“คุณหนู ท่านแม่ทัพและฮูหยินรออยู่ที่รถม้าแล้วเจ้าค่ะ” ลี่ถังแจ้งจางซูเจียวที่ตอนนี้อยู่ในชุดอาภรณ์สีม่วงอ่อน ขับให้ผิวพรรณนวลเนียนกระจ่างใสยิ่งขึ้น
“อาเอินก็เรียบร้อยแล้วหรือ” จางซูเจียวสอบถามถึงชายปริศนาผู้นั้นที่นางช่วยเหลือไว้หลังจากพักรักษาตัวกับหมอหลี่ได้สองวัน คนผู้นั้นก็ฟื้นคืนสติแต่กลับไม่สามารถจดจำอันใดได้เลย นางจึงตั้งชื่อให้เขาว่า อาเอิน
ก่อนหน้านี้นางเห็นว่าเสื้อผ้าที่เขาสวมติดกายนั้นมีรอยขาดจนมองเห็นผิวเนื้ออยู่หลายแห่ง แต่นางก็สังเกตเห็นว่าแม้ร่างกายของเขาผอมแห้งลงเล็กน้อยจากครั้งอดีตแต่ก็แสดงให้เห็นว่ายังมีความแข็งแรงสมชายชาตรี มิได้ผอมแห้งใกล้ตาย แต่ทว่าก็มีกลิ่นสาบไม่น้อย คาดว่าคงไม่ได้อาบน้ำมาเป็นระยะนึงแล้ว ใบหน้าที่เปรอะเปื้อน ผมเผ้ายุ่งเหยิงเต็มไปด้วยคราบโคลนหมักหมม หลังจากนั้นนางจึงให้อาซื่อช่วยพาเขาไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่จนดูเป็นผู้เป็นคนขึ้น
เส้นผมดำเงาถูกรวบไว้ง่าย ๆด้วยเชือกผูกผม เผยให้เห็นใบหน้าเกลี้ยงเกลาสะอาดตาแต่ก็คล้ำแดดเล็กน้อย ร่างสูงดูน่าเกรงขามจนมีประกายของความองอาจ ถือว่าโดยรวมแล้วมีเสน่ห์ไม่น้อย หากให้ตัวนางเปรียบเทียบ สามารถเทียบเคียงกับองค์ชายเจี้ยนเจี่ยงกั้วได้ด้วยซ้ำ หากไม่ได้พบอาเอินมาแต่แรกนางคงคิดว่าเขาเป็นชายสูงศักดิ์จากเมืองหลวงเป็นแน่
“คุณหนูคิดดีแล้วหรือเจ้าคะ ที่จะพาคนไร้หัวนอนปลายเท้ากลับไปที่จวน”
“ทำไมหรือ”
“คุณหนูถึงกับขอท่านแม่ทัพให้คนผู้นี้ติดตามคุณหนูเลยนะเจ้าคะ” ลี่ถังพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนไม่น้อยเนื่องด้วยความเป็นห่วงผู้เป็นนายที่จะเอาคนไร้หัวนอนปลายเท้ามาดูแลตนเองทั้งที่ก็มีองครักษ์ผู้มีวรยุทธ์สูงส่งอยู่แล้วถึงสองคน
“ไม่เป็นไรหรอก ลี่ถัง เชื่อข้าเถอะ คนผู้นี้เป็นคนดี ข้ารู้สึกได้” จางซูเจียวอดขำไม่ได้กับท่าทางของลี่ถัง
“โธ่ คุณหนูเจ้าคะ ท่านจะใช้แค่ความรู้สึกมิได้นะ.....”
