LOGIN
สองวันผ่านไปอย่างเชื่องช้าในห้องพักผู้ป่วยที่หรูหราแต่ไร้ชีวิตชีวา ในที่สุดเมฆินทร์ก็ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ ร่างกายของเขาค่อนข้างอ่อนเพลียเบาโหวงอย่างไม่คุ้นชิน แต่ก็ดีขึ้นมากหลังจากได้รับวิตามินและสารอาหารอย่างต่อเนื่อง
บรรยากาศในรถยนต์ระหว่างเดินทางกลับบ้านนั้นแสนสงบ มีเสียงเพลงบรรเลงเปียโนเบา ๆ ชวนให้ผ่อนคลาย พราวฟ้าดูคลายความกังวลมากกว่าเมื่อหลายวันก่อนที่เข้ามาคุยกับเขา เธอขับรถด้วยท่วงท่าเรียบนิ่ง ไม่ได้ชวนคุยอะไรมากนัก คงเพราะอยากให้เขาได้พักผ่อนและชื่นชมบรรยากาศนอกโรงพยาบาลอย่างเต็มที่ ซึ่งเมฆินทร์เองก็รู้สึกขอบคุณในใจสำหรับความเงียบนั้น ทำให้มีเวลาจมอยู่กับตัวเอง พิจารณาและทบทวนอะไรหลาย ๆ อย่างที่แทบจะตลอดเวลาตั้งแต่เขาฟื้นมาก็เอาแต่คิดวนซ้ำ ๆ ไม่เลิก
ดวงตาสีเทาเข้มทอดมองออกไปนอกหน้าต่างรถ มันไม่ใช่ความตื่นตระหนกเหมือนครั้งแรกที่สัมผัสกับที่แห่งนี้ แต่เป็นการเฝ้ามองด้วยสายตาของนักสำรวจ ในการทำความเข้าใจสภาพแวดล้อม ทำความเข้าใจโลกใบใหม่ที่เขาถูกเหวี่ยงเข้ามา...
สถาปัตยกรรมของตึกระฟ้าดูเน้นความทันสมัยและสวยงามแปลกตา ไม่มีแม้แต่เสาไฟหรือสายไฟฟ้าให้รกหูรกตา การใช้โทนสีเทาเงินและกระจก ทำให้เมืองดูมีชีวิตชีวาและเป็นระเบียบมากกว่ากรุงเทพฯ ในโลกเดิมของเขาอย่างเห็นได้ชัด ดูน่าตื่นตาตื่นใจจนทำให้เมฆินทร์รู้สึกตื่นเต้นและอยากลงไปสำรวจโลกใบนี้ให้มากขึ้น
เมื่อรถเคลื่อนตัวเข้ามาจอดเทียบหน้าคฤหาสน์หรูหราในย่านที่เงียบสงบ เมฆินทร์รู้สึกได้ถึงความโอ่อ่าและงดงามของอาคารสไตล์วิกตอเรียนที่ผสมผสานความคลาสสิกเข้ากับความทันสมัยได้อย่างลงตัว ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น สนามหญ้ากว้างใหญ่ เขารู้สึกทึ่งกับความงามและขนาดของบ้านหลังนี้อย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะก้าวลงจากรถพร้อมกับพราวฟ้าที่เดินนำหน้า
“คิดถึงบ้านเราไหมลูก ไปอยู่โรงพยาบาลมาตั้งหลายเดือน” พราวฟ้าหันมาถามด้วยรอยยิ้ม
“ครับ” เมฆินทร์พยักหน้าตอบรับด้วยแววตาเป็นประกาย
‘คิดถึงสิ คิดถึงโลกเดิมด้วย แต่บ้านแม่พราวฟ้า มันใหญ่เกินไปไหมเนี่ย รวยระดับไหนกัน?’
