ภายหลังเมื่อได้พบแม่สามีและสตรีดอกท้อผู้นั้น พานเยว่หลานก็รู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก นางไม่รู้ว่าตนต้องทนเรื่องเช่นนี้ไปอีกนานเท่าใด ยิ่งสามีหมาดๆ ของตนผู้นั้นยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง หลังจากคืนเข้าหอเขาได้กลับมาที่นี่อีกหลายครั้ง ทว่าถูกนางปฏิเสธไปจากนั้นเขาก็ไม่มาเหยียบที่เรือนของนางอีกเลย
“พวกเจ้าออกไปรอข้างนอกก่อนเถอะ ข้าต้องการอยู่เงียบๆ เพียงลำพัง”
หญิงสาวสั่งสาวใช้สองคนที่คอยติดตามรับใช้ ถ้าจะให้เอ่ยเรื่องจริงคือฮูหยินใหญ่โจวสั่งให้พวกนางคอยจับตาดูตนเองเอาไว้เสียมากกว่า เมื่อสาวใช้ทั้งสองออกจากห้อง พานเยว่หลานก็หยิบตำราเล่มหนึ่งออกมา มันคือหนังสือกลอนที่เย่เหิงเขียนให้นางตั้งแต่ยังเยาว์
หญิงสาวลูบคลำหนังสือกลอนแผ่วเบา ดวงตามจ้องมองกระดาษทีละแผ่น กลอนทีละบทอย่างโหยหา ราวกับว่ากำลังมองเย่เหิงบุรุษผู้ที่นางหลงรักปักใจ
“ฮื่ออออ!! เมื่อใดหนอข้าถึงจะได้หลุดพ้น เมื่อใดหนอสวรรค์ถึงจะเห็นใจข้า”
หญิงสาวส่งเสียงร่ำไห้ปานใจจะขาด หยาดน้ำตาเม็ดโตรินหลั่งออกมาราวกับสร้อยไข่มุกสายขาด นางรู้สึกทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ อยากจะกลั้นใจตายเสียเดี๋ยวนี้เพื่อให้ตนเองได้หลุดพ้น
สาวใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกมองหน้ากันเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงครวญครางราวกับสัตว์ตัวเล็กกำลังบาดเจ็บ พวกนางสองคนแม้จะได้รับคำสั่งให้จับตาดูและคอยรายงานในสิ่งที่พานเยว่หลานทำ แต่เพราะเป็นสตรีเช่นกันจึงได้เข้าใจถึงความรู้สึกทุกข์ระทมของนาง
“พี่ฮวา เราควรรายงานเรื่องนี้ให้ฮูหยินใหญ่รู้ดีหรือไม่”
สาวใช้ที่รูปร่างผอมบางเอ่ยถามสาวใช้ที่ดูมีอายุกว่า
“บางเรื่องถ้าไม่สำคัญมากเราก็ทำเป็นมองผ่านเลยไปก็ได้ อย่างไรทุกวันนี้นางก็ดูทุกข์ระทมมากพอแล้ว ถึงเราสองคนจะเป็นเพียงสาวใช้ที่ต่ำต้อย แต่อย่าได้ช่วยคนผิดทำร้ายคนดีไปมากกว่านี้เลย”
สาวใช้ฮวาเอ๋อเอ่ยเตือนสาวใช้อ่อนวัยกว่าเสียงเบา
พานเยว่หลานร้องไห้เพียงลำพังภายในห้องจนกระทั่งท้องฟ้ามืดลง เสียงเปิดหน้าต่างดั่งขึ้นแผ่วเบามิอาจทำให้นางรู้สึกตัว ร่างสูงโปร่งช้อนกายหญิงสาวที่ฟุบหน้าอยู่บนตั่งตัวยาวขึ้น ฝีเท้าแผ่วเบาของเขามิอาจทำให้สองสาวใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกได้ยิน
“หลานเอ๋อ ข้าช่างไร้ความสามารถนัก มิอาจช่วยเหลือเจ้าในยามที่เจ็บปวดเช่นนี้ได้”
“วันนี้เราสองมิอาจครองคู่ ข้าหวังว่าชาติหน้าสวรรค์จะเห็นใจยอมให้ข้าได้อยู่กับเจ้าอีก”
เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบาข้างหู หญิงสาวที่หลับใหลเพราะเหน็ดเหนื่อยจากการร้องไห้ ขยับเข้าหาอ้อมอกอบอุ่นที่แสนคุ้นเคย
