LOGIN[KHAO-PUN’s Talks]
4SEASON Florist Shop
‘งานน่าจะเสร็จพรุ่งนี้เช้า เย็นพรุ่งนี้เราไปฉลองวันเกิดกันที่ร้านอาหารที่ลูกชอบนะครับ’
ข้อความจากพี่เวย์ถูกส่งมาหลังจากวางสายไปเกือบครึ่งชั่วโมง ฉันเองก็ไม่ได้ตอบอะไรไปมากกว่าส่งสติกเกอร์โอเคส่งกลับไปให้
ตั้งแต่ไข่หวานอายุเข้าขวบที่สอง สามีของฉันก็ทำงานไม่หยุด ฉันรู้แค่ว่าเขาเข้าไปถือหุ้นเครื่องประดับแบรนด์อเมทิสต์ ส่วนที่ไปฮ่องกงบ่อยๆ ก็เพราะธุรกิจรับเหมาและตกแต่งครบวงจร นอกเหนือจากนั้นฉันจำไม่ได้แล้วว่าเขาทำอะไรอีกเพราะมันเยอะเหลือเกิน
ส่วนฉันก็เปิดร้านดอกไม้ใกล้โรงเรียนลูก หากไม่ติดงานอะไรปกติฉันจะเป็นคนไปรับลูกเอง เพราะโรงเรียนนานาชาติที่ไข่หวานเรียนอยู่พ่อแม่ก็เป็นฝ่ายไปรับลูกด้วยตนเองทั้งนั้น
บ้างครั้งลูกก็งอแงถามว่าเมื่อไหร่พ่อจะมารับพร้อมกับแม่บ้าง รวมถึงคุณครูประจำชั้นด้วย -_-;
แต่ก็นั่นแหละ ฉันไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะพูดอะไรได้ เพราะอย่างน้อยในตอนที่พี่เวย์กลับมาอยู่บ้าน เขาก็ดูแลฉันกับลูกเป็นอย่างดี
“เบลล์ ดอกไม้หน้าร้านมันตากแดดอะ เบลล์ไปเอาดอกไม้เข้ามาข้างในให้หน่อยสิ พี่ยังห่อออเดอร์ไม่เสร็จเลย”
“แป๊บนะพี่ลี่ เบลล์ตัดก้านแป๊บจะเสร็จแล้ว”
เสียงของพนักงานในร้านคุยกันสองคน เรียกสติฉันให้กลับมาจดจ่อกับงาน
ลิลลี่หรือลี่ที่มักจะเรียกคือนักศึกษาจบใหม่ที่อยู่ในช่วงรอบริษัทเรียกสัมภาษณ์ เลยมาขอทำงานที่ร้านหารายได้ไปก่อน ส่วนเบลล์ก็เป็นนักศึกษาที่กำลังหาเงินไว้กินไว้เที่ยวตามประสาวัยรุ่นเลยมาสมัครเป็นพาร์ตไทม์
“พี่เก็บให้เองจ้ะ” ฉันบอกน้องสองคนและเดินออกไปนอกตัวร้าน
แดดประเทศนี้มันจะร้อนไปไหน ประเทศไทยเป็นเจ้าของสัมปทานพระอาทิตย์อยู่ประเทศเดียวหรือไง -_-;
พอมองออกไปนอกร้านก็เห็นว่าร้านกาแฟที่อยู่ฝั่งตรงข้ามวันนี้ลูกค้าเยอะกว่าทุกวัน แต่ไม่แน่ใจว่าตัวเองคิดมากไปหรือเปล่า ผู้ชายสองคนที่นั่งหน้าร้านกาแฟมองมาที่ร้านของเราไม่หยุดเลย แถมยังมองตามการกระทำฉันตลอดด้วย
ทดสอบอะไรหน่อยดีกว่า
ฉันเดินกลับเข้ามาในร้าน และเดินไปคว้าถุงขยะมาถือ
“ว้าย! พี่ปั้น เบลล์เอาไปทิ้งให้ค่ะ”
“ไม่เป็นไรๆ มีแต่ก้านดอกไม้ ทิ้งเสร็จพี่จะข้ามถนนไปร้านกาแฟกินอะไรดับร้อนกันดี พี่เลี้ยง ^^”