ในโลกเดิมของเขาถึงแม้จะเป็นซูเปอร์สตาร์ที่มีรายได้มหาศาล แต่เขาก็เลือกที่จะใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายในคอนโดหรูย่านใจกลางเมือง แม้จะมีเงินมากพอที่จะซื้อบ้านหลังใหญ่เช่นนี้ได้ เขาก็ไม่เคยคิดที่จะทำเลยสักครั้ง เพราะการใช้ชีวิตคนเดียวทำให้เขาไม่ได้รู้สึกอยากมีบ้านหลังใหญ่ การอยู่คนเดียวในคอนโดขนาดพอเหมาะก็เพียงพอแล้ว แต่บ้านหลังนี้... มันทำให้เขาเห็นภาพตัวเองในอนาคต หากมีครอบครัวอบอุ่น ก็น่าจะเหมาะกับการได้มาอยู่รวมกัน
“เข้าบ้านกันเถอะ ตากแดดตามลมนาน ๆ ยังไม่ดีต่อร่างการลูก” พราวฟ้าบอกก่อนจะเดินนำเข้าไปด้านใน
เมฆินทร์เดินตามเข้าไปในคฤหาสน์
ทุกย่างก้าวที่เหยียบลงไปบนพื้นตัวบ้าน... มันเหมือนการล่วงล้ำเข้าไปในชีวิตของคนอื่น ความคิดนั้นทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นขโมยที่กำลังจะเข้าไปสำรวจร่องรอยของเจ้าของบ้านที่จากไปแล้ว
‘นี่คือชีวิตที่เราต้องสวมบทบาทต่อไปจริง ๆ อย่างนั้นสินะ?’
“ขึ้นไปพักผ่อนบนห้องก่อนนะลูก” พราวฟ้าบอกด้วยรอยยิ้มพลางตบบ่าลูกชายของตนเบา ๆ “เดี๋ยวแม่ทำกับข้าวเสร็จจะเรียกนะ”
“ครับ..” เมฆินทร์ตอบรับแบบไม่ค่อยเต็มเสียงเท่าไหร่ แล้วทอดสายตามองไปยังบันไดที่อยู่ไม่ไกลนัก ก่อนจะเดินขึ้นไปด้านบนบ้านอย่างเชื่องช้า พร้อมกับความคิด ความสับสนมากมายในหัว จนถึงตอนนี้เขายังทบทวนมาตลอดจริง ๆ ว่าหลังจากนี้ต้องใช้ชีวิตแบบลมหนาวงั้นหรือ
เมื่อเดินมาถึงด้านบนเขาพบว่ามีประตูอยู่สามบาน เขารู้สึกโล่งใจเล็ก ๆ เมื่อพบว่าบนบานประตูแต่ละห้องนั้นมีป้ายชื่อของงเจ้าของห้องแขวนเอาไว้อยู่ เขามาหยุดยืนอยู่หน้าห้องที่มีชื่อว่า น้องหนาว มื่อเลื่อนไปจับเข้าที่ลูกบิดประตู สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปภายในห้อง
ห้องนอนของลมหนาวเป็นห้องที่ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายด้วยโทนสีฟ้าเทาและขาว ดูสะอาดตาสะท้อนรสนิยมของเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี… เจ้าของห้องตัวจริงที่ไม่ใช่เขา ผนังด้านหนึ่งเต็มไปด้วยชั้นหนังสือ มีนิยายมากมายเรียงรายอยู่กินพื้นที่ไปมากกว่าสามส่วน อีกส่วนหนึ่งเป็นตำราเรียนที่ทำให้เมฆินทร์รับรู้ได้ว่าลมหนาวนั้นเรียนในคณะนิเทศศาสตร์ สาขาศิลปะการแสดง บริเวณใกล้กับมีกีตาร์โปร่งวสงพิงมุมห้องที่สะท้อนให้เห็นถึงตัวตนที่คงจะชื่อชอบทางด้านศิลปะความบันเทิงไม่ต่างจากตัวเขาเอง