เย่เหิงเกลี่ยเช็ดหยาดน้ำตาที่ยังไม่เหือดแห้งของนางอย่างทะนุถนอม แขนแกร่งกอดกระชับร่างบางด้วยความรู้สึกรวดร้าว ภายในใจได้แต่นึกกล่าวโทษต่อสวรรค์ ว่าตนเองทำสิ่งใดผิดกันถึงได้ถูกลงโทษให้ต้องพลัดพรากจากคนรักเช่นนี้
คืนนั้นพานเยว่หลานหลับไปด้วยหัวใจเปี่ยมสุข นางยังฝันอีกว่าตนเองได้พบกับชายคนรักทั้งยังได้นอนกอดกันจนกระทั่งรุ่งสาง ทว่าเมื่อหญิงสาวตื่นขึ้นในเช้าวันใหม่กลับพบว่าทุกอย่างเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น
นางมิอาจยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ จึงเอาแต่ขังตนเองอยู่ภายในห้องไม่ยินยอมพบหน้าผู้ใด แม้กระทั่งสาวใช้ที่อยู่ด้านนอกทั้งสองคน
“ก๊อกๆๆ ฮูหยินน้อย ท่านตื่นอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
ฮวาเอ๋อและเสี่ยวชุ่ย สาวใช้ที่ทำหน้าที่รับใช้นางเอ่ยถาม หลังจากมิได้พบหน้าพานเยว่หลานถึงสองวัน พวกนางกังวลว่าหญิงสาวจะเป็นอันใดไปแล้วพวกตนจะต้องกลายเป็นผู้รับผิดชอบ จึงต้องคอยไถ่ถามอยู่ตลอดเวลา
“เข้ามาเถอะ ช่วยยกน้ำอุ่นเข้ามาให้ข้าด้วย ข้าต้องการอาบน้ำ”
เสียงแหบแห้งของหญิงสาวดังขึ้นแผ่วเบา ฮาเอ๋อและเสี่ยวชุ่ยผินหน้ามองกันเล็กน้อย ก่อนจะรีบทำตามคำสั่งของนางอย่างรวดเร็ว
“ท่านต้องทานอะไรบ้างนะเจ้าคะ ไม่อย่างนั้นบ่าวสองคนคงต้องรับโทษที่ดูแลฮูหยินน้อยไม่ดี”
“ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าไปเตรียมโจ๊กให้ข้าสักชามก็พอ”
ร่างบางเอ่ยกับฮวาเอ๋อ ก่อนจะหลับตาแช่น้ำอุ่นเพื่อให้ตนเองผ่อนคลาย
สองวันที่นางขังตนเองอยู่ภายในห้อง ทำให้พานเยว่หลานคิดได้หลายอย่าง นางในตอนนี้มิใช่คุณหนูตระกูลพานอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นฮูหยินน้อยตระกูลโจว ถ้านางไม่แย่งชิงความเป็นใหญ่ในเรือนหลังนี้ ต่อไปนางก็จะไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างสงบสุข
ภายหลังเมื่ออาบน้ำชำระกายเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวจึงพาสาวใช้ทั้งสองไปที่ห้องตำราที่โจวหานอี้ใช้พักนอน เมื่อไปถึงที่นั่นประตูที่มิได้ปิดเอาไว้ทำให้หญิงสาวเห็นภาพของจ้าวหรู้อี้ กำลังนั่งอยู่บนตักของสามีนาง
พานเยว่หลานคิดว่าเรื่องเช่นนี้สักวันต้องเกิดขึ้นแน่ นางพยายามสงบใจตนเองจากนั้นปั้นหน้าเป็นเจ้าของเรือนที่ดี เดินเข้าไปในห้องหนังสือของโจวหานอี้
“ข้าคงมิได้มาขัดจังหวะพวกเจ้าทั้งสองกระมัง”
เสียงเย็นเอ่ยขึ้นที่หน้าประตู ชายหนุ่มเมื่อเห็นภรรยาเขาก็รีบลุกขึ้นทันที แต่พานเยว่หลานมิได้ใส่ใจท่าทีร้อนรนของเขา
“คุณหนูจ้าว วันนี้ก็มาเที่ยวเล่นเหมือนเคยหรือ”
