สรุปน้องน้อยฝาแฝดของเขาไม่ได้ต้องการสิ่งใด เพียงแต่พวกเขาสามคนพี่น้องพากันเดินชมตลาดในเมืองซานหวนกันอย่างตื่นตาตื่นใจและแวะทานอาหารดังๆกันเท่านั้น
" หากเราได้ย้ายออกมาอยู่ในเมืองคงดีนะขอรับ "
ซีหลงกล่าวออกมาตามที่คิด ในเมืองซานหวนช่างดูคึกคักนัก หากได้มีบ้านในเมืองพวกเขาคงมีความสุขน่าดู
" นั้นสิเจ้าคะ ฝีมือการทำอาหารของพี่ซีเจียงเปิดร้านขายอาหารได้สบายเลย "
เมื่อครู่พวกเขาแวะทานอาหารในร้านอาหารแห่งหนึ่ง รสชาติแม้จะทานได้แต่ไม่อร่อยเท่าฝีมือพี่ชายสักนิด
ซีเจียงพยักหน้ารับฟัง เขาเองก็มองที่ทางและสังเกตอาหารที่พ่อค้าแม่ค้านำมาขายในตลาดเช่นเดียวกัน อาหารส่วนใหญ่ที่เหล่าพ่อค้าแม่ค้านำมาขายก็คล้ายๆกันหมด หากเขาทำอาหารแปลกตามาขายดูบ้างคงน่าจะขายดีทีเดียว
เงินสองตำลึงทองที่มีอยู่ก็สามารถนำมาเป็นทุนซื้อโต๊ะและอุปกรณ์การทำอาหารได้ แต่เขาอยากได้รถเข็นที่สามารถเข็นขายอาหารได้มากกว่านี่สิ ไม่รู้ในโลกใบนี้จะมีรถเข็นอย่างโลกเก่าก่อนหรือเปล่า หากมีรถเข็นเคลื่อนที่ได้มันจะสะดวกในการขายมากทีเดียว แต่หากไม่มีจริงๆเขาก็คงต้องหาบ้านเช่าให้เป็นหลักเป็นแหล่งเพื่อจะเปิดร้านอาหารไปเลย ให้มาตั้งโต๊ะหาบเร่แผงลอยแบบนี้มันลำบากเกินไป เกิดฝนตกขึ้นมาอาหารที่ตั้งขายเละเทะแน่และที่สำคัญมันไม่มั่นคงด้วย
แต่นั้นแหละการจะเช่าบ้านสักหลังในตลาดแห่งนี้พวกเขาต้องมีเงินให้เยอะกว่านี้ จากที่สังเกตมามีแม่ค้าขายอาหารและของทานเล่นเยอะแต่แม่ค้าขายผักหรือผลไม้กลับมีน้อยนัก หากเขานำผักและผลไม้มาขายบ้างจะขายดีหรือไม่นะ ซีเจียงครุ่นคิดมากมายหลายอย่างในหัว
" ผักและผลไม้มีร้านรับซื้อหรือไม่อาหลง "
ซีเจียงถามน้องชาย
" ตามเหลาอาหารน่าจะรับซื้อนะขอรับ "
เพราะได้ยินชาวบ้านในหมู่บ้านที่ปลูกผักขายพูดว่าพวกเขาส่งขายให้เหลาอาหารร้านใหญ่ๆในเมืองกัน
" เช่นนั้นเรากลับไปทำแปลงปลูกผักกันเถอะ เวลามีผักมาขายคนอื่นจะได้ไม่สงสัย "
เด็กๆเห็นด้วยทันที และก่อนกลับพวกเขาซื้ออาหารจากในตลาดกลับไปทานเป็นมื้อเย็นหลายอย่างด้วย หากคนในบ้านสกุลซีถามว่าเอาเงินมาจากไหนจะได้บอกไปว่าได้เงินมาจากการขายสมุนไพรและของป่า พวกเขามีพยานเป็นท่านป้ายี่ว่าตอนบ่ายวันนี้พวกเขาเข้าป่าไปหาของป่าและสมุนไพรจริงๆ
