เหตุการณ์ก่อนหน้า
เมืองโยว ห่างจากเมืองหลวงห้าร้อยลี้
เกี้ยวเจ้าสาวเข้ามาในคฤหาสน์สกุลเซียวอย่างทุลักทุเล แรกเริ่มก็น่าฉงน เพราะให้เข้าทางประตูด้านข้าง สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ฟ่านอวี้เหยาประหลาดใจ ทว่านางมาถึงคฤหาสน์ชายคนรัก หากให้กลับคืนในยามนี้ก็มิใช่สิ่งที่ถูกต้อง
แม้หญิงสาวสังหรณ์ใจในแง่ร้ายตั้งแต่ลงเรือ คนของนางที่บิดาจ้างมาให้อารักขาถูกจับกุมตัวไว้ ไม่ให้เข้าด้านในเมืองโยว อันเป็นคำสั่งใหม่ในการตรวจคนเข้าออกที่ปู้หว่านถิงผู้เป็นแม่ทัพฝ่ายเหนือส่งหนังสือมาถึงเจ้าเมือง ด้วยสถานการณ์ยามนี้ อาจมีคนมุ่งหมายรวบรวมกำลังเพื่อก่อกบฏแย่งชิงบัลลังก์จากฮ่องเต้ เนื่องจากฝ่ายนั้นกำลังประชวร และยังไม่มียารักษาอาการให้หายได้
ดวงตากลมโตกวาดมองสำรวจ พื้นที่ซึ่งนางถูกแม่บ้านถานไล่ต้อนเข้ามา เรือนหลังดังกล่าว มองอย่างไรก็ไม่ต่างจากที่เก็บฟืน แม้ดูสะอาดสะอ้าน ทว่านางมีศักดิ์ศรี หาใช่สตรีไร้หัวนอนปลายเท้า
ฟ่านอวี้เหยาถอนหายใจเฮือกใหญ่ นางคิดผิดหรือไม่ที่เดินทางไกลเพื่อมาเป็นภรรยาของคนแซ่เซียว อีกทั้งขณะที่นั่งเรือมายังเมืองโยว นางได้ยินข่าวไม่สู้ดีหลายอย่าง โดยเฉพาะสิ่งเกี่ยวกับการก่อกบฏของเหล่าขุนนางกังฉินฝ่ายเจียงโม่ ซึ่งดูเหมือนว่าเกี่ยวพันกับสกุลของเจ้าบ่าวนางด้วย เจียงโม่มีศักดิ์เป็นลุงของเซียวเจี้ยนอี้ ชายคนรักของฟ่านอวี้เหยา
“คุณหนู ยามนี้ สามสกุลใหญ่กำลังถูกเพ่งเล็ง… บ่าวไม่แน่ชัดว่าเป็นสกุลใดบ้าง แต่มีการสืบสวนอย่างหนัก คนที่ท้ายเรือพูดกันอย่างสนุกปากเลยเจ้าค่ะ และนี่คงเป็นเหตุให้เรายุ่งยากสักหน่อยกว่าจะเข้าเมืองโยวได้”
“เอ เกี่ยวข้องกับพี่อี้ของข้าหรือไม่ สกุลเซียวขึ้นชื่อว่า ทำการค้าขายกับต่างแคว้น ดูแลทั้งเรื่องเสบียงกองทัพ และอาวุธในการศึก”
จิ่งหรูผู้เป็นสาวใช้ที่ติดตามมาด้วย ยากจะรู้ทุกสิ่งแน่ชัด และนางถูกฝึกอย่างหนักให้หูไวตาไว คอยช่วยเหลือตามสืบเรื่องต่างๆ ให้เจ้านายเท่านั้น
“คุณชายรองเป็นคนดี อีกอย่างเขากำลังจะเข้ารับหน้าที่สำคัญในเมืองทางตะวันออก เป็นถึงผู้ตรวจการระดับห้า รองก็แค่เจ้าเมืองเท่านั้น ไฉนจะทำเรื่องที่ผิดศีลธรรมและกฎหมายได้ ส่วนสกุลเซียว ค้าขายมานาน คงไม่คบค้ากับขุนนางกังฉินหรอกเจ้าค่ะ”