“กรี๊ดๆ เบลล์เอาโกโก้ปั่นค่ะ”
“ลี่เอามอคคาปั่นค่า~”
เด็กสองคนส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดดีใจจนฉันอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ปกติฉันก็ชอบสั่งอาหารมาเลี้ยงอยู่แล้ว วันหลังคงต้องซื้อขนมอย่างอื่นให้กินบ่อยขึ้น
มือของฉันกำถุงขยะที่ดำไว้แน่น เดินไปทิ้งที่ถังขยะซึ่งอยู่ไกลจากร้านออกไปหน่อย และพบว่าสองคนนั้นมองตามฉัน พอข้ามถนนไปที่ร้านกาแฟก็รีบก้มหน้าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ตลอดเวลาที่ฉันยืนรอออเดอร์อยู่ในร้านทั้งสองคนกลับเอาแต่มองฉันเป็นระยะ
“โกโก้ปั่นสอง มอคคาปั่นหนึ่งได้แล้วค่ะ”
เสียงขานออเดอร์ดังขึ้นจากพนักงาน ฉันจึงขยับไปหยิบหลอดและหิ้วถุงใส่แก้วเครื่องดื่มออกจากร้าน
“ว้าย!!” ฉันแกล้งสะดุดและทำเป็นจะล้มลงหน้าร้าน
“คุณข้าวปั้น!!!”
สองคนนั้นถลาเข้ามาหาฉันด้วยความเร็วแสง คนหนึ่งคว้าตัวฉันเอาไว้ ส่วนอีกคนก็รีบยกมือมากันศีรษะฉันไม่ให้กระแทกกันพื้น
“จับได้แล้ว -*-”
สิ้นเสียงของฉัน สองคนนั้นก็สะดุ้งเฮือกตกใจ รีบปล่อยฉันให้เป็นอิสระก่อนจะเดินไปยืนข้างกัน แล้วเอามือประสานกันกุมไว้ตรงเป้าอย่างเจี๋ยมเจี้ยม
ท่าทางแบบนี้มันคุ้นๆ แฮะ
“พวกคุณเป็นคนของพี่เวย์ใช่ไหมคะ?” ถามออกไปตามตรงแบบนั้นน่ะดีแล้ว
เพราะทันทีที่ฉันเอ่ยชื่อสามี สองคนนั้นยิ่งแสดงท่าทีลนลานก้มหน้าเงียบไม่ยอมตอบ
เหอะ! แค่นี้ก็ชัดแล้วล่ะ
“พี่เวย์ให้ตามดูปั้นเหรอ? ทำไมล่ะคะ?”
ทั้งคู่ยังคงเอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมสบตาฉันแม้แต่น้อย เฮ้อ~
สุดท้ายก็เค้นเอาคำตอบอะไรไม่ได้ จนต้องเดินหงุดหงิดกลับมาที่ร้าน วางแก้วเครื่องดื่มให้น้องๆ บนโต๊ะและคว้าแก้วโกโก้ตนเองมาดูดดับความหงุดหงิด
“พี่ปั้นเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
เบลล์เป็นคนแรกที่สังเกตเห็นความผิดปกติได้ ลิลลี่เลยรีบวางกระบอกฉีดน้ำลงบนโต๊ะและเดินเข้ามาจับแขนด้วยความเป็นห่วง
“พี่ปั้นโอเคไหมคะ?”
“ไม่โอเค” ฉันบอกน้องสองคนไปตามตรง เราสนิทกันมากจนเล่าเรื่องส่วนตัวให้กันฟังบ่อยๆ จะระบายความหงุดหงิดให้น้องสองคนฟังหน่อยคงไม่เป็นไร “เห็นผู้ชายสองคนฝั่งตรงข้ามไหม?”
