วันรุ่งขึ้นลู่เหยียนซินถูกปลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่เช้าตรู่ ดวงตาที่ยังไม่เต็มตื่นอีกทั้งริมฝีปากเรียวบางของนางก็ยังคงหาวหวอดๆ ออกมาอย่างไม่อายเลยแม้เพียงนิด
“ลี่ถิงข้าต้องแต่งตัวเช้าถึงเพียงนี้เลยหรือ”
“เตรียมตัวไว้เพคะพระชายา ท่านยังต้องกินอาหารก่อนเข้าวังอีกหากว่าท่านอ๋องต้องคอยนานเกรงว่าพระชายาอาจจะถูกทำโทษอีก”
“ทำโทษๆ อะไรก็ทำโทษอยู่นั่นล่ะชีวิตของเขาตึงเกินไปหรือไม่นะ”
“ลุกขึ้นได้แล้วเพคะ”
“ก็ได้”
ทางด้านเรือนฉางหมิงเมื่อเห็นว่าจวนจะสายแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นนางออกมาเสียที อ๋องฉินที่กำลังจะสั่งให้ชิงอีไปเรียกนางในเวลาไล่เลี่ยกันลู่เหยียนซินก็เดินออกมาพอดี
นางสวมชุดกระโปรงสีชมพูหวานปักลวดลายดอกไม้สวยงามขับสีผิวขาวเนียนใส ที่เอวยังคาดเครื่องประดับสีเดียวกันทำให้เอวระหงยิ่งดูอรชรมากขึ้นดูอ่อนช้อยน่าหลงใหล มวยผมที่เกล้าขึ้นยังมีที่ปักผมรูปหางหงส์หยกดิ้นทองประดับอยู่เผยให้เห็นใบหน้าเล็กๆ หวานใส แก้มแดงระเรื่อเมื่อโดนแสงแดดกลับสว่างใสมีเลือดฝาดขึ้นมาทันที
“ไปกันได้หรือยังข้ามีงานต้องกลับมาทำต่อนะ”
“?”
‘เป็นเขาที่รอนางนานไม่ใช่หรืออย่างไรกัน นางมาช้ายังจะกล้าบ่นอีก’
อ๋องฉินส่ายหัวให้นางก่อนจะเดินนำหน้าไปยังหน้าประตูจวน ลู่เหยียนซินที่เดินตามออกมาก็หันซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นจะมีรถม้าอยู่เลยสักคัน
‘ไหนบอกว่ารีบ รถม้าสักคันก็ไม่เห็นจะเตรียมเอาไว้แล้วจะมาเร่งนางทำไมกัน’
ลู่เหยียนซินที่มัวแต่ชะเง้อคอมองหารถม้าอยู่นั้นไม่ทันได้สังเกตว่าชิงอีกำลังจูงอาชาประจำกายของอ๋องฉินมาทางด้านหลัง อ๋องฉินกระโดดขึ้นม้าพร้อมทั้งเอี้ยวตัวไปคว้าเอวบางของนางขึ้นมานั่งซ้อนด้านหน้าของตนเองด้วยความรวดเร็ว
“ว๊าย! ท่านจะทำอะไร”
ลู่เหยียนซินตื่นตะหนกตกใจเป็นอย่างมาก อยู่ๆ อ๋องบ้าผู้นี้ก็คว้าเอวนางขึ้นบนหลังม้าไม่บอกกล่าวอะไรสักคำ หัวใจจะวาย
“อยู่นิ่งๆ อยากตกม้าตายหรืออย่างไร”
“ข้านึกว่าพวกเราจะนั่งรถม้าไปเสียอีก”
“รถม้าช้าไปข้ารอเจ้าแต่งตัวนานจนเกินเวลาแล้ว ฝ่าบาทกับฮองเฮาจะรอนาน”
“แล้วเหตุใดท่านไม่บอกให้เร็วกว่านี้เล่า”
อ๋องฉินพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายออกแรงส่งควบม้าไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเลยสักนิด
คนทั้งคู่นั่งอยู่บนหลังม้าไร้การสนทนากันแผ่นหลังของนางแนบชิดกับอกแกร่งของเขา ใกล้ชิดจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนพ่นรดข้างพวงแก้มของนาง
-หน้าประตูวังหลวง-
อ๋องฉินกระโดดลงจากหลังม้าแล้วยื่นมือไปคว้าเอวบางของนางลงตามมาเมื่อเท้าเล็กแตะถึงพื้นลู่เหยียนซินก็เดินไปข้างหน้าทันที ดวงตาสุกใสมองพระราชวังที่อยู่ด้านหน้าด้วยความตื่นเต้น
“ตามข้ามาแล้วก็อย่าพยายามสร้างเรื่องให้ข้าอีก”
“ข้าจะไปทำเช่นนั้นทำไมกันล่ะเพคะท่านอ๋อง”
คำพูดประจบประแจงก้ำกึ่งหยอกล้อทำให้อ๋องฉินได้แต่ส่ายหน้าด้วยความระอาใจ หากไม่ใช่ว่าตอนนี้นางไม่คอยตามตอแยเขาเหมือนเมื่อก่อนวันนี้เขาคงไม่อยากเข้าใกล้หรือพูดคุยกับนางเลยสักเพียงนิด
คนทั้งคู่เดินมาถึงหน้าท้องพระโรงก็มองเห็นเฉินกงกงที่ยืนทำหน้าระรื่นอยู่ก่อนแล้ว
“ท่านอ๋อง พระชายา”
“เสด็จพ่อล่ะ”
“อยู่ในห้องทรงพระอักษรพ่ะย่ะค่ะกระหม่อมจะไปทูลฮ่องเต้เดี๋ยวนี้”
“อืม”
ในห้องทรงพระอักษรฮ่องเต้กับฮองเฮานั่งสนทนากันเพียงลำพังไร้ซึ่งเงาของข้ารับใช้ ไม่นานนักเฉินกงกงก็รีบเข้ามารายงานว่าอ๋องฉินกับพระชายาฉินมาถึงแล้วจึงรับสั่งให้ทั้งคู่เข้ามาทันที
เมื่อทั้งสองคนมาถึงก็คุกเข่าลงพร้อมกันแล้วพูดขึ้นว่า
“ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อ เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ถวายบังคมฝ่าบาท ฮองเฮาเพคะ”
“ลุกขึ้นเถอะ” ฮองเฮากล่าวพร้อมแย้มสรวล กาลเวลาไม่ได้ทำให้พระพักตร์และผิวพรรณของพระองค์ลดความงดงามลงเลยกลับกันยิ่งผ่องใสมากขึ้น
ลู่เหยียนซินมองพระพักตร์อันมีเสน่ห์ของฮองเฮา นางมองเห็นแววตาที่อ่อนโยนของพระนางพลันทำให้คิดถึงผู้เป็นมารดาขึ้นมาทันที
“วันนี้ที่ข้าเรียกพวกเจ้าเข้าวังเพียงเพราะจะสอบถามสถานการณ์ในจวนอ๋องของพวกเจ้า”
“เรื่องอันใดพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าแต่งงานกับพระชายาฉินมาครึ่งปีได้แล้วเหตุใดถึงยังไม่มีทายาทตัวน้อยๆ ให้ข้าอีก”
“เสด็จแม่เรื่องนี้ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่าพะย่ะค่ะ”
