-เรือนฉางหมิง จวนอ๋องฉิน-
"ท่านอ๋องอย่าลงโทษพระชายาอีกเลยนะเพคะ เป็นหม่อมฉันที่ไม่ระวังเองหากลงโทษนางอีกเกรงว่าร่างกายของพระชายาจะรับไม่ไหว"
"อืม วันนี้เจ้ากลับจวนไปก่อนเถอะ"
"แต่ว่าท่านอ๋อง..."
"เจ้าเองก็หายดีแล้วหากอยู่ที่นี่นานจะมีแต่คำติฉินนินทา วันนี้ข้าต้องเข้าวังเจ้ากลับไปก่อนไว้ข้าจะหารือเรื่องของเรากับฝ่าบาทอีกครั้ง"
"เช่นนั้นก็ได้เพคะหม่อมฉันทูลลา"
แม้นางจะเสียดายไม่น้อยที่ไม่ได้เห็นลู่เหยียนซินถูกลงโทษแต่เพราะต้องรักษากิริยาจึงจำใจต้องกลับจวนของตนเองไปอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากหยางซูฉินออกจากจวนไปแล้วอ๋องฉินก็เข้าไปในห้องตำราก่อนจะนั่งลงพลางครุ่นคิดทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อีกครั้ง จากการประเมินสถานการณ์ที่เรือนซินหยางนั้นแล้วลู่เหยียนซินไม่น่าจะเป็นคนก่อเรื่องขึ้นก่อนอย่างแน่นอนแล้วหยางซูฉินจะใส่ความนางไปทำไมกัน
หากเป็นแต่ก่อนมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นไม่พ้นที่นางจะโวยวายและเป็นฝ่ายตบตีหยางซูฉินก่อนเป็นแน่ แต่ครั้งนี้กับต่างออกไปนางนิ่งเงียบแววตาไร้ซึ่งอารมณ์กรุ่นโกรธเหมือนกำลังดูอะไรสนุกๆ อยู่อย่างไรอย่างนั้น
"ท่านอ๋องให้เรียกท่านหมอหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"
"ไม่จำเป็น"
อ๋องฉินที่เดิมนั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ผุดลุกขึ้นทันทีคราบเลือดเริ่มแห้งลงบ้างแล้วเขาไม่สนใจบาดแผลนี้เลยสักเพียงนิดก่อนจะหันมองไปยังองค์รักษ์คนสนิท
"ชิงอี"
"ท่านอ๋องเชิญรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ"
"สั่งให้คนไปจับตาดูพระชายาหากว่านางเคลื่อนไหวสิ่งใดรีบมารายงานข้า"
"พ่ะย่ะค่ะ"
ทางด้านเรือนซินหยางหลังจากลู่เหยียนซินอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ลี่ถิงก็ลงมือทายาที่แผ่นหลังของนางอย่างเบามือที่สุดด้วยกลัวว่านายสาวของตนเองจะเจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง
"บาดแผลของท่านยังไม่ดีขึ้นเลยนะเพคะพระชายา"
"ช่างเถอะอดทนกินยาสักสี่ห้าวันก็คงทุเลาลงบ้างแล้ว ตาอ๋องบ้าผู้นี้เหตุใดลู่เหยียนซินถึงได้หน้ามืดตามัวหลงรักลงไปได้กันนะ"
"พระชายาพูดว่าอะไรนะเพคะ"
"ไม่มีอะไรหรอก"
