วันรุ่งขึ้นลู่เหยียนซินถูกปลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่เช้าตรู่ ดวงตาที่ยังไม่เต็มตื่นอีกทั้งริมฝีปากเรียวบางของนางก็ยังคงหาวหวอดๆ ออกมาอย่างไม่อายเลยแม้เพียงนิด
“ลี่ถิงข้าต้องแต่งตัวเช้าถึงเพียงนี้เลยหรือ”
“เตรียมตัวไว้เพคะพระชายา ท่านยังต้องกินอาหารก่อนเข้าวังอีกหากว่าท่านอ๋องต้องคอยนานเกรงว่าพระชายาอาจจะถูกทำโทษอีก”
“ทำโทษๆ อะไรก็ทำโทษอยู่นั่นล่ะชีวิตของเขาตึงเกินไปหรือไม่นะ”
“ลุกขึ้นได้แล้วเพคะ”
“ก็ได้”
ทางด้านเรือนฉางหมิงเมื่อเห็นว่าจวนจะสายแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นนางออกมาเสียที อ๋องฉินที่กำลังจะสั่งให้ชิงอีไปเรียกนางในเวลาไล่เลี่ยกันลู่เหยียนซินก็เดินออกมาพอดี
นางสวมชุดกระโปรงสีชมพูหวานปักลวดลายดอกไม้สวยงามขับสีผิวขาวเนียนใส ที่เอวยังคาดเครื่องประดับสีเดียวกันทำให้เอวระหงยิ่งดูอรชรมากขึ้นดูอ่อนช้อยน่าหลงใหล มวยผมที่เกล้าขึ้นยังมีที่ปักผมรูปหางหงส์หยกดิ้นทองประดับอยู่เผยให้เห็นใบหน้าเล็กๆ หวานใส แก้มแดงระเรื่อเมื่อโดนแสงแดดกลับสว่างใสมีเลือดฝาดขึ้นมาทันที
“ไปกันได้หรือยังข้ามีงานต้องกลับมาทำต่อนะ”
“?”
‘เป็นเขาที่รอนางนานไม่ใช่หรืออย่างไรกัน นางมาช้ายังจะกล้าบ่นอีก’
อ๋องฉินส่ายหัวให้นางก่อนจะเดินนำหน้าไปยังหน้าประตูจวน ลู่เหยียนซินที่เดินตามออกมาก็หันซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นจะมีรถม้าอยู่เลยสักคัน
‘ไหนบอกว่ารีบ รถม้าสักคันก็ไม่เห็นจะเตรียมเอาไว้แล้วจะมาเร่งนางทำไมกัน’
ลู่เหยียนซินที่มัวแต่ชะเง้อคอมองหารถม้าอยู่นั้นไม่ทันได้สังเกตว่าชิงอีกำลังจูงอาชาประจำกายของอ๋องฉินมาทางด้านหลัง อ๋องฉินกระโดดขึ้นม้าพร้อมทั้งเอี้ยวตัวไปคว้าเอวบางของนางขึ้นมานั่งซ้อนด้านหน้าของตนเองด้วยความรวดเร็ว
“ว๊าย! ท่านจะทำอะไร”
ลู่เหยียนซินตื่นตะหนกตกใจเป็นอย่างมาก อยู่ๆ อ๋องบ้าผู้นี้ก็คว้าเอวนางขึ้นบนหลังม้าไม่บอกกล่าวอะไรสักคำ หัวใจจะวาย
“อยู่นิ่งๆ อยากตกม้าตายหรืออย่างไร”
“ข้านึกว่าพวกเราจะนั่งรถม้าไปเสียอีก”
“รถม้าช้าไปข้ารอเจ้าแต่งตัวนานจนเกินเวลาแล้ว ฝ่าบาทกับฮองเฮาจะรอนาน”
“แล้วเหตุใดท่านไม่บอกให้เร็วกว่านี้เล่า”
อ๋องฉินพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายออกแรงส่งควบม้าไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเลยสักนิด
คนทั้งคู่นั่งอยู่บนหลังม้าไร้การสนทนากันแผ่นหลังของนางแนบชิดกับอกแกร่งของเขา ใกล้ชิดจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนพ่นรดข้างพวงแก้มของนาง
-หน้าประตูวังหลวง-
อ๋องฉินกระโดดลงจากหลังม้าแล้วยื่นมือไปคว้าเอวบางของนางลงตามมาเมื่อเท้าเล็กแตะถึงพื้นลู่เหยียนซินก็เดินไปข้างหน้าทันที ดวงตาสุกใสมองพระราชวังที่อยู่ด้านหน้าด้วยความตื่นเต้น
“ตามข้ามาแล้วก็อย่าพยายามสร้างเรื่องให้ข้าอีก”
“ข้าจะไปทำเช่นนั้นทำไมกันล่ะเพคะท่านอ๋อง”