“ค่อยเป็นค่อยไปอย่างไรกันราชวงศ์ของเรายังไม่มีทายาทเลยสักคน ทั้งรัชทายาทและอ๋องซุนต่างก็มีชายาเป็นของตนเองแล้วแต่กลับยังไม่มีผู้ใดมีองค์ชายองค์หญิงน้อยให้ข้าเลยสักคน หากข้าจะร้อนใจผิดตรงไหนกัน”
ฮองเฮาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแห่งความผิดหวังสีพระพักตร์เศร้าหมองจนเห็นได้ชัด นางตั้งตารอทายาทขององค์ชายทุกคนมาหลายปีไม่ว่าจะเป็นองค์หญิงหรือองค์ชายก็ได้ทั้งนั้น
ก่อนหน้านี้พระชายารัชทายาทตั้งครรภ์นางก็ดีใจจนเนื้อเต้นทั้งยังทรงคัดสรรยาบำรุงต่างๆ ส่งไปให้นางด้วยตนเองแต่ไม่นานนักพระชายารัชทายาทกลับแท้งลูกนั่นเท่ากับว่าการตั้งตารอคอยของนางก็สูญเปล่า
มาครั้งนี้อ๋องฉินที่แต่งพระชายาเข้าจวนนานนับครึ่งปีแล้วแต่กลับยังไม่มีทายาทออกมาให้นางเลยสักคน แล้วจะไม่ให้นางเคร่งเคลียดได้เช่นไรกัน
ลู่เหยียนซินมองเห็นความผิดหวังบนใบหน้าของฮองเฮาก็นึกสงสารนาง
“เจ้าได้กินยาบำรุงที่แม่ส่งไปให้บ้างหรือไม่”
แม่? ฮองเฮาถึงกับเอ่ยสรรพนามสั้นๆ แทนพระองค์ออกมาสร้างความประหลาดใจให้แก่ฮ่องเต้และฉินอ๋องเป็นอย่างมาก
“ยาบำรุงหรือเพคะ”
ฮองเฮามองเห็นสีหน้างงงวยของลู่เหยียนซินก็รู้ทันทีว่าอ๋องฉินคงจะสั่งให้คนนำไปทิ้งก่อนหน้านี้แล้ว
“เหตุใดเจ้าถึงชอบทำให้ข้าผิดหวังอยู่เรื่อยนะเยว่เหวินหมิง เจ้าอยากให้ข้าตรอมใจตายเลยหรืออย่างไร โธ่ชีวิตที่น่าสงสารของข้าๆ น่าจะแต่งเข้าบ้านบัณฑิตธรรมดาๆ ไม่น่าแต่งเข้าราชวงศ์ที่เอาแต่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันเลยป่านนี้ข้าคงได้หลานตัวน้อยๆ มากอดแล้ว”
“ฮองเฮาพูดอะไรเช่นนั้น” ฮ่องเต้กล่าวออกมาอย่างนึกเหนื่อยใจ
‘นี่นางต้องแสดงละครถึงเพียงนั้นเลยเชียวหรือ’
ฮองเฮาแสร้งทำเป็นเช็ดน้ำตาก่อนจะแอบชำเลืองมองลู่เหยียนซินเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“หากพวกเจ้าทั้งสองพยายามไม่มากพอเช่นนั้นเจ้าก็แต่งชายารองเข้ามาสักคนสิ หยางซูฉินนางตามติดเจ้ามาเนิ่นนานพวกเจ้าเองก็รักใคร่ปรองดองกันข้านั้นรู้มานานแล้ว หากชายาของเจ้าไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้เช่นนั้นก็แต่งนางเข้ามาเถอะ”
“ฮองเฮา! / เสด็จแม่!”
ฮ่องเต้เอ่ยปรามฮองเฮาก่อนจะลอบมองไปยังลู่เหยียนซินแต่สีหน้าของนางนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด ก่อนหน้านี้นางเคยลั่นวาจาว่าจะไม่ให้อ๋องฉินแต่งชายารองโดยเด็ดขาดมาตอนนี้นางกลับนิ่งเฉยเกิดสิ่งใดขึ้นกัน
“พระชายาฉินหากข้าอนุญาตให้อ๋องฉินแต่งชายารองเจ้าคิดเห็นสิ่งใดบ้าง”
“ไม่มีความเห็นเพคะ”
อ๋องฉินเดิมที่เอาแต่ยืนฟังเงียบๆ อยู่นั้นก็หันไปมองนางทันที
‘จะไม่มีความเห็นได้อย่างไรกันก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่านางเองหรอกหรือที่คัดค้านหัวชนฝา อย่างไรก็ไม่ให้เขาแต่งชายารองโดยเด็ดขาด’
“เช่นนั้นข้าจะออกราชโองการให้อ๋องฉินแต่งชายารองเข้ามาในจวนก็แล้วกัน”
“ลูกยังไม่อยากแต่งชายารองตอนนี้พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”
“เจ้าว่าอะไรนะ”
“ลูกคนแรกของข้าควรที่จะเกิดจากพระชายาเอกก่อนพ่ะย่ะค่ะ ลูกไม่อยากมีปัญหาหากว่าลูกคนแรกเกิดจากชายารองเกรงว่าจะต้องเกิดการแย่งชิงกันแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“ที่เจ้าพูดก็ไม่ผิดอันใด”
ฮ่องเต้ฟังน้ำเสียงเยือกเย็นแล้วรู้สึกเสียวสันหลังกันเลยทีเดียว เขาซับเหงื่อเบาๆ พลางจับจ้องใบหน้าของลู่เหยียนซิน ฮ่องเต้หลี่ตาลงพร้อมเกิดความคิดอันยอดเยี่ยมขึ้นมาทันใด
“แต่งมาก็ครึ่งปีแล้วยังไม่มีทายาทสักทีเห็นทีพวกเจ้าคงไม่ให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้กระมัง เวลานี้รัชทายาทเรียนรู้งานกับข้าที่วังหลวงยังไม่มีเวลาออกว่าราชการยังหัวเมืองต่างๆ”
“เจ้าเป็นโอรสที่เกิดจากฮองเฮาของข้าอีกคนหนึ่งดังนั้นข้าจะมอบหมายให้เจ้าไปที่ชายแดนเหนือ ช่วยแม่ทัพฮั่วขจัดภัยแล้งข้าได้ยินมาว่าที่เมืองจี้โจวเวลานี้นั้นประสบภัยแล้งอย่างหนักราษฎรอดอยากยิ่งนัก เจ้าจงไปแก้ความวิบัตินี้เสียหากแก้ไม่ได้ก็ไม่ต้องกลับมาให้ข้าเห็นหน้าหรือจะกลับมาได้ก็ต่อเมื่อ….พระชายาฉินตั้งครรภ์แล้วเท่านั้น”
“เสด็จพ่อ! แก้ภัยแล้งจะไปแก้ไขได้ภายในเดือนสองเดือนได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำไม? เจ้าทำไม่ได้งั้นหรือ อ๋องเทพสงครามเช่นเจ้ามีสิ่งใดที่ทำไม่ได้กัน”