นางหลับตาลงพลางนึกย้อนไปถึงความทรงจำในอดีตของเจ้าของร่างนี้ เนื่องจากลู่เหยียนซินเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวที่เกิดจากฮูหยินเอกและเพราะเป็นบุตรสาวคนเดียวของตระกูลนางจึงถูกตามใจมาตั้งแต่ยังเล็กๆ
มารดาของนางตายจากไปตั้งแต่นางอายุได้เพียงห้าหนาวเท่านั้น จากนั้นไม่นานบิดาของนางก็รับอนุเข้ามาในจวนเพิ่มอีกคนเพื่อคอยดูแลเลี้ยงดูนางนั่นเอง
ในเวลาไม่นานหลังจากนั้นอนุผู้นั้นก็ตั้งครรภ์และคลอดบุตรสาวอีกคนให้กับตระกูลลู่แต่ก็น่าแปลกที่นางไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นฮูหยินเอกเสียที ด้วยความคับแค้นใจทำให้อนุผู้นั้นเกลียดชังลู่เหยียนซินมากยิ่งขึ้น
เมื่ออยู่ต่อหน้าเสนาบดีลู่นั้นนางแสดงออกว่ารักลู่เหยียนซินมากแต่ลับหลังบิดาของนางกลับทำร้ายลู่เหยียนซินมาโดยตลอด เพราะต้องปกป้องตนเองลู่เหยียนซินจึงกลายเป็นคนร้ายกาจทำลายทุกอย่างทำร้ายทุกคนได้หากคนผู้นั้นคิดไม่ดีกับนาง ความร้ายที่ไม่ได้อยากร้ายมาตั้งแต่ต้นแต่ทำไปเพื่อปกป้องตนเองเท่านั้น
ความร้ายกาจของนางฉาวโฉ่ไปทั่วทั้งเมืองหลวงแห่งนี้เริ่มแรกอ๋องฉินก็ไม่ได้สนใจเรื่องราวของนางแต่อย่างใด แต่เมื่อถูกบังคับให้แต่งงานกับนางจึงทำให้เขาเริ่มเกลียดชังนางมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวนางตอนนี้ก็เข้าใจเขาอยู่บ้างจะมีใครบ้างที่อยากจะได้สตรีร้ายกาจเช่นนั้นมาเป็นคู่ครองกัน
ลู่เหยียนซินถอนหายใจออกมาเบาๆ นึกไม่ถึงว่าโชคชะตาจะเล่นตลกกับนางเช่นนี้
‘จะส่งนางข้ามมิติมาทั้งทีก็ควรให้อยู่ในร่างของคนที่ไม่มีชนักติดหลังเช่นเจ้าของร่างนี้ไม่ได้หรืออย่างไรกันนะ’
เมื่อลี่ถิงทายาให้นางเสร็จเรียบร้อยลู่เหยียนซินก็สั่งให้นางไปพักผ่อน ขณะที่กำลังพลิกกายหันไปทางประตูห้องนางก็เหลือบไปเห็นสร้อยเส้นหนึ่งที่ต้องแสงแวววับอยู่ตรงโต๊ะข้างเตียงของนาง สร้อยเส้นนี้ดูคุ้นตาเป็นอย่างมาก
นางค่อยๆ พยุงร่างกายที่เจ็บแสบอยู่นั้นลุกขึ้นช้าๆ แล้วก้มลงไปเก็บเอาสร้อยเส้นนั้นขึ้นมาดู ตัวสร้อยขาดไปแล้วแต่ตัวแหวนยังมีสภาพสมบูรณ์อยู่ นางเพ่งมองดูด้วยความตื่นตกใจ
มันเป็นสร้อยของนาง! สร้อยที่มารดาของนางมอบไว้ให้ก่อนที่ท่านจะสิ้นใจไปแล้วมันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน!
