สามวันต่อมา
“พานเยว่หลานรับราชโองการ”
“ด้วยโองการแห่งฟ้า คุณหนูตระกูลพานผู้งดงาม เฉลียวฉลาดและเปี่ยมด้วยคุณธรรม บัดนี้ยังมิได้มีการหมั้นหมายกับตระกูลใด ฮ่องเต้เล็งเห็นว่าแม่ทัพพานเป็นผู้มีคุณต่อแผ่นดินต้าเหลียง จึงได้มอบพระราชทานมงคลสมรสให้แก่บุตรีอย่างพานเยว่หลานและคุณชาย โจวหานอี้ บุตรชายของเสนาบดีกรมพระคลัง ขอให้ทั้งสองจงมีแต่ความสุขความเจริญ”
พานเยว่หลานผู้ที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าขันทีจากวังหลวง บัดนี้ร่างกายชาวาบตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า นางไม่รู้เลยว่าพระราชโองการนี้มาได้อย่างไร
“คุณหนูพานโปรดรับพระราชโองการเถิด”
หญิงสาวถูกผู้เป็นมารดากระตุ้นจากด้านข้าง จึงได้ลุกขึ้นไปรับหนังสือพระราชโองการจากขันทีจาง
“ขอแสดงความยินดีกับคุณหนูพานด้วยขอรับ”
“ขอบคุณ...เจ้าค่ะ”
ขันทีจางผู้รับหน้าที่เดินทางมายังตระกูลพานเพื่อประกาศพระราชโองการ เมื่อได้เห็นใบหน้างามซีดขาวเพียงเท่านี้ก็มองออกแล้วว่านางมิได้พึงใจต่อพระราชโองการฉบับนี้
“เช่นนั้นข้าต้องขอตัวก่อน”
“ได้โปรดรอก่อน มิทราบว่าท่านขันทีช่วยบอกได้หรือไม่ ว่าผู้ใดเป็นผู้ขอพระราชโองการฉบับนี้เจ้าคะ”
ขันทีจางหันกลับไปมองร่างบางด้วยสีหน้าเวทนา นางเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกดึงเข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องของอำนาจทางการเมืองโดยไม่รู้ตัว
“ความจริงเรื่องนี้ข้าไม่สามารถพูดออกไปได้ แต่เพราะว่าเห็นเจ้าไม่รู้เรื่องนี้ ข้าจะบอกก็แล้วกัน”
หลังจากที่ขันทีจางและคณะจากไป หญิงสาวก็วิ่งกลับไปยังเรือนของตนด้วยสีหน้าทุกข์ระทม ภายในหัวของนางยังคงได้ยินเสียงของขันทีจางดังก้อง
“เป็นฝีมือของเฉิงหรงกุ้ยเฟย พระนางไม่พอใจที่ฮองเฮาทาบทามเจ้าให้กับฝ่าบาท”
เพียงเพราะความต้องการฝักใฝ่ในอำนาจของตน ถึงกับทำลายชีวิตของสตรีผู้หนึ่ง พานเยว่หลานรู้สึกเกลียดชังคนตระกูลโจวนัก
ภายหลังได้รับพระราชโองการหญิงสาวก็เอาแต่ขังตนเองอยู่ภายในห้อง ไม่ยอมพบหน้าผู้ใด แม้แต่สองอาหลานมาที่นี่นางก็ยังบอกปัด เพราะละอายแก่ใจที่ต้องพบหน้าพวกเขา
“ท่านแม่ลูกไม่ต้องการแต่งงานกับคุณชายตระกูลโจวนั่น”
“แม่รู้แต่พวกเราไม่สามารถขัดพระราชโองการได้ ตัดใจจากเย่เหิงเสียเถิด ถือเสียว่าลูกทั้งสองคนไร้วาสนาต่อกัน”
มารดาของพานเยว่หลานเข้ามาเกลี้ยกล่อมให้บุตรสาวยอมแต่งงานกับโจวหานอี้แต่โดยดี เพราะวันนี้ทางนั้นได้ส่งของหมั้นมายังเรือนตระกูลพานพร้อมแม่สื่อเรียบร้อยแล้ว
