รถม้าทั้งสองคันเคลื่อนตัวออกจากจวนแม่ทัพตระกูลจางมุ่งหน้าไปยังค่ายฝึกทหารที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง การเดินทางในวันนี้จางซูเจียวได้บอกให้ลี่ถังแจ้งพ่อบ้านจางแล้วว่าครั้งนี้นางจะใช้รถม้าแยกจากมารดาเนื่องจากต้องการจะเดินทางไปในอีกเส้นทางหนึ่งเพื่อชมทิวทัศน์ และได้บอกมารดาให้เดินทางล่วงหน้าไปก่อนโดยแลกกับการที่จะมีองครักษ์คอยดูแลนางเพิ่ม ซึ่งให้หลิ่วลู่เสียนแปลกใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ยินยอมแต่โดยดี
ครั้งนี้จางซูเจียวนำเพียงแค่ลี่ถังให้ติดตามมาคอยรับใช้เท่านั้น โดยให้เหตุผลว่าคนที่ไปด้วยนั้นเพียงพอแล้ว นางมองข้ามสายตาตัดพ้อของเจี่ยลี่ที่ส่งมา ‘เพราะชาติที่แล้วข้าเห็นใจเจ้า แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้ข้ารับรู้แล้วว่าผู้ใดดีหรือชั่ว’
“คุณหนู เป็นอะไรไปเจ้าคะ” ลี่ถังเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าคุณหนูของตนมองกลับไปยังประตูจวนที่มีพ่อบ้านและเจี่ยลี่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู
“ไม่มีอะไร” จางซูเจียวพลันดึงม่านปิดหน้าต่าง นางหันกลับมามองหน้าลี่ถัง “ลี่ถัง ข้าขอโทษที่ในอดีตเคยทำไม่ดีต่อเจ้า”
“คุณหนู” ลี่ถังตะลึงงัน ปากอ้าค้างด้วยความตกใจพร้อมทั้งหาเสียงของตนเองไม่เจอชั่วขณะ “บ่าวยินดีรับใช้คุณหนูอย่างยิ่งเจ้าค่ะ” ดวงตาโศกของลี่ถังเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำสีใส ริมฝีปากคลี่ยิ้มด้วยดีใจ
“ขอบใจเจ้า ที่ยอมดูแลข้า” จางซูเจียวเช็ดน้ำตาให้กับลี่ถังด้วยความอ่อนโยน นางมองไปยังดวงตาที่กระจ่างใสของลี่ถัง แววตาไร้การเสแสร้ง ทำให้ความมุ่งมั่นในใจของนางเพิ่มขึ้น ชาตินี้นางจะเป็นจางซูเจียวที่จะนำพาทุกคนที่นางรักและรักนางให้รอดพ้นจากภัยอันตรายในภายภาคหน้าให้ได้
“หยุด !!!!!” เสียงองครักษ์ที่นำขบวนตะโกนดังขึ้น ทำให้ขบวนรถม้าของจางซูเจียวหยุดชะงักลงทันที
“คุณหนูระวังเจ้าค่ะ” ด้วยความไม่ระวังที่จู่ ๆ รถม้าก็หยุดกะทันหัน ลี่ถังเมื่อเห็นว่าคุณหนูของนางเสียหลักหัวเกือบจะโขกกับผนังรถม้าก็รีบเอามือมาป้องกันทันที
“พวกเจ้า ! เหตุใดจึงหยุดรถม้ากระทันหันเช่นนี้เล่า” ลี่ถังเอ่ยตวาดถามสารถีที่อยู่ด้านนอกทันทีพลางสำรวจว่าคุณหนูของตนบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่