ทั้งคู่หันไปมองตามที่ฉันบอกอย่างพร้อมเพรียง เออดี เขาจะได้รู้ว่านินทาเขาอยู่ -_-^
“เห็นค่ะ” ทั้งคู่หันกลับมาตอบพร้อมกัน
ฉันเลยลอบถอนหายใจออกมา ก่อนจะวางแก้วเครื่องดื่มลงบนโต๊ะแล้วเท้าคางเล่าเรื่องเมื่อกี้ให้น้องฟัง
“พี่เวย์ส่งสองคนนั้นตามประกบพี่”
“ฮะ?”
“อือ เมื่อกี้จับได้คาหนังคาเขาเลย” ย้ำให้ลิลลี่กับเบลล์อย่างมั่นใจอีกครั้ง “พี่ไม่รู้ว่าพี่เวย์เขาระแวงอะไรในตัวพี่หรือเปล่า?”
เขาเองก็ไม่เคยถามอะไรฉันเลยด้วยซ้ำ
“พี่เวย์เขาอาจจะเป็นห่วงพี่ปั้น”
“อื้อ หรือไม่ก็หวง เบลล์ยังหวงแฟนเลยโทรเช็กตลอดว่าอะไรที่ไหนยังไง ถามหมดอะ”
ลิลลี่พยักหน้าเห็นด้วยกับเบลล์
“เขาเคยถามอะไรแบบนี้กับพี่หรือเปล่าคะ?”
คำถามของลิลลี่ทำให้ฉันเงียบลงยิ่งกว่าเดิม
จะว่าไปตั้งแต่เป็นแฟนกันมา เขาก็ไม่เคยถามอะไรแบบนี้เลยด้วยซ้ำ
ฉันส่ายหน้าตอบคำถามน้องสองคน นั้นทำให้ทั้งคู่เบิกตาโตมองหน้ากันด้วยความตกใจ
“แปลกอะ” เบลล์มองมาอย่างไม่เชื่อ “พี่เวย์คลั่งรักพี่ปั้นขนาดนั้นอะนะ?”
พยักหน้าย้ำกับเบลล์อีกครั้ง ว่าเขาไม่เคยถามอะไรแบบนั้นจริงๆ
“เขาไม่อยากรู้บ้างเหรอว่าตอนนี้พี่ปั้นทำอะไรอยู่ เบลล์ว่ามันแปลกนะ”
“งั้น…อันนี้ลี่มโนเองนะพี่ปั้น” ลิลลี่มองไปยังผู้ชายสองคนหน้าร้านกาแฟ และพูดเสียงเบา “ลี่ว่าพี่เวย์น่าจะส่งสองคนนั้นตามดูพี่ปั้นนานแล้ว”
คำพูดของน้องทำฉันอึ้งและสับสน ถ้าเป็นแบบนั้นจริงมันมีอะไรให้ที่ทำให้เขาระแวงจนต้องส่งคนคอยตามดูฉันล่ะ
ฉันเหมือนคนมีชู้เหรอ?
คิดแล้วก็โมโห ถ้าเขาคิดแบบนั้นจริงๆ ฉันจะอาละวาดให้มันแตกเลย -^-
“พะ พี่ปั้น อย่าคิดมากเลยนะ อาจจะเป็นเพราะพี่เวย์ไปทำงานที่อื่นบ่ออยเลยเป็นห่วงพี่ปั้นก็ได้” เบลล์ที่ฉันสีหน้าไม่สบายใจพยายามคิดเหตุผลฟังดูดีมาช่วย
“แต่เขาควรจะบอกพี่ตามตรงหรือเปล่า แบบนี้มันเหมือนไม่ไว้ใจกันเลย พี่ควรโทรไปถามเลยดีไหม?”
