ภายหลังเมื่อได้พบแม่สามีและสตรีดอกท้อผู้นั้น พานเยว่หลานก็รู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก นางไม่รู้ว่าตนต้องทนเรื่องเช่นนี้ไปอีกนานเท่าใด ยิ่งสามีหมาดๆ ของตนผู้นั้นยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง หลังจากคืนเข้าหอเขาได้กลับมาที่นี่อีกหลายครั้ง ทว่าถูกนางปฏิเสธไปจากนั้นเขาก็ไม่มาเหยียบที่เรือนของนางอีกเลย
“พวกเจ้าออกไปรอข้างนอกก่อนเถอะ ข้าต้องการอยู่เงียบๆ เพียงลำพัง”
หญิงสาวสั่งสาวใช้สองคนที่คอยติดตามรับใช้ ถ้าจะให้เอ่ยเรื่องจริงคือฮูหยินใหญ่โจวสั่งให้พวกนางคอยจับตาดูตนเองเอาไว้เสียมากกว่า เมื่อสาวใช้ทั้งสองออกจากห้อง พานเยว่หลานก็หยิบตำราเล่มหนึ่งออกมา มันคือหนังสือกลอนที่เย่เหิงเขียนให้นางตั้งแต่ยังเยาว์
หญิงสาวลูบคลำหนังสือกลอนแผ่วเบา ดวงตามจ้องมองกระดาษทีละแผ่น กลอนทีละบทอย่างโหยหา ราวกับว่ากำลังมองเย่เหิงบุรุษผู้ที่นางหลงรักปักใจ
“ฮื่ออออ!! เมื่อใดหนอข้าถึงจะได้หลุดพ้น เมื่อใดหนอสวรรค์ถึงจะเห็นใจข้า”
หญิงสาวส่งเสียงร่ำไห้ปานใจจะขาด หยาดน้ำตาเม็ดโตรินหลั่งออกมาราวกับสร้อยไข่มุกสายขาด นางรู้สึกทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ อยากจะกลั้นใจตายเสียเดี๋ยวนี้เพื่อให้ตนเองได้หลุดพ้น
สาวใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกมองหน้ากันเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงครวญครางราวกับสัตว์ตัวเล็กกำลังบาดเจ็บ พวกนางสองคนแม้จะได้รับคำสั่งให้จับตาดูและคอยรายงานในสิ่งที่พานเยว่หลานทำ แต่เพราะเป็นสตรีเช่นกันจึงได้เข้าใจถึงความรู้สึกทุกข์ระทมของนาง
“พี่ฮวา เราควรรายงานเรื่องนี้ให้ฮูหยินใหญ่รู้ดีหรือไม่”
สาวใช้ที่รูปร่างผอมบางเอ่ยถามสาวใช้ที่ดูมีอายุกว่า
“บางเรื่องถ้าไม่สำคัญมากเราก็ทำเป็นมองผ่านเลยไปก็ได้ อย่างไรทุกวันนี้นางก็ดูทุกข์ระทมมากพอแล้ว ถึงเราสองคนจะเป็นเพียงสาวใช้ที่ต่ำต้อย แต่อย่าได้ช่วยคนผิดทำร้ายคนดีไปมากกว่านี้เลย”
สาวใช้ฮวาเอ๋อเอ่ยเตือนสาวใช้อ่อนวัยกว่าเสียงเบา
พานเยว่หลานร้องไห้เพียงลำพังภายในห้องจนกระทั่งท้องฟ้ามืดลง เสียงเปิดหน้าต่างดั่งขึ้นแผ่วเบามิอาจทำให้นางรู้สึกตัว ร่างสูงโปร่งช้อนกายหญิงสาวที่ฟุบหน้าอยู่บนตั่งตัวยาวขึ้น ฝีเท้าแผ่วเบาของเขามิอาจทำให้สองสาวใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกได้ยิน
“หลานเอ๋อ ข้าช่างไร้ความสามารถนัก มิอาจช่วยเหลือเจ้าในยามที่เจ็บปวดเช่นนี้ได้”
“วันนี้เราสองมิอาจครองคู่ ข้าหวังว่าชาติหน้าสวรรค์จะเห็นใจยอมให้ข้าได้อยู่กับเจ้าอีก”
เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบาข้างหู หญิงสาวที่หลับใหลเพราะเหน็ดเหนื่อยจากการร้องไห้ ขยับเข้าหาอ้อมอกอบอุ่นที่แสนคุ้นเคย