ลู่เหยียนซินดีใจมากแม้จะข้ามมิติมาแล้วไม่รู้จักใครสักคนแต่อย่างน้อยมีสร้อยเส้นนี้อยู่ก็ทำให้นางรู้สึกอุ่นใจขึ้นกว่าเดิมเป็นอย่างมาก
นางถอดเอาแหวนมาสวมใส่ที่นิ้วชี้และเก็บสร้อยเอาไว้ใต้หมอนรอเวลาซ่อมแซมมัน นางลูบแหวนเบาๆ ตรงหัวแหวนเป็นปุ่มกดได้ลู่เหยียนซินรู้ดีว่ามันไม่ได้มีกลไกใดๆ เพราะครั้งที่นางอยู่ยุคที่จากมาก็กดเล่นไปหลายต่อหลายครั้งก็ไม่เห็นมีสิ่งใดเกิดขึ้น
แต่ครั้งนี้กับต่างออกไปเมื่อนางกดปุ่มลงไปทันใดนั้นก็พลันเกิดแสงสีทองขึ้นเมื่อแสงนั้นจางหาย ประตูบานหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของนาง
“อะ อะไรกันเนี่ย”
เพราะความอยากรู้นางจึงตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงนอนเปิดประตูบานนั้นแล้วก้าวเข้าไปทันที
ที่แห่งนี้ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายธรรมชาติบรรยากาศที่นี่ช่างบริสุทธิ์ยิ่งนัก ภายในคำนวนดูคร่าวๆ น่าจะมีพื้นที่ประมาณ 10 ไร่ ถูกปกคลุมไปด้วยพืชพรรณธัญญาหารที่ใกล้สุกงอมเต็มที่
ไม่ไกลกันนักมีลำธารใสสะอาดสายหนึ่งที่มองลงไปก็เห็นฝูงปลาอวบอ้วนแหวกว่ายกันไปมา ถัดไปอีกจะเป็นสวนผลไม้และสวนสมุนไพรที่เรียงรายเกิดขึ้นดั่งมีคนมาปลูกเอาไว้
นอกจากนั้นยังมีเป็ดไก่ที่เดินขวักไขว่กันไปมา นางมองเห็นเรือนไม้หลังหนึ่งอยู่ไม่ไกลกันนักเมื่อเดินเข้าไปสำรวจภายในนั้นก็พบว่ามีชั้นวางของที่บรรจุอัดแน่นไปด้วยสมุนไพรหายาก ทั้งตำรับยาแผนโบราณและแผนปัจจุบันบรรจุเอาไว้ในกล่องเต็มไปหมด
อีกทั้งยังมีเมล็ดพันธุ์พืชเกือบทุกชนิดที่ต่อให้นางถูกปล่อยให้อดอยากที่จวนแห่งนี้นางก็ไม่มีวันอดตาย เพราะในมิติแห่งนี้เหมือนจะมีปัจจัยทุกสิ่งอย่างที่ทำให้ชีวิตของนางอยู่ได้แบบสบายๆ ไปได้อีกหลายปีกันเลยทีเดียว
‘แม่เจ้าโว้ย! มันช่างมหัศจรย์อะไรเช่นนี้’
นางนั่งลงพักผ่อนตรงทุ่งหญ้าใต้ต้นไม้ใหญ่ก่อนจะหลับตาลงพร้อมสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไป
‘สบายอะไรเช่นนี้นะ’
ลู่เหยียนซินตั้งใจเพียงจะพักสักงีบแต่ก็เผลอหลับยาวไปอย่างไม่รู้ตัว เพียงแต่นางนอนหลับไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม[1] ร่างของนางก็จะถูกถีบออกมาจากมิตินั้นทันที
‘อะ อะไรกันเนี่ยไม่ใช่ว่าอยู่ในนั้นได้เลยหรือ เฮ้อ...ช่างน่าเสียดายอะไรเช่นนี้นะ'
-เจ็ดวันผ่านไป-พักนี้จวนอ๋องฉินดูจะเงียบสงบขึ้นมามากกว่าเมื่อก่อนยิ่งนัก เงียบมากจนบ่าวในจวนและตัวของอ๋องฉินเองยังรู้สึกสงสัยว่าพระชายาที่ร้ายกาจผู้นั้นป่วยหนักมากหรืออย่างไร เจ็ดวันมานี้นางถึงได้นิ่งเงียบไม่เข้ามารบกวนที่เรือนใหญ่เหมือนเช่นเคย