“ไม่ใช่เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะเพียงแต่ว่าหากลูกต้องเดินทางไปชายแดนเหนือไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานเท่าใดในการช่วยเหลือชาวบ้านในครั้งนี้ ลูกเพียงแค่อยากจะทูลขอเสด็จพ่อให้พระชายาเดินทางไปด้วยก็เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นเองหรือ ได้สิข้าอนุญาต”
ลู่เหยียนซินเบิกตากว้างนางอ้าปากค้างทันที อ๋องฉินเห็นสีหน้าของนางก็คิดว่านางคงจะไม่อยากไปที่แห้งแล้งทุรกันดานเช่นนั้น ในใจของนางคงจะทรมานยิ่งนักเขายกยิ้มพลางหันไปมองฮ่องเต้อีกครั้ง
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ ลูกรับบัญชาพร้อมออกเดินทางไปเมืองจี้โจวทันทีพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีๆ ข้าหวังว่าจะมีข่าวดีจะหนึ่งเรื่องหรือสองเรื่องข้าก็จะรอฟังข่าว เจ้าเดินทางปลอดภัยนะลูกรัก”
ฮองเฮารีบเอื้อนเอ่ยออกมาทันทีที่ได้ยินว่าพระชายาฉินต้องตามไปด้วย ในใจก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งการที่ทั้งสองได้อยู่ใกล้ชิดกันเช่นนี้ไม่นานหรอกข้าได้อุ้มหลานแน่
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่”
ไม่มีใครสนใจลู่เหยียนซินเลยสักคนนางได้แต่มองคนนั้นทีคนนี้ทีตาละห้อย
“ไหนท่านอ๋องบอกว่าหม่อมฉันนั้นโง่เขลา หากต้องเดินทางไปด้วยไม่เท่ากับเป็นภาระของท่านหรอกหรือ หม่อมฉันไปด้วยจะช่วยอะไรท่านได้กันล่ะเพคะ” ลู่เหยียนซินกล่าวด้วยเสียงลอดไรฟันออกมาพลางยิ้มให้อ๋องฉินแววตาคู่หนึ่งของนางเหมือนดั่งมีดที่ต้องการแทงทะลุตัวเขาให้ได้
อ๋องฉินไม่สนใจเขารู้ว่านางโกรธแต่เขาพยายามจะให้เรื่องนี้จบอย่างไว เขาหันกลับไปมองพระพักตร์ของฮ่องเต้และฮองเฮาตามเดิม
“ไปให้กำลังใจอ๋องฉินหน่อยก็ดีสามีภรรยาควรที่จะอยู่เคียงข้างกันคิดจะทำสิ่งใดก็ควรปรึกษาหารือกันก่อนเสมอ ไปครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าใช้เวลานานแค่ไหนข้าไม่อยากให้พวกเจ้าต้องห่างจากกันอีก” ฮองเฮาพูดขึ้นมาอารมณ์นางดีขึ้นจากเมื่อครู่มาก
ลู่เหยียนซินได้ยินดังนั้นก็รู้สึกแข้งขาอ่อนขึ้นมาทันที นางลอบมองอ๋องฉินหวังให้เขาปฏิเสธแต่ตาอ๋องบ้านั่นกลับนิ่งเฉยเสียอย่างนั้น
‘ไหนบอกเกลียดนางแล้วเหตุใดต้องนำนางไปด้วยเล่า’
“ระหว่างเดินทางไปจี้โจวอาจจะยากลำบากสักหน่อยข้าจะส่งยาบำรุงไปให้เจ้านำติดตัวไปด้วย เจ้าต้องกินดื่มทุกวันจะบำรุงร่างกายได้เป็นอย่างดีเพื่อรอรับองค์ชายองค์หญิงตัวน้อยนะเหยียนเอ๋อร์”
นางยิ้มตอบฮองเฮาด้วยสายตาละห้อยก่อนจะหันมองไปยังอ๋องฉินก็เห็นเขาลอบมองนางอยู่ก่อนแล้วมุมปากที่เหยียดยิ้มนั่นหมายความว่าอย่างไร เขาต้องการแกล้งนางเช่นนั้นหรือ
เดินทางไปชายแดนต้องพบกับความยากลำบาก ใช่สินะ! ให้คนรักของตนเองอยู่สบายส่วนข้าต้องติดสอยห้อยตามเขาไปด้วยเพื่อเอาไปทรมานความคิดของคนผู้นี้ช่างชั่วร้ายเสียจริง!
“ขอบพระทัยเพคะฮองเฮา”
ฮองเฮาทอดพระเนตรมองดูคนทั้งคู่ด้วยความปลื้มปิติยินดีอย่างยิ่ง
“เอาล่ะพระชายาฉินเจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้ามีเรื่องหารือต่อกับอ๋องฉินอีกเล็กน้อย”
“เพคะ”
คล้อยหลังลู่เหยียนซินออกไปแล้วฮองเฮาเองก็ขอตัวกลับไปยังวังหลังเช่นกัน เมื่อทั้งคู่จากไปจนลับสายตาแล้วฮ่องเต้ก็กลับมามีสีหน้าเคร่งขรึมตามเดิม
“ยามนี้ที่ชายแดนเหนือมีกลุ่มคนคอยปล้นเสบียงอาหารเงินทองของมีค่า พวกมันทั้งปล้นและฆ่าชาวบ้านเหมือนผักเหมือนปลาให้ได้มาเพื่อสิ่งที่ต้องการ ชาวบ้านนับร้อยพันต่างสูญเสียเดือดร้อนกันถ้วนหน้า”
“ความจริงแล้วข้าตั้งใจเพียงให้แม่ทัพฮั่วเป็นคนจัดการเองแต่จนตอนนี้เรื่องราวก็ยังยืดเยื้อไม่จบสิ้นทั้งภัยแล้งที่กัดกินมาเป็นเวลายาวนานอีก เจ้าไปครั้งนี้ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยราษฎรได้ไม่มากก็น้อย” ฮ่องเต้ทอดพระเนตรโอรสของตนเองที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยม
“ลูกจะทำสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ”
“พระชายาของเจ้านำนางไปด้วยอาจจะลำบากสักหน่อยแต่ข้ามีลางสังหรณ์ว่าในบางเวลานางอาจช่วยเจ้าได้”
อ๋องฉินส่ายหัวทันทีนางจะเป็นภาระของเขาถึงจะรู้อยู่ก่อนแล้วแต่นำนางไปด้วยเป็นการทรมานนางอีกวิธีหนึ่ง เขายิ้มด้วยความพอใจเป็นอย่างมาก
ฮ่องเต้เห็นเขายิ้มที่มุมปากก็คิดเอาไว้แล้วว่าลูกคนนี้น่าจะกำลังหาทางทรมานชายาของตนเองเป็นแน่
'เฮอะ! แรกๆ ก็แบบนี้ล่ะหลังๆ กลัวจะเหมือนสุนัขที่ขาดเจ้าของไม่ได้นะสิ ข้ารู้ข้าเห็นเพราะข้าผ่านมาก่อน ลูกข้าจะเหมือนใครถ้าไม่ใช่ข้ากัน!'