เย่เหิงเกลี่ยเช็ดหยาดน้ำตาที่ยังไม่เหือดแห้งของนางอย่างทะนุถนอม แขนแกร่งกอดกระชับร่างบางด้วยความรู้สึกรวดร้าว ภายในใจได้แต่นึกกล่าวโทษต่อสวรรค์ ว่าตนเองทำสิ่งใดผิดกันถึงได้ถูกลงโทษให้ต้องพลัดพรากจากคนรักเช่นนี้
คืนนั้นพานเยว่หลานหลับไปด้วยหัวใจเปี่ยมสุข นางยังฝันอีกว่าตนเองได้พบกับชายคนรักทั้งยังได้นอนกอดกันจนกระทั่งรุ่งสาง ทว่าเมื่อหญิงสาวตื่นขึ้นในเช้าวันใหม่กลับพบว่าทุกอย่างเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น
นางมิอาจยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ จึงเอาแต่ขังตนเองอยู่ภายในห้องไม่ยินยอมพบหน้าผู้ใด แม้กระทั่งสาวใช้ที่อยู่ด้านนอกทั้งสองคน
“ก๊อกๆๆ ฮูหยินน้อย ท่านตื่นอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
ฮวาเอ๋อและเสี่ยวชุ่ย สาวใช้ที่ทำหน้าที่รับใช้นางเอ่ยถาม หลังจากมิได้พบหน้าพานเยว่หลานถึงสองวัน พวกนางกังวลว่าหญิงสาวจะเป็นอันใดไปแล้วพวกตนจะต้องกลายเป็นผู้รับผิดชอบ จึงต้องคอยไถ่ถามอยู่ตลอดเวลา
“เข้ามาเถอะ ช่วยยกน้ำอุ่นเข้ามาให้ข้าด้วย ข้าต้องการอาบน้ำ”
เสียงแหบแห้งของหญิงสาวดังขึ้นแผ่วเบา ฮาเอ๋อและเสี่ยวชุ่ยผินหน้ามองกันเล็กน้อย ก่อนจะรีบทำตามคำสั่งของนางอย่างรวดเร็ว
“ท่านต้องทานอะไรบ้างนะเจ้าคะ ไม่อย่างนั้นบ่าวสองคนคงต้องรับโทษที่ดูแลฮูหยินน้อยไม่ดี”
“ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าไปเตรียมโจ๊กให้ข้าสักชามก็พอ”
ร่างบางเอ่ยกับฮวาเอ๋อ ก่อนจะหลับตาแช่น้ำอุ่นเพื่อให้ตนเองผ่อนคลาย
สองวันที่นางขังตนเองอยู่ภายในห้อง ทำให้พานเยว่หลานคิดได้หลายอย่าง นางในตอนนี้มิใช่คุณหนูตระกูลพานอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นฮูหยินน้อยตระกูลโจว ถ้านางไม่แย่งชิงความเป็นใหญ่ในเรือนหลังนี้ ต่อไปนางก็จะไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างสงบสุข
ภายหลังเมื่ออาบน้ำชำระกายเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวจึงพาสาวใช้ทั้งสองไปที่ห้องตำราที่โจวหานอี้ใช้พักนอน เมื่อไปถึงที่นั่นประตูที่มิได้ปิดเอาไว้ทำให้หญิงสาวเห็นภาพของจ้าวหรู้อี้ กำลังนั่งอยู่บนตักของสามีนาง
พานเยว่หลานคิดว่าเรื่องเช่นนี้สักวันต้องเกิดขึ้นแน่ นางพยายามสงบใจตนเองจากนั้นปั้นหน้าเป็นเจ้าของเรือนที่ดี เดินเข้าไปในห้องหนังสือของโจวหานอี้
“ข้าคงมิได้มาขัดจังหวะพวกเจ้าทั้งสองกระมัง”
เสียงเย็นเอ่ยขึ้นที่หน้าประตู ชายหนุ่มเมื่อเห็นภรรยาเขาก็รีบลุกขึ้นทันที แต่พานเยว่หลานมิได้ใส่ใจท่าทีร้อนรนของเขา
“คุณหนูจ้าว วันนี้ก็มาเที่ยวเล่นเหมือนเคยหรือ”