อีกด้านที่เรือนซินหยางลู่เหยียนซินเข้าไปในมิติอีกครั้ง นางตั้งชื่อให้มันว่ามิติวิเศษเพราะมีทุกสิ่งที่นางต้องการหากขาดเหลือสิ่งใดเพียงแค่ร้องขอของสิ่งนั้นก็ปรากฎตรงหน้าทันที
ครั้งนี้นางเข้าไปหยิบกล่องยาออกมาจากตู้ยาพร้อมตำรายาเล่มหนึ่งไม่ลืมที่จะหยิบเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด แตงกวา เมล็ดพืชผักและผลไม้ชนิดอื่นๆ ออกมาด้วย
พื้นที่ฝั่งที่เรือนของนางตั้งอยู่นั้นมีพื้นที่ว่างด้านหลังกว้างขวางพอสมควร นางใช้พื้นที่ไปเพียง 5 หมู่ (1 หมู่เท่ากับ 666 ตารางเมตร) ในการปลูกพืชผักผลไม้ ด้านหลังจวนติดกับภูเขาและแม่น้ำเหมาะกับการปลูกพันธุ์พืชเป็นอย่างมาก
หากอ๋องบ้าผู้นั้นจะจองจำไม่ให้นางออกไปไหนเลยอีกทั้งยังจะสั่งงดอาหารนางอีก ถ้าเช่นนั้นนางก็ต้องสร้างอาหารของนางเองเสียแล้วคิดๆ ดูแล้วก็มีความสุขเสียจริง
"ข้าจะไม่เกรงกลัวคำขู่ของท่านอีกต่อไปแล้ว ฮ่าๆๆ"
"พระชายา..." ลี่ถิงจ้องมองพระชายาของนางด้วยสายตาหม่นหมองที่สุด
‘นี่พระชายาของนางถึงกับใกล้เสียสติเพราะถูกท่านอ๋องลงโทษหลายต่อหลายครั้งจริงๆ น่ะหรือ’
ลู่เหยียนซินหันไปกวักมือเรียกลี่ถิงมาช่วยขุดพรวนดินไว้ทำแปลงผัก ลี่ถิงเคยช่วยงานที่จวนใต้เท้าลู่มาตั้งแต่ยังเล็กจึงคล่องแคล่วยิ่งนักเพียงไม่ถึงครึ่งวันการถางหน้าดินก็เสร็จสิ้น
ลู่เหยียนซินลงมือปลูกผักและสมุนไพรด้วยตนเอง เจ็ดวันมานี้พวกนางจึงยุ่งอยู่กับแปลงผักจนไม่ทันสังเกตว่ามีคนแอบซุ่มดูพวกนางอยู่
"ท่านอ๋ององค์รักษ์ที่ส่งไปสอดแนมที่เรือนซินหยางรายงานมาว่าเห็นพระชายาขุดดินด้านหลังจวนพ่ะย่ะค่ะ"
"ขุดดิน?"
อ๋องฉินวางตำราลงแววตาฉงนสงสัยในตัวของนางมากขึ้น หลายวันมานี้ที่นางไม่มาก่อกวนเขาเลยเพราะมัวแต่ขุดดินอยู่อย่างงั้นหรือ
"ไปบอกนางว่าพรุ่งนี้ให้เตรียมตัวเข้าวังพร้อมข้า"
"พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง"
-เรือนซินหยาง-
หลังจากลู่เหยียนซินและลี่ถิงปลูกผักและสมุนไพรกันเสร็จเรียบร้อยพวกนางก็นั่งลงพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่อย่างสบายใจ ยังดีที่นางไม่ลืมหยิบเอาพวงองุ่นและผลแตงโมออกมาจากมิติวิเศษด้วยอากาศร้อนๆ เช่นนี้ได้กินของเย็นๆ พวกนี้ช่างชื่นใจยิ่งนัก
พวกนางนั่งกินผลไม้ไปได้ไม่นานก็เหลือบไปเห็นชิงอี องครักษ์ประจำตัวของอ๋องฉินเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
"พระชายา ท่านอ๋องให้มาบอกท่านว่าพรุ่งนี้ต้องเข้าวังพร้อมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ"
"เข้าวังงั้นหรือ แล้วทำไมข้าต้องไปกับท่านอ๋องของพวกเจ้าด้วยล่ะไม่ให้แม่นางหยางผู้นั้นไปเช่นเคยกันเล่า"
"เอ่อ เรื่องนั้นข้าน้อย..."