คำพูดประจบประแจงก้ำกึ่งหยอกล้อทำให้อ๋องฉินได้แต่ส่ายหน้าด้วยความระอาใจ หากไม่ใช่ว่าตอนนี้นางไม่คอยตามตอแยเขาเหมือนเมื่อก่อนวันนี้เขาคงไม่อยากเข้าใกล้หรือพูดคุยกับนางเลยสักเพียงนิด
คนทั้งคู่เดินมาถึงหน้าท้องพระโรงก็มองเห็นเฉินกงกงที่ยืนทำหน้าระรื่นอยู่ก่อนแล้ว
“ท่านอ๋อง พระชายา”
“เสด็จพ่อล่ะ”
“อยู่ในห้องทรงพระอักษรพ่ะย่ะค่ะกระหม่อมจะไปทูลฮ่องเต้เดี๋ยวนี้”
“อืม”
ในห้องทรงพระอักษรฮ่องเต้กับฮองเฮานั่งสนทนากันเพียงลำพังไร้ซึ่งเงาของข้ารับใช้ ไม่นานนักเฉินกงกงก็รีบเข้ามารายงานว่าอ๋องฉินกับพระชายาฉินมาถึงแล้วจึงรับสั่งให้ทั้งคู่เข้ามาทันที
เมื่อทั้งสองคนมาถึงก็คุกเข่าลงพร้อมกันแล้วพูดขึ้นว่า
“ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อ เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ถวายบังคมฝ่าบาท ฮองเฮาเพคะ”
“ลุกขึ้นเถอะ” ฮองเฮากล่าวพร้อมแย้มสรวล กาลเวลาไม่ได้ทำให้พระพักตร์และผิวพรรณของพระองค์ลดความงดงามลงเลยกลับกันยิ่งผ่องใสมากขึ้น
ลู่เหยียนซินมองพระพักตร์อันมีเสน่ห์ของฮองเฮา นางมองเห็นแววตาที่อ่อนโยนของพระนางพลันทำให้คิดถึงผู้เป็นมารดาขึ้นมาทันที
“วันนี้ที่ข้าเรียกพวกเจ้าเข้าวังเพียงเพราะจะสอบถามสถานการณ์ในจวนอ๋องของพวกเจ้า”
“เรื่องอันใดพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าแต่งงานกับพระชายาฉินมาครึ่งปีได้แล้วเหตุใดถึงยังไม่มีทายาทตัวน้อยๆ ให้ข้าอีก”
“เสด็จแม่เรื่องนี้ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่าพะย่ะค่ะ”
“ค่อยเป็นค่อยไปอย่างไรกันราชวงศ์ของเรายังไม่มีทายาทเลยสักคน ทั้งรัชทายาทและอ๋องซุนต่างก็มีชายาเป็นของตนเองแล้วแต่กลับยังไม่มีผู้ใดมีองค์ชายองค์หญิงน้อยให้ข้าเลยสักคน หากข้าจะร้อนใจผิดตรงไหนกัน”
ฮองเฮาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแห่งความผิดหวังสีพระพักตร์เศร้าหมองจนเห็นได้ชัด นางตั้งตารอทายาทขององค์ชายทุกคนมาหลายปีไม่ว่าจะเป็นองค์หญิงหรือองค์ชายก็ได้ทั้งนั้น
ก่อนหน้านี้พระชายารัชทายาทตั้งครรภ์นางก็ดีใจจนเนื้อเต้นทั้งยังทรงคัดสรรยาบำรุงต่างๆ ส่งไปให้นางด้วยตนเองแต่ไม่นานนักพระชายารัชทายาทกลับแท้งลูกนั่นเท่ากับว่าการตั้งตารอคอยของนางก็สูญเปล่า
มาครั้งนี้อ๋องฉินที่แต่งพระชายาเข้าจวนนานนับครึ่งปีแล้วแต่กลับยังไม่มีทายาทออกมาให้นางเลยสักคน แล้วจะไม่ให้นางเคร่งเคลียดได้เช่นไรกัน
ลู่เหยียนซินมองเห็นความผิดหวังบนใบหน้าของฮองเฮาก็นึกสงสารนาง
“เจ้าได้กินยาบำรุงที่แม่ส่งไปให้บ้างหรือไม่”
แม่? ฮองเฮาถึงกับเอ่ยสรรพนามสั้นๆ แทนพระองค์ออกมาสร้างความประหลาดใจให้แก่ฮ่องเต้และฉินอ๋องเป็นอย่างมาก
“ยาบำรุงหรือเพคะ”
ฮองเฮามองเห็นสีหน้างงงวยของลู่เหยียนซินก็รู้ทันทีว่าอ๋องฉินคงจะสั่งให้คนนำไปทิ้งก่อนหน้านี้แล้ว
