ข้าบริกรรมคาถาเพื่อมาสำแดงตัวที่นี่ให้ไวเชียว” เขาคงหมายถึงท่องคาถาวาร์ปมาสินะ แต่ยักษ์หนุ่มไม่พูดเปล่า เขาขยับตัวมาชิดเข่าเล็กๆ ของเธอที่ชันขึ้นหวังปกปิดสะโพกไม่ให้เขาลวนลามได้ หากไม่เป็นปัญหากับสุวรรณราพณ์มือปลาไหลเลยสักนิด “เจ้างดงามจริงๆ งดงามยิ่งกว่าตองนวลที่ควรจะงามที่สุดในบรรดาสนมของข้า”
“... ขอบคุณ” เอ่ยคำขอบคุณทั้งที่ไม่รู้จะขอบคุณไปทำไม เพราะอีกฝ่ายกำลังตะล่อมเธอหวังจะรวบหัวรวบหางเชียวนะ
“เปลี่ยนจากคำขอบคุณของเจ้า เป็นเสพสังวาสร่วมกันกับข้าได้หรือไม่” ฝ่ายนี้ก็ไม่ยอมแพ้ พอเห็นว่าสาวเจ้าไม่เล่นไปตามน้ำของตน เลยชิงกล่าวคำขอมีเซ็กซ์กับเธอแบบโต้งๆ เสียเลย “ไหนๆ พระบิดาของเจ้าก็ยกเจ้าให้ข้าเสียแล้ว”
พูดแกมบังคับแล้วก็ขยับใบหน้าหล่อเหลาชิดพวงแก้มนวล ชิงหอมฟอดใหญ่อย่างหลงใหล
“อะ!” มธุรสหน้าแดงก่ำ เธอเสียความบริสุทธิ์ทางแก้มให้ยักษ์โหดหื่นตรงหน้าไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่โดนหอมแก้มจากผู้ชายหน้าตาดีตั้งแต่ชาติที่แล้วยันชาตินี้เลยเชียวนะ!
“หอมเหลือแสน” เขากล่าวชม ฉีกยิ้มอย่างพึงใจกับปฏิกิริยาที่แสนน่ารักจากสาวเจ้า
“...”
“อยากรู้เหลือเกิน ว่าเวลาที่เจ้าอยู่ใต้ร่างของข้า จักงดงามสักเพียงใด”
พระพุทธเจ้าคะ หนูกำลังถูกยักษ์ลวนลามเจ้าค่ะ!
ปฏิกิริยาช่างน่าดูชมเสียจริง ตื่นกลัวตัวสั่นเหมือนกวางป่าที่กำลังจะถูกพรานไล่ล่า
รอยยิ้มกำกวมปรากฏบนใบหน้าของสุวรรณราพณ์อย่างพอใจ เขาชื่นชอบนางมากทีเดียว
เพราะเจ้าจันทร์คือหญิงสาวผู้ที่เข้ามาชุบชีวิตเขาในวัยเด็กเมื่อร้อยปีก่อน
ถ้าให้เล่าขี้คร้านว่าคงจะยาวเป็นแน่แท้ เขารอเธอมาเป็นร้อยปี เข้าใกล้สตอล์กเกอร์เธอด้วยการแปลงกายเป็นทหารในวังก็หลายครา บางทีก็แปลงกายเป็นสนมของพระบิดาของเธอ บางครั้งก็เป็นสาวรับใช้สักนางที่คอยปรนนิบัติรับใช้เวลาที่เธอชำระเรือนกาย
ในเพลานั้นแทบจะหักห้ามใจไม่ไหว ร่างกายเล็กๆ แต่ทรวงช่างใหญ่โตเป็นลูกแพร์สวยงามเหลือล้น ผิวขาวนวลเนียนผ่อง กลิ่นกายหอมราวกับดอกไม้แรกแย้ม ทรวดทรงที่โค้งมนสมกับสตรีเพศสูงศักดิ์
กระหายเหลือเกิน อยากได้เป็นเมียเอกจนแทบทนมิไหว