เมฆินทร์เดินไปยังโต๊ะทำงานเขาไล้มือสัมผัสขอบโต๊ะไม้โอ๊คช้า ๆ ก่อนที่สายตาจะสะดุดเข้ากับตารางเรียนชั้นปีสาม นั่นทำให้เขาสามารถรับรู้ข้อมูลพื้นฐานของลมหนาวเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง... ขาเรียวยาวก้าวเดินสำรวจห้องไปเรื่อย ๆ เก็บรายละเอียดทุกอย่างเท่าที่ตัวเขาจะสามารถทำความเข้าใจเจ้าของร่างนี้ได้ ก่อนจะหยุดลงที่อัลบั้มรูปเล่มหนา เขาตัดสินใจหยิบมันขึ้นมานั่งเปิดดูบนเตียง
หน้าแรก ๆ ของอลับั้มเป็นรูปของเด็กชายผู้ชายหน้าตาน่ารักที่มีใบหน้าเหมือนกับเขาตอนเด็กแบบไม่ผิดเพี้ยนเลยจริง ๆ กำลังยิ้มอย่างมีความสุขกับพราวฟ้าและผู้ชายที่ดูอบอุ่นใจดีอีกคนหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นพ่อของลมหนาว แต่เมื่อไล่เปิดไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มมีเด็กผู้ชายอีกคนปรากฏตัวขึ้นภายในรูป เด็กคนนั้นดูอายุน้อยกว่าลมหนาวเล็กน้อย มักจะยืนอยู่ข้างลมหนาวเสมอ บางรูปก็เกาะแขน บางรูปก็เหมือนจะแกล้งกัน มีตั้งแต่ช่วงวัยเด็กจนกระทั่งค่อย ๆ เติบโตขึ้นแต่ก็ยังมีเด็กคนนี้อยู่ในรูปอยู่บ่อยครั้ง
สายตาของเขาไม่เคยเปลี่ยนไปจนเมฆินทร์สามารถจับความรู้สึกนั้นได้ แล้วมันก็ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า... เด็กผู้ชายในภาพเป็นใครกันแน่? มีความสำคัญยังไงกับลมหนาวถึงได้เหมือนกับจะอยู่ในทุกช่วงเวลาของชีวิตตั้งแต่เด็กจนโต ดูจากชุดแล้วน่าจะถึงแค่ระยะเวลาช่วงมัธยมละมั้ง แล้วจู่ ๆ ช่วงหลังของอัลบั้มก็เหลือเพียงแค่ลมหนาวกับแม่พราวฟ้าในรูป ช่วงวัยที่น่าจะโตมากขึ้นหรือปัจจุบัน
เมื่อเมฆินทร์เปิดดูรูปในอัลบั้มของลมหนาวจนหมด ก็พอจะทำให้เข้าใจในวิถีชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ส่วนหนึ่ง ก่อนจะเอนตัวลงนอนขวางเตียงกลิ้งไปมาให้ตัวเองรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น แต่ก็ต้องชะงักเมื่อมือไปโดนเข้ากับอะไรบางอย่างที่อยู่ใต้หมอน เขาจึงเปิดมันขึ้นพบกับไดอารี่ที่ถูกซ่อนเอาไว้
“ไดอารี่? ถ้าเปิดดู… จะเป็นอะไรไหมนะ” เมฆินทร์พูดขึ้นมาลอย ๆ กับตัวเอง ปลายนิ้วสอดเข้าไปในหน้าที่ถูกขั้นด้วยที่ขั้นหนังสือ เขาชั่งใจอยู่สักพัก เพราะถ้าลมหนาวรู้ว่ามีใครมาเสียมรายาทแบบนี้อาจจะโกรธก็ได้ แต่อีกใจก็ฉุกคิดได้ว่าตอนนี้ตัวเขากำลังอยู่ในร่างลมหนาวไม่ใช่หรอ บางทีการเปิดอ่านมันอาจจะช่วงให้เขารู้จักเจ้าของร่างมากขึ้นจนเขาใช้ชีวิตแบบลมหนาวได้แนบเนียนก็ได้
ไม่ได้มีทางเลือกอะไรให้ตัวเขามากนัก..
‘เปิดอ่านเลยแล้วกัน... ตัดสินใจด้วยตัวเองนี่แหละ!’
