พานเยว่หลานภายหลังเมื่อกลับมาจากวัดหลิงซาน นางก็ปิดประตูเก็บตัวเงียบอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ต่างออกไป เพราะนางคิดว่าถึงเวลาที่ตนต้องใช้ชีวิตให้ดีแล้ว ในเมื่ออดีตมิอาจแก้ไข นางเชื่อมั่นอย่างสุดใจว่าตนเองในชาติหน้าจักได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับบุรุษที่ตนรัก
ร่างบางแปรเปลี่ยนจากหญิงสาวที่ดูระทมทุกข์ บัดนี้กลายเป็นพานเยว่หลานคนใหม่ที่มีแต่ความมั่นใจ จากนี้นางมิยินยอมให้ผู้ใดมารังแกตนเองอีก แม้แต่แม่ของสามีหรือเฉิงหรงกุ้ยเฟย
“ถึงเวลาที่ข้าต้องทวงคืนความเป็นธรรมให้ตนเอง ต่อให้เป็นเฉิงหรงกุ้ยเฟยก็ไม่สามารถเอาครอบครัวมาข่มขู่ข้าได้
หญิงสาวนั่งรถม้าเข้าไปในวัง และยื่นป้ายหยกที่ฮองเฮาเคยมอบให้ไว้ก่อนที่จะได้รับพระราชทานสมรสกับโจวหานอี้
“มิได้พบกันเพียงพักเดียวเจ้าดูผ่ายผอมไปมาก ท่าทางตระกูล โจวจะเลี้ยงดูเจ้าได้ไม่ดีเท่าที่ควร”
“เป็นเช่นนั้นเพคะ”
ซ่างกวนฮองเฮาไม่คิดว่าหญิงสาวตรงหน้าจะยอมรับออกมาตรงๆ เช่นนั้น ช่างดูแปลกและแตกต่างจากเด็กสาวขี้อายที่ตนได้พบเมื่อปีก่อน
“เช่นนั้นที่เจ้าต้องการพบข้าก็คงจะมีเรื่องกระมัง”
“เพคะ หม่อมฉันขอร้องฮองเฮาที่เป็นดั่งตัวแทนของสตรีทั่วหล้าโปรดให้ความเป็นธรรมแก่สตรีตัวเล็กๆ ที่ไร้ทางปกป้องตนเองด้วยเพคะ”
พานเยว่หลานคุกเข่าโขกหน้าผากกับพื้นเสียงดังมิยอมเงยหน้า หมายความว่านางนั้นได้รับความไม่เป็นธรรมและความทุกข์อย่างใหญ่หลวง
“เจ้าเงยหน้าขึ้นก่อน อย่าได้ทำเช่นนี้ มีอันใดก็ค่อยพูดค่อยๆ จา”
ซ่างกวนฮองเฮาสืบรู้มาว่าหญิงสาวตรงหน้าเคยมีคนรักในวัยเด็กคือคุณชายสามตระกูลเย่ นางถึงได้ปฏิเสธตนที่เอ่ยปากทาบทามให้มาเป็นหนึ่งในนางสนมของฮ่องเต้
ทว่าบัดนี้คนทั้งสองได้ถูกพรากออกจากกัน คนหนึ่งได้รับความทุกข์จากการกดขี่ของแม่สามี ส่วนอีกคนสละทางโลกปลงผมบวชเป็นหลวงจีนไปแล้ว เรื่องราวของพวกเขาสองคนช่างน่าเวทนานัก
เป็นเพราะตระกูลโจวเพียงตระกูลเดียวสามารถทำให้เรื่องราวยุ่งเหยิงได้ถึงเพียงนี้
“เอาล่ะ เจ้าลองบอกมาสิว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่”
พานเยว่หลานเมื่อสงบสติอารมณ์ของตนลงได้ นางจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตน ทั้งยังไม่ลืมกล่าวถึงสิ่งที่เฉิงหรงกุ้ยเฟยเคยเอ่ยวาจาข่มขู่ตนเอง