“ขะ...ข้าแค่เพียงต้องการให้พี่หานอี้ช่วยสอนข้าคัดอักษรเท่านั้น”
จ้าวหรู่อี้แสดงท่าทีประหม่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงสาว เมื่อเห็นท่าทีเฉยเมย นางกลับอยากให้พานเยว่หลานโวยวายเรื่องของนางกับโจวหานอี้เสียยังจะดีกว่าทำท่าทางเย็นชาเช่นนี้
“ข้าแค่แวะมาดูท่านเท่านั้น หลายวันมานี้ฝันไม่ค่อยดีจึงอยากมาชวนท่านไปไหว้พระบนเขา ทว่าถ้าท่านไม่ว่างเห็นทีข้าคงต้องไปด้วยตนเอง”
โจวหานอี้ไม่เคยเห็นภรรยาที่ตนแต่งเข้ามามีท่าทีต้องการปฏิสัมพันธ์กับตนมาก่อน หรือว่าที่นางเป็นเช่นนี้เพราะการมาของจ้าวหรูอี้
ชายหนุ่มนึกกระหยิ่มในใจ คิดว่าพานเยว่หลานกำลังหึงหวงตนเอง เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงหันไปกอดกระชับหญิงสาวร่างบางที่ยืนอยู่ไม่ไกลเข้ามาในอ้อมแขน
“ข้าว่าง เช่นนั้นก็ให้คนไปเตรียมรถม้าเถอะ ข้าจะพาหรูอี้ไปด้วย”
พานเยว่หลานก้มหน้าบิดปากอย่างนึกรังเกียจ นางพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินออกจากห้องพร้อมกับสาวใช้ทั้งสอง
“ฮูหยินน้อย...ท่านไม่เป็นไรนะเจ้าคะ”
หญิงสาวหันไปมองสาวใช้ฮวาเอ๋อ พลางส่งยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าให้นาง
“ขึ้นรถม้าเถอะ”
รถม้าคันเล็กที่นางนั่งไปกับสาวใช้ทั้งสอง เป็นรถม้าที่มีเพียงบุตรอนุในจวนตระกูลโจวเท่านั้นที่ใช้โดยสาร เป็นความจงใจของโจวหานอี้ที่ให้คนเตรียมรถม้าเช่นนี้ให้นาง เขาต้องการข่มให้นางดูต่ำต้อย แต่หญิงสาวกลับมิได้ใส่ใจต่อการกระทำของเขา
ความจริงในใจของโจวหานอี้อยากจะปราบพยศหญิงสาวผู้นี้ และต้องการแก้แค้นนางเรื่องที่เย่เหิงคุณชายสามตระกูลเย่เข้ามาอาละวาดในงานแต่งงานของเขา แต่กลับรู้สึกเจ็บปวดเมื่อเห็นนางเศร้าโศก
“ท่านไม่นั่งรถม้าคันเดียวกับนางเช่นนี้ ระวังนางจะไม่พอใจนะเจ้าคะ”
ร่างบางโน้มกายเข้าไปอิงซบชายหนุ่ม พลางเอ่ยเสียงหวานออดอ้อนออเซาะ
“นางกล้าหรือ สตรีอย่างไรก็เป็นสตรีวันยังค่ำ ไม่มีสิทธิ์มีปากเสียงกับบุรุษ ข้าให้นางทำเช่นไรนางก็ต้องทำเช่นนั้น หรือต่อให้ข้าห้ามนางมิให้ออกนอกจวน นางก็ไม่สามารถขัดคำสั่งของข้าได้”
หญิงสาวยกยิ้มอย่างพอใจ เมื่อได้ฟังวาจาของบุรุษที่ตนชอบ
“ท่านพี่หานอี้ เมื่อใดท่านจะรับข้าเข้าจวนเสียที ข้ามาหาท่านบ่อยๆ เช่นนี้ อาจทำให้บิดาของข้าไม่พอใจเอาได้นะเจ้าคะ”
บิดาที่จ้าวหรูอี้เอ่ยถึงคือกั๋วกงคนปัจจุบันจ้าวจิ่งซาง แม้จะมิได้รับความสำคัญเท่าใดเมื่อยามอยู่ในจวน ซึ่งแตกต่างจากทายาทสายตรงอย่างจ้าวหยวนเอ๋อที่เป็นมารดาของเย่เสวียนจื่อ แต่ทว่าต่อให้เป็นบุตรที่เกิดจากอนุอย่างไรนางก็ยังคงเป็นสายเลือดของตระกูลจ้าวอยู่ดี มิอาจทำให้ตระกูลจ้าวขายหน้าได้
“เรื่องนี้...”