‘28 กุมภาพันธ์ .. วันนี้จู่ ๆ ภาสก็มาขอเลิก เขาบอกว่าครอบครัวของเขาบังคับให้เขาไปแต่งงานกับคนระเดียวกัน คนที่เหมาะสมกับบ้านเขา.. โลกทั้งใบของฉันพังทลายลงแล้ว’ ‘2 มีนาคม .. ฉันพยายามยื้อและคุยกับเขาเพราะวันนี้เขามาเก็บเสื้อผ้าออกจากคอนโดของเรา แต่เขาไม่แม้แต่จะสบตาด้วยซ้ำ.. ทำไมถึงใจร้ายใส่กันได้ขนาดนี้’ ‘3 มีนาคม .. วันนี้ทั้งวันพยายามโทรหาเขาเพื่อที่จะขอโอกาสมาคุยกันให้รู้เรื่องแต่เขาไม่รับโทรศัพท์ฉันเลย.. ไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำว่าความรักที่มีให้กันตลอดระยะเวลา 5 ปีมันจะสูญเสียไปภายในวันเดียวอย่างไม่ยุติธรรม’ ‘15 มีนาคม .. วันนี้ลองไปดักรอที่คณะ แต่เหมือนเขาจะหลบหน้าฉัน ภาสไม่ยอมแม้แต่จะติดต่อกัน เหมือนตัดขาดฉันออกไปจากชีวิตเขา.. ไหนว่าเราจะมีอนาคตร่วมกันไง? ไหนว่าจะสร้างครอบครัวที่น่ารักด้วยกัน? แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น!’ ‘18 มีนาคม.. ขอร้องล่ะ ฉันอยากได้แค่คำอธิบาย ความรักของเราไม่มีค่าพอให้เอาชนะทุกอุปสรรคได้จริง ๆ หรอ หรือฐานะทางสังคมสำคัญมากจริง ๆ เรา..ไม่ดีพอสำหรับเธอแล้วใช่ไหมในตอนนี้’ ‘27 มีนาคม .. เหงาจัง ที่ที่ไม่มีภาสอยู่มันไม่ม
สองวันผ่านไปอย่างเชื่องช้าในห้องพักผู้ป่วยที่หรูหราแต่ไร้ชีวิตชีวา ในที่สุดเมฆินทร์ก็ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ ร่างกายของเขาค่อนข้างอ่อนเพลียเบาโหวงอย่างไม่คุ้นชิน แต่ก็ดีขึ้นมากหลังจากได้รับวิตามินและสารอาหารอย่างต่อเนื่อง บรรยากาศในรถยนต์ระหว่างเดินทางกลับบ้านนั้นแสนสงบ มีเสียงเพลงบรรเลงเปียโนเบา ๆ ชวนให้ผ่อนคลาย พราวฟ้าดูคลายความกังวลมากกว่าเมื่อหลายวันก่อนที่เข้ามาคุยกับเขา เธอขับรถด้วยท่วงท่าเรียบนิ่ง ไม่ได้ชวนคุยอะไรมากนัก คงเพราะอยากให้เขาได้พักผ่อนและชื่นชมบรรยากาศนอกโรงพยาบาลอย่างเต็มที่ ซึ่งเมฆินทร์เองก็รู้สึกขอบคุณในใจสำหรับความเงียบนั้น ทำให้มีเวลาจมอยู่กับตัวเอง พิจารณาและทบทวนอะไรหลาย ๆ อย่างที่แทบจะตลอดเวลาตั้งแต่เขาฟื้นมาก็เอาแต่คิดวนซ้ำ ๆ ไม่เลิก ดวงตาสีเทาเข้มทอดมองออกไปนอกหน้าต่างรถ มันไม่ใช่ความตื่นตระหนกเหมือนครั้งแรกที่สัมผัสกับที่แห่งนี้ แต่เป็นการเฝ้ามองด้วยสายตาของนักสำรวจ ในการทำความเข้าใจสภาพแวดล้อม ทำความเข้าใจโลกใบใหม่ที่เขาถูกเหวี่ยงเข้ามา... สถาปัตยกรรมของตึกระฟ้าดูเน้นความทันสมัยและสวยงามแปลกตา ไม่มีแม้แต่เสาไฟหรื