“เหตุใดเจ้าถึงชอบทำให้ข้าผิดหวังอยู่เรื่อยนะเยว่เหวินหมิง เจ้าอยากให้ข้าตรอมใจตายเลยหรืออย่างไร โธ่ชีวิตที่น่าสงสารของข้าๆ น่าจะแต่งเข้าบ้านบัณฑิตธรรมดาๆ ไม่น่าแต่งเข้าราชวงศ์ที่เอาแต่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันเลยป่านนี้ข้าคงได้หลานตัวน้อยๆ มากอดแล้ว”
“ฮองเฮาพูดอะไรเช่นนั้น” ฮ่องเต้กล่าวออกมาอย่างนึกเหนื่อยใจ
‘นี่นางต้องแสดงละครถึงเพียงนั้นเลยเชียวหรือ’
ฮองเฮาแสร้งทำเป็นเช็ดน้ำตาก่อนจะแอบชำเลืองมองลู่เหยียนซินเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“หากพวกเจ้าทั้งสองพยายามไม่มากพอเช่นนั้นเจ้าก็แต่งชายารองเข้ามาสักคนสิ หยางซูฉินนางตามติดเจ้ามาเนิ่นนานพวกเจ้าเองก็รักใคร่ปรองดองกันข้านั้นรู้มานานแล้ว หากชายาของเจ้าไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้เช่นนั้นก็แต่งนางเข้ามาเถอะ”
“ฮองเฮา! / เสด็จแม่!”
ฮ่องเต้เอ่ยปรามฮองเฮาก่อนจะลอบมองไปยังลู่เหยียนซินแต่สีหน้าของนางนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด ก่อนหน้านี้นางเคยลั่นวาจาว่าจะไม่ให้อ๋องฉินแต่งชายารองโดยเด็ดขาดมาตอนนี้นางกลับนิ่งเฉยเกิดสิ่งใดขึ้นกัน
“พระชายาฉินหากข้าอนุญาตให้อ๋องฉินแต่งชายารองเจ้าคิดเห็นสิ่งใดบ้าง”
“ไม่มีความเห็นเพคะ”
อ๋องฉินเดิมที่เอาแต่ยืนฟังเงียบๆ อยู่นั้นก็หันไปมองนางทันที
‘จะไม่มีความเห็นได้อย่างไรกันก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่านางเองหรอกหรือที่คัดค้านหัวชนฝา อย่างไรก็ไม่ให้เขาแต่งชายารองโดยเด็ดขาด’
“เช่นนั้นข้าจะออกราชโองการให้อ๋องฉินแต่งชายารองเข้ามาในจวนก็แล้วกัน”
“ลูกยังไม่อยากแต่งชายารองตอนนี้พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”
“เจ้าว่าอะไรนะ”
“ลูกคนแรกของข้าควรที่จะเกิดจากพระชายาเอกก่อนพ่ะย่ะค่ะ ลูกไม่อยากมีปัญหาหากว่าลูกคนแรกเกิดจากชายารองเกรงว่าจะต้องเกิดการแย่งชิงกันแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“ที่เจ้าพูดก็ไม่ผิดอันใด”
ฮ่องเต้ฟังน้ำเสียงเยือกเย็นแล้วรู้สึกเสียวสันหลังกันเลยทีเดียว เขาซับเหงื่อเบาๆ พลางจับจ้องใบหน้าของลู่เหยียนซิน ฮ่องเต้หลี่ตาลงพร้อมเกิดความคิดอันยอดเยี่ยมขึ้นมาทันใด
“แต่งมาก็ครึ่งปีแล้วยังไม่มีทายาทสักทีเห็นทีพวกเจ้าคงไม่ให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้กระมัง เวลานี้รัชทายาทเรียนรู้งานกับข้าที่วังหลวงยังไม่มีเวลาออกว่าราชการยังหัวเมืองต่างๆ”
“เจ้าเป็นโอรสที่เกิดจากฮองเฮาของข้าอีกคนหนึ่งดังนั้นข้าจะมอบหมายให้เจ้าไปที่ชายแดนเหนือ ช่วยแม่ทัพฮั่วขจัดภัยแล้งข้าได้ยินมาว่าที่เมืองจี้โจวเวลานี้นั้นประสบภัยแล้งอย่างหนักราษฎรอดอยากยิ่งนัก เจ้าจงไปแก้ความวิบัตินี้เสียหากแก้ไม่ได้ก็ไม่ต้องกลับมาให้ข้าเห็นหน้าหรือจะกลับมาได้ก็ต่อเมื่อ….พระชายาฉินตั้งครรภ์แล้วเท่านั้น”
“เสด็จพ่อ! แก้ภัยแล้งจะไปแก้ไขได้ภายในเดือนสองเดือนได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำไม? เจ้าทำไม่ได้งั้นหรือ อ๋องเทพสงครามเช่นเจ้ามีสิ่งใดที่ทำไม่ได้กัน”