มือถือบนโต๊ะถูกหยิบขึ้นมา กะว่าจะกดโทรข้ามประเทศคุยแม่งให้รู้เรื่อง แต่ลิลลี่ถลาเข้ามาจับมือเอาไว้ก่อน
“ถามตอนนี้ก็ไม่ได้ความจริงหรอก สองคนนั้นคงรายงานพี่เวย์ไปแล้วว่าพี่ปั้นจับได้ ลี่ว่าพี่รอดูดีกว่า ว่าพี่เวย์จะลนลานขนาดไหน”
ข้อเสนอของลิลลี่ทำให้ฉันใจเย็นลง และยอมพยักหน้ารับแผนการนั้น น้องสองคนนั่งปลอบใจฉันอยู่พักหนึ่งก่อนจะแยกย้ายกันกลับไปทำงาน
และแล้วสายตาของฉันก็เงยหน้าขึ้นไปเจอกับอะไรบางอย่าง กล้องวงจรปิดที่หันหน้าออกไปที่ถนนด้านนอก เนื่องจากครึ่งปีก่อนมีวัยรุ่นมางัดร้านในละแวกนี้จนพากันติดกล้องกันไว้ทั้งแถบ
มันจะเห็นร้านฝั่งตรงข้ามหรือเปล่านะ
มือถือถูกหยิบขึ้นมาอีกครั้ง แต่มันเป็นการเข้าแอปพลิเคชันกล้องวงจรปิด ฉันไล่เปิดดูวิดีโอของเมื่อวานก็เห็นว่าสองคนนั้นมานั่งที่เดิมและเอาแต่มองมาที่ร้านกระทั่งฉันกลับไป
วันอื่นๆ ก็ด้วย แต่ในวันที่ฉันไม่เข้าร้าน สองคนนี้กลับไม่ได้มานั่งที่ร้านกาแฟ ราวกับรู้ดีว่าวันนี้ฉันจะไปที่ไหนทำอะไร
อย่าบอกนะว่านี่ไม่ใช่แค่การมาเฝ้าที่ร้าน แต่สามีของฉันสั่งให้คนสะกดรอยตามฉันไปทุกที่
อยากปรึกษาใครสักคนจัง
พ่อ…
คิดได้แบบนั้นก็เดินเลี่ยงออกมาโทรหาพ่อนอกร้าน พ่อฉันเป็นอดีตตำรวจที่ตอนนี้เกษียณตัวเองไปทำสวนกับแม่ในเชียงรายเรียบร้อย
รอสายไม่นานนักพ่อก็รับ พร้อมกับเสียงเครื่องตัดหญ้าดังแทรกเข้ามาเป็นระยะ
(ฮะโหล โทรมายะหยังลูก)
อดีตตำรวจตะโกนเข้ามาแข่งกับเสียงเครื่องตัดหญ้าจนฉันกลั้นขำไม่ได้ เสียงพ่อฟังดูดีมีความสุขมากต่างจากตอนรับราชการตำรวจ
พันตำรวจโทขจรเดช ไกรพฤกษ์ อดีตข้าราชการตำรวจที่ลาออกก่อนเกษียณเพราะทนความบัดซบในหน่วยงานท้องที่ตัวเองไม่ไหว ถึงแม้เรื่องราวมันจะจบไปแล้ว แต่นั่นทำให้พ่อของฉันหันหลังให้กับอาชีพที่ตนเองเอาหยาดเหงื่อแรงกายใช้ความพยายามได้มันมาจนเป็นรองผู้กำกับ
แต่เพราะซื่อสัตย์จนเกินไป ถึงได้อยู่ในยศนั้นไม่ขยับไปไหนเกือบๆ สิบปี ทั้งที่มีผลงานดีเด่นไม่เคยขาด ทั้งจับบ่อน จับส่วย คดีรับสินบน
(ฮัลโหลไอ้ปั้น! คิงบ่าอู้ฮาวางละหนา)
“ดะ เดี๋ยวสิพ่อ” ฉันเรียกเอาไว้เพราะรู้ดีว่าท่านจะวางสายจริงๆ
(โอ๊ยน้อ~ ไปอยู่กรุงเตบเมินน้อ บ่าอู้เมืองละก้า เอ้า! ว่ามาลูก)
พ่อเปลี่ยนมาพูดสำเนียงภาคกลางในตอนท้ายคล้ายการประชดประชันหน่อยๆ นั่น…แซะลูกตัวเองอีก
“พ่ออะ ปั้นเครียดอยู่นะ T^T”
(เออๆ พูด)
ฉันจึงเล่าเรื่องวันนี้ให้พ่อฟัง ทั้งเรื่องที่เขาส่งคนมาแอบดูฉันและปรึกษาเรื่องที่สงสัยว่า เขาส่งคนสะกดรอยตามฉันไปทุกที่นอกเหนือจากที่ร้านด้วย
“พ่อว่าพี่เวย์เขาแปลกไหมอะ หรือพ่อเคยคิดว่าเขาแปลกไหม?”