อ๋องฉินนั้นเป็นองค์ชายลำดับที่สามของฮ่องเต้เยว่เหวินเทียนแห่งแคว้นเป่ยฉี
ฮ่องเต้เยว่เหวินเทียนมีเหล่าองค์ชายองค์หญิงมากมายแต่ทายาทสายตรงที่เกิดจากฮองเฮาและพระสนมชั้นสูงมีเพียง
องค์รัชทายาทเยว่เหวินเฉินองค์ชายลำดับที่หนึ่งและอ๋องฉินเยว่เหมินหมิงองค์ชายลำดับที่สามที่เกิดจากฮองเฮาองค์ปัจจุบัน
อ๋องอี้เยว่เหวินหลี่ องค์ชายลำดับที่สองที่เกิดจากหยางกุ้ยเฟยและอ๋องซุนเยว่เหวินจุน องค์ชายลำดับที่สี่ที่เกิดจากหลินเต๋อเฟย
อ๋องฉินผู้นี้มีความสามารถในด้านการรบที่มากฝีมือทั้งวรยุทธ์ยังล้ำเลิศกว่าผู้ใด เขากุมอำนาจทางการทหารเป็นท่านอ๋องที่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากฮ่องเต้เป็นอย่างมาก
ในบรรดาองค์ชายทั้งหมดคนที่มีวรยุทธ์สูงสุดคืออ๋องฉิน ทุกครั้งที่ต้องฝึกวรยุทธ์ร่วมกันกับเหล่าพี่น้องเขาก็ไม่เคยคิดจะออมมือเลยสักครั้ง
“เอาล่ะเจ้ากลับจวนไปได้แล้วไปเตรียมตัวเดินทางเสียเห็นหน้าเจ้านานไปข้าเริ่มหายใจไม่ออก”
อ๋องฉินพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า
“ทรงชรามากแล้วรักษาพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เยว่เหวินหมิง!” ฮ่องเต้ขว้างที่ฝนหมึกมุ่งตรงไปทางเขาทันที อ๋องฉินหลบได้ทันเขาเร่งฝีเท้าออกไปจากห้องทรงพระอักษรอย่างรวดเร็วก่อนที่ฮ่องเต้จะได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจดังแว่วเข้ามาภายในห้อง
‘เจ้าลูกคนนี้นับวันยิ่งอาจหาญมากขึ้น น่าตีให้ตายเสียจริง!’
ทางด้านลู่เหยียนซินเมื่อออกมาจากห้องทรงพระอักษรแล้วก็พบเข้ากับคนผู้หนึ่งที่ดูเหมือนจะมายืนรอนางอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว"พระชายาท่านนี้คือฉางกงกงเป็นขันทีและข้ารับใช้ประจำกายของไท่ซ่างหวงที่ตำหนักซูหนิงพ่ะย่ะค่ะ""อ๋อ งั้นหรือ" ‘ถ้าเช่นนั้นเวลานี้ก็ต้องอยู่รับใช้ไท่ซ่างหวงสิเหตุใดถึงมายืนอยู่ตรงนี้กัน’"พระชายาไท่ซ่างหวงมีรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ" ฉางกงกงรีบเข้ามารายงานทันทีเมื่อเห็นพระชายาฉินเดินออกมาจากห้องทรงพระอักษร'ไท่ซ่างหวงเรียกหาเช่นนั้นหรือ’"ข้าเคยไปทำสิ่งใดให้พระองค์โกรธเคืองหรือไม่" เมื่อไม่แน่ใจว่าเจ้าของร่างเดิมนี้แต่ก่อนได้ก่อเรื่องสร้างราวใดๆ ทิ้งเอาไว้หรือไม่ จึงต้องเอ่ยปากถามออกไปด้วยความหวาดระแวงเล็กน้อย"หามิได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา พระองค์แค่ทรงต้องการพูดคุยด้วยเท่านั้นเองพ่ะย่ะค่ะ"เหล่าราชวงศ์คนชั้นสูงไม่มีทางที่จะเรียกเข้าพบเพียงเพื่ออยากพูดคุยด้วยเท่านั้นเป็นแน่คงต้องมีเรื่องอะไรให้นางได้ปวดหัวอีกอย่างแน่นอน เมื่อครู่ก็เพิ่งจะถูกบังคับให้เดินทางไปชายแดนเหนือครั้งนี้จะถูกบังคับให้ทำสิ่งใดอีกกันเล่า"โว้ย! ข้าอยากจะบ้าตาย" นางขยี้ผมแรงๆ ด้วยความโมโหจนกงกงทั้งสองม
-เช้าวันต่อมา-"พระชายาทายาอีกสักหน่อยเถอะนะเพคะ ยังต้องนั่งอยู่บนรถม้าทั้งวันแผ่นหลังของท่านต้องระบมอีกเป็นแน่""พอแล้ว ไว้ค่อยทาทีหลังเถอะรีบไปขึ้นรถม้ากันจวนจะได้เวลาออกเดินทางแล้ว เจ้าเตรียมข้าวของๆ ข้าครบแล้วใช่หรือไม่""ครบแล้วเพคะพระชายา""ไม่รู้เลยว่าต้องไปนานเท่าใดเมื่อวานข้ายุ่งๆ จนลืมส่งข่าวให้ท่านพ่อเสียสนิทเลย""พระชายาไม่ต้องทรงเป็นกังวลเพคะเรื่องที่ท่านอ๋องกับพระชายาต้องเดินทางไปยังชายแดนเหนือเวลานี้ล่วงรู้กันทั้งเมืองแล้วล่ะเพคะ""หืม ใครกันช่างปากไวเช่นนี้เพียงแค่คืนเดียวรู้กันทั่วทั้งเมืองเลยเช่นนั้นหรือ"ลี่ถิงได้แต่ยิ้มแห้งๆ นางไม่กล้าบอกว่าข่าวที่แพร่สะพัดไปนี้เป็นฝีมือของคุณหนูหยางเพราะกลัวว่าพระชายาจะโกรธหยางซูฉินจนก่อเรื่องขึ้นมาอีกนั่นเองเมื่อเดินออกมาจากเรือนซินหยางก็มองเห็นบ่าวในจวนช่วยกันยกหีบสัมภาระขึ้นบนรถม้ากันขวักไขว่ข้าวของรุงรังเต็มไปหมดเมื่อพวกเขาหันมาเห็นนางจึงรีบทำความเคารพ ลู่เหยียนซินโบกมือเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องสนใจนางพวกเขาจึงรีบไปทำงานต่อทันทีลู่เหยียนซินรีบเร่งฝีเท้าไปขึ้นรถม้าที่หน้าประตูจวนเพื่อออกนอกเมืองไปสมทบกับกองกำลังทหารของอ๋องฉินอีกทีห