“ไม่ใช่เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะเพียงแต่ว่าหากลูกต้องเดินทางไปชายแดนเหนือไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานเท่าใดในการช่วยเหลือชาวบ้านในครั้งนี้ ลูกเพียงแค่อยากจะทูลขอเสด็จพ่อให้พระชายาเดินทางไปด้วยก็เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นเองหรือ ได้สิข้าอนุญาต”
ลู่เหยียนซินเบิกตากว้างนางอ้าปากค้างทันที อ๋องฉินเห็นสีหน้าของนางก็คิดว่านางคงจะไม่อยากไปที่แห้งแล้งทุรกันดานเช่นนั้น ในใจของนางคงจะทรมานยิ่งนักเขายกยิ้มพลางหันไปมองฮ่องเต้อีกครั้ง
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ ลูกรับบัญชาพร้อมออกเดินทางไปเมืองจี้โจวทันทีพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีๆ ข้าหวังว่าจะมีข่าวดีจะหนึ่งเรื่องหรือสองเรื่องข้าก็จะรอฟังข่าว เจ้าเดินทางปลอดภัยนะลูกรัก”
ฮองเฮารีบเอื้อนเอ่ยออกมาทันทีที่ได้ยินว่าพระชายาฉินต้องตามไปด้วย ในใจก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งการที่ทั้งสองได้อยู่ใกล้ชิดกันเช่นนี้ไม่นานหรอกข้าได้อุ้มหลานแน่
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่”
ไม่มีใครสนใจลู่เหยียนซินเลยสักคนนางได้แต่มองคนนั้นทีคนนี้ทีตาละห้อย
“ไหนท่านอ๋องบอกว่าหม่อมฉันนั้นโง่เขลา หากต้องเดินทางไปด้วยไม่เท่ากับเป็นภาระของท่านหรอกหรือ หม่อมฉันไปด้วยจะช่วยอะไรท่านได้กันล่ะเพคะ” ลู่เหยียนซินกล่าวด้วยเสียงลอดไรฟันออกมาพลางยิ้มให้อ๋องฉินแววตาคู่หนึ่งของนางเหมือนดั่งมีดที่ต้องการแทงทะลุตัวเขาให้ได้
อ๋องฉินไม่สนใจเขารู้ว่านางโกรธแต่เขาพยายามจะให้เรื่องนี้จบอย่างไว เขาหันกลับไปมองพระพักตร์ของฮ่องเต้และฮองเฮาตามเดิม
“ไปให้กำลังใจอ๋องฉินหน่อยก็ดีสามีภรรยาควรที่จะอยู่เคียงข้างกันคิดจะทำสิ่งใดก็ควรปรึกษาหารือกันก่อนเสมอ ไปครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าใช้เวลานานแค่ไหนข้าไม่อยากให้พวกเจ้าต้องห่างจากกันอีก” ฮองเฮาพูดขึ้นมาอารมณ์นางดีขึ้นจากเมื่อครู่มาก
ลู่เหยียนซินได้ยินดังนั้นก็รู้สึกแข้งขาอ่อนขึ้นมาทันที นางลอบมองอ๋องฉินหวังให้เขาปฏิเสธแต่ตาอ๋องบ้านั่นกลับนิ่งเฉยเสียอย่างนั้น
‘ไหนบอกเกลียดนางแล้วเหตุใดต้องนำนางไปด้วยเล่า’
“ระหว่างเดินทางไปจี้โจวอาจจะยากลำบากสักหน่อยข้าจะส่งยาบำรุงไปให้เจ้านำติดตัวไปด้วย เจ้าต้องกินดื่มทุกวันจะบำรุงร่างกายได้เป็นอย่างดีเพื่อรอรับองค์ชายองค์หญิงตัวน้อยนะเหยียนเอ๋อร์”
นางยิ้มตอบฮองเฮาด้วยสายตาละห้อยก่อนจะหันมองไปยังอ๋องฉินก็เห็นเขาลอบมองนางอยู่ก่อนแล้วมุมปากที่เหยียดยิ้มนั่นหมายความว่าอย่างไร เขาต้องการแกล้งนางเช่นนั้นหรือ
เดินทางไปชายแดนต้องพบกับความยากลำบาก ใช่สินะ! ให้คนรักของตนเองอยู่สบายส่วนข้าต้องติดสอยห้อยตามเขาไปด้วยเพื่อเอาไปทรมานความคิดของคนผู้นี้ช่างชั่วร้ายเสียจริง!