หลังเดินออกจากเมืองซานหวนมาไม่มา ในขณะนั้นก็มีใครบางคนขับเกวียนมาเทียบใกล้ๆพวกเขา
" อาหลง "
ซีหลงหันไปตามเสียงเรียกก่อนจะเผยรอยยิ้มกว้างออกมา
" พี่จื่อหย่ง "
ซีเจียงจึงหันไปเงยหน้ามองคนที่บังคับม้าบนเกวียนด้วยความสนอกสนใจ
นี่เองหรือชายใจบุญที่นำอาหารมาให้น้องชายเขาบ่อยๆตลอดเวลาระยะสามเดือน หน้าตาดีไม่น้อยทีเดียวแถมใจดีอีกด้วย
" มาทำอะไรในเมืองรึ "
จื่อหย่งกวาดตามมองทั้งสามคนแล้วหันกลับไปเอ่ยถามซีหลงอีกครั้ง
" นำของป่ามาขายขอรับ "
ซีหลงก็ช่างรู้ความกล่าวบอกออกมาอย่างฉะฉานทีเดียว
" ตอนนี้พี่ชายของข้าหายป่วยแล้วพวกเราจึงเข้าป่าไปนำของป่ามาขายหาเงินขอรับ "
จื่อหย่งพยักหน้าเข้าใจ นึกดีใจกับเด็กๆที่พี่ชายหายจากอาการป่วยเสียที
" ดีๆ หาเงินเองได้เป็นดีที่สุด "
ซีเจียงดูออกว่าชายหนุ่มคนนี้ดูเอ็นดูอาหลงมากทีเดียว
" จะกลับหมู่บ้านใช่หรือไม่ ขึ้นเกวียนมาเถอะข้าก็จะกลับเข้าหมู่บ้านเช่นกัน "
" คิดเงินหรือไม่ขอรับ "
ซีหลงถามตามตรง
" สำหรับพวกเจ้าข้าไม่คิดเงินหรอก "
เมื่อได้ยินเช่นนั้นพวกเขาสามคนพี่น้องก็ไม่รอช้าขึ้นนั่งท้ายเกวียนทันที
" ขอบคุณนะขอรับ "
ซีเจียงกล่าวขอบคุณเบาๆซึ่งจื่อหย่งก็พยักหน้ารับ
ระหว่างทางกลับหมู่บ้านบนเกวียนมีแต่เสียงจื่อหย่งและอาหลงเป็นหลัก มีบ้างที่ชายหนุ่มเจ้าของเกวียนจะหันมาถามผู้เป็นพี่ชายอย่างเขา ส่วนน้องสาวอย่างซีหลินบางครั้งนางก็เอ่ยถามชายหนุ่มบ้างเมื่อได้ยินในสิ่งที่น่าสนใจ
ใช้เวลานั่งเกวียนกลับถึงหน้าบ้านสกุลซีก็เป็นยามซวี(19.00-20.59)พอดี หากเดินเท้ากลับป่านนี้คงยังไม่ถึงเป็นแน่
เมื่อลงจากเกวียนพวกเขาสามคนพี่น้องก็ทำการคารวะขอบคุณจื่อหย่งกันอย่างพร้อมเพรียง ซึ่งทำเอาอีกคนดูพอใจกับการกระทำของพวกเขาไม่น้อยเลย
รอจนเกวียนจื่อหย่งขับออกไปไกลแล้ว ซีเจียงจึงทำการเดินมาจะเปิดประตูรั้วแต่ผลปรากฏคือเปิดเข้าไปไม่ได้
" มันล็อคด้วยโซ่ขอรับ "
ซีหลงชี้ให้พี่ชายดูรู้ได้ทันทีว่าใครเป็นคนกระทำเรื่องเช่นนี้
" ต้องเป็นป้าสะใภ้แน่ๆเจ้าค่ะ "
" จะทำอย่างไรดีขอรับ "