"พระชายาเหตุใดถึงกล่าวเช่นนั้นกันล่ะเพคะ""จะเป็นไรไปเล่าท่านอ๋องมีใจรักใคร่ต่อแม่นางหยางผู้นั้นส่วนตัวข้าเองก็ไม่ได้มีจิตพิศวาสกับท่านอ๋องอีกแล้ว ในเมื่อทั้งข้าและท่านอ๋องต่างก็ไม่ได้รักใคร่กันการหย่าขาดจากกันก็เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว""พระชายาอย่าได้พูดเช่นนั้นออกไปนะเพคะ หากท่านอ๋องโกรธขึ้นมาเป็นพระชายาเองที่จะเดือดร้อน""จะโกรธข้าด้วยเรื่องอะไรกันมีแต่จะดีใจน่ะสิที่หลุดพ้นจากข้าไปได้""พระชายา...""หรือว่าที่เจ้าคัดค้านเพราะไม่อยากไปลำบากข้างนอกกับข้า วางใจเถอะหากข้าได้หนังสือหย่าแล้วข้าจะทูลขอให้ท่านอ๋องรับเจ้าไว้เป็นหญิงรับใช้ในจวนต่อไป""ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกเพคะ พระชายาอยู่ที่ไหนหม่อมฉันก็จะอยู่ที่นั่นเพียงแต่หม่อมฉันไม่อยากให้พระชายาลำบากอยู่ข้างนอกคนเดียวเพคะ""เมื่อครู่เจ้าก็เพิ่งพูดไปว่าจะไม่มีทางทิ้งข้า ก็นั่นอย่างไรเล่าข้าต้องอยู่ตัวคนเดียวที่ไหนมีเจ้าอยู่ด้วยนี่นา" นางพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ลี่ถิงเห็นแววตาของนางดูมีความสุขต่างจากเมื่อก่อนมากก็ไม่กล้าพูดขัดนางอีกต่อไป"ลี่ถิง การเป็นคนธรรมดาคงจะรู้สึกดีกว่าการอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่มีแต่การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันนะ วันข้าง
‘รู้สึกไปเองใช่ไหมนะ…’“พระชายา”“ไม่มีอะไรหรอกพวกเรารีบอาบน้ำกันเถอะ ข้ารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อย่างไรพิกล”“เพคะพระชายา”ลู่เหยียนซินอาบน้ำไปเพียงไม่นานก็รู้สึกหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ ไรขนที่ลุกชันไม่ได้เกิดจากน้ำที่เย็นเยือกแต่เกิดจากบรรยากาศโดยรอบ นางหันซ้ายหันขวาก่อนจะรีบขึ้นจากแม่น้ำโดยมีลี่ถิงที่รีบนำชุดมาให้นางเปลี่ยนเพราะเกรงว่าพระชายาของตนจะจับไข้ไปเสียก่อน “ลี่ถิงกระโจมของข้าอยู่ตรงไหน”“กระโจมใหญ่ตรงนั้นเพคะพระชายา”“งั้นหรือ นอนกับเจ้าแค่สองคนไม่เห็นต้องทำกระโจมใหญ่ถึงเพียงนั้นเลยนี่นา”“หาไม่เพคะพระชายา กระโจมนี้เป็นของท่านอ๋องกับพระชายาเพคะ”“ห๊า! เจ้าว่าอะไรนะ” เมื่อได้ยินดังนั้นนางจึงหยุดฝีเท้าลงหันหลังกลับไปมองลี่ถิงด้วยใบหน้าที่งุนงงระคนตกใจ“ก็ท่านเป็นชายาของท่านอ๋องไม่ให้อยู่กระโจมเดียวกันกับท่านอ๋อง แล้วท่านจะไปนอนที่ไหนกันเล่าเพคะ” “ก็ให้ข้านอนกับเจ้าก็ได้นี่นา ท่านอ๋องเกลียดข้าจะตายไปจะมานอนร่วมเตียงเดียวกันได้อย่างไร”“นั่นเป็นคำสั่งของท่านอ๋องเพคะ” ลู่เหยียนซินเบ้ปากทันทีตาอ๋องบ้านี่ก็อย่างไรกันนะเกลียดนางก็ควรอยู่ให้ห่างจากนางเสียสิ ให้นอนเตียงเดียวกันเช่นนี้แล้
‘ท่านผู้เฒ่าหายไปไหนแล้ว?’นางหันซ้ายหันขวากลับไม่พบผู้ใดเลยสักคน แรงกระชากจากด้านหลังทำเอานางไม่ทันตั้งตัวจนเซไปซบกับหน้าอกแกร่งของบุรุษตรงหน้าเมื่อเงยหน้าขึ้นไปก็พบว่าเป็นอ๋องฉินเขาออกมาตามนางทำไมกันนะ!“บ้าจริงท่านกระชากข้าทำไมข้าเกือบจะหกล้มไปแล้วนะ”“ใครอนุญาตให้เจ้าออกมาข้างนอกไม่บอกกล่าวข้าเช่นนี้”“ข้าปลุกท่านแล้วแต่ท่านไม่ยอมตื่นเสียที ข้าเพียงแค่ร้อนจึงอยากออกมารับลมข้างนอกก็เท่านั้นเอง”“เจ้าปลุกข้าแล้วเช่นนั้นหรือ”“ปลุกไปแล้วพอออกมาข้างนอกก็พบทหารของท่านหลับกันทุกคน ข้าไม่มีเพื่อนคุยจึงเดินเล่นออกมาไกลไปหน่อยขอโทษท่านแล้วกัน”นางสะบัดข้อมือออกจากฝ่ามือหนาของเขาก่อนจะรีบเดินเลี่ยงออกมาเพื่อกลับเข้าไปในกระโจมเมื่อเข้ามาด้านในแล้วลู่เหยียนซินก็ก้มลงมองที่หน้าอกของตนเองก็พบกับแหวนหยกสองชิ้นคล้องอยู่กับสายสร้อยเส้นหนึ่ง‘พระเจ้า! เรื่องเมื่อครู่ไม่ใช่ความฝันหรอกหรือ อีกทั้งสายสร้อยที่นางสวมอยู่ในเวลานี้ดันเป็นสายสร้อยเส้นเดียวกันกับที่นางเก็บเอาไว้ใต้หมอนที่จวนอ๋องฉินในเมืองหลวง แล้วมันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรหรือว่านางเลอะเลือนจนจำไม่ได้ว่าหยิบติดมือมาด้วยเช่นนั้นหรือ’อ๋องฉินที
การเดินทางยาวนานต่อเนื่องเข้าสู่วันที่ห้าลู่เหยียนซินเหตุเพราะก่อนหน้านี้ร่างกายของนางเพิ่งถูกโบยมาบาดแผลยังไม่ทันหายดี อีกทั้งการนั่งอยู่บนรถม้าทั้งวันเป็นเวลาห้าวันติดกันโดยไม่สามารถขยับไปทางไหนได้ทั้งการสั่นสะเทือนของรถม้าที่โครงเครงตลอดทางส่งผลให้ร่างกายของนางบอบช้ำขึ้นมาอีกระลอกเนื้อด้านหลังกระแทกกับแผ่นไม้หลายต่อหลายครั้งนางทำได้เพียงแค่อดทนมาตลอด แต่วันนี้ความเจ็บปวดกำเริบขึ้นมาอีกครั้งความรู้สึกปวดหนึบตามร่างกายเริ่มตีตื้นขึ้นมาและดูเหมือนจะส่งผลให้พิษไข้ค่อยๆ กำเริบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆนางกินยาแก้อักเสบไว้แล้วแต่เพราะแผลด้านหลังนั้นลึกเกิน แม้จะกินยาหรือทายาทุกวันเพื่อให้ทุเลาลงไปบ้างแล้วแต่แผลก็ยังหายช้าอยู่ดีความเจ็บของบาดแผลส่งผลให้นางได้รับพิษไข้ที่รุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่านัก เหงื่อที่ผุดขึ้นก็ไหลย้อยลงจากศรีษะไหลไปตามกรอบหน้าของนางแล้วหยดลงบนเสื้อผ้าจนเปียกชุ่ม นางหลับตาลงพยายามฝืนความเจ็บปวดเอาไว้“พระชายาเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”“ข้ายังไหว” นางตอบลี่ถิงด้วยเสียงอันสั่นเครือ“ให้ข้าบอกท่านอ๋องหรือไม่”“ไม่ต้อง ข้าไม่ใช่คนที่อย่างอ๋องฉินจะเห็นใจหากรู้ว่าข้าไม่สบายมีแต่จะส
