“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าสองคนเคยเป็นคู่รักในวัยเยาว์ แต่อย่าได้คิดถึงเขาอีกเพราะวันนี้ข้าคือสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายของเจ้า”
โจวหานอี้ที่กำลังเมามาย ชี้นิ้วไปยังหญิงสาวที่กำลังจ้องมองเขาด้วยดวงตาแข็งกร้าว จนกระทั่งบัดนี้นางก็ยังมิยินยอมพร้อมใจแต่งให้กับเขา และเรื่องนั้นชายหนุ่มรู้แก่ใจดีแต่แล้วอย่างไรเล่า ในเมื่อเวลานี้ตนคือผู้เดียวที่จะได้ครอบครองนาง
ร่างสูงกระชากหญิงสาวตรงหน้าเข้าหาตน นางพยายามขัดขืนการกระทำอันหยาบช้าของชายหนุ่ม แต่แรงอันน้อยนิดของสตรีเช่นนางมีหรือจะสู้แรงของบุรุษฉกรรจ์เช่นเขาได้
ชุดเจ้าสาวสีแดงสดถูกฉีกกระชากออกจากร่างอรชรอย่างไม่ไยดี หญิงสาวกรีดร้องขอความช่วยเหลือแต่ด้านนอกกลับยังคงนิ่งเฉย เพราะหลังจากที่นางก้าวเข้ามาในตระกูลโจว สาวใช้ที่ติดตามเป็นสินเดิมของพานเยว่หลานก็ถูกขายออกไปทั้งหมด นั่นเป็นแผนของเฉิงหรงกุ้ยเฟยที่สั่งให้โจวฮูหยินผู้เป็นมารดาจัดการ
เมื่อสำเร็จตามความต้องการของตน ชายหนุ่มก็ออกจากห้องไปโดยไม่สนว่าเจ้าสาวที่พึ่งแต่งเข้ามาจะรู้สึกอย่างไร
สามวันผ่านไป
ความทุกข์ระทมทั้งกายและใจทำให้พานเยว่หลานล้มป่วย นางไม่สามารถเดินทางกลับไปยังบ้านเดิมของตนได้ เมื่อสาวใช้ของตระกูลพานถูกส่งมาสอบถามก็ได้ความว่า เพราะพานเยว่หลานเหน็ดเหนื่อยจากงานแต่งจึงทำให้นางล้มป่วย
คำตอบที่ได้รับทำให้มารดาของหญิงสาวไม่พอใจ นางจึงต้องมาเยือนตระกูลโจวด้วยตนเอง เมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของบุตรสาวนางก็รู้สึกปวดใจนัก ทว่าเพราะคำขู่ของเฉิงหรงกุ้ยเฟยที่จะทำให้บิดาของนางที่อยู่ชายแดนเกิดอุบัติเหตุ ทำให้นางมิสามารถเอ่ยปากกับมารดาให้นางรู้สึกไม่สบายใจได้
“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ ฮูหยินใหญ่สั่งให้ท่านไปพบที่เรือนเจ้าค่ะ”
สาวใช้จากเรือนของฮูหยินใหญ่โจวสะบัดเสียงอย่างเย่อหยิ่ง เมื่อต้องมาตามหญิงสาวไปพบกับนายของตน
“อืม ข้ารู้แล้ว”
พานเยว่หลานที่แต่งเข้าตระกูลโจวได้หนึ่งเดือน บัดนี้ไม่ต่างจากคนอื่น ถ้าไม่มีบ้านเดิมของมารดานางอาจถูกกระทำไม่ต่างจากสาวใช้ในเรือน เพราะทุกคนที่นี่ไม่มีใครรับใช้นางอย่างจริงใจเลยสักคน
