“พวกท่านมีสิทธิกล่าวเช่นนี้กับคุณหนูข้าได้หรือ”
จิ่งหรูว่าด้วยน้ำตา นางไม่อยากให้เจ้านายสาวถูกใครดูแคลนหรือเหยียดหยาม แม้ยามนี้บอบช้ำภายในร่างกายไม่น้อย
“ฺฮ่ะๆ ๆ ได้สิ เพราะกำลังจะไปเป็นคนสกุลเซียว พวกที่ค้าขายอย่างฉ้อฉล จนร่ำรวยผิดวิสัย แต่ก่อนเข้าเมืองชั้นใน แม่นางต้องให้พวกข้าต้องตรวจอย่างละเอียด นี่คือระเบียบใหม่
และถ้าอยากเข้าหอกับบุรุษแซ่เซียวจนตัวสั่น จงรีบเปลืองผ้าเจ้าตรงนี้เถิด ให้ข้าได้เห็นประจักษ์ด้วยสายตาว่า ไม่ได้ลักลอกนำสิ่งใดเข้าเมืองโยว อีกอย่างตอนนี้กำลังของแม่ทัพปู้ เข้ามาควบคุมทุกอย่างแล้ว ใครจะทำสิ่งใดต้องมีบันทึกแน่ชัด ที่สำคัญให้งดงานรื่นเริงทั้งหมด งานแต่งของคนสกุลเซียวก็ไม่ละเว้น”
ทหารผู้นี้ถึงไม่หยาบคายเท่าคนแรก แต่เมื่ออยู่ด้วยกันเป็นหมู่คณะ ย่อมมีนิสัยชั่วช้าและกดขี่ห่มเหงราษฎรไม่ต่างกัน
“ผู้เป็นนายของท่านคงมีอำนาจล้นฟ้า ถึงได้ออกคำสั่งที่ส่งผลให้ผู้อื่น ต้องทำเรื่องน่าอัปยศเช่นนี้” ฟ่านอวี้เหยาตอบโต้กลับ
“ฮ่ะๆ ๆ กองทัพอาชาเหินหาว ย่อมอยู่เหนือราษฎร ที่มีแต่สร้างความยุ่งยากให้พวกข้าต้องดูแล โดยเฉพาะสตรีเช่นเจ้า ที่ดูอย่างไร ก็ไม่ควรสวมชุดเจ้าสาว”
ฟ่านอวี้เหยาโกรธจัด นางไม่ใช่คนร้ายกาจ ทว่าหากจะให้เสียน้ำตา หรือแสดงความอ่อนแอให้คนพวกนี้เห็น ย่อมไม่สร้างประโยชน์อันใด นางจึงรอจังหวะที่จะสั่งสอนคนพวกนี้บ้าง และพอเขาดึงร่างจิ่งหรูออกไป นางจึงใช้โอกาสเดียวที่มี หมายแทงปิ่นปักผมเจ้าสาวใส่ลำคอทหารผู้นั้น!