“ยังไม่ถึงจี้โจวก็จับไข้เสียแล้ว อ่อนแอเสียจริง!”อ๋องฉินจำต้องผลัดเสื้อผ้าของนางออกพลันสายตาของเขาก็มองไปเห็นร่องรอยบนแผ่นหลังของนาง ร่องรอยที่ถูกโบยยังไม่จางหายนวลเนื้อขาวใสมีรอยแดงแตกระแหงแผลบางแห่งยังคงมีเลือดไหลออกมาเล็กน้อยเหตุที่นางจับไข้ก็คงเป็นเพราะพิษจากแผลที่โดนโบยนี่เองสินะ อ๋องฉินมองนางในใจก็คิดหาเหตุผลว่าเหตุใดนางถึงอดทนได้ถึงเพียงนี้กันเขาหยุดความคิดฟุ้งซ่านก่อนจะลงมือเช็ดตัวให้นางอีกครั้งแล้วนำยาสำหรับรักษาบาดแผลของราชวงศ์โดยเฉพาะมาทาที่ด้านหลังของนาง ไอร้อนยังคงไม่เจือจางลงเขาจำใจต้องดึงนางมาสวมกอด กลิ่นอายความอบอุ่นที่อยู่ตรงหน้าทำให้คนตัวเล็กมุดเข้าอ้อมแขนแกร่งทันทีชายหนุ่มรู้สึกเกรงตัวตามสัญชาตญาณของบุรุษ ความนุ่มนิ่มของกายสาวที่แนบชิดกับเนื้อตัวของเขาทำให้นวลเนื้อส่วนล่างตื่นขึ้นมาทันที แต่เพราะนางป่วยอยู่จึงต้องหยุดความคิดเหล่านั้นลงอย่างเลี่ยงไม่ได้เขาสวมกอดนางอยู่อย่างนั้นทั้งคืนเมื่อถึงรุ่งเช้าจึงรีบออกไปสั่งการให้ทหารเริ่มจัดขบวนออกเดินทางกันต่อ เขาไม่ได้อยากแล้งน้ำใจกับนางมากนักเพียงแต่หนทางข้างหน้ายังมีผู้คนที่รอคอยการช่วยเหลือไม่สามารถช้าได้สักเสี้ยววิน
การเดินทางไปยังเมืองจี้โจวเมืองที่อยู่แดนเหนือสุดของแคว้นเป่ยฉีนั้นใช้เวลาเดินทางมามากกว่าเจ็ดวันแล้ว ผ่านเส้นทางทุรกันดานของชนบทที่ห่างไกลความเจริญในที่สุดก็เข้าสู่เขตชายแดนของเมืองจี้โจวในวันที่แปดพอดีขบวนกองทัพเคลื่อนเข้าใกล้ตัวเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางที่ต้องผ่านเข้าไปยังประตูเมืองนั้นต้องพบเจอกับหมู่บ้านน้อยใหญ่ ทิวทัศน์โดยรอบแสดงให้เห็นถึงความแร้นแค้นของชาวบ้านเป็นอย่างมากแสงแดดยามเช้าที่สาดส่องรอดเข้ามาในรถม้ากับสายลมอ่อนๆ ทำให้ลู่เหยียนซินอยากที่จะชื่นชมบรรยากาศด้านนอกขึ้นมาทันที มือเรียวเสียวขาวผ่องนั้นเลิกม่านขึ้นแต่เมื่อมองออกไปกลับพบกับสภาพของชุมชนทั้งสองข้างทางที่แห้งแล้งพืชผลทางการเกษตรล้มตายเกือบทั้งหมดทำให้นางรู้สึกอนาจใจยิ่งนัก ใบหน้าของชาวบ้านเหล่านั้นแลดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด‘เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันนะ’เมื่อกองทัพอ๋องฉินเดินทางถึงหมู่บ้านมู่หลางหมู่บ้านสุดท้ายก่อนเข้าสู่ประตูเมืองจี้โจว ก็มองเห็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังยืนมุงกันอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งเป็นจำนวนมาก ซากปรักหักพังของบ้านเรือน ซากไฟไหม้บางส่วนปรากฏให้เห็นดูแล้วน่าสะเทือนใจยิ่งนักขบวนกองทัพหยุดเดินลง
-เจ็ดวันผ่านไป-“ท่านหญิง”“หือ”เยว่เหวินหลิงที่กำลังหยอกล้อกับเสี่ยวจ้านเสือขาวหิมะที่ได้รับมาจากผู้เป็นมารดาอยู่นั้นก็ได้หันไปมองคนที่เพิ่งเรียกขานนาง เมื่อเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นก็ถึงกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัยทันที‘นั่นไม่ใช่คุณชายหลี่หรอกหรือมาที่นี่ได้อย่างไรกันนะ’และดูเหมือนเขาจะรู้ว่านางคิดสิ่งใดอยู่จึงได้เอ่ยออกมาว่า“ข้ามาหาพี่ชายของท่านน่ะ”“อ้อ งั้นหรอกหรือเจ้าคะพี่ชายของข้าน่าจะอยู่ด้านหลังจวน ท่านเดินไปแล้วเลี้ยวขวาอีกนิดก็ถึงลานประลองแล้วล่ะเจ้าค่ะ”“ลานประลองงั้นหรือ? ท่านจะบอกว่าเขากำลังประลองยุทธ์อยู่อย่างนั้นหรือขอรับ”“ก็น่าจะใช่ ท่านพี่ของข้าคงกำลังฝึกกระบี่กับท่านพี่เฟิงอวี้อยู่ อืมม...หากว่าท่านไปไม่ถูกต้องการให้ข้านำทางไปหรือไม่”“ไม่เป็นไรขอรับข้าไปเองได้”เขาพูดจบก็หันไปยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยนทั้งยังสบตานางอย่างลึกซึ้ง เยว่เหวินหลิงก็ยิ้มรับอย่างเป็นมิตรโดยไม่ได้สนใจเลยว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใดท่ามกลางการเฝ้ามองของผู้ใหญ่ทั้งสี่คนที่อยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของเรือนใหญ่“ท่านอ๋องจะไปไหนหรือเพคะ”“เจ้าก็ดูสิ เจ้าเด็กคนนั้นกล้าดีอย่างไรมาเกี้ยวลูกสาวของข้า”“ท่านคิดมากไปห