“ข้า...ฮื่ออออ!! ท่านแม่ลูกไม่ได้รักเขา ฮื่อออ!! เหตุใดลูกต้องแต่งงานกับคนที่ลูกมิได้รัก”
หญิงสาวร่ำไห้ปานใจจะขาดเพราะรู้สึกทุกข์ระทมที่ต้องแต่งงานกับคนที่ตนมิได้รัก
อีกด้าน ชายหนุ่มตระกูลเย่ที่บัดนี้ถูกขังเอาไว้ในเรือนเพราะออกไปอาละวาดที่ตระกูลโจว จึงได้ถูกพี่ชายจับตัวกลับมา บัดนี้เขาเองก็ทุกข์ใจไม่ต่างกัน คนทั้งสองเติบโตและผูกพันรักใคร่กันมาตั้งแต่ยังเล็ก ทุกอย่างล้วนอยู่ภายใต้สายตาของผู้ใหญ่ทั้งสองตระกูล
พวกเขาต่างคิดว่าวันหน้าตระกูลทั้งสองจะได้เกี่ยวดองกัน แต่นึกไม่ถึงว่าวันหนึ่งทุกอย่างจะถูกทำลายด้วยพระราชโองการฉบับเดียว
“ปล่อยข้า!! ปล่อยข้าออกไป!!ข้าจะไปสังหารเจ้าคนแซ่โจวนั่น เขากล้าดีอย่างไรมาแย่งชิงหลานเอ๋อไปจากข้า”
เสียงตะโกนออกมาจากเรือนส่วนตัวของชายหนุ่ม เย่เหิงบัดนี้ช่างดูต่างจากบัณฑิตหนุ่มผู้มีอนาคตไกลยิ่งนัก เขาดื่มเหล้าเมาทุกวันตั้งแต่ได้ยินข่าวเรื่องพระราชโองการพระราชทานมงคลสมรสของพานเยว่หลาน
เด็กชายตัวน้อยผู้เป็นหลานเดินมายังหน้าเรือนของผู้เป็นอา เขามองไปยังประตูที่ถูกปิดสนิทพลางหันไปมองบิดาที่ยืนสีหน้าจนใจอยู่ด้านข้าง หลายวันมานี้เย่เสวียนจื่อทำตัวเป็นเด็กดีว่าง่ายกว่าทุกครั้ง เพราะเขาสัมผัสได้ว่าภายในจวนมีบัดนี้มีแต่บรรยากาศเศร้าหมองและยุ่งเหยิง
“ท่างพ่อ ท่างอาเสียจาย”
เย่เทียนหลางลูบหัวทุยของบุตรชาย จากนั้นจึงอุ้มเขาออกจากเรือนของน้องชายคนที่สามไป
รัชศกเจียวจิ้นปีที่สอง
เกี้ยวสีแดงหลังใหญ่ที่มีบุรุษร่างกำยำถึงแปดคนหามพร้อมกับก้าวเดินเป็นจังหวะ ขบวนเจ้าสาวผู้เพียบพร้อมและงดงามเป็นเอกถูกแห่ไปตามถนนเส้นหลังของจิ่งโจวเมืองหลวงของต้าเหลียงอย่างยิ่งใหญ่
ร่างบางในชุดเจ้าสาวสีแดงนั่งสงบนิ่งอยู่ภายใน เสียงเครื่องเป่าดังเป็นจังหวะสูงต่ำ เรียกความสนใจของชาวเมืองให้เข้ามารุมล้อมเพื่อรับกลิ่นอายความเป็นสิริมงคลนั้น ทว่าหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านในกลับมิได้รู้สึกถึงมันแม้เพียงนิด
ภายในใจยังคงคุกรุ่นด้วยแรงโทสะมิจางหาย ตั้งแต่ที่ได้รับพระราชโองการฉบับนั้น ตระกูลพานก็พยายามยื้อการแต่งงานออกไปถึงหนึ่งปี ทว่าก็มิสามารถทำเช่นนั้นได้ตลอดไป
หญิงสาวปาดน้ำตาตนเองออกจากใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมอย่างสวยงาม ดวงตาแดงก่ำของนางจ้องไปยังผ้าสีแดงผืนบางที่คลุมปิดเอาไว้
ในมือลูบหยกสลักของแทนใจที่ชายหนุ่มคนรักมอบให้ตน แม้กายของนางจักต้องเป็นของผู้อื่น ทว่าใจของพานเยว่หลานก็มิยินยอมมอบให้ผู้ใด