ได้ยินจิ่งหรูกล่าวเช่นนั้น ฟ่านอวี้เหยาจึงโล่งใจได้เปลาะหนึ่ง แต่ยามนั้นดูเหมือนที่ท่าเรือมีหลายสิ่งให้น่าตื่นตระหนก เนื่องจากทหารส่งเสียงกระโชกโฮกฮาก ทั้งมีการตวาดใส่ชาวบ้าน และสั่งให้บุรุษหลายคนถอดเสื้อออกเพื่อค้นหาอาวุธ หรือสิ่งของที่อาจลักลอบนำเข้าเมือง
ขณะเดียวกัน พวกเขามีรูปภาพในมือเพื่อดูว่ามีคนที่ต้องสงสัยหรือไม่ หลายคนที่มีใบหน้าคล้ายคนร้ายจึงถูกลากตัวไปด้านหลัง ดูแล้วเหมือนบ้านป่าเมืองเถื่อน พลอยให้ใจคอฟ่านอวี้เหยาไม่สู้ดี
“พวกสตรี ไปยืนรวมกันตรงหัวมุมถนน และทุกคนที่เข้าเมืองโยว ต้องทำตามคำสั่งใหม่ของแม่ทัพปู้อย่างเคร่งครัด”
ไม่รู้เหตุใด เมื่อได้ยินชื่อบุรุษคนดังกล่าว ฟ่านอวี้เหยาก็หายใจไม่ออกขึ้นมาเสียอย่างนั้น
นางเพิ่งมาจากเมืองหลวง ไฉนจะไม่รู้จักชื่อเสียงปู้หว่านถิง อีกฝ่ายคือแม่่ทัพใหญ่ที่กอบกู้บ้านเมือง กรำศึกหนักมาหลายหน ทว่าเขาเป็นคนประเภทที่ผีเห็นยังหวั่น เทพเซียนไม่อยากเข้าใกล้ นั่นคงเพราะกลัวถูกกลืนกินปราณที่บำเพ็ญมาหลายร้อยปีจนสูญสิ้น ให้ดีหน่อยคงเป็นจอมมารเท่านั้นที่อยากคบค้าสมาคมกับแม่ทัพปู้ เพราะมีความอำมหิต และชั่วช้าพอกัน
กระทั่ง ทหารกลุ่มหนึ่งสืบเท้าเข้ามาใกล้ๆ และหมายกระชากแขนเรียวของฟ่านอวี้เหยาที่ยืนหันซ้ายหันขวาด้วยทำตัวไม่ถูก อีกทั้งคนมารับนางก็ช้าเหลือเกิน ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยามยังไม่โผล่หัวมาบริเวณท่าเรือ
เมื่อเห็นทหารจะเข้าใกล้เจ้านาย จิ่งหรูเลยปรี่มาขวางไว้
“เจ้าคิดว่าเป็นผู้ใด คำสั่งแม่ทัพปู้ ย่อมยึดถือเป็นที่ตั้ง รีบถอยไป”
“ตะ แต่คุณหนูข้าต้องไปเป็นเจ้าสาว เดินทางมาเพื่อเข้าพิธีการสำคัญ มิสมควร ให้ชายอื่นใกล้ชิด มันเป็นเรื่องไม่เหมาะสม”
“ฮ่ะๆ ๆ งานมงคลอันใด เมืองโยว ถูกสั่งห้ามไม่ให้จัดงานรื่นเริง ยามนี้ทุกคนต้องถือศีลกินเจ เพื่อร่วมใจขอพรให้
ฮ่่องเต้หายประชวรโดยเร็ว แม่นางผู้นี้ หากยากเป็นเจ้าสาวนัก พวกข้าทุกคนก็ยินดี เป็นเจ้าบ่าวให้เอง”
ทหารผู้นั้นกล่าว และหมายเอื้อมมือมาถึงผ้าคลุมหน้าตาข่ายของฟ่่านอวี้เหยาออก แต่เป็นนางที่เองที่ใช้พัดในมือปกป้องตน ทว่าสตรีที่เดินทางมาไกล ทั้งยังแพ้อาหารหลายอย่างเพราะไม่ชินกับการนั่งเรือนนานๆ ไฉนจะมีแรงต่อกรกับทหารตัวโตนิสัยเลวทราม