มิใช่ตัวเขาไม่ต้องการให้จ้าวหรูอี้มาเป็นคนของตน แต่เฉิงหรงกุ้ยเฟยผู้เป็นน้องสาวนั้นสั่งห้ามมิให้เขายุ่งเกี่ยวกับตระกูลจ้าวต่างหาก จึงต้องแอบพบกับนางอย่างลับๆ เพื่อมิให้ตระกูลจ้าวระแคะระคาย
“ข้าเองก็ต้องการแต่งเจ้าเข้าจวน แต่ข้าพึ่งได้รับพระราชทานสมรสจากฝ่าบาท มิอาจแต่งอนุได้จนกว่าจะครบปี ข้าอยากให้เจ้าอดทนได้หรือไม่หรูเอ๋อ”
แม้นางจะรู้สึกไม่พอใจ ทว่าตนเองกลายเป็นคนของเขาแล้วจะสามารถพูดสิ่งใดได้เล่า
“ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ แต่ท่านอย่าให้ข้าต้องรอนานนะ”
หญิงสาวซบหน้าลงไปบนแผงอกของชายหนุ่ม มือนุ่มนิ่มไม่อยู่สุขลูบไล้ไปตามร่างกายของโจวหานอี้ เสียงครางกระเส่าดังแผ่วเบาออกมา คนขับรถม้าและผู้ติดตามมองหน้ากันเลิกลัก ไม่คิดว่าคุณชายของตนจะใจกล้าถึงเพียงนี้
ณ เชิงเขาทางขึ้นไปยังวัดประจำเมืองหลวง
“พวกเราเราขึ้นไปด้านบนก่อนเถอะ”
รถม้าที่พานเยว่หลานและสาวใช้ทั้งสองนั่งมา หยุดลงตรงทางขึ้นเขาที่มีบันไดนับร้อยขั้น หญิงสาวหลับตาสงบนิ่งก่อนจะสูดหายใจลึก นางย่ำเท้าขึ้นไปแต่ละก้าวด้วยจิตที่มุ่งมั่น
แม้จะรู้สึกว่าชีวิตของตนมิได้รับความเป็นธรรมจากสวรรค์ แต่ทว่านางก็เชื่อมั่นในเรื่องบาปบุญ หญิงสาวไม่รั้งรอสามีที่นั่งมากับสตรีอื่น
เมื่อไปถึงด้านบนที่เป็นลานโล่งมีเพียงพระพุทธรูปองค์ใหญ่ตั้งเด่นตระหง่านและต้นโพธิ์หนึ่งต้นที่ยืนให้ร่มเงาอยู่ไม่ไกล ด้านหลังพระพุทธรูปคือหน้าผาที่มีศาลาและสถานที่พำนักของเหล่าภิกษุอาศัยอยู่
หญิงสาวนั่งลงคุกเข่าลงหลับตาอธิษฐานขอให้ตนเองและครอบครัวมีความสุขแคล้วคลาดปลอดภัย ทว่าธูปที่นางจุดกลับมอดดับไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ
พานเยว่หลานเฝ้ามองธูปดอกนั้นด้วยจิตใจที่ไม่สงบ ทว่าด้านหลังกลับได้ยินเสียงของใครบางคนเอ่ยขึ้น
บ่วงเวรกรรมชาตินี้ไม่มีวันตัดขาด ชีวิตอันน่าเวทนายังไม่สิ้นสุด เมื่อใดที่ผู้มีบุญได้เกิดใหม่ เมื่อนั้นความทุกข์ทั้งหลายจะถูกปลดปล่อย
หญิงสาวราวกับตกอยู่ในภวังค์ ทันทีที่สาวใช้เข้ามาแตะหัวไหล่ พานเยว่หลานก็ได้สติกลับมาทันที นางหันมองไปรอบด้านเพื่อหาว่าเป็นผู้ใดที่เอ่ยกับตน ทว่าทั่วทั้งบริเวณมีเพียงนางและสาวใช้ทั้งสองเท่านั้น
“พวกเจ้าพบใครอื่นนอกจากพวกเราหรือไม่”
สาวใช้ทั้งสองส่ายหน้า
“ไม่มีเจ้าค่ะ ที่นี่มีเพียงพวกเราสามคน”
หญิงสาวไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน ทว่าเสียงนั้นยังคงดังกึกก้องภายในหัว หรือว่านี่อาจเป็นคำตอบของสวรรค์ที่นางต้องการถามมาโดยตลอด