วันดีคืนดีนางก็ถูกเรียกเข้าไปในวังให้คุกเข่าอยู่หน้าตำหนักกวานจีของเฉิงหรงกุ้ยเฟย ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยเหลือนางได้หญิงสาวทำได้เพียงต้องอดทนเท่านั้น เพื่อบิดาที่อยู่ชายแดนของนาง
“มาแล้วหรือ เจ้าคงจะรู้จักคุณหนูจ้าวกระมัง นางและหานเอ๋อรู้จักกันมานาน วันนี้มีโอกาสจึงได้มาร่วมแสดงความยินดีกับการแต่งงานของพวกเจ้า”
หญิงสาวมองแม่สามีที่ปกติมักจะทำหน้าตึงใส่ตนราวกับไม่พอใจอยู่ตลอดเวลา ทว่าเมื่อสตรีผู้นี้มาเยือนตระกูลโจวกลับแสดงสีหน้าที่แตกต่างให้เห็น หมายความว่าสตรีนามจ้าวหรูอี้ผู้นี้มีความสำคัญอยู่ไม่น้อย หรือไม่ก็เพียงแค่นางไม่ยอมรับสะใภ้พระราชทานเช่นตนก็เท่านั้น
“สวัสดีคุณหนูพาน ข้าคือหรูอี้เป็นสหายในวัยเด็กของพี่หานอี้ เราเคยได้พบกันตามงานเลี้ยงน้ำชาอยู่หลายครั้ง ท่านคงจะจำข้าได้กระมัง”
ร่างบางยกยิ้มเล็กน้อย กิริยาที่แสดงล้วนแต่เฉยเมยคล้ายกับมิได้ล่วงรู้ถึงความนัยแฝงที่จ้าวหรูอี้เอ่ยกับนาง
“ข้าว่าคุณหนูจ้าวเรียกข้าว่าฮูหยินน้อยโจวน่าจะดีกว่านะ อย่างไรข้าก็แต่งเข้าตระกูลโจวตามพระราชโองการของฝ่าบาทแล้ว หากมีผู้ใดมาได้ยินเข้าคงจะคิดว่าเจ้าไม่ยอมรับสมรสพระราชทานในครั้งนี้ ไม่แน่อาจสะเทือนไปถึงตระกูลจ้าวกั๋วกงที่เลี้ยงดูเจ้ามา”
หญิงสาวเอ่ยเพียงเรียบๆ มิได้ใส่ใจว่าหญิงสาวตรงหน้าจะแสดงสีหน้าอย่างไร แต่เป็นอีกฝ่ายที่เริ่มแสดงท่าทีร้อนรนออกมา
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าเพียงแต่ยังไม่คุ้นชินกับสถานะที่เปลี่ยนไปของเจ้าเท่านั้น อย่างไรข้าก็มาเยี่ยมท่านป้าบ่อยครั้งเป็นครั้งแรกที่ได้พบกันที่นี่ ยินดีกับการแต่งงานด้วย”
ร่างบางยกน้ำชาขึ้นจิบพลางเหลือบมองไปยังหญิงสาวใบหน้างดงามที่แต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมอย่างวิจิตร ถ้าหากนางมีใจให้กับโจวหานอี้บ้างเล็กน้อย อาจมีอาการหึงหวงอยู่บ้าง เมื่อได้เห็นสตรีอื่นแสดงกิริยาราวกับตนเองคือเจ้าของสามีนาง
“คำว่ายินดีน่าจะเหมาะกับสามีของข้ามากกว่ากระมัง สำหรับตัวข้าที่มิได้เป็นผู้ขอพระราชโองการนั้น...”