เมื่อช่วงเวลากราบไหว้ฟ้าดินของบ่าวสาว ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งก็เดินโซซัดโซเซเข้ามาภายในงาม เขาเขวี้ยงไหสุราลงไปบนพื้นด้วยความเจ็บปวดและโทสะที่อัดแน่น พลางชี้ไปยังเจ้าบ่าวในชุดสีแดงมงคลตรงหน้า
“เจ้าคนแซ่โจว เจ้าถือดีอย่างไรมาแย่งชิงคนรักของข้า เจ้าถือดีอย่างไรมาใช้นางเป็นเครื่องมือหาอำนาจของตระกูลเจ้า พวกบัดซบ พวกเจ้าคนตระกูลโจวมันมีแต่ตัวบัดซบทั้งนั้น”
ไม่มีใครคาดคิดว่าชายหนุ่มอนาคตไกลอย่างเย่เหิงจะกลายเป็นชายขี้เมาไร้สติเช่นนี้ เย่เทียนหลางที่ได้รับเทียบเชิญมาร่วมงานแต่งงาน เมื่อเห็นน้องชายที่ควรถูกขังอยู่ในเรือนออกมาอาละวาดที่นี่ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นฝีมือของผู้ใด
ต้องเป็นฝีมือของเจ้าเด็กแสบนั่นแน่นอน
“อาเหิงเจ้าเมาแล้วกลับเรือนไปเสีย”
“ข้าไม่กลับ!! ถ้ามิใช่เจ้าโจรถ่อยผู้นี้ชิงขอพระราชโองการ เขาหรือจะคู่ควรกับหลานเอ๋อของข้า”
ชายหนุ่มชี้หน้าเจ้าบ่าวอย่างไม่ยินยอม หญิงสาวที่มองผ่านผ้าคลุมหน้าสีแดงได้แต่พยายามอดกลั้น เพราะไม่ต้องการให้เรื่องราวบานปลายไปมากกว่านี้
“คุณชายสามตระกูลเย่ ข้าเห็นว่าตอนนี้ท่านกำลังเมาหนัก จึงไม่คิดถือสาต่อสิ่งที่ท่านพ่นวาจากล่าวล่วงเกินตระกูลโจวของข้า แต่ถ้าหากท่านยังไม่หยุด อย่าหาว่าข้าโจวหานอี้ไม่ไว้หน้าตระกูลเย่”
เย่เทียนหลางเห็นวาจาของโจวหานอี้เอ่ยเหน็บแนมราวกับตนสูงส่งก็ชักสีหน้าอย่างไม่พอใจ ทว่าจ้าวหยวนเอ๋อผู้เป็นภรรยาได้จับมือเขาเอาไว้พลางส่ายหน้ามิให้เขาตอบโต้กลับคืนไป
“คนมา...พาตัวคุณชายสามกลับเรือนไปซะ วันนี้เขาก่อเรื่องวุ่นวายเกินไปแล้ว”
เย่เทียนหลางผู้เป็นพี่ใหญ่สั่งผู้ติดตามของตนให้มาคุมตัวเย่เหิงกลับเรือน แต่ก่อนจากไปเขายังหันมาเอ่ยกับเจ้าบ่าวอย่างโจวหานอี้เล็กน้อย
“นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะยอมให้ตระกูลโจว พบกันครั้งหน้าข้าไม่ถือสาที่ท่านจะทำให้พวกเจ้าได้พบกับความเจ็บปวดดั่งเช่นที่น้องชายของข้าได้รับ”
เอ่ยจบร่างสูงก็สะบัดแขนเสื้อก้าวออกจากเรือนตระกูลโจวไป
ภายหลังเมื่อการกราบไหว้ฟ้าดินผ่านไป ร่างบางถูกแม่สื่อนำตัวไปยังห้องหอที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ เสียงแขกเหรื่อด้านนอกกล่าวแสดงความยินดีดังเซ็งแซ่ ทว่าเจ้าสาวกลับนั่งใบหน้าเรียบเฉยราวกับมิใช่งานมงคลของตน
“คารวะคุณชายใหญ่เจ้าค่ะ”
เสียงของสาวใช้ที่ทำหน้าที่เฝ้าด้านนอกเอ่ยทักทายผู้มาเยือน เรียกสติที่กำลังเหม่อลอยของหญิงสาวกลับคืนมา ประตูที่ปิดสนิทบัดนี้ถูกเตะเปิดออกเสียงดัง ร่างสูงโปร่งเดินโซซัดโซเซตรงมายังหญิงสาวที่นั่งรออยู่ ก่อนผ้าสีแดงผืนบางจะถูกสะบัดออกอย่างแรง