“ข้าไม่เป็นไร” จางซูเจียวเอ่ยบอกพลางอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทีตื่นตูมของลี่ถัง พลางคิดในใจว่าคงไม่ใช่โจรหรอกกระมัง นางก็เลี่ยงเส้นทางที่จะเกิดขึ้นแล้วแถมท่านแม่ก็ไปอีกทางเส้นทางเช่นกัน ยังไงก็คงไม่พบเจออันตรายใด ๆ แน่นอน
“ข้างนอกเกิดอะไรขึ้นหรือ องครักษ์จิ้ง” จางซูเจียวเอ่ยถามหลังจากที่เห็นว่าสถานการณ์เงียบไป
“เรียนคุณหนู ข้างหน้าจู่ ๆ ก็มีคนเร่ร่อนมาขวางทางขอรับ” องครักษ์จิ้งหนึ่งในองครักษ์ที่คอยดูแลข้างกายหญิงสาวในครั้งนี้เป็นคนที่บิดาของตนนั้นมอบให้พร้อมกับองครักษ์หลินซึ่งครั้งนี้ก็ติดตามมาด้วยเช่นกัน
“งั้นหรือ เขาเป็นอะไรมากหรือไม่” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความห่วงใย
“มิเป็นไรขอรับ แต่ตอนนี้เหมือนจะสลบไปแล้วคุณหนูต้องการให้ข้าน้อยทำเช่นไรดีขอรับ”
“ข้าจะลงไปดูเอง” จางซูเจียวเอ่ยตอบ พลางก้าวขาลงจากรถม้าโดยมีลี่ถังคอยประคองอยู่ด้านข้าง
หญิงสาวเดินไปดูบุรุษที่องครักษ์หลินกำลังประคองอยู่ ขณะนี้ชายหนุ่มปริศนาผู้นั้นนอนสลบไสล ร่างกายของเขาล้วนเต็มไปด้วยคราบสกปรกและบาดแผล เมื่อจางซูเจียวเห็นคนตรงหน้าก็จำได้ทันที ชายผู้นี้คือคนที่เคยช่วยเหลือนางเมื่อครั้งหลบหนีในชีวิตก่อนให้ผ่านประตูเมืองหลวง นางจำชุดที่ชายขอ
ผู้นี้ใส่ได้เป็นอย่างดี นึกไม่ถึงว่านางจะมีวาสนาได้พบผู้มีพระคุณเร็วถึงเพียงนี้
“เขาสลบไปด้วยเหตุใดหรือ องครักษ์หลิน”
“เหมือนเขาจะสลบไปเนื่องจากขาดน้ำและอาหารขอรับคุณหนู”
“เช่นนั้นพาเขาเดินทางไปกับพวกเราเถิด ถึงอย่างไรที่ค่ายของท่านพ่อมีหมอคอยรักษาอยู่”
“เอ่อ คุณหนูหากชายผู้นี้เป็นคนร้ายล่ะเจ้าคะ” ลี่ถังรีบแย้งทันที
“ไม่หรอก ลี่ถัง คนผู้นี้เป็นคนดี” จางซูเจียวตอบพลางบอกองครักษ์ทั้งสองให้นำร่างชายหนุ่มไปยังรถขนเสบียงที่นางนำมาด้วย “ข้ารู้สึกได้”
ไม่รู้ว่าสิ่งใดดลใจให้นางเอ่ยคำนี้ออกมา อาจจะเป็นเพราะบุญคุณที่ชายผู้นี้เคยช่วยเหลือให้นางหลบหนีออกจากประตูเมืองก็เป็นได้
“เราเดินทางกันต่อเถอะ” จางซูเจียวเมื่อเห็นทุกอย่างเรียบร้อยแล้วนางก็บอกให้ทุกคนออกเดินทางต่อ จนกระทั่งไปถึงค่ายทหารอย่างราบรื่นโดยไม่พบเหตุการณ์ใด ๆ ในอีก 2 ชั่วยามต่อมา
เมื่อมาถึงยังค่ายทหาร รถม้าของจางซูเจียวเคลื่อนมาหยุดลงตรงหน้ากระโจมของแม่ทัพจางทันที ดรุณีร่างบางรีบลงจากรถม้าเพื่อเข้าไปหาบิดาและพี่ชายของตนเองที่อยู่ด้านใน ลี่ถังเมื่อเห็นคุณหนูของตนแสดงท่าทางเร่งรีบ นางก็รุดไปประคองเพื่อป้องกันอันตรายให้กับคุณหนูของนาง
“คุณหนูช้า ๆ หน่อยเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพ กับท่านรองแม่ทัพไม่หนีท่านไปไหนแน่นอนเจ้าค่ะ” ลี่ถังเอ่ยย้ำด้วยความเป็นห่วง
“ข้าอยากรีบไปหาท่านพ่อกับท่านพี่” จางซูเจียวเร่งฝีเท้าก้าวเข้าไปภายในกระโจมเพื่อพบหน้าบิดาและพี่ชายซึ่งขณะนี้ทั้งสองกำลังรอคอยการมาถึงของนางอยู่ด้านใน
ครั้นเมื่อหญิงสาวมองเห็นร่างสูงกำยำของชายวัยกลางคนที่กำลังยืนเคียงข้างมารดาของตนซึ่งกำลังมองสำรวจชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงข้าม จางซูเจียวไม่รอช้านางเร่งฝีเท้าวิ่งเข้าไปก่อนจะกระโดดกอดบิดาด้วยความคิดถึงระคนดีใจ
“ท่านพ่อ ! ” จางเจียวจิ้นหันตามเสียงเรียกเมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนเองพุ่งตัวกระโดดเข้ามาหาก็อ้าแขนรับร่างบางเข้ามาในอ้อมกอด
“ลูกคิดถึงท่าน” จางซูเจียวบอกด้วยเสียงสั่นเครือ ครอบครัวของนางทุกคนยังมีชีวิตอยู่ ช่างดีเหลือเกิน
“ซูเอ๋อร์เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่าลูก” แม่ทัพจางเห็นบุตรสาวแปลกไปก็เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“นั่นสิ ซูเอ๋อร์ น้องเป็นอะไร หรือมีใครมารังแกเจ้าระหว่างที่พี่กับท่านพ่อไม่อยู่ที่จวน” จางเจียวคุนมองน้องสาวของตนเองพร้อมเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “ลี่ถัง เจ้ารายงานมามีใครรังแกคุณหนูของเจ้า”
“ไม่มีใครรังแกซูเอ๋อร์หรอกเจ้าค่ะ ท่านพ่อ ท่านพี่” ยังไม่ทันที่ลี่ถังจะได้ตอบจางซูเจียวพูดขึ้น “เป็นเพราะลูกคิดถึงท่านพ่อ และเป็นห่วงท่านพี่ก็เท่านั้น” ร่างบางเอ่ยตอบเสียงหวานพร้อมรอยยิ้ม
“ดีแล้ว เจ้าผ่านพ้นพิธีปักปิ่นครบปีแล้วยังไม่โตเป็นสาวอีกหรือลูกพ่อ” จางเจียวจิ้นเย้าบุตรสาวตัวน้อยของตน
“นั่นสิ ซูเอ๋อร์ แม่สอนเจ้าว่าอย่างไร.....”
“ท่านแม่ อย่างไรข้าก็เป็นลูกของท่านพ่อกับท่านแม่นะเจ้าคะ” ยังไม่ทันที่หลิ่วลู่เสียนจะได้เริ่มเอ่ยปากอบรม จางซูเจียวก็รีบขัดขึ้นทันทีพร้อมทั้งออดอ้อนบิดาและพี่ชายให้ช่วยปกป้อง “ท่านพ่อ ท่านพี่ดูสิเจ้าคะ ท่านแม่ดุซูเอ๋อร์”
“ฮ่า ๆ เอาน่าฮูหยิน เจ้าก็อย่าได้เข้มงวดกับซูเอ๋อร์นักเลย” จางเจียวจิ้นช่วยบุตรสาวพลางเข้าไปปลอบฮูหยินของตนเอง