“ช่างบังอาจนัก!! นางคิดว่าตนเองเป็นใครถึงได้อาจหาญข่มขู่ทายาทของผู้ที่เสียสละตนเองปกป้องชายแดนต้าเหลียงอย่างแม่ทัพพาน เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล่นๆ เจ้ายืนยันหรือไม่ว่านางกล่าวเช่นนั้นจริง”
“เพคะ เพียงแต่หม่อมฉันไร้หลักฐาน ทุกครั้งที่เฉิงหรงกุ้ยเฟยเรียกหม่อมฉันเข้ามาในวัง ก็มักให้หม่อมฉันคุกเข่าอยู่ที่หน้าตำหนักกว่านจี”
พานเยว่หลานนิ่งตรึกตรองถึงบรรยากาศรอบๆ เมื่อตนเองเข้ามาภายในวัง
“อ้อ...ท่านขันทีจางเป่าเคยเห็นเพคะ หม่อมฉันแต่งเข้าจวนตระกูลโจวหนึ่งเดือนถูกเรียกเข้าวังถึงหกครั้ง และทุกครั้งท่านขันทีจางเป่าจะเป็นผู้เห็นว่าหม่อมฉันถูกสั่งให้คุกเข่าท่ามกลางแดดร้อนอย่างไร้ความปรานี”
ในอดีตฮองเฮาที่เป็นพระชายารัชทายาท แม้จะเป็นสตรีใจกว้างไม่เคยคิดเรื่องหยุมหยิมกับเหล่าชายาน้อยๆ แต่เพราะตอนนั้นตนเองไร้วาสนามิอาจตั้งครรภ์พระโอรสได้ ทำให้เฉิงหรงที่เป็นชายารองได้ใจ เพราะนางได้คลอดทายาทคนแรกออกมาเป็นองค์ชาย
ทว่าบัดนี้พระนางเองก็มีพระโอรสแล้ว ถึงเวลาที่ต้องชำระแค้นที่เฉิงหรงกุ้ยเฟยเคยทำเอาไว้เมื่อครั้งอดีต
“เจ้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทกับข้า”
ขบวนเสด็จของฮองเฮาตรงไปยังตำหนักเฉียนชิงทันที นางกำนัลที่จับตาดูตำหนักคุนหนิงบัดนี้รีบวิ่งกลับไปรายงานเฉิงหรงกุ้ยเฟยนายของตน
“เจ้าว่าอย่างไรนะ!! นางแพศยานั่นมาเข้าเฝ้าฮองเฮา ตอนนี้พวกเขากำลังไปหาฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ พวกมันคิดจะทำอันใดกันแน่”
เพราะสร้างเรื่องเอาไว้มากมาย จึงไม่รู้ว่าฮองเฮาจะนำเรื่องใดมาเล่นงานตน ร่างอรชรลุกขึ้นเดินไปเดินมาภายในตำหนักอย่างเป็นกังวล
“ไม่ได้การ!! เจ้าให้คนไปตามท่านพ่อของข้ามาที่นี่ ไม่ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น หรือต่อให้ฝ่าบาททรงพิโรธเพราะตัวข้า ท่านพ่อที่มีผลงานจะต้องจัดการได้แน่”
“เพคะ”
เฉิงหรงกุ้ยเฟยสั่งนางกำนัลข้างกาย ก่อนจะหันมาแต่งกายให้ตนเองอย่างงดงามเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้และขัดขวางแผนการของฮองเฮา
ณ ตำหนักเฉียนชิง
“ฮองเฮามาพบเราที่นี่มีธุระอันใดหรือ”