เซนส์ของตำรวจฝีมือดีอย่างพ่อคงจับพิรุธอะไรได้บ้าง เพราะฉันพาเขาไปกินข้าวกับพ่อหลายครั้งมากในตอนที่ท่านยังทำงานที่กรุงเทพ เรียกได้ว่าเข้านอกออกในบ้านฉันอยู่เกือบปี กระทั่งเราแต่งงานกันพ่อถึงลาออกไปอยู่ต่างจังหวัด
(คิดมากไปเอง ไม่มีอะไรหรอก)
อ้าว!
“ละ แล้วที่สามีส่งคนสะกดรอยตามภรรยา มันไม่แปลกเหรอพ่อ” ฉันโพล่งออกมาด้วยความหงุดหงิด
นี่พ่อใส่ใจเรื่องที่ฉันเล่าหรือเปล่าเนี่น -*-
(โอ๊ยล้าาา~ จะไปกึ๊ดนัก มันจะเฒ่าเวย เต้านี้แหมเลาะ ป้อไปเก็บส้มละ)
ตู๊ดๆๆๆ
พ่อวางสายไปแล้ว -*-
จะไม่ให้คิดมากได้ยังไงล่ะคะพ่อ นี่มันสัญญาณไม่ดีของชีวิตคู่เลยนะ ฉันได้กลิ่นแปลกๆ แล้วล่ะ ปกติพ่อฉันต้องสวมวิญญาณตำรวจเก่ามากกว่านี้
Rrrrr
เฮือก!
เสียงเรียกเข้าบวกกับแรงสั่นในมือทำเอาตกใจไม่น้อย มองชื่อที่บันทึกเอาไว้ก็เห็นว่าเป็นคุณครูประจำชั้นของไข่หวาน
คนเป็นแม่อย่างฉันใจเสียทันที ครูโทรมาในเวลานี้เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า
“สวัสดีค่ะ คุณแม่น้องไข่หวานพูดสายค่ะ”
(คุณแม่สะดวกมาที่โรงเรียนตอนนี้หรือเปล่าคะ?)
“สะดวกค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
(คือ...น้องไข่หวานผลักเพื่อนตกบันไดหัวแตกค่ะ ตอนนี้ผู้ปกครองอีกฝั่งมาถึงแล้ว)
“ฮะ!!”