“พระชายา”“ฮูหยินฮั่วไม่พบกันนานเลยนะเจ้าคะ”“ข้าคิดถึงท่านเหลือเกินเมื่อรู้ว่าท่านเดินทางมาถึงที่นี่แล้วก็รีบออกมาพบท่านทันทีเลยเพคะ”ฮูหยินฮั่วพูดพลางนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างของนาง ใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นบ่งบอกว่านางดีใจเพียงใดที่ได้พบลู่เหยียนซินอีกครั้ง“แล้วลูกชายของท่านล่ะไม่ได้มาด้วยหรอกหรือ”“ไม่ทันได้พูดอะไรด้วยเลยสักคำแค่เท้าแตะถึงพื้นก็วิ่งไปหาคุณชายเยว่เหวินหลงเสียแล้วเพคะ”“ฮ่าๆๆ ช่างเถอะข้าไม่ถือสาหรอกปล่อยเด็กๆ เล่นกันไปเถอะ”“เพคะพระชายา”ทั้งสองยิ้มให้แก่กัน มิตรภาพระหว่างสตรีทั้งสองคนนี้นั้นแน่นแฟ้นยิ่งไปกว่าผู้เป็นสามีของทั้งคู่ที่คบหากันมาตั้งแต่เยาว์วัยเสียอีก“ฮูหยินของเจ้าดูจะตัวติดกับชายาของข้ามากเลยนะซื่อเหลียน”“ข้าก็คิดเช่นนั้นก่อนหน้านี้นางเอาแต่ถามว่าเมื่อไหร่พระชายาจะมาที่จี้โจวเสียที เมื่อรู้ว่าพวกท่านมาถึงแล้วก็รบเร้าให้ข้าพามาทันทีเลยน่าน้อยใจเป็นบ้า”“เอาน่าพวกนางรักใคร่กันก็ดีแล้วจะว่าไปเจ้าจัดการอนุผู้นั้นอย่างไร ส่งนางกลับบ้านไปแล้วงั้นหรือ?”ฮั่วซื่อเหลียนส่ายหน้าเบาๆ ใบหน้าของเขาไม่มีความกังวลหรือโกรธเกลียดใดๆ หลงเหลืออยู่เลย“นางพบรักกับชาวบ้านคนหนึ่
-6 ปีต่อมา-เมืองจี้โจวเด็กๆ ทั้งสองเดินทางมาที่เมืองจี้โจวล่วงหน้าก่อนผู้เป็นบิดามารดาเนื่องจากพวกเขายังจัดการงานที่เมืองหลวงไม่เรียบร้อยนั่นเอง แม้อ๋องฉินจะห่วงเด็กๆ ไม่น้อยแต่เพราะพวกเขามีสัตว์เลี้ยงคู่ใจคอยดูแลอยู่ข้างกายจึงเบาใจไปได้แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น“ท่านพี่จะให้ข้าไปด้วยหรือไม่” เยว่เหวินหลิงเอ่ยถามพี่ชายฝาแฝดของนางด้วยเสียงอันเบา“ไม่ต้องหรอก”เยว่เหวินหลิงแม้จะดูแก่นๆ ไปบ้างแต่นางเชื่อฟังผู้เป็นพี่ชายมาโดยตลอดได้ยินแบบนั้นก็เกาหัวแกรกๆ“อ้อ เช่นนั้นข้าจะกลับไปรอที่จวนก่อนท่านพี่ก็กลับไวๆนะเจ้าคะ”เยว่เหวินหลงพยักหน้าให้นาง หลังจากส่งน้องสาวขึ้นรถม้าแล้วเขาก็ยืนดูอยู่สักพักก่อนจะหันหลังแล้วเดินตรงไปในตรอกถัดไปไม่ไกล เดินต่อไปอีกยี่สิบกว่าเก้าก็ถึงรถม้าของฮั่วเฟิงอวี้ เขากระโดดขึ้นไปบนรถม้าแล้วเข้าไปนั่งลงด้านในข้างๆ เด็กหนุ่มผู้นั้น“ท่านพี่เฟิงอวี้รอข้านานหรือไม่”“ไม่เลย ทีแรกข้าคิดว่าท่านจะพาหลิงเอ๋อร์มาด้วยเสียอีก”“นางพูดมากเกินไปเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง”“ฮ่าๆๆ เหตุใดถึงได้กล่าวหาน้องสาวของตนเองเช่นนั้นกันเล่า นางน่ารักถึงเพียงนั้นท่านก็ชอบพูดจาทำร้ายจิตใจนางอยู่เรื
-สี่ปีผ่านไป-วันเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่าตลอดระยะเวลาสี่ปีมานี้เด็กทั้งสองคนเติบโตขึ้นมาภายใต้การเลี้ยงดูของทุกคน ใช่แล้ว! ทุกคนช่วยกันเลี้ยงดูแทนนางจริงๆพักนี้ท่านหญิงน้อยดูจะตัวอวบอ้วนขึ้นมามาก เพราะไม่ว่าผู้ใดที่แวะมาเยี่ยมนางที่จวนล้วนหยิบเอาขนมหวานและของกินต่างๆติดมือมาให้นางทั้งนั้นคนในวังยิ่งแล้วใหญ่ขนมหวานมากมายตระการตาถูกประเคนใส่ปากนางไม่ยั้ง ฮองเฮาเองดูจะมีความสุขมากที่เห็นปากน้อยๆของนางเคี้ยวขนมอย่างเอร็ดอร่อยรัชทายาทก็ไม่น้อยหน้าเช่นกันทรงเสด็จไปต่างเมืองเมื่อกลับมาก็มักจะนำของเล่นขนมแปลกๆ มาฝากเด็กๆ ที่ขาดไม่ได้เลยคือขนมหวานของโปรดของนาง‘ทุกคนล้วนต้องการให้ลูกของนางอ้วนเป็นหมูใช่หรือไม่นะ’ลู่เหยียนซินใช้วิชาความรู้ของนางเปิดสถานศึกษาวิชาการแพทย์ นางนำความรู้ของนางที่มีอยู่ออกมาถ่ายทอดให้แก่เหล่าบัณฑิตและผู้ต้องการสอบเข้าเป็นหมอหลวง ถึงอย่างนั้นก็ยังมีหมอหลวงในวังหลวงแห่กันมาร่ำเรียนจากนางกันมากมายเช่นกันในสถานศึกษาแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการสอนวิชาแพทย์แต่เป็นสถานศึกษาสำหรับเด็ก
เพราะลู่เหยียนซินที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกจากจวนก็รู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก วันเวลาผ่านไปจนครรภ์ของนางเข้าสู่เดือนที่เก้านางกำลังเดินออกมาจากห้องอาบน้ำขณะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไหลออกมาจากต้นขาของนาง นางก้มมองดูถึงกับต้องรีบสูดหายใจเข้าปอดช้าๆเพื่อลดอาการตื่นเต้น ถุงน้ำคล่ำของนางแตกแล้ว!“ลี่ถิง มาช่วยข้าที”ลี่ถิงที่กำลังนั่งจัดของขวัญต้อนรับคุณหนูคุณชายน้อยอยู่นั้นก็ตกใจเสียงตะโกนเรียกของพระชายา รีบวิ่งไปยังห้องอาบน้ำทันที“พระชายา เกิดอะไรขึ้นเพคะ”นางเห็นเพียงพระชายาสวมเสื้อเพียงชั้นเดียวจึงรีบเข้าไปพยุงทันที“ดูเหมือนว่าข้าจะคลอดแล้ว ตามหมอหลวงเร็วเข้า”“เช่นนั้นให้หม่อมฉันประคองพระชายาไปที่ห้องคลอดก่อนนะเพคะ”นางไม่กล้าทิ้งพระชายาไว้คนเดียวจึงตะโกนเรียกชิงอีที่ตอนนี้คอยให้อาหารเสือสองตัวอยู่ด้านนอกตำหนัก เมื่อได้ยินเสียงเรียกเขาก็รีบวิ่งมาทันที“มีอะไรหรือ”“พระชายาจะคลอดแล้ว ตามหมอหลวงเร็วเข้า”“จะ…จะคลอด จะคลอดแล้วหรือ”“เอ้า! ยืนอึ้งทำไม รีบไปสิ!”“ได้ ได้ ท่านห