ณ เรือนตระกูลหลี่“กลับมาแล้วหรือเจ้าพวกตัวซวย หายหัวไปทั้งคืนยังกล้ากลับมาที่นี่อีกนะ”เสียงแหลมสากของแม่เฒ่าหม่าดังขึ้นด้านหลัง ในระหว่างที่สองพี่น้องกำลังย่องกลับไปยังห้องเก็บฟืน“ท่านย่า”หญิงชรามีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ที่เด็กสาวหันมาพูดกับตนด้วยสีหน้าเย็นชา ทั้งที่ในยามปกติมักจะแสดงท่าทีขลาดกลัวเป็นครั้งแรกที่ได้พบหญิงชราหลังจากย้อนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง หลี่อันหนิงกำหมัดแน่นเพื่อระงับอารมณ์โกรธแค้นที่ปะทุขึ้นภายในใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของตนเป็นเพราะหญิงชราผู้นี้ วันหน้านางจะต้องตอบแทนอย่างสาสมให้สมกับที่ครอบครัวของตนได้รับมาหลี่อันหนิงสบถสาบานในใจ“ท่าย่ามีอะไรจะใช้ข้าหรือ”เด็กสาวถามเสียงห้วน ไร้ท่าทีขลาดกลัวดั่งเช่นวันวาน“วันนี้พวกแกสองคนไม่ได้รับอนุญาตให้ทานอาหาร ต้องทำงานที่เหลือจากเมื่อวานให้เสร็จทั้งหมด จากนั้นก็ขึ้นเขาไปเก็บผักป่ามาซะ”หลี่อันหนิงบิดปากเล็กน้อย ห้ามทานอาหารหรือ อาหารที่แม้แต่หมูยังไม่อยากทานใครมันจะกลืนลงท้องได้ เด็กน้อยทั้งสองไม่ตอบโต้ กลับทำตามที่หญิงชราสั่งอย่างว่าง่าย ซึ่งต่างจากท่าทีเฉยชาที่แสดงออกหลี่เจียนเจียนเดินผ่านสองพี่น้องที่กำล
กลางดึก ในระหว่างที่พี่น้องกำลังหลับสนิท เสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังก้องสะท้านขึ้นที่ด้านนอกถ้ำ หลี่อันหนิงและหลี่ซางเป่าสะดุ้งรู้สึกตัวขึ้นพร้อมกันเด็กสาวมิได้เล่าเรื่องที่ตนได้ยินเจ้าก้อนขนสีดำพูดคุยกันให้น้องสาวฟัง ไม่คิดว่าแม่ของมันจะกลับมาในคืนนี้ ในระหว่างที่หลี่อันหนิงกำลังคิดหาทางหนี เสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวดของเจ้าสัตว์ร้ายด้านนอกดังขึ้นแผ่วเบาในหัวของนางได้ยินเสียงของมันรำพึงถึงลูกน้อยทั้งสอง เด็กสาวมองไปยังฝั่งตรงข้ามของบ่อน้ำร้อน ก่อนตัดสินใจเดินออกไปดูในความมืดสลัวราง หลี่ซางเป่าจับแขนเสื้อของพี่สาวเอาไว้มั่น“พี่ใหญ่ไปไหนหรือ”“ซางเป่ารอพี่อยู่ที่นี่ได้หรือไม่ ไม่นานพี่จะกลับมา”เด็กน้อยส่ายหน้าปฏิเสธแสดงท่าทีหวาดกลัว นางเห็นน้องน้อยแสดงท่าทางเช่นนั้นออกมา ก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ“ได้ๆ เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิด”หญิงสาวจับมือของน้องสาวเดินออกมาทางปากถ้ำ ที่ยังคงได้ยินเสียงร้องครางของสัตว์บาดเจ็บชัดเจน เมื่อไปถึงบริเวณปากถ้ำที่นั่นมีคบเพลิงมากมายถูกจุดโดยมนุษย์ดวงตาดำสนิทของเจ้าสัตว์ร้ายจ้องมองมายังนางและน้องสาวที่ซ่อนตัวอยู่ เจ้าก้อนขนทั้งสองที่ไม่รู้ว่าตามมาตั้งแ