หญิงสาวหยุดไปเล็กน้อย นางเบื่อเต็มทนที่ต้องมานั่งมองพวกนางเสแสร้งเล่นละครตบตาให้นางดูว่าพวกเขารักใคร่ปรองดองกันเพียงใด มันน่าสะอิดสะเอียน
“เอาเป็นว่าท่านแม่ต้องการให้ข้ามาทักทายคุณหนูจ้าวเท่านั้นกระมัง ในเมื่อคนก็ได้พบแล้ว ทักทายก็ทักทายแล้ว เช่นนั้นข้าต้องตัวก่อน”
หญิงสาวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนยอบกายทำความเคารพให้กับฮูหยินใหญ่โจว จากนั้นเดินออกจากห้องไปอย่างไม่สนใจว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังจะมีสีหน้าอย่างไร
“เจ้า!! ช่างเป็นคนนิสัยแย่จริงๆ ไม่รู้ว่าตระกูลพานสั่งสอนนางมาอย่างไรกันแน่”
สตรีวัยกลางคนที่ประโคมเครื่องประดับทองเต็มหัวและแต่งกายด้วยชุดเสื้อผ้าหรูหราราวกับกำลังจะเตรียมตัวไปงานเลี้ยง ชี้นิ้วอันสั่นเทาไปยังร่างบางที่เดินออกจากห้องอย่างไม่สนใจตน
“ท่านป้าอย่าได้อารมณ์เสียเลยนะเจ้าคะ อย่างไรนางก็เป็นคนที่ฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้ตระกูลโจว หากนางจะเย่อหยิ่งก็สมควร อีกอย่างนางคงจะไม่ชอบใจนักที่ได้เห็นข้าที่เป็นสหายวัยเด็กของพี่หานอี้มาที่นี่ ข้า..เข้าใจนางเจ้าค่ะ”
จ้าวหรูอี้แสร้งแสดงสีหน้าเศร้าสร้อยต่อหน้าฮูหยินใหญ่โจว ราวกับว่าตนเองได้รับความอยุติธรรมเสียหนักหนา
สตรีทั้งสองคนที่กำลังสนทนาภายในห้อง มิได้ล่วงรู้เลยว่าทั้งหมดเป็นแผนการของเฉิงหรงกุ้ยเฟยและโจวอี้หรานผู้เป็นบิดา ที่ต้องการรวบรวมอำนาจและกำจัดคนที่มาขัดขวางเส้นทางของตน
“นางจะคิดอย่างไรก็เรื่องของนาง มิใช่เรื่องที่เจ้าต้องคิดมาก อย่างไรในสายตาของข้า เจ้าก็ยังเป็นคนสำคัญที่สุดสำหรับจวนตระกูลโจวของเรา”
หญิงสาวที่เคยแสดงสีหน้าเศร้าสร้อยบัดนี้กลับมาแช่มชื่นอีกครั้ง เมื่อได้ฟังวาจาหวานหูของฮูหยินใหญ่ตระกูลโจว
“ขอบคุณท่านป้าที่เข้าใจข้าเจ้าค่ะ อย่างไรวันหน้าข้าก็คงมาที่นี่บ่อยๆ ไม่ได้แล้วเพราะพี่หานอี้แต่งงานกับคุณหนูพานผู้นั้น หากมีผู้อื่นเห็นว่าข้ายังมาที่นี่อาจมีข่าวลือที่ไม่ดีออกไป”
“ใครจะพูดเช่นไรหาต้องใส่ใจ มีเพียงข้าที่รู้ดีที่สุดว่าหานเอ๋อนั้นมีใจให้กับใคร”
ฮูหยินใหญ่โจวตบหลังมือหญิงสาวแผ่วเบาเพื่อเป็นการปลอบโยน ภายในหัวของนางบัดนี้กำลังนึกถึงอำนาจที่ตระกูลโจวจะได้รับถ้าได้เกี่ยวดอกกับตระกูลจ้าว
ทว่าเฉิงหรงกุ้ยเฟยไม่เคยต้องการให้พี่ชายแต่งงานกับจ้าวหรูอี้สักนิด เพราะตระกูลจ้าวกั๋วกงนั่นมิใช่ผู้ที่จะถูกชักจูงหรือควบคุมได้ง่าย
อย่างไรจ้าวไทเฮาก็เป็นคนตระกูลจ้าว ถ้าหากตนกระทำสิ่งใดให้นางรู้สึกว่าเป็นการคุกคาม ตัวนางที่อยู่ในวังหลังเป็นอันต้องลำบากแน่