แม้ตอนนี้ท้องฟ้าจะมืดแล้วแต่ก็ยังมีชาวบ้านพลุกพล่านเดินไปเดินมาผ่านหน้าบ้านตลอด
" เราคงต้องเดินอ้อมไปทางด้านหลัง "
ซีเจียงกล่าวบอกน้องๆ
" แต่มันมีลำธารกั้นอยู่นะเจ้าคะพี่ซีเจียง "
หากพวกเขาจะกลับไปยังบ้านไม้ไผ่ก็ต้องข้ามลำธารที่มีความลึกประมาณสะโพกของซีเจียงแต่เด็กๆความลึกคงถึงเอวเป็นแน่
ซีเจียงครุ่นคิด เขาอยากหาเรื่องแก้เผ็ดป้าสะใภ้สักครั้งจริงๆเชียว
" เช่นนั้นพวกเราก็ไม่ต้องไปยังบ้านไม้ไผ่ คืนนี้เราจะเข้าไปนอนในมิติ แต่รุ่งสางค่อยออกมาทำทีว่านอนอยู่นอกรั้วบ้าน ดูสิว่าชาวบ้านจะว่าอย่างไรที่ป้าสะใภ้ล็อครั้วไม่ยอมให้พวกเราเข้าไปจนต้องนอนหนาวอยู่หน้าบ้านแบบนั้น "
จบคำพี่ชายฝาแฝดก็แย้มรอยยิ้มออกมาพร้อมกัน
" ดีเจ้าค่ะ "
เมื่อตกลงกันแล้ว พวกเขาก็ทำทีเป็นนั่งลงตรงรั้วบ้าน มีชาวบ้านเดินผ่านไปผ่านมาแต่ไม่ได้เอ่ยถามอะไร เพราะคิดว่าเด็กๆคงนั่งคุยกันเฉยๆ
รอจนเวลาล่วงเลยใกล้เข้ายามห้าย(21.00-22.59)เต็มที มองดูชาวบ้านกลับเข้าบ้านกันจนหมด เมื่อไม่เห็นใครเดินผ่านไปผ่านมาแล้วพวกเขาสามคนพี่น้องก็พากันลุกขึ้นแล้วเดินเลี่ยงไปตรงกอไผ่ข้างบ้านก่อนจะทำการหายวับเข้ามาในมิติวิเศษพร้อมกัน
เพราะทานอาหารที่ซื้อมาจากตลาดเรียบร้อยแล้วตอนที่นั่งอยู่นอกรั้วบ้าน เมื่อเข้ามาในมิติต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปอาบน้ำและเข้านอนอย่างสบายบนเตียงนอนนุ่มๆที่แสนหอมกรุ่นก่อนที่เด็กๆจะหลับไปแทบจะทันทีเพราะวันนี้พวกเขาใช้แรงไปไม่น้อยเลย
ส่วนซีเจียงนำเงินมาเก็บไว้ในตู้ตรงหัวเตียงทำการบันทึกรายรับรายจ่ายจนเสร็จ ก่อนจะขึ้นเตียงแล้วหลับไปอย่างสบายอารมณ์ไม่ต่างกัน
ตื่นขึ้นมาอีกทีในตอนเช้ามืด ซีเจียงรีบปลุกน้องๆเปลี่ยนเป็นชุดเดิม ทานอาหารเช้าแล้วพากันออกจากมิติไปในช่วงยามอิ๋น(03.00-04.59)พอดิบพอดี
ตอนนี้ใกล้ถึงเวลาที่ชาวบ้านบางคนจะออกมาทำงานกันแล้ว ทั้งสามคนเดินกันมาตรงรั้วหน้าบ้านที่เดิม แล้วล้มตัวลงนอนผ่านไปยังไม่ถึงสองเค่อดี เสียงอุทานตกใจของชาวบ้านที่ผ่านมาเห็นก็ดังขึ้นระงม และเริ่มส่งเสียงดังขึ้นเลื่อยๆเมื่อชาวบ้านคนอื่นๆเดินเข้ามามุงดู จนท่านป้ายี่ที่ผ่านมาเห็นรีบเดินเข้าไปปลุกเด็กๆให้ลุกขึ้นอย่างนึกเป็นห่วง