ร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีทองปักดิ้นลวดลายมังกรที่กำลังอ่านฎีกาอยู่ภายในห้องทรงงานเงยหน้าขึ้น มองภรรยาที่ตนผูกผมมาสิบกว่าปีด้วยสีหน้าแปลกใจ ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นนางมาหาตนที่นี่ด้วยตนเอง
ร่างบางยอบกายให้ผู้ยิ่งใหญ่แห่งต้าเหลียง ก่อนจะเอ่ยถึงความประสงค์ของตนที่มาในวันนี้
“ฝ่าบาทเพคะ วันนี้ฮูหยินน้อยตระกูลโจวมาขอเข้าเฝ้าหม่อมฉัน นางกล่าวว่าตนเองได้รับความไม่เป็นธรรมจากพระราชทานสมรสของพระองค์ หม่อมฉันจึงได้พานางมาที่นี่เพื่อเรียกร้องสิทธิของบุตรสาวขุนนางผู้ภักดี”
“ใครหรือฮูหยินน้อยโจว”
เซี่ยฮ่องเต้มีสีหน้างุนงงเล็กน้อย เพราะทำงานอย่างหนักเพื่อพิสูจน์ตนเองมากว่าหนึ่งปี จึงจำไม่ได้ว่าตนเองพระราชทานสมรสไปแล้วกี่คู่
“นางคือหญิงสาวที่ขึ้นร่ายรำในวันเฉลิมฉลองการขึ้นครองราชสมบัติของพระองค์ เด็กสาวตระกูลพานผู้นั้น”
เมื่อเอ่ยถึงสตรีที่ต้องใจตนเพียงแรกพบ เซี่ยฮ่องเต้ก็จดจำนางได้ในทันที และเป็นเขาที่มอบนางให้กับบุตรชายของตระกูลเสนาบดีโจวด้วยตนเอง
“เป็นนางเองหรือ”
ดวงตาคมสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถึงสตรีนางนั้น ภรรยาคู่ยากที่ใช้ชีวิตร่วมกันมาเนิ่นนานอย่างซ่างกวนฮองเฮา มีหรือจะไม่สามารถจับสังเกตอาการและน้ำเสียงของสามีได้
“เพคะ เป็นนาง หนึ่งเดือนที่หญิงสาวตระกูลพานแต่งเข้าไปยังตระกูลโจว นางถูกแม่สามีกระทำข่มเหงราวกับมิใช่บุตรสาวจากตระกูลใหญ่ ทั้งยังถูกผู้มีอำนาจในวังหลังข่มขู่ ทว่าตอนนี้นางมิสามารถทนแบกรับความไม่เป็นธรรมได้อีก จึงได้เข้าวังมาขอความช่วยเหลือจากหม่อมฉัน”
เซี่ยฮ่องเต้ตรึกตรองอีกครั้ง อย่างไรก็เป็นตนที่เขียนพระราชโองการนี้ เช่นนั้นก็ยื่นมือเข้าช่วยเหลือนางสักครั้ง ภายในใจยังนึกกล่าวโทษตนเอง วันนั้นเขาน่าจะบอกปัดเสนาบดีโจวไปเสีย แล้วให้เขาเลือกบุตรสาวจากตระกูลอื่นแต่งเข้าแทน
“นางอยู่ที่นี่ด้วยหรือไม่”
“เพคะ”
“เช่นนั้นก็ให้นางมาพบเราเถิด”
ขันทีจางเข่อที่รับใช้ข้างพระวรกายรับเดินออกไปตามพานเยว่หลานให้มาเข้าเฝ้าทันที
“หม่อมฉันพานเยว่หลานถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”