“ขอบพระทัยเพคะฮองเฮา”
ฮองเฮาทอดพระเนตรมองดูคนทั้งคู่ด้วยความปลื้มปิติยินดีอย่างยิ่ง
“เอาล่ะพระชายาฉินเจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้ามีเรื่องหารือต่อกับอ๋องฉินอีกเล็กน้อย”
“เพคะ”
คล้อยหลังลู่เหยียนซินออกไปแล้วฮองเฮาเองก็ขอตัวกลับไปยังวังหลังเช่นกัน เมื่อทั้งคู่จากไปจนลับสายตาแล้วฮ่องเต้ก็กลับมามีสีหน้าเคร่งขรึมตามเดิม
“ยามนี้ที่ชายแดนเหนือมีกลุ่มคนคอยปล้นเสบียงอาหารเงินทองของมีค่า พวกมันทั้งปล้นและฆ่าชาวบ้านเหมือนผักเหมือนปลาให้ได้มาเพื่อสิ่งที่ต้องการ ชาวบ้านนับร้อยพันต่างสูญเสียเดือดร้อนกันถ้วนหน้า”
“ความจริงแล้วข้าตั้งใจเพียงให้แม่ทัพฮั่วเป็นคนจัดการเองแต่จนตอนนี้เรื่องราวก็ยังยืดเยื้อไม่จบสิ้นทั้งภัยแล้งที่กัดกินมาเป็นเวลายาวนานอีก เจ้าไปครั้งนี้ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยราษฎรได้ไม่มากก็น้อย” ฮ่องเต้ทอดพระเนตรโอรสของตนเองที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยม
“ลูกจะทำสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ”
“พระชายาของเจ้านำนางไปด้วยอาจจะลำบากสักหน่อยแต่ข้ามีลางสังหรณ์ว่าในบางเวลานางอาจช่วยเจ้าได้”
อ๋องฉินส่ายหัวทันทีนางจะเป็นภาระของเขาถึงจะรู้อยู่ก่อนแล้วแต่นำนางไปด้วยเป็นการทรมานนางอีกวิธีหนึ่ง เขายิ้มด้วยความพอใจเป็นอย่างมาก
ฮ่องเต้เห็นเขายิ้มที่มุมปากก็คิดเอาไว้แล้วว่าลูกคนนี้น่าจะกำลังหาทางทรมานชายาของตนเองเป็นแน่
'เฮอะ! แรกๆ ก็แบบนี้ล่ะหลังๆ กลัวจะเหมือนสุนัขที่ขาดเจ้าของไม่ได้นะสิ ข้ารู้ข้าเห็นเพราะข้าผ่านมาก่อน ลูกข้าจะเหมือนใครถ้าไม่ใช่ข้ากัน!'
อ๋องฉินนั้นเป็นองค์ชายลำดับที่สามของฮ่องเต้เยว่เหวินเทียนแห่งแคว้นเป่ยฉี
ฮ่องเต้เยว่เหวินเทียนมีเหล่าองค์ชายองค์หญิงมากมายแต่ทายาทสายตรงที่เกิดจากฮองเฮาและพระสนมชั้นสูงมีเพียง
องค์รัชทายาทเยว่เหวินเฉินองค์ชายลำดับที่หนึ่งและอ๋องฉินเยว่เหมินหมิงองค์ชายลำดับที่สามที่เกิดจากฮองเฮาองค์ปัจจุบัน
อ๋องอี้เยว่เหวินหลี่ องค์ชายลำดับที่สองที่เกิดจากหยางกุ้ยเฟยและอ๋องซุนเยว่เหวินจุน องค์ชายลำดับที่สี่ที่เกิดจากหลินเต๋อเฟย
อ๋องฉินผู้นี้มีความสามารถในด้านการรบที่มากฝีมือทั้งวรยุทธ์ยังล้ำเลิศกว่าผู้ใด เขากุมอำนาจทางการทหารเป็นท่านอ๋องที่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากฮ่องเต้เป็นอย่างมาก
ในบรรดาองค์ชายทั้งหมดคนที่มีวรยุทธ์สูงสุดคืออ๋องฉิน ทุกครั้งที่ต้องฝึกวรยุทธ์ร่วมกันกับเหล่าพี่น้องเขาก็ไม่เคยคิดจะออมมือเลยสักครั้ง
“เอาล่ะเจ้ากลับจวนไปได้แล้วไปเตรียมตัวเดินทางเสียเห็นหน้าเจ้านานไปข้าเริ่มหายใจไม่ออก”
อ๋องฉินพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า
“ทรงชรามากแล้วรักษาพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เยว่เหวินหมิง!” ฮ่องเต้ขว้างที่ฝนหมึกมุ่งตรงไปทางเขาทันที อ๋องฉินหลบได้ทันเขาเร่งฝีเท้าออกไปจากห้องทรงพระอักษรอย่างรวดเร็วก่อนที่ฮ่องเต้จะได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจดังแว่วเข้ามาภายในห้อง
‘เจ้าลูกคนนี้นับวันยิ่งอาจหาญมากขึ้น น่าตีให้ตายเสียจริง!’