“ฮูหยินน้อยท่านเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ”
“ไม่มีอะไร ข้าคงหูแว่วไปเอง พวกเจ้าสองคนนำเงินนี้ไปบริจาคเป็นค่าน้ำมันตะเกียงให้กับที่วัดเถอะ ข้าอยากเดินดูรอบๆ สักหน่อย”
หลังจากสั่งสาวใช้ทั้งสองพานเยว่หลานจึงเดินไปยังต้นโพธิ์ที่ยืนต้นตระหง่านให้ร่มเงาอยู่ไม่ไกล นางนั่งลงที่ม้านั่งทว่ากลับได้เห็นใครบางคนที่แสนคุ้นตากำลังกวาดใบไม้แห้งอยู่ไม่ไกล
ทันทีที่สองสายตาสบประสาน หัวใจของนางสั่นไหวอย่างรุนแรงเมื่อได้เห็นใบหน้านั้นอย่างเต็มตา
“ท่าน...เย่เหิง...เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่”
ดวงตาคมฉายแววเจ็บปวด ร่างสูงโปร่งในชุดผ้าเหลืองสีมอ บนศีรษะโล่งเตียนไร้เส้นผม บัดนี้เย่เหิงหรืออันคงใต้ซือได้กลายเป็นหลวงจีนที่สละทางโลกไปเรียบร้อยแล้ว
“ความเจ็บปวดที่อาตมาได้รับนั่นเกินที่หัวใจจะทนรับไหว ในเมื่อชีวิตนี้มิอาจสมหวัง อาตมาก็ไม่ต้องการรับรู้เกี่ยวกับฮูหยินอีก”
พานเยว่หลานคิดว่าตนเองนั้นได้รับความทุกข์ทรมานมากแล้ว ทว่าบุรุษผู้นี้กลับได้รับความเจ็บปวดไม่ต่างกัน ตั้งแต่วันนั้นในงานแต่งงานของนางหญิงสาวก็มิได้พบหน้าเขาอีกเลย
“ท่านทำเช่นนี้เพื่อสตรีเช่นข้ามันสมควรแล้วหรือ”
ดวงตากลมโตแดงก่ำ หยาดน้ำตาแห่งความทุกข์ระทมหลั่งรินออกมาไม่ขาดสาย หัวใจของเขาและนางเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสความรู้สึกเจ็บปวดราวถูกทิ่มแทงเกิดขึ้นเพราะอะไร มีเพียงคนทั้งสองเท่านั้นที่รู้ดีแก่ใจ
“อาตมาเป็นผู้เลือกเส้นทางนี้ด้วยตนเอง มิใช่ความผิดของโยม อย่าได้กล่าวโทษหรือด้อยค่าตนเองเช่นนั้น”
แม้จะละทางโลกไปแล้ว แต่ความห่วงใยของเขาที่มีต่อนางนั้นไม่ลดน้อยถอยลงแม้เพียงนิด
“ที่นี่ทำให้หัวใจของตามาสงบลงได้ แม้ความเจ็บปวดจะยังคงอยู่ ทว่าอาตมาเชื่อ สักวันมันจะต้องหายไปได้แน่นอน”
ร่างบางมิอาจสะกดกลั้นความรู้สึกเจ็บปวดและระทมทุกข์ของตนได้อีกต่อไป นางคุกเข่าก้มหน้าผากจรดพื้นต่อหน้าหลวงจีนหนุ่ม หัวไหล่บอบบางสั่นเทาเพราะแรงสะอื้น
“เช่นนั้นข้าน้อยก็ขอให้ท่านจงมีแต่ความสุขสงบเมื่ออยู่ที่นี่ ทว่าในเมื่อชาตินี้มิอาจครองคู่ ขอให้ชาติต่อไปของเราทั้งสองอย่าได้มีอุปสรรคอีกเลย”
หญิงสาวหันไปคำนับให้กับพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ตั้งเด่นตระหง่านท่ามกลางความเงียบสงบ หลวงจีนหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็คุกเข่าลงคำนับเช่นกัน ราวกับว่าเป็นคำสัญญาข้ามภพข้ามชาติของคนทั้งสองที่มีต่อกัน