“อะไรครับ? แต่อะไร” “ลูกใจเย็น ๆ ก่อน” พราวฟ้าเห็นท่าทางเริ่มไม่สงบของลมหนาว เธอเริ่มกังวลมากขึ้น “การรับการรักษาผ่านทางโรงพยาบาลต้องรอคิวที่นาน และทั้งพิสทิลเอง แอนไทเองก็มีสิทธิ์เลือกว่าจะตกลงรักษาให้กันหรือปฏิเสธที่จะไม่รับเคสนี้ก็ได้ มันเลยทำให้การรันระบบช้ามากกว่าที่ควรจะเป็น” “เอ้า.. แล้วแบบนี้จะมาลงทะเบียนเป็นอาสาสมัครเพื่อ?” เมฆินทร์ทั้งไม่เข้าใจ และงงหนักกว่าเก่า “เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายจ้ะ มันมีระบบกฎหมายเข้ามาคุ้มครองด้วยสำหรับแอนไทที่ลงทะเบียน เอาเป็นว่า… เราอย่าสนใจเลย เพราะที่แม่จะบอกคือแม่มีทางรักษาให้น้องหนาวแบบที่ไม่ต้องรอคิวอะไรทั้งนั้น อย่าที่แม่บอกไปพิษค่อนข้างรุนแรงจะมัวแต่ยืดเวลานานมากไม่ได้” พราวฟ้าพูดพลางลูบหัวลูกชายตนเบา ๆ เมื่อเห็นว่ามีการถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่คล้ายโล่งอก “งั้นดีเลยครับ แม่บอกวิธีมาเลย ผมจะทำตาม.. ผมไม่อยากจบชีวิตอีกรอบแล้วจริง ๆ” “ลูกยอมรับได้ใช่ไหม ถ้าลูกต้องมีอะไรกับแอนไทเพื่อการรักษาพิษ... มันอาจจะไม่ใช่แค่ครั้งเดียว หรือสองครั้ง” “ห้ะ!! ด…เดี๋ยวนะ มีอะไรกับแอนไทหรอครับ
หลังจากสายหมอกกลับไปแล้ว บรรยากาศในห้องก็กลับมาเงียบสงบลงอีกครั้ง พราวฟ้าเดินมานั่งข้างเตียงผู้ป่วยอีกครั้ง เธอจับมือของลูกชายมากุมเอาไว้แน่น แววตาเต็มไปด้วยความรัก ความเจ็บปวดและความมุ่งมั่นที่แน่วแน่กับสิ่งที่เธอกำลังจะพูดออกมาหลังจากนี้ และเป็นจังหวะเดียวกันที่เมฆินทร์เห็นป้ายชื่อที่ถูกปักไว้บนเสื้อกาวน์ของคนตรงหน้า ชื่อจริงเป็นชื่อพราวฟ้า ส่วนนามสกุลทำไมนามสกุลเดียวกัน มันเป็นความบังเอิญอีกอย่างที่น่าตกใจมาก บังเอิญราวกับถูกจับวาง รวมถึงการแสดงออกหรือสีหน้าท่าทางก็เหมือนแม่เนตรนภาในโลกเดิม แต่ที่สะดุดตาและชวนสงสัยมากกว่าคือแผนก เวชศาสตร์เพศรอง ชื่อแผนกแปลกจนในหัวเมฆินทร์นึกตลก หรือว่าจะเป็นพวกโอเมก้าอัลฟ่าแบบในนิยายที่เขาเคยอ่าน ‘ต้องช็อคอีกกี่เรื่อง… เพศรองมีจริงบนโลกเหรอ? โอเมก้าเวิร์สของแท้ไหมเนี่ย’ “ลมหนาว... ฟังแม่นะลูก” เสียงของพราวฟ้าจริงจังเรียกสติที่กำลังคิดนั่นคิดนี่ของเมฆินทร์ให้เข้าที่ “สิ่งที่อยู่บนหลังของลูก พิษของดอกอะโคไนต์... มันไม่ใช่สิ่งที่จะปล่อยไว้เฉย ๆ ได้ แม่ว่าลูกเข้าใจความร้ายกาจของพิษนี้ดี เพราะมันเคยกำเริบมาหลายครั้งแล้ว”