"หยางซูฉินหาได้เป็นพระชายาของข้าไม่ หรือเจ้าต้องการมอบตำแหน่งนี้ให้นางแทนเช่นนั้นก็ไปบอกกล่าวกับฮองเฮาเอง"
เสียงอันทรงพลังนิ่งขรึมดังขึ้นด้านหลังของนาง ลู่เหยียนซินไม่หันไปมองก็รู้ว่าเป็นใคร
"แล้วข้าพูดเมื่อไหร่ว่าไม่ไปล่ะเพคะ"
อ๋องฉินมีสีหน้าเหนื่อยใจอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่เมื่อครู่นางเป็นคนบอกเองหรอกหรือว่าจะให้หยางซูฉินไปแทน
หากเป็นแต่ก่อนเขาคงไม่จำเป็นต้องเดินมาย้ำกับนางเช่นนี้เป็นแน่ แต่เดี๋ยวนี้สตรีผู้นี้ว่าง่ายเหมือนเดิมเสียที่ไหนครั้งนี้เขาจึงต้องมาที่นี่ด้วยตนเอง
ลู่เหยียนซินมองเห็นประกายความโกรธเสี้ยวหนึ่งในแววตาของฉินอ๋องพลางลุกขึ้นและรีบพูดอย่างเอาใจทันที
"รู้แล้วๆ ท่านอ๋องไปพักผ่อนเถอะเพคะหม่อมฉันจะกลับเข้าข้างในแล้ว"
"ข้าก็ไม่ได้อยากจะอยู่นานเสียหน่อย"
พูดจบก็รีบก้าวท้าวเดินออกจากเรือนซินหยางมุ่งสู่เรือนใหญ่ทันที นางเบ้ปากให้กับกิริยาที่ดูเหมือนจะถือตัวของเขา
"เป็นอะไรของเขาทำเหมือนข้าอยากเข้าใกล้นักล่ะ ไปเถอะลี่ถิงข้าอยากอาบน้ำแล้ว"
"เพคะพระชายา"
- - - - - - - - - - -
[1] หนึ่งชั่วยาม = 2 ชั่วโมง
-อารามชิงเหยียน-“ท่านอาจารย์อยากพบท่านแม่เจ้าค่ะ”“อยากพบข้างั้นหรือ”เยว่เหวินหลิงพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากตัวอารามเพื่อไปเล่นฟันดาบกับผู้เป็นพี่ชายฝาแฝดและฮั่วเฟิงอวี้ลู่เหยียนซินเดินเข้าไปในอารามชิงเหยียนอารามเก่าแก่ที่ผู้อาวุโสมาพำนักในที่แห่งนี้เป็นเวลากว่าหกปีมาแล้ว“หลิงเอ๋อบอกว่าท่านเรียกหาข้าหรือเจ้าคะ”“ไม่ผิด ที่ข้าเรียกท่านมานั้นไม่เกี่ยวข้องอันใดกับท่านหญิงเลยแม้เพียงนิดอย่ากังวลใจไปเลย”“แล้วท่านมีอะไรจะสนทนากับข้าอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”“ข้าคิดว่าน่าจะได้เวลาที่ควรจะต้องบอกท่านแล้ว”“หืม”“พระชายาหลายปีมานี้เพราะใจของท่านนั้นปล่อยวางไปจนหมดสิ้นจึงไม่ทันได้สังเกตสิ่งใดที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวของท่านเลยสินะ”“ท่านหมายถึงอะไรหรือเจ้าคะ”“ยังจำแหวนหยกสองวงที่ข้ามอบให้ท่านได้อยู่หรือไม่”“เจ้าค่ะ”“ยังเก็บเอาไว้อยู่สินะ”“อยู่ที่สามีของข้าเอง”“ครั้งที่ท่านเดินทางมาที่จี้โจวครั้งแรกสิ่งที่ท่านเคยถามข้าว่าจะได้กลับบ้านหรือไม่ ท่านคงได้คำตอบนั้นแล้วสินะ”ลู่เหยียนซินไม่ได้ตอบเขาไปนางกำลังครุ่นคิดว่าผู้อาวุโสผู้นี้ต้องการจะสื่อสารสิ่งใดกับนางอยู่กันแน่“ไม่เสียดายเลยหรือ”