ทว่านางยื่นมือออกไปแล้ว แต่ไม่อาจทำสิ่งใดสำเร็จ พวกทหารที่ยืนล้อมอยู่ต่างชักดาบออกมา หมายทำร้ายนางให้ถึงตายทีเดียว
จังหวะเดียวกัน จู่ๆ มีม้าตัวโตโผล่มา พร้อมร่างสูงใหญ่เป็นผู้ขี่ ซึ่งทั้งที่ห่างกันเกือบสองช่วงตัว ทว่าแส้ยาวของอีกฝ่ายที่สะบัดมาด้วยความเร็วแรง ฟาดเข้าใส่แขนฟ่านอวี้เหยาพอดี
ปิ่นทองทองยังอยู่ในมือเรียว และนางกำมัดเอาไว้ แต่แขนสั่นสะท้าน
ยามแรกนางแค่ชา ราวๆ อึดใจต่อมา นางรับรู้ได้ว่าภายใต้แขนเสื้อมีเลือดไหลซึม
“หึๆ บังอาจทำร้ายทหารของข้า หรือเจ้าไม่กลัวการถูกส่งเข้าคุกทหาร และไต่สวนอย่างเหี้ยมโหด”
ยามนั้นฟ่านอวี้เหยาเจ็บที่แขน หน้าซีดด้วยเสียเลือด แต่ยังฝืนเงยหน้า มองท้าทายยังบุรุษที่นั่งบนม้า ซึ่งส่งไอสังหารพวยพุ่งออกมาปะทะร่างหญิงสาว
“ทหาร ใช่ พวกท่านเป็นหทารเช่นใด ถึงข่มเหงผู้อื่น อีกทั้งไร้ศีลธรรม หรือเพราะมีหัวหน้าอย่างคนแซ่ปู้ ที่สร้างกองทัพเลวๆ ขึ้นมา”
น้ำเสียงนางอ่อนแรง ร่างกายแทบทรงตัวไม่ไหว ทว่าการท้าทายด้วยคำพูด และดวงตาที่มุ่งมั่น ทำให้บุรุษที่ใช้แส้ฟาดนาง แยกเขี้ยว แล้วตวาดเสียงดัง
“อยากไปเป็นเจ้าสาวเข้าห้องหอกับบุรุษใด จบรีบไสให้พ้นหน้าข้าเสีย ครั้งนี้ไม่เอาผิดเจ้า แต่ถ้าอยากแขวนป้ายรับใช้ ทหารในกองทัพ จงกระโดดขึ้นหลังม้าข้าเดี๋ยวนี้ รับรองว่า แม่นางจะได้ทำหน้าที่สมเกียรติ ในชุดเจ้าสาวที่เปรอะเปื้อนด้วยน้ำกามบุรุษแน่นอน! ”
ปากสุนัขของคนผู้นั้น ทำให้ฟ่านอวี้เหยามีแรงฮึดอย่างมหาศาล ซึ่งไม่รู้ว่าสิ่งต่อจากนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ปิ่นในมือนางที่ปลายของมันแหลมคม ซึ่งชุ่มด้วยเลือดถูกเขวี้ยงออกไปอย่างสุดกำลัง!
แน่นอนปิ่นทองดังกล่าวไม่ได้เฉียดใกล้ร่างกายของคนผู้นั้นสักนิด แต่ทำให้เขารู้ว่า นางเป็นสตรีที่กล้าหาญพอตัว กระนั้น ถึงกล้าหาญอย่างไร ก็ยังเป็นคนโง่เขลาและสิ้นคิด การแต่งเข้าสกุลคหบดียามนี้ หากไม่ใช่พ่อค้าชั่วก็ดีไป แต่ถ้าทำผิดรังแต่จะถูกยึดทรัพย์ โดนไล่ต้อนไปใช้แรงงานที่เหมืองทางใต้ ไร้โอกาสลืมตาอ้าปากได้อีกตลอดชาติ
“อย่าลืม หากถูกเจ้าบ่าวของเจ้าเขี่ยทิ้ง ไร้ที่ซุกหัวนอน แล้วอยากรอดตาย จงไปแขวนป้ายห้อยคอในค่ายทหารของข้า เพื่อปรนนิบัติชายชาตินักรบ ลูกน้องข้าพร้อมต้อนรับเจ้าเสมอ รับแขกไม่หนักหนา มากสุดคืนละยี่สิบคน!”