หลังจากที่ได้ยินข่าวคราวว่าเจ้าจันทร์ล้มป่วยด้วยพิษไข้ประหลาด สุวรรณราพณ์ทรงกริ้วยิ่งนักที่บิดาบังเกิดเกล้าไม่สามารถช่วยอะไรลูกสาวได้เลย ทั้งที่เป็นกษัตริย์ครองเมืองแต่ช่างโง่เขลาเบาปัญญา เลยคิดก่อการรุกราน ฆ่าคนเป็นบาปเป็นเบือเพื่อชิงนางมารักษาที่เมืองยักษ์
แต่ทว่าเจ้าจันทร์กลับฟื้นจากพิษไข้ประหลาด เธอจ้องมองเขาเหมือนคนแปลกหน้าเสียอย่างนั้น
ก็ว่าจะยืดเวลากินอาหารรสหวานมื้อนี้ไปก่อนเสียหรอก แต่เห็นจะมิได้ เพราะสาวเจ้ากำลังลืมเลือนเขาผู้เป็นเนื้อคู่แต่ชาติปางก่อนของเธอจากพิษไข้ประหลาดเสียแล้ว
สุวรรณราพณ์รอเธอมาร้อยกว่าปีจนเธอมาเกิดใหม่ รอจนเธอโตเป็นสาวแตกเนื้ออ่อนสุกงอมพร้อมกินถึงได้ช่วงชิงไปจากเมืองเกิด
จะไม่รีรอคอยท่าให้เสียเพลาท่าเยอะอีกแล้ว
ว่ากันว่าธุลีในน้ำ (หรืออสุจิ) ของยักษ์นั้นมีพิษพอที่จะช่วยให้ร่างกายนั้นซาบซ่าน ชาเปรี้ยะไปทั้งตัว ในขณะเดียวกันก็เป็นพิษชนิดพิเศษที่สามารถรักษาโรคหายากที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ในร่างกายมนุษย์
ถ้าปลดปล่อยมันในตัวเจ้าจันทร์ เธอคงจะหายดีในเร็ววัน
“มีกระไรต้องการเอ่ยบอกกระหม่อมหรือไม่ หากหน้าที่ที่มอบหมายหนักหนาเกินไป สามารถบอกกระหม่อมได้เสมอ” แต่ท่านอานั้นเข้มงวดแค่เฉพาะเวลาที่จำเป็นต้องสั่งสอนพี่ชายตัวดีก็เท่านั้น อย่างไรจันทร์ดานั้นเป็นเด็กดี ทำหน้าที่ได้ดีอยู่ตลอด เธอรักพี่ชายของเธอมาก แม้ว่าอีกฝ่ายจะคอยสร้างแต่ปัญหาอยู่เสมอ พระราชครูผู้รู้เรื่องนี้ดีจึงใช้การพูดคุยอย่างละมุนละม่อม “ข้าเพียงแค่เหนื่อยเท่านั้นเจ้าค่ะพระราชครู ไว้ข้าหายดีแล้ว จักไปพูดคุยเรื่องพี่” จันทร์ดาตอบแบบไปตายเอาดาบหน้า พี่ชายของเธอนั้นมีพรสวรรค์และพระราชครูต้องการล่วงรู้พรสวรรค์ที่พี่ชายนั้นมี แต่พี่อินทร์มุกไม่เคยเปิดปากพูดถึงอาคมที่เขาถนัดที่สุด จนเขาหายตัวไปในครานี้ แม้จักรู้ดีว่าพี่ต้องการที่จะแสดงให้พระบิดาเห็นว่าเขาแข็งแกร่งแลพยายามเอาชนะท่านมากแค่ไหน แต่กลับกันดันหัวรั้นปฏิเสธคนที่ยินดีจักมาช่วยเหลือแค่เพราะว่าท่านพ่อส่งมา เพียงลำพังแค่พี่คนเดียวคงไม่มีวันที่จักปกครองราชบัลลังก์ได้หรอกถ้าไม่ได้รับการศึกษาภายในจากคนที่มีประสบการณ์ เรื่องนี้จันทร์ดาก็รู้ดีอยู่แก่ใจ แต่เพราะรักแลเกรงใจพี่ชาย จึงไม่เคยห้ามปรามเขาในการเกกมะเหรกเกเรอย่างจริงจัง