“ท่านพี่ตามใจซูเอ๋อร์เกินไปแล้ว” หลิ่วลู่เสียนตอบกลับสามีด้วยน้ำเสียงตำหนิ
“ท่านแม่ ซูเอ๋อร์เพียงแค่คิดถึงพวกเราเท่านั้นขอรับ นางเป็นคนรู้ความ” จางเจียวคุนรีบเอ่ยช่วยน้องสาวอีกคน
“พวกเจ้านี่นะ ให้ท้ายนางจนเสียผู้เสียคน”
“ท่านแม่เจ้าคะ ลูกขออภัยเจ้าค่ะ อย่าโกรธลูกเลยนะเจ้าคะ” จางซูเจียวเมื่อเห็นมารดาเริ่มโกรธ จึงรีบเข้าไปเอาอกเอาใจมารดา เมื่อหลิ่วลู่เสียนเห็นบุตรสาวมาออดอ้อนก็ใจอ่อน มือเรียวยาวยกขึ้นมาลูบศีรษะบุตรสาว “เจ้านี่นะ”
“คุณหนูขอรับ ชายผู้นั้นจะให้จัดการอย่างไรดีขอรับ” องครักษ์หลินเดินเข้ามาในกระโจมพร้อมเอ่ยถามจางซูเจียวเกี่ยวกับชายเร่ร่อนที่นางให้นำตัวมาทางรถขนเสบียง
“หืม เกิดอะไร องครักษ์หลิน” จางเจียวจิ้นได้ยินก็สอบถามทันที
“เป็นชายเร่ร่อนที่มาสลบขวางทางเดินรถม้าของคุณหนูขอรับท่านแม่ทัพ คุณหนูให้นำคนผู้นั้นมาด้วยขอรับ”
“ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะท่านพ่อ ลูกเห็นแล้วสงสารก็เลยช่วยไว้ ให้ท่านหมอหลี่ช่วยรักษาได้หรือไม่เจ้าคะ” จางซูเจียวรีบอธิบายต่อเมื่อเห็นว่าบิดาของตนมองมาด้วยความสงสัยพร้อมทั้งเอ่ยปากขอให้ท่านหมอประจำค่ายทหารนี้ช่วยรักษา
“เช่นนั้น เจ้าพาคนผู้นั้นไปที่กระโจมของท่านหมอหลี่ได้เลย” จางเจียวจิ้นมองบุตรสาวไม่พบสิ่งใดผิดปกติก็หันไปสั่งการกับองครักษ์หลินทันที
“ท่านพ่อ ท่านแม่ลูกหิวแล้วเจ้าค่ะ ไปกินอาหารกันเถอะเจ้าค่ะ” จางซูเจียวเมื่อเห็นว่าเข้าช่วงเวลาของยามเซินแล้วจึงชวนบิดาและมารดาร่วมโต๊ะอาหารมื้อเย็น “ลูกเตรียมอาหารมาเยอะเลยเจ้าค่ะ ลี่ถังช่วยนำเข้ามาที”
“เจ้าค่ะคุณหนู” ลี่ถังเอ่ยรับคำแล้วออกจากกระโจมไปเพื่อนำอาหารเข้ามา
“อ้าว เจ้าลืมพี่ชายเสียแล้วกระมัง” จางเจียวคุนเมื่อเห็นว่าถูกน้องสาวละเลยจึงเอ่ยท้วง “พี่ก็หิวแล้วเช่นกัน”
“ข้าเตรียมมาให้แค่สามที่ สงสัยท่านพี่จะต้องไปกินกับทหารที่ค่ายเสียแล้วเจ้าค่ะ” จางซูเจียวเมื่อเห็นพี่ชายเอ่ยท้วงจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ
“อาหารที่ค่ายจืดชืดจะตาย น้องรักโปรดเมตตาพี่ชายเจ้าด้วย” จางเจียวคุนอ้อนวอนน้องสาวของตน จากนั้นทั้งสี่คนก็พากันไปที่โต๊ะอาหารโดยมีลี่ถังจัดสำรับไว้รออยู่แล้ว จางซูเจียวมองบิดา มารดา และพี่ชายตนพลางกินอย่างมีความสุข
บรรยากาศเช่นนี้ช่างดีเหลือเกิน !