เขากล่าวจบ ก็สั่งให้ผู้ติดตามถอนกำลังที่มีออกไปจนหมด ปล่อยให้ฟ่านอวี้เหยาโกรธจนตัวสั่น ทั้งอับอาย กระทั่งเสียงฝีเท้าม้าเงียบลง นางจึงได้ยินพ่อค้า แม่ค้าในละแวกนั้น พูดว่า
“เฮ้อ ต่อไป พวกเราคงลำบากเป็นแน่ หากแม่ทัพปู้ผู้นั้น เข้ามาประจำการในเมืองโยว ได้ข่าวว่าเขาให้คนคัดเลือกสตรี ไปใช้แรงงานในค่ายทหารอย่างเหี้ยมโหด ไม่ใช่แค่หุงหาอาหาร ทำความสะอาดหรือซักผ้า แต่พวกนางยังต้องแขวนป้ายรับแขกในกระโจมด้านหลังค่ายทหาร เพื่อแลกกับเศษเงินไม่กี่เหวิน!”
ฟ่านอวี้เหยายิ่งได้ยิน นางยิ่งขยะแขยงอีกฝ่าย
“ท่านน้า เมื่อครู่ ท่านบอกว่าคนผู้นั้นคือแม่ทัพปู้”
สตรีคนดังกล่าวพยักหน้ารับ พูดอย่างตรงไปตรงมา
“ปู้หว่านถิง แต่เดิมเขาเคยอาศัยอยู่เมืองนี้ เมื่อครั้งเยาว์วัย เป็นระยะเวลาสั้นๆ ก่อนมารดาแท้ๆ จะสิ้นใจ”
ฟ่านอวี้เหยาไม่ได้ฟังเรื่องราวของแม่ทัพปู้ต่อจากนั้น ด้วยนางเจ็บแผล ทั้งรู้สึกคล้ายจะเป็นลม ถึงอย่างนั้นก็ก่นด่าปู้หว่านถิงไม่เลิก
“เสี่ยวหรู หากข้าได้พบเขาอีกครั้ง จงเตือนข้าด้วยว่า ปู้หว่านถิงต้องได้รับบทเรียนจากข้า เลือดต้องล้างด้วยเลือด และเลือดของเขา ข้าจะใช้มันล้างเท้า!”
เมื่อฟ่านอวี้เหยากล่าวเช่นนั้นออกมา จิ่งหรูจึงครั่นคร้ามใจ ยิ่งไปกว่านั้นนางสำเหนียกได้ว่า ผู้เป็นนายตนมีบางสิ่งที่เปลี่ยนไป
ฟ่านอวี้เหยาไม่เหมือนเดิมตั้งแต่ลงเรือ หรืออาจกล่าวได้ว่านับแต่ก้าวออกจากเรือนสกุลฟ่าน สตรีผู้นี้มีนิสัยผิดแผกไปจากเดิม !?
ทว่าสาวใช้ ไม่ได้กล่าวคำใดอีก นางได้แต่สงบปากสงบคำ และลอบมองฟ่านอวี้เหยา ซึ่งดูเหมือนว่าจะฉุนเฉียวง่าย ทั้งมีความแค้นคิดอยากจัดการปู้หว่านถิงจนน่ากลัว
ดังนั้นแม้พวกนางยังมีตำแหน่ง แต่กลับไร้อำนาจ แถมโต้วเซ่าเหล่ยยังคาดโทษไว้สูงสุดด้วย ห้ามไม่ให้กลับเมืองหลวง และห้ามไม่ให้มีทายามสืบต่อไป ซึ่งทั้งเหยาเหอซาน กับปิงจือจือก็ยอมรับชะตากรรมของตนแต่โดยดี อย่างน้อยพวกนางก็มีชีวิตอยู่ และนั่นคือสิ่งที่รั่วตงอวิ๋นบอกแก่เขา ให้พวกนางมีชีวิตจนผมหงอก ฟันล่วงหมดปาก ป่วยตายด้วยโรคชรา พร้อมยังมีตำแหน่งชายาของเหล่ยอ๋อง “พวกนางรอดได้ก็เพราะอวิ๋นชินของข้าที่แสนดี” โต้วเซ่าเหล่ยเอ่ย ฝ่ายรั่วตงอวิ๋นก้าวตามชายหนุ่มไป