════☆♡☆════
กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ปี 2019 ใครจะคิดว่าเวกัสจะเป็นคนสปอยล์แฟนตัวเองขนาดนี้ เพียงแค่เธอเอ่ยเล่นๆ ว่าอยากมางานครบรอบสามสิบปีของเครื่องประดับแบรนด์อเมทิสต์เป็นของขวัญรับปริญญา อาทิตย์ต่อมาเขาก็ลากเธอขึ้นเครื่องบินส่วนตัวมายืนอยู่ในสวนสาธารณะช็องเดอมาร์ส ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานประมูลเครื่องประดับและอัญมณีในค่ำคืนนี้ ยอมรับว่าแสงสีส้มของเมืองปารีสตัดกับความมืดของท้องฟ้าทำให้ข้าวปั้นรู้สึกมีความสุขมาก คนตัวเล็กสวมชุดเดรสสีดำขนาดพอดีตัวกับรองเท้าบูทส้นเข็มที่แฟนหนุ่มจัดหาให้ มือเล็กคล้องแขนเขาเดินชมภาพสินค้าที่ถูกจัดแสงถ่ายแขวนตามข้างผนัง ไม่ต่างจากงานแสดงนิทรรศการภาพถ่ายเครื่องประดับด้วยความตื่นเต้น บ่อยครั้งที่มีชาวต่างชาติเดินเข้ามาทักทายเวกัสด้วยภาษาฝรั่งเศสที่เธอฟังไม่ออก แต่เดาได้ว่าน่าจะเป็นการคุยเกี่ยวกับธุรกิจส่วนตัวของแฟนหนุ่ม ซึ่งเธอตั้งใจว่าจะไม่ก้าวก่ายหรือถามให้เขาอึดอัดใจ “ปั้นชอบชิ้นไหนที่สุดในงานวันนี้?” ข้าวปั้นไม่กล้าตอบ กลัวใจว่าเขาจะควักเงินซื้อให้ แม้จะอ่านภาษาฝรั่งเศสไม่ออก แต่แฟนอเมทิสต์อย่างเธอรู้ดีว่าม
ความสัมพันธ์ระหว่างเวกัสและข้าวปั้นพัฒนาแบบก้าวกระโดด นับจากวันนั้นที่ทั้งคู่ศึกษาดูใจกัน ผ่านไปสี่เดือนทั้งสองก็ตกลงปลงใจเป็นแฟนกันอย่างเป็นทางการ เวกัสยังเข้านอกออกในบ้านของแฟนสาวเป็นกิจจะลักษณะ แม้จะไม่ค่อยได้พูดคุยกับพ่อของข้าวปั้น แต่กับผู้เป็นแม่ เวกัสแทบจะกลายเป็นลูกชายคนโตของบ้านไปแล้ว ระยะหลังข้าวปั้นรู้สึกว่าพ่อตนเองกำลังมีความเครียดบางอย่างจากการทำงาน หลายครั้งที่เธอพบว่าพ่อเมากลับมาที่บ้าน ทั้งที่ปกติรองผู้กำกับขจรเดชไม่ดื่มแอลกอฮอล์ในวันที่ปฏิบัติงาน ไม่ว่าจะนอกเวลาหรือในเวลา ในขณะที่ข้าวปั้นกำลังจูงมือแฟนหนุ่มของตนเองเดินชอปปิงที่ห้างสรรพสินค้าใกล้มหาวิทยาลัยหลังเลิกเรียน เสียงโทรศัพท์ส่วนตัวของคนตัวเล็กก็ดังขึ้นจนต้องหยุดเดินและกดรับกลางคัน “พ่อโทรมาค่ะ ^^” เธอบอกแฟนตนเองว่าใครที่โทรเข้ามาเวลานี้ ข้าวปั้นมักจะเป็นแบบนี้เสมอ ไม่มีเรื่องปิดบังปกปิดสร้างความไม่สบายใจให้อีกฝ่าย มีอะไรก็เอามาเล่าให้ฟังหมด ซึ่งมันเป็นความสัมพันธ์ที่ดีและทำให้เวกัสสบายใจทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน “ค่ะพ่อ” (ไอ้ปั้น! วันนี้ไม่ต้อง