จางเจียวคุณ บุตรชายคนโตของจางเจียวจิ้น แม่ทัพผู้เกรียงไกรแห่งราชสำนัก แม้จะได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สืบทอดทั้งความสามารถด้านบุ๋นและบู๊จากผู้เป็นบิดา แต่ชีวิตในเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยความกดดันและการจับตามองจากทั้งราชสำนักและเหล่าขุนนาง ทำให้เขาเริ่มรู้สึกอึดอัด โดยเฉพาะในช่วงที่มารดาและบิดาของเขาได้ขอลาออกจากราชการ และกลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบที่บ้านบรรพบุรุษในช่วงหนึ่งของหน้าที่ราชการ จางเจียวคุณได้ทำผิดวินัยทางทหารด้วยการละทิ้งค่ายไปโดยพละการ แม้การกระทำดังกล่าวจะมิได้เกิดจากเจตนาร้าย แต่เขาก็ตระหนักดีถึงความผิดพลาดและผลกระทบต่อชื่อเสียงของตนเองและตระกูล ด้วยคุณธรรมของมหารที่บิดาสั่งสอนมา ชายหนุ่มจึงได้ตัดสินใจยื่นฎีกาต่อฮ่องเต้เพื่อขอรับโทษและชดใช้ความผิดด้วยการไปประจำการที่ชายแดนเหนือตำแหน่งแม่ทัพพิทักษ์ชายแดนเหนือนั้นเป็นตำแหน่งสำคัญที่เว้นว่างอยู่ และยังไม่มีผู้ใดที่เหมาะสมเท่ากับจางเจียวคุณ ฮ่องเต้ทรงลังเลใจ เนื่องด้วยพระองค์ต้องการรั้งจางเจียวคุณไว้ที่เมืองหลวง ด้วยความสามารถอันโดดเด่นที่เป็นประโยชน์ต่อราชสำนัก ทว่าตำแหน่งแม่ทัพพิทักษ์ชายแดนได้เว้นว่างลง และในตอนนี้สถานการณ์ในพื้
หลายปีผ่านไปเสมือนความฝัน นับตั้งแต่วันนั้นที่จางซูเจียวและหยางเฟยฮุ่ยได้พบกันและเริ่มต้นชีวิตคู่จนถึงวันนี้ ทั้งสองมีบุตรด้วยกันถึงสี่คนเป็นบุตรชายสามคนและบุตรสาวคนเล็กที่หน้าตาราวกับถอดแบบออกมาจากมารดา ทำให้หยางเฟยฮุ่ยทั้งรักทั้งหวงบุตรสาวเป็นที่สุดณ ห้องอุ่นในเรือนประมุขพรรค ในยามเช้าของวันนึงของฤดูใบไม้ร่วง หิมะสีขาวเริ่มโปรยปรายปกคลุมทั่วยอดเขา จางซูเจียวนั่งอยู่ข้างเตาผิงกำลังนั่งปักเสื้อผ้าให้กับสามีอยู่ภายในห้อง ส่วนบรรดาบุตรสาววิ่งเล่นด้วยกันอยู่ด้านนอกโดยมีเฉินเหว่ยและเฉินจิงคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง “ภรรยา พักผ่อนบ้างเถิด ข้าเห็นเจ้าทำงานตลอดทั้งวันจนไม่เห็นหยุดพัก” หยางเฟยฮุ่ยเดินเข้ามาภายในห้องเห็นคนงามที่แม้กาลเวลาจะผ่านไปหลายปีแล้วก็ยังคงงดงามไม่สร่าง ทำหน้าที่ภรรยาผู้แสนดี เขาเดินเข้าไปใกล้และยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “สามี ข้าไม่ได้เหนื่อยอะไร ข้าทำแล้วมีความสุขมากกว่าทุกสิ่ง เพราะข้าได้ทำให้ท่านกับลูก ๆ ของเรา” ร่างบางยิ้มตอบดวงตางามมองสามีนั่งลงเคียงข้าง ๆ ตนเอง เสียงหัวเราะของลูก ๆ ก็ดังขึ้นจากข้างนอก เมื่อเด็ก ๆ วิ่งเล่นในหิมะ บรรยากาศภายในบ้านเ