" อาหลงอาหลินอาเจียงตื่นเร็วเข้า เหตุใดพากันมานอนเช่นนี้ อากาศช่วงกลางคืนหนาวมากด้วยเดี๋ยวก็ไม่สบายอีกหรอก "
เมื่อมีคนมาปลุงทั้งสามพี่น้องที่แสร้งหลับก็พากันงัวเงียตื่นขึ้นมาด้วยใบหน้าไม่สู้ดี
" น หนาวจังเลยเจ้าค่ะ "
เมื่อได้ยินเช่นนั้นชาวบ้านก็รีบหาผ้ามาให้เด็กๆห่อคลุมตัวเพื่อคลายความหนาวกันจ้าละหวัน
" ทำไมมานอนกันตรงนี้ได้เล่า "
" พ พวกข้าเข้าบ้านไม่ได้ขอรับ "
ซีหลงชี้ให้ทุกคนดูว่ารั้วบ้านถูกคล้องด้วยโซ่และมีแม่กุญแจล็อคไว้
เมื่อเห็นเช่นนั้นชาวบ้านคนอื่นๆที่มุงดูอยู่ก็พากันส่งเสียงแซงแซ่ขึ้นทันที จากที่ได้ยินเหตุการณ์นี้พี่น้องสามคนคือผู้ถูกกระทำที่น่าสงสารเป็นที่สุด
และในขณะนั้นเองลั่วหลันที่เดินถือลูกกุญแจออกมาก็ต้องขมวดคิ้วไม่สบายใจ นางอุส่าห์รีบออกมาปลดกุญแจก่อนสามีและลูกชายจะออกไปทำงานกลับต้องมาเจอว่าตอนนี้หน้าบ้านมีชาวบ้านมุงกันเต็มไปหมด
เสียงไขกุญแจทำเอาชาวบ้านทุกคนหันมองกันเป็นตาเดียว และเมื่อลั่วหลันเปิดประตูรั้วออกมาก็ต้องตกใจเพราะตอนนี้หน้าบ้านนอกจากชาวบ้านแล้วก็ยังมีเด็กๆที่นางตั้งใจไม่ให้เข้าบ้านนั่งอยู่บนพื้น
" เกิดอะไรขึ้น "
ซีถ่งที่ได้ยินเสียงโวยวายเดินออกมาเช่นกัน
" พวกเจ้าช่างใจดำทำกับเด็กตัวเล็กๆทั้งสามคนได้เช่นไร "
เป็นป้ายี่ที่เอ่ยปากต่อว่าคนแรก
" นั่นสิ ล็อคประตูรั้วเช่นนี้ต้องการกลั่นแกล้งเด็กๆชัดๆ "
และมีอีกหลายคำต่อว่าจนลั่วหลันเริ่มมีใบหน้าที่ซีดเซียวอย่างทำอะไรไม่ถูก
หลังจากจับใจความของชาวบ้านได้พอประมาณ ซีถ่งก็ให้เด็กๆเป็นคนเล่าเรื่องให้ฟัง
" เมื่อวานพวกเราสามคนเข้าป่าไปหาของป่าขอรับท่านลุง "
" พวกเราได้สมุนไพรมานิดหน่อยจึงเดินเท้านำสมุนไพรไปขายในเมืองเจ้าค่ะ "
" พอกลับมาพวกข้าก็ไม่สามารถเข้าบ้านได้เพราะรั้วถูกล็อค แค่กๆ "
ซีเจียงกล่าวจบก็ไอออกมา ใครๆก็ทราบว่าเขาเพิ่งหายจากอาการไข้ได้เพียงสองวันเท่านั้นเองนี่ยังต้องมานอนตากน้ำค้างทั้งคืนอีก
จบคำบอกเล่าของหลานๆซีถ่งตวัดตามองหน้าภรรยาทันที เห็นทีครานี้ภรรยาเขากระทำความผิดต่อหลานทั้งสามมากเกินไปจริงๆ