แกร๊ก.. เสียงประตูห้องพักผู้ป่วยดังขึ้นทำลายความฟุ้งซ่านของเมฆินทร์ บานประตูเปิดออกแต่เขาไม่ได้สนใจมัน เพราะคิดว่าสายหมอกอาจจะลืมของหรือไม่ก็ร้านเค้กที่ว่ามันอยู่ใกล้จริง ๆ จนใช้เวลาไม่นานก็กลับมาแล้ว เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ พร้อมกับกลิ่นน้ำหอมที่เขารู้สึกคุ้นเคยและจำได้ดี กลิ่นนี้ทำให้หัวใจของเขาเต้นระรัว รีบหันใบหน้าไปมองยังผู้มาเยือนทันที “ลูกแม่ฟื้นแล้ว ไม่เป็นไรแล้วนะคนเก่ง” อ้อมกอดที่อบอุ่นและนุ่มนวลถูกมอบให้กับเขา เมฆินทร์นิ่งค้าง ตัวแข็งทื่อไปหมด ซ้ำยังเผลอกลั้นหายใจ เขาแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาและสัมผัสที่กำลังได้รับ "แม่... ฟ้า...” เขาพูดเสียงเบาหวิวและสั่นเครือ สองแขนยกขึ้นกระชับกอดหญิงสาวที่สวมชุดกราวน์สีขาวสะอาดตาตรงหน้าแน่น แต่แล้วความปวดหน่วงที่ศีรษะก็กลับมาอีกครั้ง มันสร้างความทรมานให้กับร่างกาย เสียงรอบตัวเริ่มอื้ออึงแทบจะจับใจความไม่ได้ ‘อีกแล้ว... ความทรงจำมันไหลเข้ามาในหัวอีกแล้ว’ “หนาว ลมหนาว ลมหนาวลูก!” เสียงเอ่ยเรียกชื่อเจ้าของร่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าดึงให้เมฆินทร์กลับมาสู่ปัจจุบัน น้ำตาใสไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง
“อ๊ากกกกก!” เมฆินทร์เซถลาราวกับถูกผลักจนร่างกายเกือบทรุดลงไป แต่สองมือยังกำแน่นที่ขอบของเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า หอบหายใจอย่างหนักหน่วง ความรู้สึกที่เขาได้รับรู้แล่นพล่านไปทั่วร่างกายราวกับของจริง... ความปวดแสบปวดร้อนในช่องท้อง ความทรมานที่หัวใจ... และความสิ้นหวังที่กัดกินจิตใจ... เขารับรู้ถึงมันทั้งหมด ‘ถ้าสิ่งที่รับรู้ มันคือความจริง.. มันน่าสมเพชเกินไป! ยอมตายเพราะผู้ชายคนเดียวน่ะเหรอ? ช่างเป็นวิธีจบชีวิตที่ไร้ค่าสิ้นดี!’ ส่วนลึกในจิตใจของที่กำลังสับสนว่าตัวตนของเขาหรือความทรงจำที่ฉายชัด มันคืออะไรกันแน่ เมฆินทร์ที่มุ่งมั่นและทะเยอทะยานมาตลอดชีวิต จะไม่มีวันทำอะไรแบบนั้นเด็ดขาด แต่ทำไมความเจ็บปวดหรือทุกอย่างที่รู้สึกได้.. ราวกับมันคือตัวเขาเองที่เป็นผู้กระทำและทรมานกับมันแบบแสนสาหัส ดวงตาเวลานี้รื้นไปด้วยน้ำตา สมองของเขาพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด เขาคือเมฆินทร์ที่ก่อนหน้านี้เกิดอุบัติเหตุรถชน ร่างกายของเขาเหมือนกับจะแหลกสลายในครานั้น ก่อนจะไม่รับรู้อะไร สติอันเลือนรางอ้อนวอนต่อใครก็ตามที่เขานึกได้ให้เขารอด ‘หรือว่า.. พรข้อนั้นที่เขาขอ มัน