หลี่อันหนิงพยักหน้าพลางลูบผมของเด็กน้อยซางเป่าอย่างภูมิใจ ตอนนี้ตนเองเป็นเพียงเด็กเท่านั้นไม่อาจทำตามใจตนดั่งเช่นผู้ใหญ่ได้ หากต้องการปกป้องน้องทั้งสองนางจำต้องมีอำนาจในมือและแล้วหลี่อันหนิงก็หวนกลับไปนึกถึงใบหน้าอันหล่อเหลาที่แสนเย็นชาของท่านขุนนางหนุ่ม เพียงเท่านั้นในหัวใจของนางก็รู้สึกอบอุ่นอย่างแปลกประหลาด“พี่ใหญ่ข้ารู้ว่าที่ใดที่เราสามารถใช้นอนได้”เด็กสาวมองหน้าน้องน้อยของตนด้วยสีหน้าสนใจ หลี่ซางเป่าเดินลิ่วนำหน้าไปเหมือนกับคุ้นเคยเส้นทางบนภูเขา หลี่อันหนิงผู้เป็นพี่สาวรีบวิ่งตามจนกระทั่งทั้งสองไปถึงผาหินที่มีต้นไม้และเถาวัลย์ขึ้นรกชัฏแห่งหนึ่ง“เป่าเอ๋อเราใช้ที่นี่นอนไม่ได้หรอกนะ มันรกเกินไปอีกอย่างอาจมีงูพิษออกมาก็ได้ รู้หรือไม่ว่ามันอันตราย”หลี่ซางเป่าเกาหัวตนเองเบาๆ นางแสดงสีหน้ามั่นใจก่อนจะหันไปดึงแขนเสื้อของพี่สาว“ได้เรานอนที่นี่ได้ นางบอกว่าคืนนี้ให้เรานอนที่นี่”นางหรือ...ใครกัน หลี่อันหนิงมองใบหน้าที่เล็กกว่าฝ่ามือของน้องสาวอย่างงุนงง สายตาสำรวจมองไปรอบๆ ไม่เห็นมีที่ใดเลยที่จะสามารถใช้นอนได้ แล้วเหตุใดซางเป่าถึงพูดเช่นนั้นออกมา“ใครเป็นคนบอกน้องหรือ เป่าเอ๋อ”“ท่านแ
แม่เฒ่าจวงจีบปากจีบคือเอ่ย พลางหันไปถามความเห็นของเหล่าจีนมุงที่ตอนนี้เริ่มมากขึ้นทุกทีหลี่เจียนเจียนผู้ที่ถูกตามใจมาตั้งแต่ยังเล็ก คิดไม่ถึงว่าจะถูกหญิงชราตรงหน้าตอกกลับเช่นนี้ นางกำหมัดกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ ก่อนตวาดแหวออกไปอีกครั้ง“เจ้า!! ยายเฒ่า เจ้าพูดจาเหลวไหลอันใด ข้าบอกให้ส่งนางเด็กสารเลวสองคนนั้นออกมา”ใบหน้าของหลี่เจียนเจียนเริ่มแดงก่ำด้วยความโกรธ นางไม่รู้วิธีจัดการกับคนอย่างหญิงชราผู้นี้ เพราะที่ผ่านมาเป็นนางที่เป็นผู้กระทำมาตลอด“เจ้าหมายความว่าอย่างไร เรือนหลังนี้มีเพียงข้าและหลานชายอาศัยอยู่ หากจะพูดว่ามีเด็กสารเลวที่นี่ก็มีแต่เจ้าคนเดียว”แม่เฒ่าจวงลอยหน้าลอยตาเอ่ย โดยไม่สนใจในใบหน้าที่เริ่มเขียวคล้ำดำมืดของหลี่เจียนเจียน“กรี๊ด!!! ยายเฒ่าจวง กล้าว่าข้าสารเลวหรือ”หญิงสาวพุ่งเข้าใส่แม่เฒ่าจวงแต่ถูกจวงอี้ซิงเอาตัวขวางเอาไว้ เขาและนางอายุสิบเจ็ดเท่ากันทว่าเด็กหนุ่มกลับสูงใหญ่และแข็งแรงมากกว่า อาจเพราะเขาทำงานหนักมาตั้งแต่ยังเล็กหลี่เจียนเจียนไม่สนใจว่าคนที่ขวางทางตนจะเป็นใคร นางใช้เล็บข่วนเด็กหนุ่มตรงหน้าเพื่อระบายโทสะของตน แต่สิ่งที่หลี่เจียนเจียนทำไม่สามารถสร้างความ