ผ่านไปได้เพียงหนึ่งอาทิตย์ เวกัสเข้านอกออกในบ้านเธอเป็นว่าเล่น ทั้งยังช่วยเธอทำวิจัยจนข้าวปั้นแทบจะเอาดอกไม้ธูปเทียนมาไหว้ให้สาแก่ใจกับความเป็นพ่อพระของอีกฝ่าย และแม้รถของข้าวปั้นจะซ่อมเสร็จและออกจากศูนย์เรียบร้อย รุ่นพี่หนุ่มก็ยังขอเป็นคนไปรับไปส่งเธอด้วยเหตุผลที่ว่า ตอนเย็นเขาต้องมาฝากท้องที่บ้านนี้ประจำจึงอยากให้ข้าวปั้นมาด้วยกันจะได้ประหยัดพลังงาน หล่อไม่พอ รักษ์โลกอีก... แต่เพราะวันนี้พ่อไปเข้าเวรดึก ส่วนแม่ก็ไปช่วยงานศพของคนรู้จัก ดังนั้นที่บ้านจึงไม่มีคนอยู่รอให้รีบกลับไป ข้าวปั้นจึงถือโอกาสชวนคนตัวโตไปฝากท้องที่ผัดไทยกระทะร้อนหลังมหาวิทยาลัยก่อนกลับ ซึ่งเวกัสก็ตามใจรุ่นน้องสาวดังเช่นทุกครั้ง แม้บรรยากาศในช่วงเย็นจะเต็มไปด้วยบรรดานักศึกษามาเดินหาของกินหลังมหาวิทยาลัยกันขวักไขว่ และร้านก็เต็มไปด้วยแขกมากหน้าหลายตาจนส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจไปทั้งร้าน แต่ทั้งคู่กลับไม่รู้สึกรำคาญหรือเบื่อแม้แต่น้อย เวกัสชวนคุยฆ่าเวลาเก่ง เริ่มต้นด้วยการคุยดินฟ้าอากาศ จนมาจบที่ซีรีส์เรื่องที่คนตัวเล็กกำลังติดงอมแงมได้ลื่นไหลอย่างเหลือเชื่อ “ปั
หลังจากรับประทานมื้อเย็นเรียบร้อย ข้าวปั้นก็รีบปลีกตัวขึ้นมาอาบน้ำและลงมือปั่นงานวิจัยตนเองต่อ ข้าวปั้นตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ทำให้อุปสรรคเพียงเท่านี้ส่งผลต่อการเรียนจบของตนเอง ติ๊ด! เสียงแจ้งเตือนดังมาจากเครื่องโน้ตบุ๊กสีเงิน ทำเอาคนที่กำลังมีสมาธิจดจ่ออยู่กับงานตกใจจนสมาธิกระเจิง แถบแสดงค่าแบตเตอรี่ระบุว่าเหลือพลังงานเพียงสิบสามเปอร์เซ็นต์ ทำให้ข้าวปั้นลุกลี้ลุกลนหาสายชาร์จเพื่อนำมาเสียบกับตัวเครื่อง ไม่มี... จะว่าไปในกระเป๋าเป้ที่ได้มาก็มีเพียงโน้ตบุ๊กหนึ่งเครื่องเท่านั้น หรือพี่เวกัสจะลืมใส่สายชาร์จมาด้วย หญิงสาวชำเลืองสายตามองหน้าจอก็พบว่าตอนนี้คือเวลาเกือบตีสอง เธอทำงานจนลืมง่วงไปเลย โทรศัพท์ส่วนตัวกับนามบัตรที่เขาให้มาเมื่อตอนเย็นถูกนำมากำเอาไว้แน่น ลังเลว่าควรโทรไปหาในยามวิกาลเช่นนี้หรือไม่ แต่หากมัวแต่รักษามารยาท กว่าจะได้สายชาร์จก็อาจจะเป็นวันมะรืน สุดท้ายเจ้าของมือเรียวจึงตัดใจกดเบอร์ตามหน้าบัตร ก่อนจะกดโทรออก...════♡════ -Khaopun Calling- เสียงเรียกเข้าดังเป็นหนที่ส