ดังนั้นแม้พวกนางยังมีตำแหน่ง แต่กลับไร้อำนาจ แถมโต้วเซ่าเหล่ยยังคาดโทษไว้สูงสุดด้วย ห้ามไม่ให้กลับเมืองหลวง และห้ามไม่ให้มีทายามสืบต่อไป ซึ่งทั้งเหยาเหอซาน กับปิงจือจือก็ยอมรับชะตากรรมของตนแต่โดยดี อย่างน้อยพวกนางก็มีชีวิตอยู่ และนั่นคือสิ่งที่รั่วตงอวิ๋นบอกแก่เขา ให้พวกนางมีชีวิตจนผมหงอก ฟันล่วงหมดปาก ป่วยตายด้วยโรคชรา พร้อมยังมีตำแหน่งชายาของเหล่ยอ๋อง “พวกนางรอดได้ก็เพราะอวิ๋นชินของข้าที่แสนดี” โต้วเซ่าเหล่ยเอ่ย ฝ่ายรั่วตงอวิ๋นก้าวตามชายหนุ่มไป และอีกฝ่ายจับมือนาง บีบเบาๆ ส่งมอบไออุ่น และความรักแก่นาง “เพราะตัวข้าพบเรื่องเลวร้ายมา ชีวิตเกือบต้องพังลงเพราะน้ำคำผู้ชาย ถึงพวกนางอาจมีความผิดบ้าง แต่การมอบโอกาสให้ผู้อื่นได้มีลมหายใจอีกครั้งย่อมดีที่สุด ที่สำคัญเหล่ยอ๋อง ใจร้ายกับพวกนางมิน้อย ข้าเลยต้องชดเชยให้แก่เหอซาน และจือจือ เรือนนอกนั้น แม้ไกลเมืองหลวง แต่มีอาหารและสภาพอากาศดี อาจเปลี่ยวกายยามค่ำคืนบ้าง แต่ข้าเชื่อเหลือเกิน พวกนางย่อมมีทางออก” “เจ้าหมายความเช่นไร” รั่วตงอวิ๋นหัวเราะน้อยๆ และตอบเขา “ทั้งหนังสือ ตำราภาพบุรุษงา
มีดสั้นของอ๋องเอวดุ ซิงอี คือแม่นางน้อยที่เดินได้เร็วกว่าวัยของตน และพูดได้เร็วมาก ตอนนี้ สิ่งที่ติดปากแม่นางน้อยคือ “ข้าจะกิน จะกินเมีย ฮึ่มๆ ๆ กินมูมมาก และดื่มนมจ๊วบๆ ด้วย!” สิ่งที่เกิดขึ้น ใครเล่าจะปวดหัวที่สุด หากไม่ใช่เหล่ยอ๋อง ผู้เป็นบิดาและตัวเขาก็เหมือนจะพลาดหลายสิ่งไป ในช่วงที่ห่างจากรั่วตงอวิ๋นพอสองแฝดเกิดก็ไม่ได้อุ้มชูใกล้ชิด กระทั่งพวกเขาเริ่มโต จึงได้ทำหน้าที่บิดา อย่างเต็มที่ กระนั้นก็มีปัญหาเล็กน้อยตามมาไม่หยุด ยามนี้แม่นางน้อยไม่ยอมเรียกเขาทว่า ท่านพ่อ อีกทั้งชอบมองด้วยสายตาที่อยากเอาชนะ นอกจากนั้น ยังเรียกว่าเขาว่า “ยาจก... ท่านมีไม้เท้าตีสุนัขด้วย” แน่นอน ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เพราะฝาแฝดผู้เป็นน้องชายของนาง ยังช่วยเสริมว่า “อ๋องๆ อ๋องผี! เขาเป็นอ๋อง ผะ ปะ ปี...จ๊าด!” เมื่อซีห่าวเอ่ยพร้อมทำท่ากลัวจนตัวสั่น คนเป็นพี่ก็เสริมอย่างฉะฉานว่า “ข้าจะปกป้อง ห่าวเกอ จากยาจกและอ๋องปีศาจ แฮ่ร!” ทั้งภาพและเสียงที่เกิดขึ้นทำให้ รั่วตงอวิ๋นหัวเราะชอบใจ และนี่คงเป็นการแก้แค้นของเมียรัก ที่บอกว่าเขาหายหัวไปหลายปี แต่ให้ตายเถิด สิ