“อันหนิง!! อันหนิงลูกแม่ ลูกต้องช่วยน้องชายของเจ้านะ อย่าปล่อยให้เขาต้องเดินทางผิดเช่นในอดีต บัดนี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่สามารถนำทางให้เขากลับมาเดินในเส้นทางที่ถูกต้องได้”ในความมืดมิดอันเวิ้งว้าง เด็กสาวได้ยินเสียงคุ้นเคยของผู้เป็นมารดาดังแว่วอยู่ไกลๆ นางมองสถานที่ที่ไม่คุ้นตานี้ด้วยสีหน้าสงสัย แม้รอบกายจะมืดทะมึนแต่กลับมิได้ให้บรรยากาศที่น่าหวาดกลัวหลังจากเงี่ยหูฟังว่าเสียงของมารดามาจากที่ใด นางจึงตัดสินใจเดินตามเสียงนั้น กระทั่งได้เห็นภาพเหตุการณ์ของชายหนุ่มรูปงามในชุดขาว ราวกับเทพสงครามกำลังเข่นฆ่าสังหารผู้อื่นด้วยใบหน้าเฉยชาเด็กสาวตกใจกับภาพตรงหน้าจนถอยกรูดไปด้านหลัง ทว่าภายในใจกลับคิดว่าดวงตาของคนผู้นี้ช่างดูคุ้นเคยยิ่งนักเมื่อหลี่อันหนิงมองเพ่งมองให้ชัดๆ นางเห็นไฝเม็ดเล็กที่อยู่ใต้ดวงตาขวาของเขาแล้วภาพของเด็กชายตัวน้อยที่ถือตำราในมือก็ผุดขึ้นมาในหัวของนาง บ้านหลี่มีเพียงเด็กสองคนที่เกิดมาพร้อมกัน และพวกเขามีไฝน้ำตาอยู่คนละฝั่งหลี่ซางเป่ามีไฝเม็ดเล็กใต้ดวงตาข้างซ้าย เช่นนั้นเขาก็คือหลี่อี้เจ๋อ น้องชายคนรองของนาง ทว่าภาพตรงหน้ามันคืออันใด เหตุใดเขาถึงได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมอำ
“อวัยวะภายในของนางและกระดูกหลายส่วนถูกทำลายจนสิ้น ต่อให้ช่วยได้ในตอนนี้นางก็คงอยู่ไม่พ้นเดือน ทำได้เพียงใช้สมุนไพรยื้อชีวิตไปเรื่อยๆ เท่านั้น อีกอย่างเราอยู่ในภารกิจที่เร่งด่วน จำเป็นต้องปล่อยนางไป เฮ่อ!! ช่างน่าเวทนานัก นางยังเด็กอยู่เลยกลับต้องมาพบกับชะตากรรมอันเลวร้ายเช่นนี้”ชายหนุ่มรูปงามที่แต่งกายด้วยชุดสีดำทั้งตัว เส้นผมสีดำสนิทถูกรวบสูงและสวมกวานหยก เขาประคองร่างบางขึ้นอย่างทะนุถนอม แม้ร่างกายของนางจะเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน แต่ถึงกระนั้นเขากลับกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างไม่นึกรังเกียจชายหนุ่มยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเลือดที่ใบหน้าของหลี่อันหนิงอย่างแผ่วเบา นางไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อนตั้งแต่ที่มารดาจากไป หญิงสาวส่งยิ้มให้กับบุรุษตรงหน้าเพื่อเป็นการขอบคุณ จากนั้นเขาจึงก้มลงกระซิบที่ข้างหูของนาง“ข้าคือขุนนางที่ฮ่องเต้ส่งมา เด็กน้อยเจ้ามีคำขออื่นใดหรือไม่”หลี่อันหนิงได้ยินคำถามนั้นก็รู้แล้วว่าอีกไม่ช้าชีวิตของตนก็คงจะถูกพรากไป แต่ก็ยังดี อย่างน้อยนางสามารถเลือกที่จะตายด้วยน้ำมือของใครได้เด็กสาวใช้แรงเฮือกสุดท้ายกระซิบเอ่ยตอบกลับไป“รบกวนช่วย!!...ฆ่า!!ข้า อย่าให้ข้าต้อ