พานเยียนหลิงและเย่เสวียนจื่อมีบุตรชายหญิงด้วยกันถึงสี่คน พานจื่อหยวนแต่งงานกับหลานสาวแม่ทัพเจิ้งมีบุตรชายหญิงฝาแฝดด้วยกันสองคน ส่วนพานซืออวิ๋นได้แต่งงานกับเย่อิ่งเจินมีบุตรีสองคนและชายหนึ่งคน ชีวิตที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดของสามพี่น้องบัดนี้ดีพร้อมเกินกว่าจิตนาการในทุกฤดูใบไม้ผลิหญิงสาวจะพาครอบครัวและเจ้าเสือดำพี่น้องนั่งเรือกลับไปยังหมู่บ้านมู่โถวเพื่อเยี่ยมเยียนท่านย่าจวงปีต่อมาหลวงจีนอันคงในวัยสี่สิบห้าได้เสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคประหลาด กล่าวคือเขานอนหลับแล้วสิ้นลมไปอย่างเงียบๆ ภายในห้องพัก ไม่สามารถตรวจหาสาเหตุการเสียชีวิตได้สิบห้าปีต่อมาท่านย่าจวงในวัยชราได้จากไปเช่นกัน ถึงกระนั้นพานเยียนหลิงก็ยังกลับไปที่หมู่บ้านมู่โถวเพื่อรำลึกถึงสิ่งที่ย่าจวงเคยมอบให้แก่ตนและน้องทั้งสองนางไม่มีสิ่งใดตอบแทนหญิงชรามีเพียงการดูแลหลานชายของนางให้มีชีวิตที่ดี เพื่อเป็นการกตัญญูต่อนางพานเยียนหลิงได้มอบจวนที่อยู่ในอำเภอตงผิงให้แก่จวงอี้ซิงและครอบครัว ทุกปีนางจะแบ่งเสบียงที่ได้รับจากที่ดินพระราชทานบางส่วนให้แก่พวกเขาณ ถนนเส้นหลักใจกลางเมืองหลวง“ตีมันให้ตาย!!เจ้าขอทานสกปรกตัวเหม็น”เสียงร้องโอดโอยด้
“เจ้ากลับมาแล้วหรือ ก่อนหน้านี้เกิดอันใดขึ้นกันแน่บอกเจิ้นมาให้หมด”เซี่ยฮ่องเต้มองไปยังเจ้าเสือดำสองพี่น้องที่นอนหมอบอยู่อย่างสงบด้วยท่าทีหวาดๆ ความจริงหลังจากที่ได้รับคำร้องขอเข้าเฝ้าพร้อมเสือดำสองตัวที่สร้างความปั่นป่วนไปทั่วเมืองหลวง พระองค์ก็ทรงอยากเห็นด้วยตาตนเองสักครั้ง ไม่คิดว่าจะมีขนาดใหญ่โตเช่นนี้พานเยียนหลิงเมื่อได้ยินเสียงความคิดของเซี่ยฮ่องเต้นางก็ลอบยิ้มให้กับตนเอง นี่เป็นทางเดียวที่นางจะสามารถนำเสี่ยวเจี่ยและเสี่ยวเกอมาอยู่ที่นี่ได้ คือต้องผ่านความเห็นชอบของเจ้าของแผ่นดิน“ความจริงเสือดำทั้งสองเป็นครอบครัวของหม่อมฉันเองเพคะ เมื่อครั้งยังเยาว์พวกเราเติบโตมาด้วยกัน หม่อมฉันกำพร้าแม่ส่วนแม่ของพวกมันก็ถูกพรากชีวิตไปเช่นกัน”“เจ้า...หมายความว่าอย่างไร”“แม่ของพวกมันถูกองค์ชายใหญ่ระดมคนมากมายตามสังหารเมื่อหลายปีก่อน ในช่วงเวลานั้นหม่อมฉันเองก็อยู่ที่นั่นด้วย”“นั่น!!..”พานเยียนหลิงเข้าใจว่าเซี่ยฮ่องเต้อาจรู้สึกผิดทว่าเรื่องนั้นก็ผ่านมานานแล้ว จึงไม่ควรเอ่ยถึงอีก“พวกมันไม่ถือสาเรื่องในอดีตแล้วเพคะ ทว่าหม่อมฉันยังมีเรื่องต้องกราบทูลพระองค์”หญิงสาวหยุดไปเล็กน้อยก่อนเอ่ยถึงเร