เนื่องจากวันนี้เป็นวันสถาปนามหาวิทยาลัย และคณะที่ข้าวปั้นเรียนอยู่เป็นหนึ่งในห้าคณะที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาพร้อมกับมหาวิทยาลัยตั้งแต่แรก ดังนั้นเหล่าศิษยานุศิษย์จึงรวมใจกันมางานรำลึกที่คณะจนไม่เหลือที่ให้นักศึกษาปัจจุบันที่จ่ายค่าเทอมได้ใช้สถานที่จอดรถ จุดฝากรถราคาหลักสิบจึงเป็นทางเลือก เพราะอยู่ใกล้รั้วมหาวิทยาลัยเพียงแค่ข้ามถนน แม้จะไม่มีหลักคาไว้กันแดดกันฝนให้รถก็ไม่เป็นไร รถเธอแข็งแรง แต่แล้วข้าวปั้นก็เห็นข้อเสียของมันหลังจากกลับมาที่รถ “ฉิบหาย!” ใครจะคิดว่าคนสวยๆ แบบเธอจะสบถคำหยาบในที่สาธารณะได้ แต่ฉิบหายจริงๆ เพราะกระจกทึบประตูฝั่งคนขับถูกเปิดทิ้งไว้จนเกือบสุด เธอไม่ได้ลืมมันแน่ๆ เพราะปกติเปิดแอร์ขับรถ คนตัวเล็กรีบวิ่งเข้าไปดูด้วยความตื่นตกใจ สิ่งแรกที่สังเกตเห็นคือโน้ตบุ๊กราคาหลักหมื่นหายไปจากเบาะข้างคนขับ “กรี๊ดดดด~!!!” เท่านั้นแหละนักศึกษาสาวแผดร้องเสียงแหลมขึ้นมาด้วยความโมโหทันที ในนั้นมีวิจัยที่ใช้ทำเป็นตัวจบอยู่ แถมกำหนดส่งคือเทอมนี้! เธอทุ่มเทชีวิตและเวลานอนในการอ่านหนังสือเกือบ
ช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาข้าวปั้นใช้เวลาหลังเลิกเรียน หมดไปกับการตามหารุ่นพี่นักศึกษาปริญญาโทคนนั้นเพื่อคืนเงิน แม้จำนวนเงินจะเป็นเพียงสามร้อยกว่าบาท แต่เธอถือคติยืมเขามาก็ต้องคืน โชคร้ายมากที่ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขาสักนิด แต่เขาหล่อและเป็นใบหน้าที่เธอลืมไม่ลง ต่อให้เห็นแค่เงาก็มั่นใจว่าจำเขาได้ “ไอ้ปั้น แกแน่ใจนะว่ารุ่นพี่คนนั้นแกเป็นคน” ลูกตาลเพื่อนสนิทเอ่ยถามด้วยความระแวง เนื่องจากตัวเธอเองก็ติดสอยห้อยตามช่วยเพื่อนตามหาผู้ชายที่มีลักษณะตามที่เพื่อนกล่าวอ้างมาเกือบสัปดาห์เช่นกัน อยู่มหาวิทยาลัยนี้มาจะสี่ปีเต็มยังไม่เคยเห็นผู้ชายร่วมคณะคนไหนจะตัวสูงหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรเลย แถมยังมาบอกว่าตัวหอม ผิวขาว แขนมีเส้นเลือดเซ็กซีๆ “คนสิ ผีอะไรจ่ายเงินได้” “อ้าว! แกไม่เคยฟังรายการพี่แจ็คเหรอ พี่เอาเงินจ่ายหนี้ ผีเอาเงินจ่ายค่าแท็กซี่” “ถ้าผีจะสภาพคล่องทางการเงินดีขนาดนั้น ฉันก็อยากเป็นผีบ้างเหมือนกัน” ข้าวปั้นเถียงเพื่อนด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง จนอีกฝ่ายกลอกตาใส่ด้วยความรำคาญ “อย่าม