“อย่านึกโทษตัวเองเลยหนาไกรสรลูกรัก พ่อคิดว่าแม่เองก็ต้องเข้าใจเช่นเดียวกัน เราผิดเองต่างหากที่ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ลูกได้ฟัง แต่ไกรสรอย่านึกโกรธเคืองแม่ของลูกเลย พ่อเชื่อว่านางเองก็เจ็บปวดเกินกว่าที่จักเล่าเรื่องราวในอดีตให้ลูกฟัง จึงเลือกที่จักปล่อยผ่านไปจนวันนี้มาถึง” ท้าวไกรสิงห์เข้าใจหัวอกของลูกชายตนเองดี ว่าได้รักคนที่ไม่สมควรรัก เหมือนดั่งเขาที่ได้รักกรรณิกา ในเพลาที่หล่อนมีเจ้าของดวงใจ จนถึงตอนนี้เขาก็ได้รู้ซึ้งว่าจันทร์ดาไม่เคยลืมเลือนสุวรรณราพณ์ไปจากใจเลย แม้ว่าเขาจักพยายามตั้งใจสร้างโลกที่มีแต่ความสุขให้นางก็ตาม การตัดใจจากผู้ชายพรรค์นั้น มันยากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ แม้แต่เขาที่ปลอบใจบุตรชายที่สูญเสียรักแรกไปอย่างไม่มีวันหวนกลับก็ยังมีความคิดริษยาชายผู้นั้นอยู่ลึกๆ มันทำแต่บาปกรรม ฆ่าพ่อฆ่าแม่เขามามากมาย แต่กลับมีชีวิตที่มีแต่คนรัก แม้แต่ผู้หญิงที่เขาหลงใหล แม้ปากจักบอกว่าตัดความชิงชังไปได้ แต่ก็ยังเกลียดขี้หน้ามันอยู่ดี คนอย่างมันมิคู่ควรต่อกรรณิกาเลยแม้แต่นิด ผู้หญิงที่ภักดีแลเพียบพร้อมเช่นนี้ ไม่ควรเลยที่จักนึกหลงใหล ตกหลุมรักอสุราชาติชั่วเช่นมัน แต่การห้ามความรู้สึก
หรือการที่เขาคาดหวังว่าการใช้ความจริงใจแลกกับความเกลียดชัง มันคงเป็นความคิดที่ตื้นเขินเกินไป เด็กหนุ่มวัยแรกรุ่นได้พบกับความรู้สึกผิดหวังต่อสาวผู้เป็นที่รักเป็นคราแรกในชีวิต เขาช้ำรักขนาดหนัก ถึงกับคอตกเหาะอากาศกลับวิมานฉิมพลี ข้าวปลาอาหารก็แตะมิค่อยลง สีหน้าอมทุกข์ของบุตรชายทำให้มารดาเช่นกรรณิกาอัปสรเป็นห่วงยิ่งนัก เมื่อเขาเข้านอน จึงแอบลอบเปิดบานประตูถือวิสาสะเข้าในห้องบรรทมของลูกชายที่นอนหลบหน้าหันหลังให้ ท่าทางหมดอาลัยตายอยากเช่นนี้ช่างน่าสงสารเสียเหลือเกิน “ไกรสรลูกรัก... หากมีสิ่งใดที่ทำให้เจ้าทุกข์ใจ พูดกับแม่ได้หนา ลูกรู้ใช่ไหมว่าสามารถพูดคุยกับแม่ได้ทุกเมื่อ” ฝ่ามือเรียวบางค่อยๆ เอื้อมไปลูบเรือนผมเงางามสีดำสนิทของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน จึงเห็นว่าแก้มของเขาร้อนผ่าวขึ้นมาราวกับคนกำลังมีน้ำตา ไกรสรหันหน้ากลับมา ดวงหน้าคมคายรูปงามของบุตรชายนั้นเต็มตื้นไปด้วยความเสียใจ “ข้า... คงมิอาจรักหญิงผู้ใดได้อีกแล้วขอรับเสด็จแม่ ข้าชอบนางมาก แม้นจักเป็นเพลาที่แสนสั้นที่ได้พานพบกันก็ตาม” กรรณิกาอัปสรถอนหายใจ นั่นไงเล่า คิดเอาไว้ไม่มีผิดว่าที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มาจนทุกข์ตรมหมองใจวันนี้น่าจักม
ไกรสรนัดพบกับองค์หญิงจันทร์ดาเพื่อตามหาพี่ชายของหล่อนทุกวัน แม้ทุกครั้งจักคว้าน้ำเหลว แต่นั่นคือสิ่งที่เขาตั้งใจ เพราะเขาอยากมาเจอเธอในทุกๆ วัน ในช่วงเวลากว่าสองวันที่ผ่านมา จันทร์ดานั้นมองเห็นความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือเธอของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี ครุฑหนุ่มผู้นี้เติบใหญ่ในเวลาอันรวดเร็ว เพราะสองวันนั้นเขาได้ฝึกกำลังระหว่างออกตามหาพระเชษฐาของหล่อน รวมถึงอายุขัยการเติบโตของอมนุษย์ที่รวดเร็วต่างจากมนุษย์ ทำให้ตอนนี้ร่างกายของเขาสูงสง่าใหญ่โตมากกว่าเธอเสียอีก ยอมรับว่าเขาดูสง่างามเสียจนใครๆ ต่างก็คงจักหลงใหลในรูปโฉมอันเป็นที่โจษจัณ จันทร์ดาชอบนกนัก โดยเฉพาะปีกของมัน เพราะอย่างนั้นเธอเลยชอบเฝ้ามองดูเวลาเขาโผบินอย่างอิสระ เพราะปีกของเขาที่มีสองสีมันช่างงดงามเหลือเกิน เธอผู้อ่อนโยน แต่พยายามทำตัวเข้มแข็งเพื่อคอยดูแลความประพฤติของพี่ชายให้อยู่ในครรลองคลองธรรมไม่นอกลู่นอกทางแทนพระบิดาที่ไม่เคยหันมาเหลียวแล แม้ว่าส่วนใหญ่จะเอาพี่ไม่ค่อยอยู่จนต้องยอมไปเป็นลูกไล่เขาก็ตาม ไกรสรบินเลาะไปตามปุยเมฆสีขาวเบาบาง ฉวัดเฉวียนมาทางหล่อนที่ขี่หัสดีลิงค์คอยเฝ้ามองดูเขาอยู่ไม่ไกลนัก “ข้าชอบเจ้าจัง จันทร์ดา