เวลาล่วงผ่านไปหลายเดือนแล้วนับตั้งแต่ที่จางซูเจียวได้ขึ้นเป็นฮูหยินของประมุขพรรคเฮ่ยหลางอย่างเป็นทางการ ในยามนี้หน้าท้องของนางป่องนูนอย่างเห็นได้ชัดเจนเนื่องด้วยอายุครรภ์ของนางย่างเข้าเดือนที่เจ็ดแล้ว การเคลื่อนไหวร่างกายของนางในช่วงนี้จึงต้องมีคนคอยดูแลโอบประคองตลอดเวลาเจ้าก้อนแป้งน้อยในครรภ์เริ่มดิ้นทักทายแสดงตนให้บิดามารดารู้ตั้งแต่อายุครรภ์อยู่ในเดือนที่ห้า ในครั้งแรกที่เจ้าตัวน้อยเริ่มดิ้น จางซูเจียวรู้สึกเจ็บครรภ์จนนิ่วหน้า และเพราะไม่เคยมีประสบการณ์นางจึงวิตกจนบ่าวรับใช้พากันแตกตื่นเร่งไปแจ้งท่านประมุขและตามท่านหมอทันทีเมื่อหยางเฟยฮุ่ยทราบข่าวก็ทิ้งทุกสิ่งรุดเร่งมาหาภรรยา ยามเห็นสีหน้ากังวลของสตรีที่รักและมือของนางที่ประคองครรภ์อย่างปกป้องเขาจึงนั่งลงเคียงข้างและโอบกอดนางตลอดเวลาจนท่านหมอเฮ่าทำการตรวจอาการเสร็จ และแจ้งว่าเป็นเพียงการทักทายของทารกน้อยในครรภ์ที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงของเจ้าก้อนแป้งน้อย ความกังวลในใจของทั้งคู่จึงเบาบางลง บรรยากาศที่เคยเคร่งเครียดแปรเป็นชื่นมื่นเปี่ยมสุข รอยยิ้มปรากฎบนในหน้าของทุกคนเมื่อส่งท่านหมอเฮ่าออกไปแล้ว บรรดาสาวใช้จึงถอยออกไปจากห้องอย่
ภัตตาคารฮุ่ยลี้ หลังจากสั่งให้ลี่ถังกลับไปรายงานที่จวนแม่ทัพแล้วจางซูเจียวจึงหันมาไถ่ถามองครักษ์ประจำตัว “อาหารรสชาติเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าอิ่มหรือไม่” จางซูเจียวเอ่ยถามชายหนุ่มที่เอาแต่นิ่งเงียบ “อิ่มขอรับคุณหนู” จางซูเจียวได้ฟังชายหนุ่มถามคำตอบคำมาสักพักแล้วแต่ก็ยังไม่ชินเสียที หญิงสาวขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกถึงความเงียบและบรรยากาศที่เริ่มอึดอัด เหตุใดคนผู้นี้ช่างปากหนักยิ่งหนัก แต่ครั้นจะให้นางชวนคุยก็ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะรับรู้ได้ว่าตนเองนั้นได้ทำให้คุณหนูไม่พึงพอใจเข้าเสียแล้ว “ข้าน้อยขอบคุณคุณหนูสำหรับอาหารมื้อนี้ขอรับ” ก๊อก ๆ “น้ำชามาแล้วขอรับ” เสี่ยวเอ้อส่งเสียงรายงานพลางเดินเข้ามาทำให้ทั้งคู่ต้องหยุดสนทนากันชั่วคราว เมื่อวางกาน้ำชาเรียบร้อยแล้วขอตัวออกไป ก่อนที่ความเงียบอันชวนให้คนทั้งสองอึดอัดจะกลับมาอีกครั้ง อาเอินลุกขึ้นรินน้ำชาจากกาใส่ถ้วยประคองยื่นให้กับจางซูเจียวจากนั้นจึงถอยไปยืนอยู่ด้านข้างเพื่อคุ้มกันตามหน้าที่ “เจ้าก็ดื่มด้วยสิ ชานี้เป็นชาช่วยย่อยอาหาร ดีต่อกระเพาะเชียวน