-อารามชิงเหยียน-“ท่านอาจารย์อยากพบท่านแม่เจ้าค่ะ”“อยากพบข้างั้นหรือ”เยว่เหวินหลิงพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากตัวอารามเพื่อไปเล่นฟันดาบกับผู้เป็นพี่ชายฝาแฝดและฮั่วเฟิงอวี้ลู่เหยียนซินเดินเข้าไปในอารามชิงเหยียนอารามเก่าแก่ที่ผู้อาวุโสมาพำนักในที่แห่งนี้เป็นเวลากว่าหกปีมาแล้ว“หลิงเอ๋อบอกว่าท่านเรียกหาข้าหรือเจ้าคะ”“ไม่ผิด ที่ข้าเรียกท่านมานั้นไม่เกี่ยวข้องอันใดกับท่านหญิงเลยแม้เพียงนิดอย่ากังวลใจไปเลย”“แล้วท่านมีอะไรจะสนทนากับข้าอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”“ข้าคิดว่าน่าจะได้เวลาที่ควรจะต้องบอกท่านแล้ว”“หืม”“พระชายาหลายปีมานี้เพราะใจของท่านนั้นปล่อยวางไปจนหมดสิ้นจึงไม่ทันได้สังเกตสิ่งใดที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวของท่านเลยสินะ”“ท่านหมายถึงอะไรหรือเจ้าคะ”“ยังจำแหวนหยกสองวงที่ข้ามอบให้ท่านได้อยู่หรือไม่”“เจ้าค่ะ”“ยังเก็บเอาไว้อยู่สินะ”“อยู่ที่สามีของข้าเอง”“ครั้งที่ท่านเดินทางมาที่จี้โจวครั้งแรกสิ่งที่ท่านเคยถามข้าว่าจะได้กลับบ้านหรือไม่ ท่านคงได้คำตอบนั้นแล้วสินะ”ลู่เหยียนซินไม่ได้ตอบเขาไปนางกำลังครุ่นคิดว่าผู้อาวุโสผู้นี้ต้องการจะสื่อสารสิ่งใดกับนางอยู่กันแน่“ไม่เสียดายเลยหรือ”
-เจ็ดวันผ่านไป-“ท่านหญิง”“หือ”เยว่เหวินหลิงที่กำลังหยอกล้อกับเสี่ยวจ้านเสือขาวหิมะที่ได้รับมาจากผู้เป็นมารดาอยู่นั้นก็ได้หันไปมองคนที่เพิ่งเรียกขานนาง เมื่อเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นก็ถึงกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัยทันที‘นั่นไม่ใช่คุณชายหลี่หรอกหรือมาที่นี่ได้อย่างไรกันนะ’และดูเหมือนเขาจะรู้ว่านางคิดสิ่งใดอยู่จึงได้เอ่ยออกมาว่า“ข้ามาหาพี่ชายของท่านน่ะ”“อ้อ งั้นหรอกหรือเจ้าคะพี่ชายของข้าน่าจะอยู่ด้านหลังจวน ท่านเดินไปแล้วเลี้ยวขวาอีกนิดก็ถึงลานประลองแล้วล่ะเจ้าค่ะ”“ลานประลองงั้นหรือ? ท่านจะบอกว่าเขากำลังประลองยุทธ์อยู่อย่างนั้นหรือขอรับ”“ก็น่าจะใช่ ท่านพี่ของข้าคงกำลังฝึกกระบี่กับท่านพี่เฟิงอวี้อยู่ อืมม...หากว่าท่านไปไม่ถูกต้องการให้ข้านำทางไปหรือไม่”“ไม่เป็นไรขอรับข้าไปเองได้”เขาพูดจบก็หันไปยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยนทั้งยังสบตานางอย่างลึกซึ้ง เยว่เหวินหลิงก็ยิ้มรับอย่างเป็นมิตรโดยไม่ได้สนใจเลยว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใดท่ามกลางการเฝ้ามองของผู้ใหญ่ทั้งสี่คนที่อยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของเรือนใหญ่“ท่านอ๋องจะไปไหนหรือเพคะ”“เจ้าก็ดูสิ เจ้าเด็กคนนั้นกล้าดีอย่างไรมาเกี้ยวลูกสาวของข้า”“ท่านคิดมากไปห