“ขะ...ข้าแค่เพียงต้องการให้พี่หานอี้ช่วยสอนข้าคัดอักษรเท่านั้น”
จ้าวหรู่อี้แสดงท่าทีประหม่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงสาว เมื่อเห็นท่าทีเฉยเมย นางกลับอยากให้พานเยว่หลานโวยวายเรื่องของนางกับโจวหานอี้เสียยังจะดีกว่าทำท่าทางเย็นชาเช่นนี้
“ข้าแค่แวะมาดูท่านเท่านั้น หลายวันมานี้ฝันไม่ค่อยดีจึงอยากมาชวนท่านไปไหว้พระบนเขา ทว่าถ้าท่านไม่ว่างเห็นทีข้าคงต้องไปด้วยตนเอง”
โจวหานอี้ไม่เคยเห็นภรรยาที่ตนแต่งเข้ามามีท่าทีต้องการปฏิสัมพันธ์กับตนมาก่อน หรือว่าที่นางเป็นเช่นนี้เพราะการมาของจ้าวหรูอี้
ชายหนุ่มนึกกระหยิ่มในใจ คิดว่าพานเยว่หลานกำลังหึงหวงตนเอง เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงหันไปกอดกระชับหญิงสาวร่างบางที่ยืนอยู่ไม่ไกลเข้ามาในอ้อมแขน
“ข้าว่าง เช่นนั้นก็ให้คนไปเตรียมรถม้าเถอะ ข้าจะพาหรูอี้ไปด้วย”
พานเยว่หลานก้มหน้าบิดปากอย่างนึกรังเกียจ นางพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินออกจากห้องพร้อมกับสาวใช้ทั้งสอง
“ฮูหยินน้อย...ท่านไม่เป็นไรนะเจ้าคะ”
หญิงสาวหันไปมองสาวใช้ฮวาเอ๋อ พลางส่งยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าให้นาง
“ขึ้นรถม้าเถอะ”
รถม้าคันเล็กที่นางนั่งไปกับสาวใช้ทั้งสอง เป็นรถม้าที่มีเพียงบุตรอนุในจวนตระกูลโจวเท่านั้นที่ใช้โดยสาร เป็นความจงใจของโจวหานอี้ที่ให้คนเตรียมรถม้าเช่นนี้ให้นาง เขาต้องการข่มให้นางดูต่ำต้อย แต่หญิงสาวกลับมิได้ใส่ใจต่อการกระทำของเขา
ความจริงในใจของโจวหานอี้อยากจะปราบพยศหญิงสาวผู้นี้ และต้องการแก้แค้นนางเรื่องที่เย่เหิงคุณชายสามตระกูลเย่เข้ามาอาละวาดในงานแต่งงานของเขา แต่กลับรู้สึกเจ็บปวดเมื่อเห็นนางเศร้าโศก
“ท่านไม่นั่งรถม้าคันเดียวกับนางเช่นนี้ ระวังนางจะไม่พอใจนะเจ้าคะ”
ร่างบางโน้มกายเข้าไปอิงซบชายหนุ่ม พลางเอ่ยเสียงหวานออดอ้อนออเซาะ
“นางกล้าหรือ สตรีอย่างไรก็เป็นสตรีวันยังค่ำ ไม่มีสิทธิ์มีปากเสียงกับบุรุษ ข้าให้นางทำเช่นไรนางก็ต้องทำเช่นนั้น หรือต่อให้ข้าห้ามนางมิให้ออกนอกจวน นางก็ไม่สามารถขัดคำสั่งของข้าได้”
หญิงสาวยกยิ้มอย่างพอใจ เมื่อได้ฟังวาจาของบุรุษที่ตนชอบ
“ท่านพี่หานอี้ เมื่อใดท่านจะรับข้าเข้าจวนเสียที ข้ามาหาท่านบ่อยๆ เช่นนี้ อาจทำให้บิดาของข้าไม่พอใจเอาได้นะเจ้าคะ”
บิดาที่จ้าวหรูอี้เอ่ยถึงคือกั๋วกงคนปัจจุบันจ้าวจิ่งซาง แม้จะมิได้รับความสำคัญเท่าใดเมื่อยามอยู่ในจวน ซึ่งแตกต่างจากทายาทสายตรงอย่างจ้าวหยวนเอ๋อที่เป็นมารดาของเย่เสวียนจื่อ แต่ทว่าต่อให้เป็นบุตรที่เกิดจากอนุอย่างไรนางก็ยังคงเป็นสายเลือดของตระกูลจ้าวอยู่ดี มิอาจทำให้ตระกูลจ้าวขายหน้าได้
“เรื่องนี้...”