“เอาล่ะพวกเราไปกันเถอะ ท่านพ่อ ท่านแม่รอข้านานแล้ว” ยังไม่ทันที่ลี่ถังจะเอ่ยจบนางก็ลุกขึ้นแล้วสาวเท้าเดินออกจากกระโจมไปยังรถม้า
หน้ากระโจมหลังใหญ่ของแม่ทัพจางในตอนนี้มีขบวนรถม้าหลายคันจอดนิ่ง แม่ทัพจางเจียวจิ้น และหลิ่วลู่เสียนกำลังยืนรอจางซูเจียว โดยที่มีบ่าวรับใช้หลายคนรวมถึงอาเอินต่างช่วยกันขนข้าวของขึ้นรถม้า ในครั้งนี้จางเจียวคุนไม่ได้ออกมาส่งมารดาและน้องสาวเนื่องจากต้องพาองค์รัชทายาทชมการฝึกทหารในค่ายแทนผู้เป็นบิดา
“ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกกับท่านแม่ต้องกลับจวนแล้ว โปรดรักษาสุขภาพด้วยนะเจ้าคะ”
“ซูเอ๋อร์ พ่อฝากเจ้าดูแลแม่เจ้าด้วย” จางเจียวจิ้นส่งภรรยาและบุตรสาวขึ้นรถม้าพร้อมกล่าวคำอำลา
“เจ้าค่ะท่านพ่อ”
จางซูเจียวรับคำพลางส่งยิ้มให้บิดาและมารดาที่ยังส่งสายตาร่ำลากัน ตามด้วยลี่ถังและลู่มามาคนสนิทข้างกายหลิ่วลู่เสียน ขณะที่องครักษ์จิ้งและองครักษ์หลินขี่ม้าประกบด้านข้าง ส่วนอาเอินก้าวขึ้นไปนั่งด้านหน้าข้างคนขับรถม้า
เมื่อพร้อมเดินทางแล้ว ขบวนรถม้าก็เคลื่อนตัวออกจากค่ายทหาร เวลาผ่านไปได้ครึ่งชั่วยาม จางซูเจียวที่เปิดม่านเพื่อมองสองข้างทางก็ปิดม่านลง พลางหันไปมองมารดาที่กำลังนั่งเหม่อด้วยสายตาคะนึงหาสามี
“เหมือนท่านแม่จะมิได้อยากกลับจวนกับลูกนะเจ้าคะ” จางซูเจียวเอ่ยเย้ามารดา มุมปากของนางยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
ทั้งท่านพ่อและท่านแม่ของนางต่างมีความรักให้กันและกันอย่างลึกซึ้ง ในจวนนั้นก็มิได้มีสามอนุสี่เรือนอย่างผู้อื่นเขา เรียกได้ว่าจวนตระกูลจางของนางเต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นจากบิดามารดา
“เจ้าล้อแม่หรือ ซูเอ๋อร์” หลิ่วลู่เสียนตอบกลับ สีหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อยก่อนจะหุบพัดในมือแล้วตีที่แขนบุตรสาวเบา ๆ
“โอ๊ย ท่านแม่เจ้าคะ ลูกเจ็บ” จางซูเจียวโอดครวญพร้อมกับแสดงท่าทางเจ็บปวด เรียกเสียงหัวเราะจากมารดาและสาวใช้ทั้งสองบนรถม้าได้อย่างง่ายดาย “ท่านแม่ช่างใจร้ายกับลูกเหลือเกิน”
หลิ่วลู่เสียนมองดูบุตรสาวที่เต็มไปด้วยความร่าเริงสดใสแล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้กับเรื่องที่ตนได้คุยกับสามี เกี่ยวกับชะตาชีวิตของบุตรสาว และสัญญาหมั้นหมาย เนื่องด้วยอีกฝ่ายเป็นถึงสายเลือดมังกรที่มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายได้เพียงเอ่ยปากเท่านั้น ตัวนางกับสามีนั้นแม้จะเป็นตระกูลขุนนางใหญ่แต่ก็ไม่ได้โหยหาอำนาจถึงเพียงนั้น ผู้เป็นแม่อย่างนางต้องการเพียงแค่ให้บุตรสาวและบุตรชายใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก็เพียงพอแล้ว
จางซูเจียวเมื่อเห็นมารดาที่ตอนแรกหัวเราะกับท่าทางหยอกล้อของนางแล้วจู่ ๆ กลับมีสีหน้าเคร่งเครียดก็มองด้วยความสงสัย จากนั้นนางจึงส่งสายตามองไปยังลู่มามาเพื่อสอบถามแต่คำตอบที่ได้รับคือการส่ายหน้าที่แปลได้ว่านางนั้นมิได้รู้เรื่องราวอันใด
“ท่านแม่เจ้าคะ มีเรื่องอะไรหรือไม่เจ้าคะ”
“...” จางซูเจียวเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงทว่ากลับไม่ได้คำตอบหรือปฏิกิริยาตอบกลับใด ๆ จากมารดา นางจึงเอื้อมมือไปแตะที่มือของหลิ่วลู่เสียนที่กำลังกำพัดหยกงามอยู่
“ซูเอ๋อร์ มีอะไรหรือลูก”
“ลูกเห็นสีหน้าท่านแม่ไม่ดี ท่านแม่ไม่สบายตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ” จางซูเจียวเอ่ยถามพลางสำรวจร่างกายของมารดาด้วยความเป็นห่วง
“แม่สบายดีลูก” หลิ่วลู่เสียนเมื่อเห็นท่าทางบุตรสาวก็อดยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้ “แม่มีเรื่องต้องคิดเพียงเท่านั้น”
“ท่านแม่คิดถึงสัญญาหมั้นหมายของลูกใช่หรือไม่เจ้าคะ” จางซูเจียวรีบเอ่ยถามกลับทันที
“แม่ได้คุยกับพ่อเจ้าแล้ว เห็นทีคงยากเสียแล้ว” หลิ่วลู่เสียนไม่ได้ออกปากปฏิเสธถึงสิ่งที่บุตรสาวของตนถามถึง “พ่อของเจ้าก็มิได้เห็นด้วยที่จะส่งเจ้าเข้าไปยังตำหนักบูรพา อีกทั้งองค์รัชทายาทได้เสด็จมายังค่ายทหารในครั้งนี้...”