ร่างบางในชุดขาวเรียบง่ายบนหัวประดับปิ่นหยกเพียงหนึ่งอัน คุกเข่าลงตรงหน้าเซี่ยฮ่องเต้ด้วยใบหน้าสงบนิ่ง
“ไม่ต้องมากพิธี เจ้าลุกขึ้นพูดต่อหน้าเราเถิด”
หญิงสาวหันไปมองซ่างกวนฮองเฮาเล็กน้อย เมื่อพระนางพยักหน้าพานเยว่หลานจึงได้ลุกขึ้นยืน
“เราได้ยินว่าเจาเข้าวังมาเพื่อทวงความเป็นธรรมให้ตนใช่หรือไม่”
ร่างสูงสง่านัยน์ตาคมประดุจเหยี่ยวจ้องใบหน้างามหยดย้อยของสตรีตรงหน้าไม่ว่างตา ภายในใจนึกเสียดายอยู่ครามครันที่ตนด่วนตัดสินใจยกนางให้กับตระกูลโจว
“เป็นเช่นนั้นเพคะ”
เสียงใสกังวานเอ่ยตอบ แม้นางจะยืนก้มหน้าทว่าท่าทางกลับดูบอบบางน่าทะนุถนอม ใบหน้างามที่ดูอมทุกข์ราวกับดอกสาลี่ต้องหยาดฝน หากไม่มีฮองเฮาอยู่ภายในห้องนี้ด้วยตนเองคงกระโจนเข้าไปโอบกอดปลอบประโลมหญิงสาวให้คลายจากความทุกข์ระทมเป็นแน่
เซี่ยฮ่องเต้รีบสลัดความคิดนั้นออกจากหัว แล้วหันมาสนใจหญิงงามตรงหน้าแทน
“อะแฮ่ม...เจ้าเล่าให้เราฟังหน่อยสิว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ ในเมื่อเราเป็นผู้พระราชทานเจ้าให้กับตระกูลโจวเช่นนั้นเราก็จะเป็นผู้ให้ความเป็นธรรมกับเจ้าเอง”
พานเยว่หลานเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเช่นเดียวกับที่เล่าในตำหนักคุนหนิงของฮองเฮาแบบไม่มีตกหล่น ภายหลังเมื่อนางเล่าเสร็จสิ้นเสียงพระหัสถ์หนาตบลงไปยังโต๊ะทรงงานเสียงดังสนั่น ทำเอาขันทีจางเข่อสะดุ้งจนตัวโยน
“นางทำเช่นนี้ได้อย่างไร ตระกูลโจวทำเช่นนี้ได้อย่างไร เราหรืออุตส่าห์ไว้ใจพวกเขา นี่ถึงกลับกล้าใช้อำนาจในทางมิชอบข่มขู่บุตรีของแม่ทัพเชียวหรือ ใครก็ได้ไปตามเฉิงหรงกุ้ยเฟยมาพบเราที”
ขันทีน้อยที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าห้องทรงงานเมื่อเห็นโทสะของผู้เป็นนายเหนือหัว เขาก็รีบพุ่งตัวไปยังตำหนักกวานชิงทันที ทว่าเฉิงหรงกุ้ยเฟยกลับเดินนำขบวนบ่าวรับใช้ตรงมายังตำหนักเฉียนชิงราวกับรู้ล่วงหน้า
“ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันเห็นว่าบ่ายแล้วอากาศร้อนอบอ้าวนัก จึงได้ต้มน้ำถั่วเขียวมาถวาย”
เฉิงหรงกุ้ยเฟยเดินนวยนาดเข้ามาภายในห้อง แสร้งมองไม่เห็นอีกสองชีวิตที่อยู่ในนั้นด้วย เซี่ยฮ่องเต้เห็นสิ่งที่นางกระทำต่อฮองเฮา โทสะที่มีอยู่ก่อนแล้วก็ยิ่งพุ่งทะยานสูงขึ้นกว่าเดิม
ปั้ง!