มิใช่ตัวเขาไม่ต้องการให้จ้าวหรูอี้มาเป็นคนของตน แต่เฉิงหรงกุ้ยเฟยผู้เป็นน้องสาวนั้นสั่งห้ามมิให้เขายุ่งเกี่ยวกับตระกูลจ้าวต่างหาก จึงต้องแอบพบกับนางอย่างลับๆ เพื่อมิให้ตระกูลจ้าวระแคะระคาย
“ข้าเองก็ต้องการแต่งเจ้าเข้าจวน แต่ข้าพึ่งได้รับพระราชทานสมรสจากฝ่าบาท มิอาจแต่งอนุได้จนกว่าจะครบปี ข้าอยากให้เจ้าอดทนได้หรือไม่หรูเอ๋อ”
แม้นางจะรู้สึกไม่พอใจ ทว่าตนเองกลายเป็นคนของเขาแล้วจะสามารถพูดสิ่งใดได้เล่า
“ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ แต่ท่านอย่าให้ข้าต้องรอนานนะ”
หญิงสาวซบหน้าลงไปบนแผงอกของชายหนุ่ม มือนุ่มนิ่มไม่อยู่สุขลูบไล้ไปตามร่างกายของโจวหานอี้ เสียงครางกระเส่าดังแผ่วเบาออกมา คนขับรถม้าและผู้ติดตามมองหน้ากันเลิกลัก ไม่คิดว่าคุณชายของตนจะใจกล้าถึงเพียงนี้
ณ เชิงเขาทางขึ้นไปยังวัดประจำเมืองหลวง
“พวกเราเราขึ้นไปด้านบนก่อนเถอะ”
รถม้าที่พานเยว่หลานและสาวใช้ทั้งสองนั่งมา หยุดลงตรงทางขึ้นเขาที่มีบันไดนับร้อยขั้น หญิงสาวหลับตาสงบนิ่งก่อนจะสูดหายใจลึก นางย่ำเท้าขึ้นไปแต่ละก้าวด้วยจิตที่มุ่งมั่น
แม้จะรู้สึกว่าชีวิตของตนมิได้รับความเป็นธรรมจากสวรรค์ แต่ทว่านางก็เชื่อมั่นในเรื่องบาปบุญ หญิงสาวไม่รั้งรอสามีที่นั่งมากับสตรีอื่น
เมื่อไปถึงด้านบนที่เป็นลานโล่งมีเพียงพระพุทธรูปองค์ใหญ่ตั้งเด่นตระหง่านและต้นโพธิ์หนึ่งต้นที่ยืนให้ร่มเงาอยู่ไม่ไกล ด้านหลังพระพุทธรูปคือหน้าผาที่มีศาลาและสถานที่พำนักของเหล่าภิกษุอาศัยอยู่
หญิงสาวนั่งลงคุกเข่าลงหลับตาอธิษฐานขอให้ตนเองและครอบครัวมีความสุขแคล้วคลาดปลอดภัย ทว่าธูปที่นางจุดกลับมอดดับไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ
พานเยว่หลานเฝ้ามองธูปดอกนั้นด้วยจิตใจที่ไม่สงบ ทว่าด้านหลังกลับได้ยินเสียงของใครบางคนเอ่ยขึ้น
บ่วงเวรกรรมชาตินี้ไม่มีวันตัดขาด ชีวิตอันน่าเวทนายังไม่สิ้นสุด เมื่อใดที่ผู้มีบุญได้เกิดใหม่ เมื่อนั้นความทุกข์ทั้งหลายจะถูกปลดปล่อย
หญิงสาวราวกับตกอยู่ในภวังค์ ทันทีที่สาวใช้เข้ามาแตะหัวไหล่ พานเยว่หลานก็ได้สติกลับมาทันที นางหันมองไปรอบด้านเพื่อหาว่าเป็นผู้ใดที่เอ่ยกับตน ทว่าทั่วทั้งบริเวณมีเพียงนางและสาวใช้ทั้งสองเท่านั้น
“พวกเจ้าพบใครอื่นนอกจากพวกเราหรือไม่”
สาวใช้ทั้งสองส่ายหน้า
“ไม่มีเจ้าค่ะ ที่นี่มีเพียงพวกเราสามคน”
หญิงสาวไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน ทว่าเสียงนั้นยังคงดังกึกก้องภายในหัว หรือว่านี่อาจเป็นคำตอบของสวรรค์ที่นางต้องการถามมาโดยตลอด