เพราะปกติรั้วบ้านสกุลซีไม่เคยล็อคประตูรั้วมาก่อน นางจงใจกลั่นแกล้งเด็กสามคนไม่มีผิด
" ท่านลุงขอรับ หากเป็นเช่นนี้ข้าขอพาน้องๆไปเช่าบ้านในเมืองซานหวนอยู่ดีกว่าขอรับจะได้ไม่รบกวนพวกท่านด้วย "
ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เขาจะใช้วิธีเรียกร้องความเห็นใจกดดันท่านลุงเสียเลย
" ได้อย่างไรเล่า "
ซีถ่งก็อับอายต่อชาวบ้านไม่น้อยที่ภรรยาเขารังแกเด็กๆขนาดนี้
" ข้าคง...ไม่กล้าอยู่ที่นี่ต่อแล้วจริงๆขอรับ ท่านลุงโปรดเมตตาพวกเราด้วย "
ซีเจียงกล่าวด้วยใบหน้าเป็นทุกข์
เสียงกดดันจากชาวบ้านทำเอาซีถ่งคิดหนักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
" ก็ได้ๆ เช่นนั้นลุงจะจ่ายค่าเช่าบ้านให้พวกเจ้าก็แล้วกัน "
ซีเจียงยิ้มกว้างเมื่อแผนการสำเร็จเกินความคาดหมาย
" ท่านลุงจะจ่ายค่าเช่าบ้านให้ โอ้ ขอบคุณมากๆขอรับ "
ลั่วหลันแม้จะอยากคัดค้านใจแทบขาดที่สามียอมเอ่ยปากว่าจะจ่ายค่าเช่าบ้านในเมืองให้ แต่นางทำอะไรไม่ได้เพราะมีความผิดติดตัวอยู่
ค่าเช่าบ้านในเมืองขั้นต่ำก็ปาเข้าไปสามร้องอีแปะแล้วนะ หากเป็นบ้านเช่าในตลาดค่าเช่าเดือนละห้าร้อยอีแปะทีเดียว
นี่นางต้องยอมให้สามีจ่ายเงินให้พวกมันทุกเดือนจริงๆหรือ ครั้งนี้นางพลาดมากจริงๆ ช่างเจ็บใจนัก!
และใช่ สามีเขาดูแลดีชนิดที่ว่าตัวเขาแทบไม่ต้องหยิบจับอะไรเลยแม้แต่อาหารที่ต้องทำขายนอกจากนั่งชิมรสชาติอาหารทั้งสามเมนูที่สามีเป็นคนลงมีทำเองตั้งแต่ต้นจนจบเท่านั้นจื่อหย่งเป็นคนช่างสังเกตและเรียนรู้เร็ว ที่สำคัญทำอาหารได้เร็วกว่าเขาอีกต่างหากด้วยนี่สิ ส่วนเรื่องรสชาติแค่มีเครื่องปรุงครบทุกอย่างก็อร่อยได้ไม่ยากเลยตั้งแต่เมื่อวานที่รู้ว่าเขาท้อง ทั้งสามีทั้งน้องๆไม่ยอมให้เขาช่วยหยิบช่วยจับอะไรสักอย่าง ประคบประหงมเสียจนเขาแอบอ่อนใจ เขาแค่ท้องไงไม่ได้ป่วยหนักเสียหน่อยส่วนเรื่องจ้างคนเก็บผักเขาก็ตกลงรับเด็กๆบ้านสกุลหานทำงานเรียบร้อยแล้ว จะจ่ายค่าจ้างเป็นรายวันและจ่ายให้เท่าๆกันทุกคนด้วยแรงงานรายวันในเมืองซานหวนค่าแรงอยู่ที่วันละสามร้อยอีแปะเท่านั้น แต่เขาจ้างเด็กๆวันละห้าร้อยอีแปะและมีอาหารให้ทานครบสามมื้อ เริ่มงานวันแรกคือวันนี้ หลังจากเตรียมของทุกอย่างเสร็จพวกเขาก็พากันออกมาจากมิติ เข้าออกมิติถึงสามรอบกว่าจะนำของออกมาครบทุกอย่าง และพอเปิดประตูบ้านเด็กๆสกุลหานก็นั่งรออยู่หน้าร้านเรียบร้อยแล้วเด็กๆสกุลหานช่างรู้งานนักเมื่อเห็นจื่อหย่งยกของออกมาวางหน้าร้านพวกเขาก็รีบเข้ามาช่วยยกของกันใ