“ดี! ดียิ่งนัก! นี่คือท่าทีของเจ้าเมื่ออยู่ต่อหน้าฮองเฮาอย่างนั้นหรือ เราคิดว่าเจ้าคงได้รับความโปรดปรานจากเรามากเกินไปแล้วกระมัง ถึงได้มองไม่เห็นหัวภรรยาของเราเช่นนี้”
เสียงตบโต๊ะของฮ่องเต้ครั้งนี้รุนแรงยิ่งกว่าเดิม ทั้งขันทีและนางกำนัลผู้ติดตามเฉิงหรงกุ้ยเฟยต่างก็รีบหมอบกราบลงไปที่พื้นด้วยท่าทางสั่นกลัว หญิงสาวที่ไม่เคยถูกเซี่ยฮ่องเต้ขึ้นเสียงใส่เช่นนี้ จึงแสดงสีหน้าน้อยใจออกมา ใบหน้างามแดงก่ำ ดวงตาหวานหยดหลั่งน้ำใสออกมา
ทว่าท่าทางที่ดูเสแสร้งของนางเทียบมิได้กับการร้องไห้อย่างระทมทุกข์ของพานเยว่หลานเลยสักนิด
เซี่ยฮ่องเต้เหลือบมองใบหน้าที่แต่งแต้มเครื่องประทินโฉมจนหนาเตอะเทียบกับใบหน้าเกลี้ยงเกลาของเด็กสาวแรกรุ่นอย่างพานเยว่หลานแล้ว...
“เลิกเสแสร้งต่อหน้าเราเสียที บอกมาว่าเจ้าได้ข่มขู่บุตรสาวของแม่ทัพพานหรือไม่ เจ้าได้เรียกนางเข้ามาทำโทษในวังหลวงหรือไม่”
“นั่น...”
เฉิงหรงกุ้ยเฟยแจ้งแก่ใจแล้วว่าพานเยว่หลานเข้าวังเพื่อเข้าเฝ้าฮองเฮาด้วยเรื่องใด
“นั่นเป็นเรื่องเข้าใจผิดนะเพคะ หม่อมฉันเห็นนางไร้ความอดทนจึงต้องการฝึกฝนนางเท่านั้น มิได้มีเจตนาอื่น ก็แค่คุกเข่าเพียงครั้งเดียวเหตุใดต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่”
เฉิงหรงกุ้ยเฟยเอ่ยเสียงเบาด้วยท่าทีประหม่า
“จางเข่อจางเป่าคือลูกบุญธรรมของเจ้าใช่หรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยฮ่องเต้ถามขันทีคนสนิทที่รับใช้ข้างกายครั้งยังเป็นเพียงองค์ชายน้อย
“ดีเช่นนั้นก็ไปตามเขามาพบเรา”
จางเข่อค้อมกายก่อนเดินออกจากห้องทรงงานไป เฉิงหรงกุ้ยเฟยถลึงตาใส่ร่างบางที่ยืนก้มหน้าด้วยท่าทีเดือดดาล ไม่คิดว่าสตรีตัวเล็กอย่างนางจะกล้าเข้าวังมาฟ้องร้องเรื่องที่ถูกตนกลั่นแกล้ง
ณ เรือนตระกูลหลี่“กลับมาแล้วหรือเจ้าพวกตัวซวย หายหัวไปทั้งคืนยังกล้ากลับมาที่นี่อีกนะ”เสียงแหลมสากของแม่เฒ่าหม่าดังขึ้นด้านหลัง ในระหว่างที่สองพี่น้องกำลังย่องกลับไปยังห้องเก็บฟืน“ท่านย่า”หญิงชรามีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ที่เด็กสาวหันมาพูดกับตนด้วยสีหน้าเย็นชา ทั้งที่ในยามปกติมักจะแสดงท่าทีขลาดกลัวเป็นครั้งแรกที่ได้พบหญิงชราหลังจากย้อนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง หลี่อันหนิงกำหมัดแน่นเพื่อระงับอารมณ์โกรธแค้นที่ปะทุขึ้นภายในใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของตนเป็นเพราะหญิงชราผู้นี้ วันหน้านางจะต้องตอบแทนอย่างสาสมให้สมกับที่ครอบครัวของตนได้รับมาหลี่อันหนิงสบถสาบานในใจ“ท่าย่ามีอะไรจะใช้ข้าหรือ”เด็กสาวถามเสียงห้วน ไร้ท่าทีขลาดกลัวดั่งเช่นวันวาน“วันนี้พวกแกสองคนไม่ได้รับอนุญาตให้ทานอาหาร ต้องทำงานที่เหลือจากเมื่อวานให้เสร็จทั้งหมด จากนั้นก็ขึ้นเขาไปเก็บผักป่ามาซะ”หลี่อันหนิงบิดปากเล็กน้อย ห้ามทานอาหารหรือ อาหารที่แม้แต่หมูยังไม่อยากทานใครมันจะกลืนลงท้องได้ เด็กน้อยทั้งสองไม่ตอบโต้ กลับทำตามที่หญิงชราสั่งอย่างว่าง่าย ซึ่งต่างจากท่าทีเฉยชาที่แสดงออกหลี่เจียนเจียนเดินผ่านสองพี่น้องที่กำล
กลางดึก ในระหว่างที่พี่น้องกำลังหลับสนิท เสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังก้องสะท้านขึ้นที่ด้านนอกถ้ำ หลี่อันหนิงและหลี่ซางเป่าสะดุ้งรู้สึกตัวขึ้นพร้อมกันเด็กสาวมิได้เล่าเรื่องที่ตนได้ยินเจ้าก้อนขนสีดำพูดคุยกันให้น้องสาวฟัง ไม่คิดว่าแม่ของมันจะกลับมาในคืนนี้ ในระหว่างที่หลี่อันหนิงกำลังคิดหาทางหนี เสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวดของเจ้าสัตว์ร้ายด้านนอกดังขึ้นแผ่วเบาในหัวของนางได้ยินเสียงของมันรำพึงถึงลูกน้อยทั้งสอง เด็กสาวมองไปยังฝั่งตรงข้ามของบ่อน้ำร้อน ก่อนตัดสินใจเดินออกไปดูในความมืดสลัวราง หลี่ซางเป่าจับแขนเสื้อของพี่สาวเอาไว้มั่น“พี่ใหญ่ไปไหนหรือ”“ซางเป่ารอพี่อยู่ที่นี่ได้หรือไม่ ไม่นานพี่จะกลับมา”เด็กน้อยส่ายหน้าปฏิเสธแสดงท่าทีหวาดกลัว นางเห็นน้องน้อยแสดงท่าทางเช่นนั้นออกมา ก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ“ได้ๆ เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิด”หญิงสาวจับมือของน้องสาวเดินออกมาทางปากถ้ำ ที่ยังคงได้ยินเสียงร้องครางของสัตว์บาดเจ็บชัดเจน เมื่อไปถึงบริเวณปากถ้ำที่นั่นมีคบเพลิงมากมายถูกจุดโดยมนุษย์ดวงตาดำสนิทของเจ้าสัตว์ร้ายจ้องมองมายังนางและน้องสาวที่ซ่อนตัวอยู่ เจ้าก้อนขนทั้งสองที่ไม่รู้ว่าตามมาตั้งแ