พานเยียนหลิงและเย่เสวียนจื่อมีบุตรชายหญิงด้วยกันถึงสี่คน พานจื่อหยวนแต่งงานกับหลานสาวแม่ทัพเจิ้งมีบุตรชายหญิงฝาแฝดด้วยกันสองคน ส่วนพานซืออวิ๋นได้แต่งงานกับเย่อิ่งเจินมีบุตรีสองคนและชายหนึ่งคน ชีวิตที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดของสามพี่น้องบัดนี้ดีพร้อมเกินกว่าจิตนาการในทุกฤดูใบไม้ผลิหญิงสาวจะพาครอบครัวและเจ้าเสือดำพี่น้องนั่งเรือกลับไปยังหมู่บ้านมู่โถวเพื่อเยี่ยมเยียนท่านย่าจวงปีต่อมาหลวงจีนอันคงในวัยสี่สิบห้าได้เสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคประหลาด กล่าวคือเขานอนหลับแล้วสิ้นลมไปอย่างเงียบๆ ภายในห้องพัก ไม่สามารถตรวจหาสาเหตุการเสียชีวิตได้สิบห้าปีต่อมาท่านย่าจวงในวัยชราได้จากไปเช่นกัน ถึงกระนั้นพานเยียนหลิงก็ยังกลับไปที่หมู่บ้านมู่โถวเพื่อรำลึกถึงสิ่งที่ย่าจวงเคยมอบให้แก่ตนและน้องทั้งสองนางไม่มีสิ่งใดตอบแทนหญิงชรามีเพียงการดูแลหลานชายของนางให้มีชีวิตที่ดี เพื่อเป็นการกตัญญูต่อนางพานเยียนหลิงได้มอบจวนที่อยู่ในอำเภอตงผิงให้แก่จวงอี้ซิงและครอบครัว ทุกปีนางจะแบ่งเสบียงที่ได้รับจากที่ดินพระราชทานบางส่วนให้แก่พวกเขาณ ถนนเส้นหลักใจกลางเมืองหลวง“ตีมันให้ตาย!!เจ้าขอทานสกปรกตัวเหม็น”เสียงร้องโอดโอยด้
“เจ้ากลับมาแล้วหรือ ก่อนหน้านี้เกิดอันใดขึ้นกันแน่บอกเจิ้นมาให้หมด”เซี่ยฮ่องเต้มองไปยังเจ้าเสือดำสองพี่น้องที่นอนหมอบอยู่อย่างสงบด้วยท่าทีหวาดๆ ความจริงหลังจากที่ได้รับคำร้องขอเข้าเฝ้าพร้อมเสือดำสองตัวที่สร้างความปั่นป่วนไปทั่วเมืองหลวง พระองค์ก็ทรงอยากเห็นด้วยตาตนเองสักครั้ง ไม่คิดว่าจะมีขนาดใหญ่โตเช่นนี้พานเยียนหลิงเมื่อได้ยินเสียงความคิดของเซี่ยฮ่องเต้นางก็ลอบยิ้มให้กับตนเอง นี่เป็นทางเดียวที่นางจะสามารถนำเสี่ยวเจี่ยและเสี่ยวเกอมาอยู่ที่นี่ได้ คือต้องผ่านความเห็นชอบของเจ้าของแผ่นดิน“ความจริงเสือดำทั้งสองเป็นครอบครัวของหม่อมฉันเองเพคะ เมื่อครั้งยังเยาว์พวกเราเติบโตมาด้วยกัน หม่อมฉันกำพร้าแม่ส่วนแม่ของพวกมันก็ถูกพรากชีวิตไปเช่นกัน”“เจ้า...หมายความว่าอย่างไร”“แม่ของพวกมันถูกองค์ชายใหญ่ระดมคนมากมายตามสังหารเมื่อหลายปีก่อน ในช่วงเวลานั้นหม่อมฉันเองก็อยู่ที่นั่นด้วย”“นั่น!!..”พานเยียนหลิงเข้าใจว่าเซี่ยฮ่องเต้อาจรู้สึกผิดทว่าเรื่องนั้นก็ผ่านมานานแล้ว จึงไม่ควรเอ่ยถึงอีก“พวกมันไม่ถือสาเรื่องในอดีตแล้วเพคะ ทว่าหม่อมฉันยังมีเรื่องต้องกราบทูลพระองค์”หญิงสาวหยุดไปเล็กน้อยก่อนเอ่ยถึงเร