ผลปรากฏว่าหิมะตกปีนี้ลากยาวไปถึงสองเดือนเต็มทีเดียวตลอดสองเดือนมานี้พวกเขาสี่คนช่วยกันขายอาหารทุกวัน ตอนนี้เมนูที่ขายนั้นนอกจากขนมจีนเส้นสด โจ๊กสาหร่ายแล้ว ยังมีเมนูขนมหวานอีกหนึ่งเมนูด้วยคือบัวลอยน้ำขิง เป็นสามเมนูที่ขายดิบขายดีทำเพิ่มเท่าไหร่ก็ขายหมดไม่มีเหลือตอนนี้พวกเขาเก็บเงินได้หลายแสนตำลึงทองแล้ว หากไม่นับเงินค่าสินสอดของสามีอะนะตั้งใจเอาไว้ว่าหิมะหยุดตกเมื่อไหร่ก็จะเริ่มขยับขยายที่อยู่อาศัยทันทีคืนนี้ซีเจียงจึงทำการวาดแปลนบ้านเพื่อจะให้สามีนำไปให้ช่างรับจ้างทำบ้านในวันพรุ่งนี้ ส่วนบ้านเช่าตรงนี้เขาจะปรับเปลี่ยนเป็นร้านขายอาหารเล็กๆเพราะในอนาคตเขาจะขายทั้งอาหารและผักไปพร้อมกันเลย" เจ้าจะเก่งเกินไปแล้วภรรยาข้า "จื่อหย่งที่เห็นซีเจียงวาดแปลนบ้านอดจะเอ่ยปากชมไม่ได้ คนอะไรจะเก่งไปเสียทุกเรื่องเช่นนี้ ซีเจียงยิ้มกว้างเอียงแก้มให้สามีหอมอย่างรู้งานเมื่ออีกคนโน้มหน้าลงมาใกล้ ก่อนจะเอ่ยเล่าให้ฟังว่าตรงไหนเป็นอะไรบ้าง" เรือนใหญ่จะเป็นที่พักของเราสองคนนะขอรับ ส่วนเรืองเล็กด้านซ้ายและด้านขวาจะเป็นที่พักส่วนตัวของอาหลงและหลินเอ๋อร์ พี่จื่อหย่งอยากได้เรือนอะไรเพิ่มอีกไหมขอรับข้าจะได
ผ่านพ้นวันแต่งงานพวกเขาสองคนไปเพียงหนึ่งอาทิตย์หิมะแรกของปีก็ตกลงมาจริงๆตามที่ชาวบ้านชาวเมืองคาดไว้ไม่มีผิดเพราะอากาศปีนี้หนาวเร็วกว่าทุกปีโชคดีที่พวกเขาสี่คนเข้ามาอยู่ในมิติตอนกลางคืนที่ภายนอกหิมะตกหนักพอดิบพอดี ถึงตอนกลางวันจะต้องออกไปใช้ชีวิตด้านนอกอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ความหนาวก็ยังน้อยกว่าตอนกลางคืนมากนักแม้มันจะหนาวมากๆก็ตามในความรู้สึกของซีเจียงในมิติแห่งนี้อากาศไม่ได้เหมือนกันกับโลกภายนอกพวกเขาจึงอยู่กันได้สบายโดยที่ไม่ต้องใส่เสื้อกันหนาวขนสัตว์ให้รู้สึกอึดอัด" หิมะลงเช่นนี้เราคงต้องพักการปลูกผักไปก่อน "ซีเจียงกล่าวขึ้นในระหว่างนั่งทานอาหารมื้อค่ำด้วยกัน" พี่เห็นด้วยกับเจ้า "เกอน้อยยิ้มกว้างเมื่อสามีเห็นดีเห็นงามกับเขาทุกเรื่องไม่เคยเอ่ยปากขัดใจเลยสักครั้งตั้งแต่รู้จักกันจนกระทั่งแต่งงานแล้วก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน" แล้วเราจะทำอะไรกันดีเจ้าคะหรือจะหยุดพักการขายของไปก่อนเลย "" หิมะตกเป็นเดือนๆหากเราไม่ขายของรายได้เราก็จะหายหมดพี่ว่าจะขายอาหารเพิ่ม อากาศหนาวๆเช่นนี้ เช้าๆต้องทานโจ๊กร้อนๆถึงจะคลายหนาวได้ดี "" ทำโจ๊กอะไรดีขอรับ "ซีหลงเอ่ยถามอีกคน" โจ๊กสาหร่ายทะเล พี่จะใ
กว่าจะถึงบ้านเช่าก็เข้ายามเว่ย(13.00-14.59)พอดีตอนนี้ซีเจียงยังทำอะไรไม่ได้นักเพราะยังอยู่ในชุดแต่งงานที่สำคัญมีผ้าปิดหน้าที่ยังถอดออกไม่ได้จื่อหย่งและน้องๆจึงช่วยกันขนสินสอดและสินเดิมเข้าไปเก็บไว้ในบ้านเช่า เมื่อขนทุกอย่างลงจากเกวียนจนหมดจื่อหย่งจึงถอดเกวียนไปเก็บก่อนจะพาม้าหนุ่มไปผูกไว้กับรั้วข้างบ้านแล้วเดินเข้ามานั่งในบ้านข้างๆภรรยา" พี่จื่อหย่งขอรับ "ซีเจียงได้ปรึกษากับน้องๆแล้วว่าหาเขากับจื่อหย่งแต่งงานกันเขาจะบอกเรื่องมิติวิเศษให้อีกฝ่ายรับทราบเพราะการที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทั้งสิบสองชั่วยามเขาไม่สามารถปิดบังคนรักได้เพราะถึงอย่างไรตอนกลางคืนพวกเขาก็จะเข้าไปนอนในมิติอยู่ดี สู้บอกกล่าวเสียตั้งแต่วันแรกที่ใช้ชีวิตเป็นสามีภรรยากันเลยจะดีกว่า" ว่าอย่างไรหรือ "" คือข้า มีความลับจะบอกท่าน "จื่อหย่งมองสีหน้าจริงจังของสามพี่น้องก็ทำเอาเขาต้องตั้งใจฟังอย่างจริงจังไปด้วยไม่ได้" ว่าอย่างไรเล่า "" คือข้ามี มิติวิเศษขอรับ "" เจ้าก็มีแหวนมิติเช่นกันหรือ "จื่อหย่งเลิกคิ้วถามอย่างตื่นเต้นระคนยินดีนัก" ไม่ใช่แหวนขอรับ แต่เป็นกำไลมิติ "ซีเจียงยกมือข้างที่สวมกำไลให้สามีดู แล้วก็ต้อ