-เจ็ดวันผ่านไป-“ท่านหญิง”“หือ”เยว่เหวินหลิงที่กำลังหยอกล้อกับเสี่ยวจ้านเสือขาวหิมะที่ได้รับมาจากผู้เป็นมารดาอยู่นั้นก็ได้หันไปมองคนที่เพิ่งเรียกขานนาง เมื่อเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นก็ถึงกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัยทันที‘นั่นไม่ใช่คุณชายหลี่หรอกหรือมาที่นี่ได้อย่างไรกันนะ’และดูเหมือนเขาจะรู้ว่านางคิดสิ่งใดอยู่จึงได้เอ่ยออกมาว่า“ข้ามาหาพี่ชายของท่านน่ะ”“อ้อ งั้นหรอกหรือเจ้าคะพี่ชายของข้าน่าจะอยู่ด้านหลังจวน ท่านเดินไปแล้วเลี้ยวขวาอีกนิดก็ถึงลานประลองแล้วล่ะเจ้าค่ะ”“ลานประลองงั้นหรือ? ท่านจะบอกว่าเขากำลังประลองยุทธ์อยู่อย่างนั้นหรือขอรับ”“ก็น่าจะใช่ ท่านพี่ของข้าคงกำลังฝึกกระบี่กับท่านพี่เฟิงอวี้อยู่ อืมม...หากว่าท่านไปไม่ถูกต้องการให้ข้านำทางไปหรือไม่”“ไม่เป็นไรขอรับข้าไปเองได้”เขาพูดจบก็หันไปยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยนทั้งยังสบตานางอย่างลึกซึ้ง เยว่เหวินหลิงก็ยิ้มรับอย่างเป็นมิตรโดยไม่ได้สนใจเลยว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใดท่ามกลางการเฝ้ามองของผู้ใหญ่ทั้งสี่คนที่อยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของเรือนใหญ่“ท่านอ๋องจะไปไหนหรือเพคะ”“เจ้าก็ดูสิ เจ้าเด็กคนนั้นกล้าดีอย่างไรมาเกี้ยวลูกสาวของข้า”“ท่านคิดมากไปห
“พระชายา”“ฮูหยินฮั่วไม่พบกันนานเลยนะเจ้าคะ”“ข้าคิดถึงท่านเหลือเกินเมื่อรู้ว่าท่านเดินทางมาถึงที่นี่แล้วก็รีบออกมาพบท่านทันทีเลยเพคะ”ฮูหยินฮั่วพูดพลางนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างของนาง ใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นบ่งบอกว่านางดีใจเพียงใดที่ได้พบลู่เหยียนซินอีกครั้ง“แล้วลูกชายของท่านล่ะไม่ได้มาด้วยหรอกหรือ”“ไม่ทันได้พูดอะไรด้วยเลยสักคำแค่เท้าแตะถึงพื้นก็วิ่งไปหาคุณชายเยว่เหวินหลงเสียแล้วเพคะ”“ฮ่าๆๆ ช่างเถอะข้าไม่ถือสาหรอกปล่อยเด็กๆ เล่นกันไปเถอะ”“เพคะพระชายา”ทั้งสองยิ้มให้แก่กัน