เช้าวันต่อมาลู่เหยียนซินกำลังหยอกล้อกับลูกเสือน้อยสองตัวที่มีนามว่าเปาเปาและจ้านจ้านอยู่ที่สวนดอกไม้หน้าตำหนักใหญ่ นางเป็นคนตั้งชื่อให้พวกมันด้วยตัวของนางเอง“พระชายา”เสียงหวานใสดังขึ้นด้านหลังนาง ลู่เหยียนซินหันไปมองก็พบว่าเป็นหยางซูฉินยืนอยู่ตรงทางเข้าอุทยาน ด้านหลังเป็นแม่ทัพหยางที่ยืนซ้อนหลังนางอีกทีหยางซูฉินค้อมคำนับทำความเคารพลู่เหยียนซินทันที ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆนาง อ๋องฉินเดินมายืนข้างๆนางแล้ว“พระชายาหม่อมฉันมีเรื่องอยากจะสนทนากับพระองค์สักนิดได้หรือไม่เพคะ”“ได้สิ ข้าคงต้องฝากเปาเปากับจ้านจ้านไว้กับพวกท่านก่อน”“ข้าน้อยไม่ค่อยจะถูกโฉลกกับพวกเสือเท่าไหร่นะพ่ะย่ะค่ะพระชายา” เสียงแม่ทัพหยางเอ่ยขึ้นสีหน้าเขาดูหวาดหวั่น‘ก็แค่ลูกเสือตัวน้อยๆพวกเขาจะกลัวอะไรกันนักหนา’ นางหันมองไปยังฉินอ๋อง“ไปเถอะ”ลู่เหยียนซินยิ้มหวานก่อนจะเดินนำหยางซูฉินไปยังศาลาริมสวนดอกไม้“เจ้ามีอะไรจะพูดกับข้าเช่นนั้นหรือ”หยางซูฉินตอนนี้ดูสงบเสงี่ยมลงเป็นอย่างมาก ชุดที่นางสวมใส่ไม่มีความหรูหราเช่นเคย
“ความจริงแล้วข้าไม่ใช่ลู่เหยียนซิน”นางมองออกไปก็เห็นสายตาที่นิ่งสงบของเขามองนางอยู่ก่อนแล้ว“ท่านไม่คิดจะตกใจหน่อยหรือ”“ข้ารู้มานานแล้วว่าเจ้าไม่ใช่นาง”“ท่าน! ท่านรู้ได้เช่นไรกัน”“ทุกสิ่งในตัวเจ้านั้นเปลี่ยนไปความรักความห่วงใยที่เจ้ามีต่อทุกคนที่ลู่เหยียนซินคนก่อนหน้านั้นไม่เคยมี”“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ข้าขอยืนยันว่าข้ารักที่เจ้าเป็นตัวของเจ้าเองในตอนนี้”ทันใดนั้นแหวนที่สวมอยู่บนนิ้วของนางก็พลันเกิดประกายแสงวาววับขึ้นมาประตูค่อยๆเปิดออกให้เห็นภายใน อ๋องฉินแรกเริ่มไม่ได้ตื่นตกใจกับสิ่งที่เห็นแต่ไม่นานนักเขาก็เบิกตากว้างขึ้นมาทันทีลู่เหยียนซินที่ไม่หันไปมองก็รู้ว่าข้างในคือที่ไหน แต่เมื่อมองตามสายตาที่เบิกกว้างของเขาไปก็พลันตกใจขึ้นมาทั้งยังสงสัยว่ามันมาโผล่ในที่แห่งนี้ได้เช่นไรกันห้องพักแพทย์ที่นางเข้าไปพักผ่อนหลังการผ่าตัดคลอดแม่ลูกคู่นั้นเกิดเป็นภาพให้เห็นหลังประตูบานนั้นนางคิดว่าที่อ๋องฉินตื่นตกใจไม่น่าจะใช่เห็นประตูบานนี้ แต่เป็นนางอีกคนในนั้นที่ก้มหน้าลงนอ
เย็นวันนี้เหตุเพราะเขาดื่มสุรากับเสด็จปู่ไปถึงสองไหและส่วนใหญ่เป็นเขาที่ยกดื่มอยู่ฝ่ายเดียวทำให้อาการมึนเมามีมากเกินควบคุมอีกทั้งได้ยินว่าพระชายาของตนนั้นตั้งครรภ์แล้ว ความเมาที่ยังไม่ทันสร่างบวกกับความดีใจทั้งตื่นตกใจผสมปนเปกันเข้ามา ทำให้เลือดลมของเขาวิ่งพ่านจนเกิดอาการหน้ามืดหงายหลังล้มดังตึงลงไปทันทีเมื่อฟื้นขึ้นมาก็ยังคงรู้สึกเวียนศรีษะเป็นอย่างมาก เขารีบลุกขึ้นหันมองไปรอบๆห้องก็ไม่พบใครอยู่ในห้องนี้เลย“นางหายไปไหนแล้วล่ะ?”ข่าวการตั้งครรภ์ของพระชายาฉินแพร่กระจายออกไปจนทั่วทั้งวังหลวง ผู้คนในวังต่างรู้สึกปลื้มปิติยินดีกันถ้วนหน้าฮ่องเต้และฮองเฮาเมื่อทรงทราบข่าวก็เสด็จมาที่ตำหนักซูหนิงทันทีอ๋องฉินรีบเปิดประตูออกไปเดินไปยังโถงตำหนักซูหนิงก็พบว่าลู่เหยียนซินกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ถัดไปไม่ไกลกันนัก เสด็จปู่ ฮ่องเต้และฮองเฮาก็ประทับอยู่ตรงนั้นด้วย“เห็นหรือไม่เพคะหม่อมฉันพูดถูกหรือไม่ ว่าไว้แล้วเชียวว่านางต้องตั้งครรภ์อยู่อย่างแน่นอน”“แน่นอนสิ ข้ายังรู้เลย” ฮ่องเต้อมยิ้มอย่างภูมิใจในความเฉลียวฉลาดของพระองค์ฮอ
‘ดื่มสุราต้องมีความสำราญใจถึงเพียงนั้นเชียว’"พระชายา มีคนมาขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ" เสียงขันทีหน้าตำหนักเข้ามารายงานคนด้านใน"ใครหรือ" นางเดินออกไปด้านนอกประตูตำหนักทั้งยังถือถ้วยน้ำชาออกไปด้วย นางยังไม่ทันยกขึ้นดื่มก็ถูกคนเรียกตัวไปอีกแล้วเมื่อมองออกไปหน้าประตูคนผู้นั้นก็เดินออกมาจากด้านหลังของทหารรักษาประตูมองไปก็รู้ทันทีว่าคือชิงอี เสื้อผ้าของชิงอีฉีกขาดเขาเดินเข้ามาหานางด้วยใบหน้าที่น่าสังเวชยิ่งนักพรู๊ด..~~ลู่เหยียนซินเดิมทีกำลังจะดื่มชาลงไปถึงกับต้องพ่นออกมาด้วยความตกใจที่เห็นสภาพขององค์รักษ์คนสนิทของอ๋องฉิน"ชิงอี เหตุใดเจ้าถึงเป็นสภาพนั้นกันเล่า"นางมองออกไปอย่างนึกสงสัยก็เห็นเฟยหยาจูงเสือขาวสองตัวเข้ามา ตอนนี้พวกมันนั่งอยู่บนพื้นหน้าพระตำหนักจ้องมองนางอย่างน่ารักน่าเอ็นดู ลู่เหยียนซินรีบก้าวเดินไปข้างหน้านางยื่นมือออกไปลูบหัวของพวกมันไปคนละหนึ่งที"เด็กดี"อ๋องฉินที่เดินตามนางออกมาถึงกับขมวดคิ้วมองไปยังเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น ผมเผ้ารุงรัง นี่เขากล้าแต่งต