หลี่อันหนิงพยักหน้าพลางลูบผมของเด็กน้อยซางเป่าอย่างภูมิใจ ตอนนี้ตนเองเป็นเพียงเด็กเท่านั้นไม่อาจทำตามใจตนดั่งเช่นผู้ใหญ่ได้ หากต้องการปกป้องน้องทั้งสองนางจำต้องมีอำนาจในมือและแล้วหลี่อันหนิงก็หวนกลับไปนึกถึงใบหน้าอันหล่อเหลาที่แสนเย็นชาของท่านขุนนางหนุ่ม เพียงเท่านั้นในหัวใจของนางก็รู้สึกอบอุ่นอย่างแปลกประหลาด“พี่ใหญ่ข้ารู้ว่าที่ใดที่เราสามารถใช้นอนได้”เด็กสาวมองหน้าน้องน้อยของตนด้วยสีหน้าสนใจ หลี่ซางเป่าเดินลิ่วนำหน้าไปเหมือนกับคุ้นเคยเส้นทางบนภูเขา หลี่อันหนิงผู้เป็นพี่สาวรีบวิ่งตามจนกระทั่งทั้งสองไปถึงผาหินที่มีต้นไม้และเถาวัลย์ขึ้นรกชัฏแห่งหนึ่ง“เป่าเอ๋อเราใช้ที่นี่นอนไม่ได้หรอกนะ มันรกเกินไปอีกอย่างอาจมีงูพิษออกมาก็ได้ รู้หรือไม่ว่ามันอันตราย”หลี่ซางเป่าเกาหัวตนเองเบาๆ นางแสดงสีหน้ามั่นใจก่อนจะหันไปดึงแขนเสื้อของพี่สาว“ได้เรานอนที่นี่ได้ นางบอกว่าคืนนี้ให้เรานอนที่นี่”นางหรือ...ใครกัน หลี่อันหนิงมองใบหน้าที่เล็กกว่าฝ่ามือของน้องสาวอย่างงุนงง สายตาสำรวจมองไปรอบๆ ไม่เห็นมีที่ใดเลยที่จะสามารถใช้นอนได้ แล้วเหตุใดซางเป่าถึงพูดเช่นนั้นออกมา“ใครเป็นคนบอกน้องหรือ เป่าเอ๋อ”“ท่านแ
แม่เฒ่าจวงจีบปากจีบคือเอ่ย พลางหันไปถามความเห็นของเหล่าจีนมุงที่ตอนนี้เริ่มมากขึ้นทุกทีหลี่เจียนเจียนผู้ที่ถูกตามใจมาตั้งแต่ยังเล็ก คิดไม่ถึงว่าจะถูกหญิงชราตรงหน้าตอกกลับเช่นนี้ นางกำหมัดกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ ก่อนตวาดแหวออกไปอีกครั้ง“เจ้า!! ยายเฒ่า เจ้าพูดจาเหลวไหลอันใด ข้าบอกให้ส่งนางเด็กสารเลวสองคนนั้นออกมา”ใบหน้าของหลี่เจียนเจียนเริ่มแดงก่ำด้วยความโกรธ นางไม่รู้วิธีจัดการกับคนอย่างหญิงชราผู้นี้ เพราะที่ผ่านมาเป็นนางที่เป็นผู้กระทำมาตลอด“เจ้าหมายความว่าอย่างไร เรือนหลังนี้มีเพียงข้าและหลานชายอาศัยอยู่ หากจะพูดว่ามีเด็กสารเลวที่นี่ก็มีแต่เจ้าคนเดียว”แม่เฒ่าจวงลอยหน้าลอยตาเอ่ย โดยไม่สนใจในใบหน้าที่เริ่มเขียวคล้ำดำมืดของหลี่เจียนเจียน“กรี๊ด!!! ยายเฒ่าจวง กล้าว่าข้าสารเลวหรือ”หญิงสาวพุ่งเข้าใส่แม่เฒ่าจวงแต่ถูกจวงอี้ซิงเอาตัวขวางเอาไว้ เขาและนางอายุสิบเจ็ดเท่ากันทว่าเด็กหนุ่มกลับสูงใหญ่และแข็งแรงมากกว่า อาจเพราะเขาทำงานหนักมาตั้งแต่ยังเล็กหลี่เจียนเจียนไม่สนใจว่าคนที่ขวางทางตนจะเป็นใคร นางใช้เล็บข่วนเด็กหนุ่มตรงหน้าเพื่อระบายโทสะของตน แต่สิ่งที่หลี่เจียนเจียนทำไม่สามารถสร้างความ