และอีกฝ่ายจับมือนาง บีบเบาๆ ส่งมอบไออุ่น และความรักแก่นาง “เพราะตัวข้าพบเรื่องเลวร้ายมา ชีวิตเกือบต้องพังลงเพราะน้ำคำผู้ชาย ถึงพวกนางอาจมีความผิดบ้าง แต่การมอบโอกาสให้ผู้อื่นได้มีลมหายใจอีกครั้งย่อมดีที่สุด ที่สำคัญเหล่ยอ๋อง ใจร้ายกับพวกนางมิน้อย ข้าเลยต้องชดเชยให้แก่เหอซาน และจือจือ เรือนนอกนั้น แม้ไกลเมืองหลวง แต่มีอาหารและสภาพอากาศดี อาจเปลี่ยวกายยามค่ำคืนบ้าง แต่ข้าเชื่อเหลือเกิน พวกนางย่อมมีทางออก” “เจ้าหมายความเช่นไร” รั่วตงอวิ๋นหัวเราะน้อยๆ และตอบเขา “ทั้งหนังสือ ตำราภาพบุรุษงา
มีดสั้นของอ๋องเอวดุ ซิงอี คือแม่นางน้อยที่เดินได้เร็วกว่าวัยของตน และพูดได้เร็วมาก ตอนนี้ สิ่งที่ติดปากแม่นางน้อยคือ “ข้าจะกิน จะกินเมีย ฮึ่มๆ ๆ กินมูมมาก และดื่มนมจ๊วบๆ ด้วย!” สิ่งที่เกิดขึ้น ใครเล่าจะปวดหัวที่สุด หากไม่ใช่เหล่ยอ๋อง ผู้เป็นบิดาและตัวเขาก็เหมือนจะพลาดหลายสิ่งไป ในช่วงที่ห่างจากรั่วตงอวิ๋นพอสองแฝดเกิดก็ไม่ได้อุ้มชูใกล้ชิด กระทั่งพวกเขาเริ่มโต จึงได้ทำหน้าที่บิดา อย่างเต็มที่ กระนั้นก็มีปัญหาเล็กน้อยตามมาไม่หยุด ยามนี้แม่นางน้อยไม่ยอมเรียกเขาทว่า ท่านพ่อ อีกทั้งชอบมองด้วยสายตาที่อยากเอาชนะ นอกจากนั้น ยังเรียกว่าเขาว่า “ยาจก... ท่านมีไม้เท้าตีสุนัขด้วย” แน่นอน ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เพราะฝาแฝดผู้เป็นน้องชายของนาง ยังช่วยเสริมว่า “อ๋องๆ อ๋องผี! เขาเป็นอ๋อง ผะ ปะ ปี...จ๊าด!” เมื่อซีห่าวเอ่ยพร้อมทำท่ากลัวจนตัวสั่น คนเป็นพี่ก็เสริมอย่างฉะฉานว่า “ข้าจะปกป้อง ห่าวเกอ จากยาจกและอ๋องปีศาจ แฮ่ร!” ทั้งภาพและเสียงที่เกิดขึ้นทำให้ รั่วตงอวิ๋นหัวเราะชอบใจ และนี่คงเป็นการแก้แค้นของเมียรัก ที่บอกว่าเขาหายหัวไปหลายปี แต่ให้ตายเถิด สิ
“นะ นั่น ที่แท้ก็เป็นนางโลม... เหตุใดถึงให้เข้าทางประตูหน้า โถ... กลับเมืองหลวงครั้งนี้ องค์ชายเจ็ดคงสติฟั่นเฟือนอย่างที่เขาว่ากันแน่ๆ ยกหญิงชั้นต่ำมาเป็นอนุภรรยา” เสียงชาวบ้านดังขึ้น ในขณะที่รถม้าหยุดอยู่หน้าตำหนัก และหูของสตรีที่นั่งอยู่ด้านในก็กระดิกไปมา นางได้ยิน และยังคันปากยิบๆ ผิดแต่ต้องการให้ผู้คนโจษจันถึงเรื่องของนางมากกว่านี้ จะได้สมกับการปรากฏตัวหน้าตำหนักอ๋องผู้ที่ยามนี้คงวิปลาสเป็นแน่ ที่จู่ๆ แต่งตั้งให้นางโลม เป็นอี๋เหนียง*ของตน (อนุภรรยา) อีกอย่างเขาหายหัวไปนาน จนนางลืมไปแล้วว่า ตนเคยมีสามี และลูกของนางมีบิดาเป็นถึงองค์ชายเจ็ด “สตรีนางนั้นมีบุตรด้วย โถ... แล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่าเป็นองค์หญิงและองค์ชาย ที่มีสายเลือดขององค์ชายเจ็ด!” “เช่นนี้ เป็นการหลอกลวงเบื้องสูงหรือไม่” อีกเสียงดังขึ้น และทำให้รั่วตงอวิ๋นอยากออกจากรถม้า และจับคนพวกนั้นฉีกปากเหลือเกิน “เอาล่ะ ไข่เน่า และเลือดหมู รวมถึงขี้วัวพวกเจ้าเตรียมพร้อมหรือยัง” สิ่งที่ฝ่ายนั้นเตรียมการ ย่อมมาจากปิงจือจือ และเหยาเหอซานร่วมมือกัน รั่วตงอวิ๋นได้ยินเสียงด
สามปีผ่านไป เมืองฝาง (เมืองหลวงแคว้นต้าเหลียง) ในยามนี้ไม่ใคร่สงบสักเท่าใด ประชนชนอยู่กันอย่างอกสั่นขวัญแขวน บ้างก็มีข่าวลือวงในว่า อาจเกิดการก่อกบฏ ด้วยฮ่องเต้อายุมากแล้ว ส่วนรัชทายาทนั้นอ่อนแอ ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนตัว เนื่องจากเมื่อต้นปีเขาถูกวางยา แต่สิ่งที่สร้างความประหลาดใจแก่ทุกคนก็คือ ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่า โต้วเซ่าเหล่ยหรือองค์ชายเจ็ด หายสาปสูญในเหตุการณ์ภูเขาถล่ม แต่จู่ๆ เขาก็เหมือนปีศาจที่ฆ่าไม่ตาย สามารถฟื้นคืนชีพ และกลับมาเมืองหลวงในช่วงที่สถานการณ์บ้านเมืองคับขัน และโต้วเซ่าเหล่ยก็คือ คนที่ผีเห็นยังหวั่น อีกทั้งชอบทำตัวราวกับจอมาร หน้ากากที่สวมไว้ครึ่งหน้า ไม่ยอมถอดออก ทั้งที่ความจริง เขาเป็นบุรุษรูปงาม แต่แสร้งทำตนอัปลักษณ์ ที่เขาทำตัวเช่นนั้น เพราะไม่อยากถูกผู้อื่น คิดว่าเขาจะแย่งบัลลังก์จากพี่ชาย (โต้วเซ่าเหล่ยกับรัชทายาท มีมารดาเป็นฮองเฮา) อีกอย่างเขาต้องการให้ตนหายใจหายคอสะดวก ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องมีสายตาใครจับจ้อง โดยเฉพาะพวกขุนนางทั้งหลาย จางคังฉิก มองเจ้านายของตน ที่นั่งดื่มสุราไปหลายจอก และดูเหมือนไม่ทันใจ เขาเลยยกกาสุราเทกรอกปากตัว