มิตรภาพระหว่างสตรีทั้งสองคนนี้นั้นแน่นแฟ้นยิ่งไปกว่าผู้เป็นสามีของทั้งคู่ที่คบหากันมาตั้งแต่เยาว์วัยเสียอีก“ฮูหยินของเจ้าดูจะตัวติดกับชายาของข้ามากเลยนะซื่อเหลียน”“ข้าก็คิดเช่นนั้นก่อนหน้านี้นางเอาแต่ถามว่าเมื่อไหร่พระชายาจะมาที่จี้โจวเสียที เมื่อรู้ว่าพวกท่านมาถึงแล้วก็รบเร้าให้ข้าพามาทันทีเลยน่าน้อยใจเป็นบ้า”“เอาน่าพวกนางรักใคร่กันก็ดีแล้วจะว่าไปเจ้าจัดการอนุผู้นั้นอย่างไร ส่งนางกลับบ้านไปแล้วงั้นหรือ?”ฮั่วซื่อเหลียนส่ายหน้าเบาๆ ใบหน้าของเขาไม่มีความกังวลหรือโกรธเกลียดใดๆ หลงเหลืออยู่เลย“นางพบรักกับชาวบ้านคนหนึ่
-6 ปีต่อมา-เมืองจี้โจวเด็กๆ ทั้งสองเดินทางมาที่เมืองจี้โจวล่วงหน้าก่อนผู้เป็นบิดามารดาเนื่องจากพวกเขายังจัดการงานที่เมืองหลวงไม่เรียบร้อยนั่นเอง แม้อ๋องฉินจะห่วงเด็กๆ ไม่น้อยแต่เพราะพวกเขามีสัตว์เลี้ยงคู่ใจคอยดูแลอยู่ข้างกายจึงเบาใจไปได้แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น“ท่านพี่จะให้ข้าไปด้วยหรือไม่” เยว่เหวินหลิงเอ่ยถามพี่ชายฝาแฝดของนางด้วยเสียงอันเบา“ไม่ต้องหรอก”เยว่เหวินหลิงแม้จะดูแก่นๆ ไปบ้างแต่นางเชื่อฟังผู้เป็นพี่ชายมาโดยตลอดได้ยินแบบนั้นก็เกาหัวแกรกๆ“อ้อ เช่นนั้นข้าจะกลับไปรอที่จวนก่อนท่านพี่ก็กลับไวๆนะเจ้าคะ”เยว่เหวินหลงพยักหน้าให้นาง หลังจากส่งน้องสาวขึ้นรถม้าแล้วเขาก็ยืนดูอยู่สักพักก่อนจะหันหลังแล้วเดินตรงไปในตรอกถัดไปไม่ไกล เดินต่อไปอีกยี่สิบกว่าเก้าก็ถึงรถม้าของฮั่วเฟิงอวี้ เขากระโดดขึ้นไปบนรถม้าแล้วเข้าไปนั่งลงด้านในข้างๆ เด็กหนุ่มผู้นั้น“ท่านพี่เฟิงอวี้รอข้านานหรือไม่”“ไม่เลย ทีแรกข้าคิดว่าท่านจะพาหลิงเอ๋อร์มาด้วยเสียอีก”“นางพูดมากเกินไปเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง”“ฮ่าๆๆ เหตุใดถึงได้กล่าวหาน้องสาวของตนเองเช่นนั้นกันเล่า นางน่ารักถึงเพียงนั้นท่านก็ชอบพูดจาทำร้ายจิตใจนางอยู่เรื
-สี่ปีผ่านไป-วันเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่าตลอดระยะเวลาสี่ปีมานี้เด็กทั้งสองคนเติบโตขึ้นมาภายใต้การเลี้ยงดูของทุกคน ฟังไม่ผิดแล้ว! ทุกคนช่วยกันเลี้ยงดูเด็กๆ แทนนางจริงๆพักนี้ท่านหญิงน้อยดูจะตัวอวบอ้วนขึ้นมามากเพราะไม่ว่าผู้ใดที่แวะมาเยี่ยมนางที่จวนล้วนหยิบเอาขนมหวานและของกินต่างๆ ติดมือมาให้นางด้วยทั้งนั้นคนในวังยิ่งแล้วใหญ่ขนมหวานมากมายตระการตาถูกประเคนใส่ปากนางไม่ยั้ง