หลังจากที่ได้พบเสือดำสองพี่น้อง ชายหนุ่มก็ได้ติดตามพวกมันไปจนกระทั่งพบร่างของพานเยียนหลิงและฟู่อี้ที่นอนหมดสติอยู่ในหลุมดักสัตว์ คนทั้งสองถูกช่วยเหลือขึ้นมา ส่วนฟู่อี้ที่บาดเจ็บสาหัสถูกมัดติดกับหลังของเสี่ยวเกอวิ่งไปยังโรงหมอที่ใกล้ที่สุดเพื่อช่วยชีวิตเขาผู้ติดตามสองคนใช้วิชาตัวเบาทะยานตามไปมองภาพนั้นด้วยสีหน้าอึ้งงัน ไม่คิดว่าพวกตนที่มีวิชาตัวเบาที่ดีที่สุดกลับไม่สามารถตามเสือดำตัวนั้นได้ทันย้อนกลับมายังปัจจุบันคนของเย่เสวียนจื่อจัดการนักฆ่าที่เหลือที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือต่อให้ปล่อยเอาไว้คนเหล่านั้นก็คงไม่สามารถมีทางรอดชีวิต แต่ละคนไม่แขนขาดก็ขาขาดเพราะถูกเสี่ยวเกอและเสี่ยวเจี่ยจัดการ“เสี่ยวเจี่ยเด็กดี”หญิงสาวดิ้นรนออกจากอ้อมแขนของชายหนุ่มหลังจากที่รู้ว่าตนมิได้กำลังฝันไป แม้จะแต่งงานกับเขาแล้วพานเยียนหลิงก็ยังรู้สึกเขินอายทุกครั้งเมื่อต้องอยู่ในอ้อมแขนของเขาเสี่ยวเจี่ยที่นอนอยู่ด้านข้างใช้หัวดุนดันร่างของนางจนพานเยียนหลิงล้มลง ร่างบางกอดมันเอาไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับหลับตาซึมซับความคิดถึง“มันพาข้ามาพบเจ้าที่นี่”ร่างบางผินไปมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ“จริงหรือ ได้อย่างไรก
ท่ามกลางหุบเขาลึกพานเยียนหลิงแบกร่างที่แทบหมดสติของชายหนุ่มเอาไว้บนหลัง เสียงหอบหายใจของคนทั้งสองถี่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกย่างก้าวของนางมีเลือดของฟู่อี้ไหลหยดเป็นทางท้องฟ้ายามนี้กำลังอัสดง เสียงนกกาที่กำลังบินกลับรังกู่ร้องก้องสะท้านไปทั่วหุบเขา หญิงสาวที่กำลังหมดแรงแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า นางอยากจะภาวนาต่อสวรรค์ของให้ปล่อยพวกตนไปแต่ดูเหมือนคำร้องขอของนางจะถูกปฏิเสธ เมื่อร่างบางก้าวไปด้านหน้า พลันนางสัมผัสได้ถึงความเวิ้งว้างที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า สองร่างร่วงหล่นลงในหลุมขนาดใหญ่ พานเยียนหลิงหวีดร้องจนสุดเสียงฟู่อี้ทับอยู่บนร่างเล็กทว่ามิอาจขยับกายได้ หญิงสาวดิ้นรนอยู่นานกว่าจะนำร่างตนเองออกมาได้เป็นอิสระร่างบางมองขึ้นไปด้านบนด้วยสีหน้าซับซ้อน บัดนี้คนทั้งสองกำลังติดอยู่ในหลุมดักสัตว์ของนายพราน นางไม่คิดว่าในหุบเขาลึกเช่นนี้จะมีคนมาขุดหลุมใหญ่เอาไว้เสียได้ ทั้งนางและฟู่อี้ตอนนี้ถูกขังโดยสมบูรณ์ หากนักฆ่าเหล่านั้นตามมาทันพวกนางไม่มีทางรอดไปได้แน่กว่าสองชั่วยามที่หญิงสาวพยายามปีนป่ายออกจากหลุมลึก ไม่มีน้ำไม่มีอาหารหากต้องติดอยู่ที่นี่ก็ไม่ต่างจากการเฝ้ารอความตาย หญิงสาวมองชายหนุ่มที่บัดนี้นอนหายใจรว