พระสุวรรณราพณ์กำลังเสียสติ เนื่องด้วยตนเองนั้นสูญเสียผู้หญิงที่รัก จึงทำให้พระองค์นั้นเต็มไปด้วยความปรารถนาในการกำจัดชายที่เป็นศัตรูหัวใจ และเขากำลังหมกมุ่นอยู่กับวิธีการในการถล่มเมืองครุฑ หลังจากรู้ที่ตั้งของมัน ฝ่ามือใหญ่โตลูบไล้ดาบทมิฬที่อาบชโลมไปด้วยเลือด ดวงตาสีชาดเรืองรองในความมืดมิด เขาหมายมั่นปั้นมือว่าจักบุกไปถึงเมืองครุฑในอีกสี่วันให้หลัง เมื่อครบกำหนด เมืองนั้นจักพังราบเป็นหน้ากลอง รวมถึงครุฑาครุฑีน้อยใหญ่ทั้งหลาย เมื่อเจ้าเมืองมันกระทำความผิดย่อมไม่มีข้อละเว้น สังวรีราพณ์ยังคงยึดครองจิตใจอันชั่วร้าย และหวังให้พระสุวรรณราพณ์ใช้เลือดครุฑมาอาบดาบอีกสักหน่อย เท่านั้นกำลังวังชาเขาก็จะสมบูรณ์ สามารถเข้ายึดครองร่างกายและจิตใจของอีกฝ่ายได้สำเร็จ พี่จักมิมีวันเสียเจ้าไปให้ใคร หากใครมาแย่งชิงเจ้าไปจากอกพี่ ต้องจบลงด้วยความตายเท่านั้น ทั้งที่ตามหามาถึงสามภพสามชาติ และคาดหวังว่านี่จักเป็นชาติสุดท้ายที่เราจักได้ครองคู่กัน จนยอมทำทุกอย่างหวังเพียงให้เจ้าได้มาเป็นคู่ครองของพี่ แต่แม้แต่ชาตินี้ เราก็ต้องจากกันอีกหรือ? พี่ไม่ยอมหอก ตั้งแต่เจ้าจากไปเป็นของผู้อื่น พี่ก็เหมือนกำลังจะขาดใจ
พระโอรสหลบหลังบานประตูพลางแอบสอดมองหญิงสาวที่มีท่าทางระส่ำระส่ายภายในห้อง พระองค์เพลิดเพลินไม่น้อย ผุดรอยยิ้มเลือดเย็นข้างมุมปาก รู้สึกว่าการที่เขาได้มีสัมพันธ์สวาทกับพระสนมนั้นจักทำให้หล่อนค่อยๆ เปิดเผยนิสัยอันน่ารังเกียจที่มีแค่เพียงเสด็จพ่อที่จักได้เห็น ตกอยู่ในบ่วงวังวนที่ไม่อาจถอดถอนตัวออกมาได้ บ่วงวังวนแห่งการลุ่มหลงเขาอย่างเช่นกินรีตนอื่นๆ ที่เขาเคยล่อลวงมาด้วยอาคมเหล่านั้น เคยเจ็บใจนักที่ใครต่อใครต่างมาหลงรักได้ด้วยมนต์คาถาของตน แต่มีเพียงหล่อนที่เฉยเมย มองเขาเป็นเพียงบุตรชายของคนที่รัก มีใครหลายคนรวมถึงน้องสาวพยายามหาทางเข้าถึงอาคมที่เขามี แต่ไม่มีโอกาสได้ล่วงรู้หรอกหนา ... อาคมล่อลวงหญิงสาว เพราะมันเป็นอาคมดำมืดที่จักทำให้สตรีทุกคนที่เขาเป่าคาถามักรู้สึกรักและลุ่มหลงในตัวเขาอย่างไม่มีเหตุผล ไม่รู้ว่าทำไมท่านพ่อที่มีอาคมหลากหลายนั้นจึงเลือกถ่ายทอดพลังนี้มาสู่เขา การค้นพบอาคมดำมืดที่มีเพียงตนเองเท่านั้นที่รู้และใช้มันได้ตั้งแต่เกิดนั้นทำให้สำเริงสำราญใจไม่น้อย จนเขากลายเป็นเด็กเอาแต่ใจเช่นนี้เพราะคิดว่าตนเองมีอวิชชาเหนือกว่าใคร อยากให้เสด็จพ่อรับรู้ว่าเขานั้นแข็งแกร่งเหนือผ