“พระชายา”“ฮูหยินฮั่วไม่พบกันนานเลยนะเจ้าคะ”“ข้าคิดถึงท่านเหลือเกินเมื่อรู้ว่าท่านเดินทางมาถึงที่นี่แล้วก็รีบออกมาพบท่านทันทีเลยเพคะ”ฮูหยินฮั่วพูดพลางนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างของนาง ใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นบ่งบอกว่านางดีใจเพียงใดที่ได้พบลู่เหยียนซินอีกครั้ง“แล้วลูกชายของท่านล่ะไม่ได้มาด้วยหรอกหรือ”“ไม่ทันได้พูดอะไรด้วยเลยสักคำแค่เท้าแตะถึงพื้นก็วิ่งไปหาคุณชายเยว่เหวินหลงเสียแล้วเพคะ”“ฮ่าๆๆ ช่างเถอะข้าไม่ถือสาหรอกปล่อยเด็กๆ เล่นกันไปเถอะ”“เพคะพระชายา”ทั้งสองยิ้มให้แก่กัน มิตรภาพระหว่างสตรีทั้งสองคนนี้นั้นแน่นแฟ้นยิ่งไปกว่าผู้เป็นสามีของทั้งคู่ที่คบหากันมาตั้งแต่เยาว์วัยเสียอีก“ฮูหยินของเจ้าดูจะตัวติดกับชายาของข้ามากเลยนะซื่อเหลียน”“ข้าก็คิดเช่นนั้นก่อนหน้านี้นางเอาแต่ถามว่าเมื่อไหร่พระชายาจะมาที่จี้โจวเสียที เมื่อรู้ว่าพวกท่านมาถึงแล้วก็รบเร้าให้ข้าพามาทันทีเลยน่าน้อยใจเป็นบ้า”“เอาน่าพวกนางรักใคร่กันก็ดีแล้วจะว่าไปเจ้าจัดการอนุผู้นั้นอย่างไร ส่งนางกลับบ้านไปแล้วงั้นหรือ?”ฮั่วซื่อเหลียนส่ายหน้าเบาๆ ใบหน้าของเขาไม่มีความกังวลหรือโกรธเกลียดใดๆ หลงเหลืออยู่เลย“นางพบรักกับชาวบ้านคนหนึ่
-6 ปีต่อมา-เมืองจี้โจวเด็กๆ ทั้งสองเดินทางมาที่เมืองจี้โจวล่วงหน้าก่อนผู้เป็นบิดามารดาเนื่องจากพวกเขายังจัดการงานที่เมืองหลวงไม่เรียบร้อยนั่นเอง แม้อ๋องฉินจะห่วงเด็กๆ ไม่น้อยแต่เพราะพวกเขามีสัตว์เลี้ยงคู่ใจคอยดูแลอยู่ข้างกายจึงเบาใจไปได้แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น“ท่านพี่จะให้ข้าไปด้วยหรือไม่” เยว่เหวินหลิงเอ่ยถามพี่ชายฝาแฝดของนางด้วยเสียงอันเบา“ไม่ต้องหรอก”เยว่เหวินหลิงแม้จะดูแก่นๆ ไปบ้างแต่นางเชื่อฟังผู้เป็นพี่ชายมาโดยตลอดได้ยินแบบนั้นก็เกาหัวแกรกๆ“อ้อ เช่นนั้นข้าจะกลับไปรอที่จวนก่อนท่านพี่ก็กลับไวๆนะเจ้าคะ”เยว่เหวินหลงพยักหน้าให้นาง หลังจากส่งน้องสาวขึ้นรถม้าแล้วเขาก็ยืนดูอยู่สักพักก่อนจะหันหลังแล้วเดินตรงไปในตรอกถัดไปไม่ไกล เดินต่อไปอีกยี่สิบกว่าเก้าก็ถึงรถม้าของฮั่วเฟิงอวี้ เขากระโดดขึ้นไปบนรถม้าแล้วเข้าไปนั่งลงด้านในข้างๆ เด็กหนุ่มผู้นั้น“ท่านพี่เฟิงอวี้รอข้านานหรือไม่”“ไม่เลย ทีแรกข้าคิดว่าท่านจะพาหลิงเอ๋อร์มาด้วยเสียอีก”“นางพูดมากเกินไปเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง”“ฮ่าๆๆ เหตุใดถึงได้กล่าวหาน้องสาวของตนเองเช่นนั้นกันเล่า นางน่ารักถึงเพียงนั้นท่านก็ชอบพูดจาทำร้ายจิตใจนางอยู่เรื