จากพยานหลักฐานทั้งหมดที่ฮ่องเต้เจี้ยนจางหย่งได้ทรงทอดพระเนตรและทำการไต่สวนด้วยพระองค์เอง องค์รัชทายาทก็มิอาจแก้ต่างอันใดได้อีก จากนั้นทรงมีพระราชโองการสั่งปลดฮองเฮาซีซวนและรัชทายาทเจี้ยนเจี่ยงกั้วให้เป็นสามัญชน ในข้อหาคิดก่อกบฏต่อแผ่นดินส่งอดีตฮองเฮาเข้าตำหนักเย็น ทั้งชีวิตไม่อาจก้าวออกมาเห็นโลกภายนอกได้อีก และส่งอดีตรัชทายาทไปการจองจำที่ตำหนักร้างห่างไกล ณ สุสานหลวงตลอดชีวิต นอกจากนี้ยังมีพระราชโองการปลดราชครูซีฉี ยึดทรัพย์ตระกูลซีทั้งหมด เนรเทศไปใช้แรงงานสร้างกำแพงยังชายแดนห่างไกล มิอาจกลับคืนสู่เมืองหลวงเพื่อรับราชการสืบไป หลังจากเรื่องราวทั้งหมดถูกเปิดโปง ราชสำนักจึงเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เนื่องจากขั้วอำนาจเดิมเกือบทั้งหมดได้ถูกกวาดล้างสิ้นไป ผ่านไปไม่นานฮ่องเต้เจี้ยนจางหย่งก็ออกพระราชโองการแต่งตั้งมิ่งกุ้ยเฟยขึ้นเป็นฮองเฮา สำหรับตำแหน่งรัชทายาทพระองค์นั้นได้เว้นว่างไว้ก่อนโดยไม่สนพระทัยฎีกาจากบรรดาเหล่าขุนนางที่พากันเรียกร้องให้พระองค์ทรงรีบแต่งตั้งโดยอ้างถึงความมั่นคงของแคว้นเจี้ยนทว่าก็เกิดเรื่องที่ทำราชสำนักสั่นคลอนอีกครั้งเนื่องด้วยแม่ทัพใหญ่ของแคว้นเจี้
ท้องพระโรงแคว้นเจี้ยน ฮ่องเต้เจี้ยนจางหย่งประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร พระพักตร์ที่เคร่งเครียดนั้นพาให้บรรยากาศอึมครึม กระแสความกดดันจากโอรสสวรรค์แผ่ลงมายังผู้คนที่ยืนเรียงรายอยู่เบื้องล่าง บรรดาขุนนางทั้งหลายต่างพากันยืนก้มหน้า ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปากพูดออกมาแม้เพียงครึ่งคำ ทำได้แต่เพียงลอบหันหน้าสบตากันไปมาด้วยความตระหนกยามเมื่อเห็นจางเจียวจิ้นและจางเจียวคุนที่ยืนอย่างองอาจอยู่กลางท้องพระโรง เสียงขานจากด้านหน้าท้องพระโรงดังขึ้น หลี่กงกงรีบเดินเข้าไปถวายรายงานยังโอรสสวรรค์ว่าได้นำตัวฮูหยินจางและคุณหนูใหญ่จาง พร้อมทั้งองค์รัชทายาทและผู้ที่เกี่ยวข้องมาถึงแล้ว “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมได้นำตัวฮูหยินจางและบุตรีพร้อมทั้งองค์รัชทายาทมาถึงแล้ว ขณะนี้ทั้งหมดรอเข้าเฝ้าอยู่หน้าท้องพระโรงพะยะค่ะ” “พาตัวเข้ามา” สิ้นเสียงรับสั่งของฮ่องเต้ เจี้ยนเจี่ยงกั้วก็ได้ก้าวเข้ามาภายในท้องพระโรงตามด้วยทหารที่พาสองแม่ลูกและชายในชุดดำอีกผู้หนึ่ง“กระหม่อมเจี้ยนเจี่ยงกั้ว ถวายบังคมเสด็จพ่อ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี” เจี้ยนเจี่ยงกั้วคุกเข่าคำนับเมื่อเห็นบิดาโ