หลายเดือนผ่านไป ลี่ชุนวางสีหน้ายุ่งยากใจมาก นางบอกให้รั่วตงอวิ๋นว่า อย่างไรจงอย่าได้ตั้งครรภ์ แต่คนดื้อรั้นย่อมเป็นเช่นนี้ แต่ก็โชคดี ที่ไม่มีเรื่องรุนแรงเกิดขึ้น ด้วยลี่ชุนพอจะล่วงรู้ว่า เด็กในครรภ์นั้นเป็นลูกของผู้ใด และการรับนอนกับคุณชายท่านนั้น ทำให้อีกฝ่ายไถ่ถอนตัวเองจากการเป็นนางโลม และยังช่วยอีกหลายชีวิตให้มีความสุข กระนั้นรั่วตงอวิ๋นก็ยืนยันจะใช้ชีวิตที่หอวสันต์รัญจวน อีกทั้งนางเป็นผู้ซื้อกิจการจากลี่ชุน ด้วยนอกจากนั้นยังจะไม่ให้มีการหลับนอนกับแขกอย่างไม่ยินยอม ทั้งการทำงานที่ตรอกโคมเขียวนี้ สตรีทุกคนต้องทำอย่างถูกกฎหมาย อาชีพนี้ต้องได้รับเกียรติ ผู้ใดก็ห้ามดูถูก แม้นางจะมีหัวก้าวหน้าคิดอ่านไม่เหมือนคนยุคสมัยนั้น แต่คนทั่วไป ก็ยังมองตรอกโคมเขียว เป็นพื้นที่คาวโลกีย์เช่นเดิม หมางจูวิ่งเข้าวิ่งออก ห้องโถงที่มีหมอตำแยคลอดช่วยเหลือคนที่กำลังจะคลอดอยู่ กระนั้นสถานการณ์ยามนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย “หมอ เราต้องการหมอที่สำนักการแพทย์” นางเอ่ยกับลี่ชุน น้ำเสียงร้อนใจเต็มที “เสี่ยวจูจู เจ้าปัญญาทึบแล้วหรือไร หมอพวกนั้นไฉนจะลดตัวมารักษาพวกเรา
ณ ตำหนัก หูเหยียน นอกวังหลวง โต้วเซ่าเหล่ยกลับมาจากเมืองหน้าด่านและใช้ชีวิตเสเพล โดยการปลอมตัวเป็นหนุ่มเจ้าสำราญเกือบสองเดือน และเขาเข้าออกวังหลวงได้พบฮ่องเต้ และเหล่าองค์ชายที่สนิทกัน เพื่อปรึกษาเรื่องการรับมือกบฏที่กำลังคิดร่วมมือกับต่างแคว้น พอทุกอย่างสะสางเรียบร้อย เขาก็กลับมา สวมบทบาทเหล่ยอ๋องผู้ที่เหี้ยมโหด และบ้าอำนาจเช่นเดิม โต้วเซ่าเหล่ยอยู่ที่ตำหนักหูเหยียนอย่างไม่ใคร่จะสบายตา สบายใจ นั่นเป็นเพราะชายาเอก เหยาเหอซาน กับชายารองนาม ปิงจือจือ ที่ร้อยวันพันปีนับแต่แต่งเข้ามา พวกนางไม่เคยคิดจะกล้ามายุ่มย่ามกับเขา ต่างจับมือกันแน่น และบอกว่าอยากได้รับโอกาสปรนนับัติชายหนุ่ม และเขารู้ว่า ที่เป็นเช่นนั้น ด้วยทั้งคู่ถูกสกุลของตนบีบบังคับเพื่อเร่งให้มีทายาทกับเขา นอกจากนั้นพวกนางยังพลาดพลั้งมีความสัมพันธ์กับนักเล่านิทานผู้หนึ่ง เรื่องนี้เขาย่อมล่วงรู้ แต่ก็ปล่อยให้ทั้งคู่ หลงระเริงสักพัก หากพวกนางคิดได้ ก็จงสภาพผิด และหย่าขาดออกไปเสีย เพื่อปกป้องทั้งชีวิตตน กับสกุลเดิมของตน “บิดาหม่อมฉันคิดว่าถึงเวลาที่ต้อง มีบุตรให้เหล่ยอ๋องแล้ว” เหยาเหอซานว่าอย