“ฮูหยินน้อยท่านเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ”
“ไม่มีอะไร ข้าคงหูแว่วไปเอง พวกเจ้าสองคนนำเงินนี้ไปบริจาคเป็นค่าน้ำมันตะเกียงให้กับที่วัดเถอะ ข้าอยากเดินดูรอบๆ สักหน่อย”
หลังจากสั่งสาวใช้ทั้งสองพานเยว่หลานจึงเดินไปยังต้นโพธิ์ที่ยืนต้นตระหง่านให้ร่มเงาอยู่ไม่ไกล นางนั่งลงที่ม้านั่งทว่ากลับได้เห็นใครบางคนที่แสนคุ้นตากำลังกวาดใบไม้แห้งอยู่ไม่ไกล
ทันทีที่สองสายตาสบประสาน หัวใจของนางสั่นไหวอย่างรุนแรงเมื่อได้เห็นใบหน้านั้นอย่างเต็มตา
“ท่าน...เย่เหิง...เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่”
ดวงตาคมฉายแววเจ็บปวด ร่างสูงโปร่งในชุดผ้าเหลืองสีมอ บนศีรษะโล่งเตียนไร้เส้นผม บัดนี้เย่เหิงหรืออันคงใต้ซือได้กลายเป็นหลวงจีนที่สละทางโลกไปเรียบร้อยแล้ว
“ความเจ็บปวดที่อาตมาได้รับนั่นเกินที่หัวใจจะทนรับไหว ในเมื่อชีวิตนี้มิอาจสมหวัง อาตมาก็ไม่ต้องการรับรู้เกี่ยวกับฮูหยินอีก”
พานเยว่หลานคิดว่าตนเองนั้นได้รับความทุกข์ทรมานมากแล้ว ทว่าบุรุษผู้นี้กลับได้รับความเจ็บปวดไม่ต่างกัน ตั้งแต่วันนั้นในงานแต่งงานของนางหญิงสาวก็มิได้พบหน้าเขาอีกเลย
“ท่านทำเช่นนี้เพื่อสตรีเช่นข้ามันสมควรแล้วหรือ”
ดวงตากลมโตแดงก่ำ หยาดน้ำตาแห่งความทุกข์ระทมหลั่งรินออกมาไม่ขาดสาย หัวใจของเขาและนางเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสความรู้สึกเจ็บปวดราวถูกทิ่มแทงเกิดขึ้นเพราะอะไร มีเพียงคนทั้งสองเท่านั้นที่รู้ดีแก่ใจ
“อาตมาเป็นผู้เลือกเส้นทางนี้ด้วยตนเอง มิใช่ความผิดของโยม อย่าได้กล่าวโทษหรือด้อยค่าตนเองเช่นนั้น”
แม้จะละทางโลกไปแล้ว แต่ความห่วงใยของเขาที่มีต่อนางนั้นไม่ลดน้อยถอยลงแม้เพียงนิด
“ที่นี่ทำให้หัวใจของตามาสงบลงได้ แม้ความเจ็บปวดจะยังคงอยู่ ทว่าอาตมาเชื่อ สักวันมันจะต้องหายไปได้แน่นอน”
ร่างบางมิอาจสะกดกลั้นความรู้สึกเจ็บปวดและระทมทุกข์ของตนได้อีกต่อไป นางคุกเข่าก้มหน้าผากจรดพื้นต่อหน้าหลวงจีนหนุ่ม หัวไหล่บอบบางสั่นเทาเพราะแรงสะอื้น
“เช่นนั้นข้าน้อยก็ขอให้ท่านจงมีแต่ความสุขสงบเมื่ออยู่ที่นี่ ทว่าในเมื่อชาตินี้มิอาจครองคู่ ขอให้ชาติต่อไปของเราทั้งสองอย่าได้มีอุปสรรคอีกเลย”
หญิงสาวหันไปคำนับให้กับพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ตั้งเด่นตระหง่านท่ามกลางความเงียบสงบ หลวงจีนหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็คุกเข่าลงคำนับเช่นกัน ราวกับว่าเป็นคำสัญญาข้ามภพข้ามชาติของคนทั้งสองที่มีต่อกัน