ทหารในเมืองหลวงถูกระดมกำลังพลออกตามหาหญิงสาวอย่างลับๆ รถม้าทุกคันเรือทุกลำต่างถูกตรวจค้นอย่างเข้มงวด ทว่าเรือลำที่พวกเขาโดยสารมีตราสัญลักษณ์ของราชวงศ์จึงได้ถูกปล่อยผ่านพานเยียนหลิงและฟู่อี้ถูกขังเอาไว้ภายในห้องโดยสารหลายวันแล้ว อาการบาดเจ็บของเขาดีขึ้นมากจากการดูแลของหญิงสาว นางฟังความคิดของคนที่เป็นหัวหน้าทำให้รู้ว่าพวกตนกำลังมุ่งหน้าไปที่ใดที่แท้จริงคนมากมายเหล่านี้ที่แต่งกายเลียนแบบทหารต้าเหลียงคือคนของตระกูลโจวที่เลี้ยงดูเอาไว้ และพวกเขายังเป็นพวกเดียวกับโจรป่าที่ถูกกำจัดไปเมื่อปีก่อนพานเยียนหลิงไม่คิดว่าจะยังหลงเหลือมากมายเพียงนี้ เป็นนางที่พลาดเองที่ไม่ตรวจสอบให้แน่ชัด หรือไม่บางทีคนเหล่านี้ก็ถูกแยกออกจากคนกลุ่มนั้นเพื่อคอยทำงานสกปรกให้กับตระกูลโจว“ฟู่อี้ อีกเพียงไม่นานก็จะถึงจุดหมายแล้ว แม้เจ้าจะยังบาดเจ็บภายในแต่เราคงรอนานกว่านี้ไม่ได้ เจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่”ชายหนุ่มมองดวงตาดำขลับเปล่งประกายราวกับดวงดาวยามค่ำคืนของหญิงสาว เขาไม่รู้ว่านางรู้เรื่องทุกอย่างนี้ได้อย่างไร แต่เขาเชื่อใจหญิงสาวตรงหน้าอย่างเต็มเปี่ยมภาพเด็กน้อยเมื่อหลายปีก่อนผุดขึ้นมาในหัว เด็กสาวที่ต่อสู้ดิ้นรนเ
“เร็วเข้า!!รีบไปช่วยพี่สาวของข้า!!”“นี่!...อวิ๋นเอ๋อ!!เจ้าพูดได้แล้วหรือ”ชายหนุ่มตกตะลึงเมื่อได้ยินเสียงของเด็กสาวเป็นครั้งแรก“พี่เสวียนจื่อรีบไปช่วยพี่ใหญ่เร็วเข้า นางกำลังถูกพาตัวมุ่งหน้าไปทางอำเภอตงผิง”“เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”เด็กน้อยได้รับสารมาเพียงเท่านี้ ยังไม่รู้ว่าพี่สาวถูกพาตัวไปทางบกหรือทางน้ำ ตอนนี้ก็ผ่านไปหลายชั่วยามแล้วพวกเขาจะต้องนำหน้าไปห่างไกล“ไม่ต้องถามแล้ว! แม้แต่พี่ฟู่อี้ตอนนี้ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสท่านต้องรีบไปช่วยพวกเขาโดยด่วน ไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะสายเกินไป”เย่เสวียนจื่อสงสัยว่าเด็กน้อยรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรในเมื่อนางนอนป่วยไม่ได้สติมาตั้งแต่เมื่อคืน ทว่าเรื่องช่วยพานเยียนหลิงและฟู่อี้นั้นสำคัญยิ่งกว่าจึงมิได้ซักถามให้มากความ ชายหนุ่มรีบพาคนออกจากจวนเพื่อไปช่วยพวกเขาย้อนกลับไปเมื่อหลายชั่วยามก่อนพานเยียนหลิงนั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังตำหนักองค์หญิงใหญ่ที่อยู่นอกเมือง เมื่อถึงช่วงเส้นทางเปลี่ยวร้างไร้ผู้คน มือสังหารมากมายได้พุ่งเข้าปิดล้อมรถม้าของนางภายในเวลาเพียงไม่นานความโกลาหลก็เกิดขึ้น องครักษ์เงาทั้งหกรวมถึงฟู่อี้ได้ช่วยสกัดมือสังหารเหล่านั้น ทว่าคนน้อ