-สี่ปีผ่านไป-วันเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่าตลอดระยะเวลาสี่ปีมานี้เด็กทั้งสองคนเติบโตขึ้นมาภายใต้การเลี้ยงดูของทุกคน ฟังไม่ผิดแล้ว! ทุกคนช่วยกันเลี้ยงดูเด็กๆ แทนนางจริงๆพักนี้ท่านหญิงน้อยดูจะตัวอวบอ้วนขึ้นมามากเพราะไม่ว่าผู้ใดที่แวะมาเยี่ยมนางที่จวนล้วนหยิบเอาขนมหวานและของกินต่างๆ ติดมือมาให้นางด้วยทั้งนั้นคนในวังยิ่งแล้วใหญ่ขนมหวานมากมายตระการตาถูกประเคนใส่ปากนางไม่ยั้ง ฮองเฮาเองดูจะมีความสุขมากที่เห็นปากน้อยๆ ของนางเคี้ยวขนมอย่างเอร็ดอร่อยรัชทายาทก็ไม่น้อยหน้าเช่นกันทรงเสด็จไปต่างเมืองเมื่อกลับมาก็มักจะนำของเล่นขนมแปลกๆ มาฝากเด็กๆ ที่ขาดไม่ได้เลยคือขนมหวานของโปรดของนาง‘ทุกคนล้วนต้องการให้ลูกของนางอ้วนเป็นหมูใช่หรือไม่นะ’ลู่เหยียนซินใช้วิชาความรู้ของนางเปิดสถานศึกษาวิชาการแพทย์ นางนำความรู้ของนางที่มีอยู่ออกมาถ่ายทอดให้แก่เหล่าบัณฑิตและผู้ที่ต้องการเรียนรู้วิชาแพทย์แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีหมอหลวงในวังหลวงแห่กันมาร่ำเรียนวิชาจากนางกันมากมายเช่นกันในสถานศึกษาแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการสอนวิชาแพทย์แต่เป็นสถานศึกษาสำหรับเด็กๆ ทั้งในเมืองหลวงและเมืองต่างๆ ใกล้เคียงกัน สถานศึกษาแห่งนี้มีอาจารย
“เสด็จพ่อ!”เป็นฮ่องเต้ที่เดินเข้ามาทันได้ยินที่หมอหลวงรายงานการตรวจครรภ์ของลู่เหยียนซินพอดี“พวกเจ้าต้องวางแผนการทำคลอดครั้งนี้ให้ดีอย่าให้ผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ข้าจะส่งหมอหลวงไปประจำที่จวนอ๋องฉินจงจำเอาไว้ว่าต้องระมัดระวังทำให้ดีที่สุด”“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”“เอาล่ะเจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะชายาฉิน ท้องของเจ้าใหญ่เกินไปน่าจะเดินเหินไม่สะดวกนักจากนี้ไปก็จงอยู่แต่ในจวนจนกว่าจะคลอดไม่ต้องเข้าวังมาถวายพระพรแล้ว”“เพคะเสด็จพ่อ หม่อมฉันทูลลาเพคะเสด็จปู่”“อืม ไปเถอะ”- - - - - - - - - - -เพราะลู่เหยียนซินที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกจากจวนก็รู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก วันเวลาผ่านไปจนครรภ์ของนางก็เข้าสู่เดือนที่เก้านางกำลังเดินออกมาจากห้องอาบน้ำขณะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก็รู้สึกได้ว่ามีของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากต้นขาของนางเมื่อก้มมองดูถึงกับต้องรีบสูดหายใจเข้าปอดช้าๆ เพื่อลดอาการตื่นเต้น‘ถุงน้ำคล่ำของนางแตกแล้ว!’“ลี่ถิงมาช่วยข้าที”ลี่ถิงที่กำลังนั่งจัดของขวัญต้อนรับคุณหนูคุณชายน้อยอยู่นั้นก็ตกใจเสียงตะโกนเรียกของพระชายา นางรีบวิ่งเข้าไปในห้องอาบน้ำด้วยความรวดเร็วเกือบสะดุดขอบพักประตูไปแล้ว“พระชายาเกิดอะไรขึ