ณ เรือนตระกูลหลี่“กลับมาแล้วหรือเจ้าพวกตัวซวย หายหัวไปทั้งคืนยังกล้ากลับมาที่นี่อีกนะ”เสียงแหลมสากของแม่เฒ่าหม่าดังขึ้นด้านหลัง ในระหว่างที่สองพี่น้องกำลังย่องกลับไปยังห้องเก็บฟืน“ท่านย่า”หญิงชรามีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ที่เด็กสาวหันมาพูดกับตนด้วยสีหน้าเย็นชา ทั้งที่ในยามปกติมักจะแสดงท่าทีขลาดกลัวเป็นครั้งแรกที่ได้พบหญิงชราหลังจากย้อนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง หลี่อันหนิงกำหมัดแน่นเพื่อระงับอารมณ์โกรธแค้นที่ปะทุขึ้นภายในใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของตนเป็นเพราะหญิงชราผู้นี้ วันหน้านางจะต้องตอบแทนอย่างสาสมให้สมกับที่ครอบครัวของตนได้รับมาหลี่อันหนิงสบถสาบานในใจ“ท่าย่ามีอะไรจะใช้ข้าหรือ”เด็กสาวถามเสียงห้วน ไร้ท่าทีขลาดกลัวดั่งเช่นวันวาน“วันนี้พวกแกสองคนไม่ได้รับอนุญาตให้ทานอาหาร ต้องทำงานที่เหลือจากเมื่อวานให้เสร็จทั้งหมด จากนั้นก็ขึ้นเขาไปเก็บผักป่ามาซะ”หลี่อันหนิงบิดปากเล็กน้อย ห้ามทานอาหารหรือ อาหารที่แม้แต่หมูยังไม่อยากทานใครมันจะกลืนลงท้องได้ เด็กน้อยทั้งสองไม่ตอบโต้ กลับทำตามที่หญิงชราสั่งอย่างว่าง่าย ซึ่งต่างจากท่าทีเฉยชาที่แสดงออกหลี่เจียนเจียนเดินผ่านสองพี่น้องที่กำล
กลางดึก ในระหว่างที่พี่น้องกำลังหลับสนิท เสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังก้องสะท้านขึ้นที่ด้านนอกถ้ำ หลี่อันหนิงและหลี่ซางเป่าสะดุ้งรู้สึกตัวขึ้นพร้อมกันเด็กสาวมิได้เล่าเรื่องที่ตนได้ยินเจ้าก้อนขนสีดำพูดคุยกันให้น้องสาวฟัง ไม่คิดว่าแม่ของมันจะกลับมาในคืนนี้ ในระหว่างที่หลี่อันหนิงกำลังคิดหาทางหนี เสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวดของเจ้าสัตว์ร้ายด้านนอกดังขึ้นแผ่วเบาในหัวของนางได้ยินเสียงของมันรำพึงถึงลูกน้อยทั้งสอง เด็กสาวมองไปยังฝั่งตรงข้ามของบ่อน้ำร้อน ก่อนตัดสินใจเดินออกไปดูในความมืดสลัวราง หลี่ซางเป่าจับแขนเสื้อของพี่สาวเอาไว้มั่น“พี่ใหญ่ไปไหนหรือ”“ซางเป่ารอพี่อยู่ที่นี่ได้หรือไม่ ไม่นานพี่จะกลับมา”เด็กน้อยส่ายหน้าปฏิเสธแสดงท่าทีหวาดกลัว นางเห็นน้องน้อยแสดงท่าทางเช่นนั้นออกมา ก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ“ได้ๆ เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิด”หญิงสาวจับมือของน้องสาวเดินออกมาทางปากถ้ำ ที่ยังคงได้ยินเสียงร้องครางของสัตว์บาดเจ็บชัดเจน เมื่อไปถึงบริเวณปากถ้ำที่นั่นมีคบเพลิงมากมายถูกจุดโดยมนุษย์ดวงตาดำสนิทของเจ้าสัตว์ร้ายจ้องมองมายังนางและน้องสาวที่ซ่อนตัวอยู่ เจ้าก้อนขนทั้งสองที่ไม่รู้ว่าตามมาตั้งแ