หลังจากที่ได้พบเสือดำสองพี่น้อง ชายหนุ่มก็ได้ติดตามพวกมันไปจนกระทั่งพบร่างของพานเยียนหลิงและฟู่อี้ที่นอนหมดสติอยู่ในหลุมดักสัตว์ คนทั้งสองถูกช่วยเหลือขึ้นมา ส่วนฟู่อี้ที่บาดเจ็บสาหัสถูกมัดติดกับหลังของเสี่ยวเกอวิ่งไปยังโรงหมอที่ใกล้ที่สุดเพื่อช่วยชีวิตเขาผู้ติดตามสองคนใช้วิชาตัวเบาทะยานตามไปมองภาพนั้นด้วยสีหน้าอึ้งงัน ไม่คิดว่าพวกตนที่มีวิชาตัวเบาที่ดีที่สุดกลับไม่สามารถตามเสือดำตัวนั้นได้ทันย้อนกลับมายังปัจจุบันคนของเย่เสวียนจื่อจัดการนักฆ่าที่เหลือที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือต่อให้ปล่อยเอาไว้คนเหล่านั้นก็คงไม่สามารถมีทางรอดชีวิต แต่ละคนไม่แขนขาดก็ขาขาดเพราะถูกเสี่ยวเกอและเสี่ยวเจี่ยจัดการ“เสี่ยวเจี่ยเด็กดี”หญิงสาวดิ้นรนออกจากอ้อมแขนของชายหนุ่มหลังจากที่รู้ว่าตนมิได้กำลังฝันไป แม้จะแต่งงานกับเขาแล้วพานเยียนหลิงก็ยังรู้สึกเขินอายทุกครั้งเมื่อต้องอยู่ในอ้อมแขนของเขาเสี่ยวเจี่ยที่นอนอยู่ด้านข้างใช้หัวดุนดันร่างของนางจนพานเยียนหลิงล้มลง ร่างบางกอดมันเอาไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับหลับตาซึมซับความคิดถึง“มันพาข้ามาพบเจ้าที่นี่”ร่างบางผินไปมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ“จริงหรือ ได้อย่างไรก
ท่ามกลางหุบเขาลึกพานเยียนหลิงแบกร่างที่แทบหมดสติของชายหนุ่มเอาไว้บนหลัง เสียงหอบหายใจของคนทั้งสองถี่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกย่างก้าวของนางมีเลือดของฟู่อี้ไหลหยดเป็นทางท้องฟ้ายามนี้กำลังอัสดง เสียงนกกาที่กำลังบินกลับรังกู่ร้องก้องสะท้านไปทั่วหุบเขา หญิงสาวที่กำลังหมดแรงแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า นางอยากจะภาวนาต่อสวรรค์ของให้ปล่อยพวกตนไปแต่ดูเหมือนคำร้องขอของนางจะถูกปฏิเสธ เมื่อร่างบางก้าวไปด้านหน้า พลันนางสัมผัสได้ถึงความเวิ้งว้างที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า สองร่างร่วงหล่นลงในหลุมขนาดใหญ่ พานเยียนหลิงหวีดร้องจนสุดเสียงฟู่อี้ทับอยู่บนร่างเล็กทว่ามิอาจขยับกายได้ หญิงสาวดิ้นรนอยู่นานกว่าจะนำร่างตนเองออกมาได้เป็นอิสระร่างบางมองขึ้นไปด้านบนด้วยสีหน้าซับซ้อน บัดนี้คนทั้งสองกำลังติดอยู่ในหลุมดักสัตว์ของนายพราน นางไม่คิดว่าในหุบเขาลึกเช่นนี้จะมีคนมาขุดหลุมใหญ่เอาไว้เสียได้ ทั้งนางและฟู่อี้ตอนนี้ถูกขังโดยสมบูรณ์ หากนักฆ่าเหล่านั้นตามมาทันพวกนางไม่มีทางรอดไปได้แน่กว่าสองชั่วยามที่หญิงสาวพยายามปีนป่ายออกจากหลุมลึก ไม่มีน้ำไม่มีอาหารหากต้องติดอยู่ที่นี่ก็ไม่ต่างจากการเฝ้ารอความตาย หญิงสาวมองชายหนุ่มที่บัดนี้นอนหายใจรว