“นะ นั่น ที่แท้ก็เป็นนางโลม... เหตุใดถึงให้เข้าทางประตูหน้า โถ... กลับเมืองหลวงครั้งนี้ องค์ชายเจ็ดคงสติฟั่นเฟือนอย่างที่เขาว่ากันแน่ๆ ยกหญิงชั้นต่ำมาเป็นอนุภรรยา” เสียงชาวบ้านดังขึ้น ในขณะที่รถม้าหยุดอยู่หน้าตำหนัก และหูของสตรีที่นั่งอยู่ด้านในก็กระดิกไปมา นางได้ยิน และยังคันปากยิบๆ ผิดแต่ต้องการให้ผู้คนโจษจันถึงเรื่องของนางมากกว่านี้ จะได้สมกับการปรากฏตัวหน้าตำหนักอ๋องผู้ที่ยามนี้คงวิปลาสเป็นแน่ ที่จู่ๆ แต่งตั้งให้นางโลม เป็นอี๋เหนียง*ของตน (อนุภรรยา) อีกอย่างเขาหายหัวไปนาน จนนางลืมไปแล้วว่า ตนเคยมีสามี และลูกของนางมีบิดาเป็นถึงองค์ชายเจ็ด “สตรีนางนั้นมีบุตรด้วย โถ... แล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่าเป็นองค์หญิงและองค์ชาย ที่มีสายเลือดขององค์ชายเจ็ด!” “เช่นนี้ เป็นการหลอกลวงเบื้องสูงหรือไม่” อีกเสียงดังขึ้น และทำให้รั่วตงอวิ๋นอยากออกจากรถม้า และจับคนพวกนั้นฉีกปากเหลือเกิน “เอาล่ะ ไข่เน่า และเลือดหมู รวมถึงขี้วัวพวกเจ้าเตรียมพร้อมหรือยัง” สิ่งที่ฝ่ายนั้นเตรียมการ ย่อมมาจากปิงจือจือ และเหยาเหอซานร่วมมือกัน รั่วตงอวิ๋นได้ยินเสียงด
สามปีผ่านไป เมืองฝาง (เมืองหลวงแคว้นต้าเหลียง) ในยามนี้ไม่ใคร่สงบสักเท่าใด ประชนชนอยู่กันอย่างอกสั่นขวัญแขวน บ้างก็มีข่าวลือวงในว่า อาจเกิดการก่อกบฏ ด้วยฮ่องเต้อายุมากแล้ว ส่วนรัชทายาทนั้นอ่อนแอ ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนตัว เนื่องจากเมื่อต้นปีเขาถูกวางยา แต่สิ่งที่สร้างความประหลาดใจแก่ทุกคนก็คือ ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่า โต้วเซ่าเหล่ยหรือองค์ชายเจ็ด หายสาปสูญในเหตุการณ์ภูเขาถล่ม แต่จู่ๆ เขาก็เหมือนปีศาจที่ฆ่าไม่ตาย สามารถฟื้นคืนชีพ และกลับมาเมืองหลวงในช่วงที่สถานการณ์บ้านเมืองคับขัน และโต้วเซ่าเหล่ยก็คือ คนที่ผีเห็นยังหวั่น อีกทั้งชอบทำตัวราวกับจอมาร หน้ากากที่สวมไว้ครึ่งหน้า ไม่ยอมถอดออก ทั้งที่ความจริง เขาเป็นบุรุษรูปงาม แต่แสร้งทำตนอัปลักษณ์ ที่เขาทำตัวเช่นนั้น เพราะไม่อยากถูกผู้อื่น คิดว่าเขาจะแย่งบัลลังก์จากพี่ชาย (โต้วเซ่าเหล่ยกับรัชทายาท มีมารดาเป็นฮองเฮา) อีกอย่างเขาต้องการให้ตนหายใจหายคอสะดวก ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องมีสายตาใครจับจ้อง โดยเฉพาะพวกขุนนางทั้งหลาย จางคังฉิก มองเจ้านายของตน ที่นั่งดื่มสุราไปหลายจอก และดูเหมือนไม่ทันใจ เขาเลยยกกาสุราเทกรอกปากตัว