หลี่อันหนิงพยักหน้าพลางลูบผมของเด็กน้อยซางเป่าอย่างภูมิใจ ตอนนี้ตนเองเป็นเพียงเด็กเท่านั้นไม่อาจทำตามใจตนดั่งเช่นผู้ใหญ่ได้ หากต้องการปกป้องน้องทั้งสองนางจำต้องมีอำนาจในมือและแล้วหลี่อันหนิงก็หวนกลับไปนึกถึงใบหน้าอันหล่อเหลาที่แสนเย็นชาของท่านขุนนางหนุ่ม เพียงเท่านั้นในหัวใจของนางก็รู้สึกอบอุ่นอย่างแปลกประหลาด“พี่ใหญ่ข้ารู้ว่าที่ใดที่เราสามารถใช้นอนได้”เด็กสาวมองหน้าน้องน้อยของตนด้วยสีหน้าสนใจ หลี่ซางเป่าเดินลิ่วนำหน้าไปเหมือนกับคุ้นเคยเส้นทางบนภูเขา หลี่อันหนิงผู้เป็นพี่สาวรีบวิ่งตามจนกระทั่งทั้งสองไปถึงผาหินที่มีต้นไม้และเถาวัลย์ขึ้นรกชัฏแห่งหนึ่ง“เป่าเอ๋อเราใช้ที่นี่นอนไม่ได้หรอกนะ มันรกเกินไปอีกอย่างอาจมีงูพิษออกมาก็ได้ รู้หรือไม่ว่ามันอันตราย”หลี่ซางเป่าเกาหัวตนเองเบาๆ นางแสดงสีหน้ามั่นใจก่อนจะหันไปดึงแขนเสื้อของพี่สาว“ได้เรานอนที่นี่ได้ นางบอกว่าคืนนี้ให้เรานอนที่นี่”นางหรือ...ใครกัน หลี่อันหนิงมองใบหน้าที่เล็กกว่าฝ่ามือของน้องสาวอย่างงุนงง สายตาสำรวจมองไปรอบๆ ไม่เห็นมีที่ใดเลยที่จะสามารถใช้นอนได้ แล้วเหตุใดซางเป่าถึงพูดเช่นนั้นออกมา“ใครเป็นคนบอกน้องหรือ เป่าเอ๋อ”“ท่านแ
แม่เฒ่าจวงจีบปากจีบคือเอ่ย พลางหันไปถามความเห็นของเหล่าจีนมุงที่ตอนนี้เริ่มมากขึ้นทุกทีหลี่เจียนเจียนผู้ที่ถูกตามใจมาตั้งแต่ยังเล็ก คิดไม่ถึงว่าจะถูกหญิงชราตรงหน้าตอกกลับเช่นนี้ นางกำหมัดกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ ก่อนตวาดแหวออกไปอีกครั้ง“เจ้า!! ยายเฒ่า เจ้าพูดจาเหลวไหลอันใด ข้าบอกให้ส่งนางเด็กสารเลวสองคนนั้นออกมา”ใบหน้าของหลี่เจียนเจียนเริ่มแดงก่ำด้วยความโกรธ นางไม่รู้วิธีจัดการกับคนอย่างหญิงชราผู้นี้ เพราะที่ผ่านมาเป็นนางที่เป็นผู้กระทำมาตลอด“เจ้าหมายความว่าอย่างไร เรือนหลังนี้มีเพียงข้าและหลานชายอาศัยอยู่ หากจะพูดว่ามีเด็กสารเลวที่นี่ก็มีแต่เจ้าคนเดียว”แม่เฒ่าจวงลอยหน้าลอยตาเอ่ย โดยไม่สนใจในใบหน้าที่เริ่มเขียวคล้ำดำมืดของหลี่เจียนเจียน“กรี๊ด!!! ยายเฒ่าจวง กล้าว่าข้าสารเลวหรือ”หญิงสาวพุ่งเข้าใส่แม่เฒ่าจวงแต่ถูกจวงอี้ซิงเอาตัวขวางเอาไว้ เขาและนางอายุสิบเจ็ดเท่ากันทว่าเด็กหนุ่มกลับสูงใหญ่และแข็งแรงมากกว่า อาจเพราะเขาทำงานหนักมาตั้งแต่ยังเล็กหลี่เจียนเจียนไม่สนใจว่าคนที่ขวางทางตนจะเป็นใคร นางใช้เล็บข่วนเด็กหนุ่มตรงหน้าเพื่อระบายโทสะของตน แต่สิ่งที่หลี่เจียนเจียนทำไม่สามารถสร้างความ