“อันหนิง!! อันหนิงลูกแม่ ลูกต้องช่วยน้องชายของเจ้านะ อย่าปล่อยให้เขาต้องเดินทางผิดเช่นในอดีต บัดนี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่สามารถนำทางให้เขากลับมาเดินในเส้นทางที่ถูกต้องได้”ในความมืดมิดอันเวิ้งว้าง เด็กสาวได้ยินเสียงคุ้นเคยของผู้เป็นมารดาดังแว่วอยู่ไกลๆ นางมองสถานที่ที่ไม่คุ้นตานี้ด้วยสีหน้าสงสัย แม้รอบกายจะมืดทะมึนแต่กลับมิได้ให้บรรยากาศที่น่าหวาดกลัวหลังจากเงี่ยหูฟังว่าเสียงของมารดามาจากที่ใด นางจึงตัดสินใจเดินตามเสียงนั้น กระทั่งได้เห็นภาพเหตุการณ์ของชายหนุ่มรูปงามในชุดขาว ราวกับเทพสงครามกำลังเข่นฆ่าสังหารผู้อื่นด้วยใบหน้าเฉยชาเด็กสาวตกใจกับภาพตรงหน้าจนถอยกรูดไปด้านหลัง ทว่าภายในใจกลับคิดว่าดวงตาของคนผู้นี้ช่างดูคุ้นเคยยิ่งนักเมื่อหลี่อันหนิงมองเพ่งมองให้ชัดๆ นางเห็นไฝเม็ดเล็กที่อยู่ใต้ดวงตาขวาของเขาแล้วภาพของเด็กชายตัวน้อยที่ถือตำราในมือก็ผุดขึ้นมาในหัวของนาง บ้านหลี่มีเพียงเด็กสองคนที่เกิดมาพร้อมกัน และพวกเขามีไฝน้ำตาอยู่คนละฝั่งหลี่ซางเป่ามีไฝเม็ดเล็กใต้ดวงตาข้างซ้าย เช่นนั้นเขาก็คือหลี่อี้เจ๋อ น้องชายคนรองของนาง ทว่าภาพตรงหน้ามันคืออันใด เหตุใดเขาถึงได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมอำ
“อวัยวะภายในของนางและกระดูกหลายส่วนถูกทำลายจนสิ้น ต่อให้ช่วยได้ในตอนนี้นางก็คงอยู่ไม่พ้นเดือน ทำได้เพียงใช้สมุนไพรยื้อชีวิตไปเรื่อยๆ เท่านั้น อีกอย่างเราอยู่ในภารกิจที่เร่งด่วน จำเป็นต้องปล่อยนางไป เฮ่อ!! ช่างน่าเวทนานัก นางยังเด็กอยู่เลยกลับต้องมาพบกับชะตากรรมอันเลวร้ายเช่นนี้”ชายหนุ่มรูปงามที่แต่งกายด้วยชุดสีดำทั้งตัว เส้นผมสีดำสนิทถูกรวบสูงและสวมกวานหยก เขาประคองร่างบางขึ้นอย่างทะนุถนอม แม้ร่างกายของนางจะเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน แต่ถึงกระนั้นเขากลับกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างไม่นึกรังเกียจชายหนุ่มยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเลือดที่ใบหน้าของหลี่อันหนิงอย่างแผ่วเบา นางไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อนตั้งแต่ที่มารดาจากไป หญิงสาวส่งยิ้มให้กับบุรุษตรงหน้าเพื่อเป็นการขอบคุณ จากนั้นเขาจึงก้มลงกระซิบที่ข้างหูของนาง“ข้าคือขุนนางที่ฮ่องเต้ส่งมา เด็กน้อยเจ้ามีคำขออื่นใดหรือไม่”หลี่อันหนิงได้ยินคำถามนั้นก็รู้แล้วว่าอีกไม่ช้าชีวิตของตนก็คงจะถูกพรากไป แต่ก็ยังดี อย่างน้อยนางสามารถเลือกที่จะตายด้วยน้ำมือของใครได้เด็กสาวใช้แรงเฮือกสุดท้ายกระซิบเอ่ยตอบกลับไป“รบกวนช่วย!!...ฆ่า!!ข้า อย่าให้ข้าต้อ