หลายเดือนผ่านไป ลี่ชุนวางสีหน้ายุ่งยากใจมาก นางบอกให้รั่วตงอวิ๋นว่า อย่างไรจงอย่าได้ตั้งครรภ์ แต่คนดื้อรั้นย่อมเป็นเช่นนี้ แต่ก็โชคดี ที่ไม่มีเรื่องรุนแรงเกิดขึ้น ด้วยลี่ชุนพอจะล่วงรู้ว่า เด็กในครรภ์นั้นเป็นลูกของผู้ใด และการรับนอนกับคุณชายท่านนั้น ทำให้อีกฝ่ายไถ่ถอนตัวเองจากการเป็นนางโลม และยังช่วยอีกหลายชีวิตให้มีความสุข กระนั้นรั่วตงอวิ๋นก็ยืนยันจะใช้ชีวิตที่หอวสันต์รัญจวน อีกทั้งนางเป็นผู้ซื้อกิจการจากลี่ชุน ด้วยนอกจากนั้นยังจะไม่ให้มีการหลับนอนกับแขกอย่างไม่ยินยอม ทั้งการทำงานที่ตรอกโคมเขียวนี้ สตรีทุกคนต้องทำอย่างถูกกฎหมาย อาชีพนี้ต้องได้รับเกียรติ ผู้ใดก็ห้ามดูถูก แม้นางจะมีหัวก้าวหน้าคิดอ่านไม่เหมือนคนยุคสมัยนั้น แต่คนทั่วไป ก็ยังมองตรอกโคมเขียว เป็นพื้นที่คาวโลกีย์เช่นเดิม หมางจูวิ่งเข้าวิ่งออก ห้องโถงที่มีหมอตำแยคลอดช่วยเหลือคนที่กำลังจะคลอดอยู่ กระนั้นสถานการณ์ยามนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย “หมอ เราต้องการหมอที่สำนักการแพทย์” นางเอ่ยกับลี่ชุน น้ำเสียงร้อนใจเต็มที “เสี่ยวจูจู เจ้าปัญญาทึบแล้วหรือไร หมอพวกนั้นไฉนจะลดตัวมารักษาพวกเรา
ณ ตำหนัก หูเหยียน นอกวังหลวง โต้วเซ่าเหล่ยกลับมาจากเมืองหน้าด่านและใช้ชีวิตเสเพล โดยการปลอมตัวเป็นหนุ่มเจ้าสำราญเกือบสองเดือน และเขาเข้าออกวังหลวงได้พบฮ่องเต้ และเหล่าองค์ชายที่สนิทกัน เพื่อปรึกษาเรื่องการรับมือกบฏที่กำลังคิดร่วมมือกับต่างแคว้น พอทุกอย่างสะสางเรียบร้อย เขาก็กลับมา สวมบทบาทเหล่ยอ๋องผู้ที่เหี้ยมโหด และบ้าอำนาจเช่นเดิม โต้วเซ่าเหล่ยอยู่ที่ตำหนักหูเหยียนอย่างไม่ใคร่จะสบายตา สบายใจ นั่นเป็นเพราะชายาเอก เหยาเหอซาน กับชายารองนาม ปิงจือจือ ที่ร้อยวันพันปีนับแต่แต่งเข้ามา พวกนางไม่เคยคิดจะกล้ามายุ่มย่ามกับเขา ต่างจับมือกันแน่น และบอกว่าอยากได้รับโอกาสปรนนับัติชายหนุ่ม และเขารู้ว่า ที่เป็นเช่นนั้น ด้วยทั้งคู่ถูกสกุลของตนบีบบังคับเพื่อเร่งให้มีทายาทกับเขา นอกจากนั้นพวกนางยังพลาดพลั้งมีความสัมพันธ์กับนักเล่านิทานผู้หนึ่ง เรื่องนี้เขาย่อมล่วงรู้ แต่ก็ปล่อยให้ทั้งคู่ หลงระเริงสักพัก หากพวกนางคิดได้ ก็จงสภาพผิด และหย่าขาดออกไปเสีย เพื่อปกป้องทั้งชีวิตตน กับสกุลเดิมของตน “บิดาหม่อมฉันคิดว่าถึงเวลาที่ต้อง มีบุตรให้เหล่ยอ๋องแล้ว” เหยาเหอซานว่าอย