“อันหนิง!! อันหนิงลูกแม่ ลูกต้องช่วยน้องชายของเจ้านะ อย่าปล่อยให้เขาต้องเดินทางผิดเช่นในอดีต บัดนี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่สามารถนำทางให้เขากลับมาเดินในเส้นทางที่ถูกต้องได้”ในความมืดมิดอันเวิ้งว้าง เด็กสาวได้ยินเสียงคุ้นเคยของผู้เป็นมารดาดังแว่วอยู่ไกลๆ นางมองสถานที่ที่ไม่คุ้นตานี้ด้วยสีหน้าสงสัย แม้รอบกายจะมืดทะมึนแต่กลับมิได้ให้บรรยากาศที่น่าหวาดกลัวหลังจากเงี่ยหูฟังว่าเสียงของมารดามาจากที่ใด นางจึงตัดสินใจเดินตามเสียงนั้น กระทั่งได้เห็นภาพเหตุการณ์ของชายหนุ่มรูปงามในชุดขาว ราวกับเทพสงครามกำลังเข่นฆ่าสังหารผู้อื่นด้วยใบหน้าเฉยชาเด็กสาวตกใจกับภาพตรงหน้าจนถอยกรูดไปด้านหลัง ทว่าภายในใจกลับคิดว่าดวงตาของคนผู้นี้ช่างดูคุ้นเคยยิ่งนักเมื่อหลี่อันหนิงมองเพ่งมองให้ชัดๆ นางเห็นไฝเม็ดเล็กที่อยู่ใต้ดวงตาขวาของเขาแล้วภาพของเด็กชายตัวน้อยที่ถือตำราในมือก็ผุดขึ้นมาในหัวของนาง บ้านหลี่มีเพียงเด็กสองคนที่เกิดมาพร้อมกัน และพวกเขามีไฝน้ำตาอยู่คนละฝั่งหลี่ซางเป่ามีไฝเม็ดเล็กใต้ดวงตาข้างซ้าย เช่นนั้นเขาก็คือหลี่อี้เจ๋อ น้องชายคนรองของนาง ทว่าภาพตรงหน้ามันคืออันใด เหตุใดเขาถึงได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมอำ
“อวัยวะภายในของนางและกระดูกหลายส่วนถูกทำลายจนสิ้น ต่อให้ช่วยได้ในตอนนี้นางก็คงอยู่ไม่พ้นเดือน ทำได้เพียงใช้สมุนไพรยื้อชีวิตไปเรื่อยๆ เท่านั้น อีกอย่างเราอยู่ในภารกิจที่เร่งด่วน จำเป็นต้องปล่อยนางไป เฮ่อ!! ช่างน่าเวทนานัก นางยังเด็กอยู่เลยกลับต้องมาพบกับชะตากรรมอันเลวร้ายเช่นนี้”ชายหนุ่มรูปงามที่แต่งกายด้วยชุดสีดำทั้งตัว เส้นผมสีดำสนิทถูกรวบสูงและสวมกวานหยก เขาประคองร่างบางขึ้นอย่างทะนุถนอม แม้ร่างกายของนางจะเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน แต่ถึงกระนั้นเขากลับกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างไม่นึกรังเกียจชายหนุ่มยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเลือดที่ใบหน้าของหลี่อันหนิงอย่างแผ่วเบา นางไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อนตั้งแต่ที่มารดาจากไป หญิงสาวส่งยิ้มให้กับบุรุษตรงหน้าเพื่อเป็นการขอบคุณ จากนั้นเขาจึงก้มลงกระซิบที่ข้างหูของนาง“ข้าคือขุนนางที่ฮ่องเต้ส่งมา เด็กน้อยเจ้ามีคำขออื่นใดหรือไม่”หลี่อันหนิงได้ยินคำถามนั้นก็รู้แล้วว่าอีกไม่ช้าชีวิตของตนก็คงจะถูกพรากไป แต่ก็ยังดี อย่างน้อยนางสามารถเลือกที่จะตายด้วยน้ำมือของใครได้เด็กสาวใช้แรงเฮือกสุดท้ายกระซิบเอ่ยตอบกลับไป“รบกวนช่วย!!...ฆ่า!!ข้า อย่าให้ข้าต้อ