การแต่งงานครานี้ซีเจียงอยากให้จัดแบบเล็กๆไม่ต้องมีขบวนเจ้าบ่าวเจ้าสาวให้เปลืองเงินเปลืองทอง สินสอดก็ไม่ต้องมากมายอะไร จัดเพียงพิธีกราบไหว้ฟ้าดินและลงลายมือชื่อเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายบ้านเมืองก็พอแล้วแต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่ว่าจะได้ดั่งใจขนาดนั้น แม้ซีเจียงจะไม่มีบิดามารดาแต่ยังมีท่านปู่ท่านย่า อย่างไรการจัดงานแต่งงานเขาก็ต้องไปจัดที่บ้านใหญ่สกุลซีอยู่ดี เรื่องนี้ท่านลุงซีถ่งมารับพวกเขาสามคนพี่น้องกลับไปคุยกันที่บ้านใหญ่สกุลซีทีเดียวนี่จึงถือเป็นการปิดร้านครั้งแรกที่ทำการค้าขายมาเลยก็ว่าได้" พี่จื่อหย่งและข้าต่างก็ไม่มีบิดามารดา ข้าไม่อยากจัดงานแต่งให้มันยุ่งยากขอรับท่านปู่ท่านย่า "ซีเจียงกล่าวความคิดของตัวเองออกมาตามตรง " เช่นนั้นเอาตามที่เจ้าว่าปู่กับย่าตามใจเจ้า "" ขอบคุณมากขอรับ "ซีเจียงขอบคุณท่านปู่ท่านย่าจริงๆที่ไม่บังคับอะไรเขาเลย" เรื่องสินสอดเจ้าก็ไม่ต้องแบ่งให้บ้านใหญ่ เก็บไว้เป็นทุนในอนาคต "จบคำแม่สามีลั่วหลันอยากกรีดร้องออกมาใจแทบขาด เท่ากับบ้านใหญ่สกุลซีจัดงานแต่งให้มันฟรีๆเช่นนั้นหรือ ซีเจียงเห็นกิริยาป้าสะใภ้ทุกอย่างแต่เลือกที่จะไม่พูดอะไร นางคงไม่พอใจ
นางลั่วหลันออกมาดักรอพรานหนุ่มอยู่หลายวันก็ไม่เจอ นางจึงเดินไปท้ายหมู่บ้านถามไถ่คนบ้านใกล้เรือนเคียงจึงได้ทราบว่าเจ้าพรานกำพร้านั่นจะออกไปเมืองซานหวนตั้งแต่รุ่งสางและกลับเข้าบ้านในตอนตะวันตกดินไปแล้วทุกวัน ที่สำคัญเจ้าจื่อหย่งก็ไม่ได้เข้าป่าล่าสัตว์มานานสามเดือนกว่าแล้วด้วยเป็นแบบนี้ชัดเลย ไอ้เด็กเกอนั้นต้องเลี้ยงดูบุรุษเป็นแน่ ช่างน่าอับอายยิ่งนักลั่วหลันคิดในใจอย่างนึกรังเกียจเดียดฉันผ่านไปอีกสองสามวันในที่สุดนางลั่วหลันก็ดักเจอจื่อหย่งจนได้ในตอนที่ชายหนุ่มขับเกวียนเข้าหมู่บ้านผ่านหน้าบ้านสกุลซีพอดี" หยุดก่อน "จื่อหย่งหยุดเกวียนมองนางลั่วหลันนิ่งก่อนเอ่ยถาม" มีอะไรกับข้าหรือขอรับ "" ข้าน่ะไม่มี แต่พ่อแม่สามีข้าต้องการคุยกับเจ้า "พูดจบทำหน้าสะใจมองเด็กรุ่นลูกด้วยแววตาสมน้ำหน้าอยู่ในที ตอนนี้สามีนางก็รู้เรื่องแล้วแม้จะไม่พูดอะไรแต่ดูจากแววตาซีถ่งก็คงไม่สบายใจในเรื่องนี้นัก เพราะการอยู่กินก่อนแต่งงานเป็นการทำให้ชื่อเสียงของสกุลเสียหายส่วนเรื่องที่นางได้เงินค่าเช่าบ้านจากเด็กๆกลับคืนมานางเลือกที่จะไม่บอกสามี นางจะเก็บเงินไว้ใช้จ่ายในสิ่งที่นางอยากได้แทน ก็ซีถ่งยึดค่าใช้จ่ายในบ้