ทหารในเมืองหลวงถูกระดมกำลังพลออกตามหาหญิงสาวอย่างลับๆ รถม้าทุกคันเรือทุกลำต่างถูกตรวจค้นอย่างเข้มงวด ทว่าเรือลำที่พวกเขาโดยสารมีตราสัญลักษณ์ของราชวงศ์จึงได้ถูกปล่อยผ่านพานเยียนหลิงและฟู่อี้ถูกขังเอาไว้ภายในห้องโดยสารหลายวันแล้ว อาการบาดเจ็บของเขาดีขึ้นมากจากการดูแลของหญิงสาว นางฟังความคิดของคนที่เป็นหัวหน้าทำให้รู้ว่าพวกตนกำลังมุ่งหน้าไปที่ใดที่แท้จริงคนมากมายเหล่านี้ที่แต่งกายเลียนแบบทหารต้าเหลียงคือคนของตระกูลโจวที่เลี้ยงดูเอาไว้ และพวกเขายังเป็นพวกเดียวกับโจรป่าที่ถูกกำจัดไปเมื่อปีก่อนพานเยียนหลิงไม่คิดว่าจะยังหลงเหลือมากมายเพียงนี้ เป็นนางที่พลาดเองที่ไม่ตรวจสอบให้แน่ชัด หรือไม่บางทีคนเหล่านี้ก็ถูกแยกออกจากคนกลุ่มนั้นเพื่อคอยทำงานสกปรกให้กับตระกูลโจว“ฟู่อี้ อีกเพียงไม่นานก็จะถึงจุดหมายแล้ว แม้เจ้าจะยังบาดเจ็บภายในแต่เราคงรอนานกว่านี้ไม่ได้ เจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่”ชายหนุ่มมองดวงตาดำขลับเปล่งประกายราวกับดวงดาวยามค่ำคืนของหญิงสาว เขาไม่รู้ว่านางรู้เรื่องทุกอย่างนี้ได้อย่างไร แต่เขาเชื่อใจหญิงสาวตรงหน้าอย่างเต็มเปี่ยมภาพเด็กน้อยเมื่อหลายปีก่อนผุดขึ้นมาในหัว เด็กสาวที่ต่อสู้ดิ้นรนเ
“เร็วเข้า!!รีบไปช่วยพี่สาวของข้า!!”“นี่!...อวิ๋นเอ๋อ!!เจ้าพูดได้แล้วหรือ”ชายหนุ่มตกตะลึงเมื่อได้ยินเสียงของเด็กสาวเป็นครั้งแรก“พี่เสวียนจื่อรีบไปช่วยพี่ใหญ่เร็วเข้า นางกำลังถูกพาตัวมุ่งหน้าไปทางอำเภอตงผิง”“เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”เด็กน้อยได้รับสารมาเพียงเท่านี้ ยังไม่รู้ว่าพี่สาวถูกพาตัวไปทางบกหรือทางน้ำ ตอนนี้ก็ผ่านไปหลายชั่วยามแล้วพวกเขาจะต้องนำหน้าไปห่างไกล“ไม่ต้องถามแล้ว! แม้แต่พี่ฟู่อี้ตอนนี้ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสท่านต้องรีบไปช่วยพวกเขาโดยด่วน ไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะสายเกินไป”เย่เสวียนจื่อสงสัยว่าเด็กน้อยรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรในเมื่อนางนอนป่วยไม่ได้สติมาตั้งแต่เมื่อคืน ทว่าเรื่องช่วยพานเยียนหลิงและฟู่อี้นั้นสำคัญยิ่งกว่าจึงมิได้ซักถามให้มากความ ชายหนุ่มรีบพาคนออกจากจวนเพื่อไปช่วยพวกเขาย้อนกลับไปเมื่อหลายชั่วยามก่อนพานเยียนหลิงนั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังตำหนักองค์หญิงใหญ่ที่อยู่นอกเมือง เมื่อถึงช่วงเส้นทางเปลี่ยวร้างไร้ผู้คน มือสังหารมากมายได้พุ่งเข้าปิดล้อมรถม้าของนางภายในเวลาเพียงไม่นานความโกลาหลก็เกิดขึ้น องครักษ์เงาทั้งหกรวมถึงฟู่อี้ได้ช่วยสกัดมือสังหารเหล่านั้น ทว่าคนน้อ