ฮองเฮาเองดูจะมีความสุขมากที่เห็นปากน้อยๆ ของนางเคี้ยวขนมอย่างเอร็ดอร่อยรัชทายาทก็ไม่น้อยหน้าเช่นกันทรงเสด็จไปต่างเมืองเมื่อกลับมาก็มักจะนำของเล่นขนมแปลกๆ มาฝากเด็กๆ ที่ขาดไม่ได้เลยคือขนมหวานของโปรดของนาง‘ทุกคนล้วนต้องการให้ลูกของนางอ้วนเป็นหมูใช่หรือไม่นะ’ลู่เหยียนซินใช้วิชาความรู้ของนางเปิดสถานศึกษาวิชาการแพทย์ นางนำความรู้ของนางที่มีอยู่ออกมาถ่ายทอดให้แก่เหล่าบัณฑิตและผู้ที่ต้องการเรียนรู้วิชาแพทย์แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีหมอหลวงในวังหลวงแห่กันมาร่ำเรียนวิชาจากนางกันมากมายเช่นกันในสถานศึกษาแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการสอนวิชาแพทย์แต่เป็นสถานศึกษาสำหรับเด็กๆ ทั้งในเมืองหลวงและเมืองต่างๆ ใกล้เคียงกัน สถานศึกษาแห่งนี้มีอาจารย
“เสด็จพ่อ!”เป็นฮ่องเต้ที่เดินเข้ามาทันได้ยินที่หมอหลวงรายงานการตรวจครรภ์ของลู่เหยียนซินพอดี“พวกเจ้าต้องวางแผนการทำคลอดครั้งนี้ให้ดีอย่าให้ผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ข้าจะส่งหมอหลวงไปประจำที่จวนอ๋องฉินจงจำเอาไว้ว่าต้องระมัดระวังทำให้ดีที่สุด”“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”“เอาล่ะเจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะชายาฉิน ท้องของเจ้าใหญ่เกินไปน่าจะเดินเหินไม่สะดวกนักจากนี้ไปก็จงอยู่แต่ในจวนจนกว่าจะคลอดไม่ต้องเข้าวังมาถวายพระพรแล้ว”“เพคะเสด็จพ่อ หม่อมฉันทูลลาเพคะเสด็จปู่”“อืม ไปเถอะ”- - - - - - - - - - -เพราะลู่เหยียนซินที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกจากจวนก็รู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก วันเวลาผ่านไปจนครรภ์ของนางก็เข้าสู่เดือนที่เก้านางกำลังเดินออกมาจากห้องอาบน้ำขณะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก็รู้สึกได้ว่ามีของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากต้นขาของนางเมื่อก้มมองดูถึงกับต้องรีบสูดหายใจเข้าปอดช้าๆ เพื่อลดอาการตื่นเต้น‘ถุงน้ำคล่ำของนางแตกแล้ว!’“ลี่ถิงมาช่วยข้าที”ลี่ถิงที่กำลังนั่งจัดของขวัญต้อนรับคุณหนูคุณชายน้อยอยู่นั้นก็ตกใจเสียงตะโกนเรียกของพระชายา นางรีบวิ่งเข้าไปในห้องอาบน้ำด้วยความรวดเร็วเกือบสะดุดขอบพักประตูไปแล้ว“พระชายาเกิดอะไรขึ