“ท่านผู้นั้นมากล่าวถึงสัญญาหมั้นหมายของลูกหรือเจ้าคะ”
“ยังมิใช่หรอกลูก เพียงแต่ท่าทีขององค์รัชทายาท แม่เกรงว่า...” หลิ่วลู่เสียนมองไปยังดวงตากระจ่างใสของบุตรสาว ช่วงเวลาตั้งแต่แรกเกิดจนถึงตอนนี้ช่างผ่านไปเร็วเสียเหลือเกิน มือบางราวกับสาววัยเยาว์เอื้อมไปลูบไล้ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของจางซูเจียว
“ท่านแม่ ท่านบอกข้าได้ทุกเรื่องนะเจ้าคะ” จางซูเจียวจับมือมารดา พร้อมส่งยิ้มให้
“แม่เกรงว่า สัญญาหมั้นหมายของเจ้ากับองค์รัชทายาทนั้นเห็นทีอีกฝ่ายคงต้องการจะนำมาใช้ในเร็ววันนี้เสียแล้ว การที่ทรงเสด็จมาเยือนที่ค่ายของพ่อเจ้า เห็นได้ชัดว่าทรงมีจุดประสงค์ที่ชัดเจน ด้วยวัยของเจ้านั้นก็อยู่ในช่วงเวลาเหมาะสมพร้อมออกเรือนเสียด้วย” หลิ่วลู่เสียนกล่าวพร้อมถอนหายใจ “แม่ขอโทษนะลูกรัก แม่ไม่คิดเลยว่าคำสัญญาในวัยเยาว์ของแม่ในวันนั้น วันนี้มันจะกลายเป็นสิ่งที่มาทำร้ายเจ้า ทั้งพ่อและแม่ไม่เคยกระหายอยากได้อำนาจยิ่งใหญ่อันใดที่จะต้องใช้ความสุขชั่วชีวิตของลูกไปแลกมา แต่หากเมื่อใดที่รัชทายาทกลับจากการเยือนค่ายในครั้งนี้ แล้วกราบทูลขอให้ฝ่าบาทพระราชทานสมรส กับเจ้า ตระกูลจางของเราแม้จะยอมเอาตำแหน่งพ่อของเจ้าเข้าแลกก็คงยากแล้ว” หลิ่วลู่เสียนขบคิดถึงเรื่องราวที่ได้พูดคุยกับสามี แม้ยามนี้สามีนางจะเป็นถึงแม่ทัพแต่ก็เป็นขุนนางฝ่ายบู๊ที่ไม่ได้มีอำนาจทางการเมืองใด ๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากการวางตัวเป็นกลางและมีเป้าหมายปกป้องแคว้นเท่านั้น
“ท่านแม่ไม่ต้องขอโทษลูกนะเจ้าคะ เรื่องนี้ไม่มีผู้ใดคิดว่าจะเป็นเช่นนี้” จางซูเจียวเอ่ยปลอบมารดา “ลูกเข้าใจ” พลางส่งยิ้มให้
“และท่านแม่ก็ไม่ต้องกังวลด้วยเจ้าค่ะ มาจิบชาผ่อนคลายกันดีกว่า” จางซูเจียวกล่าวพร้อมสั่งให้ลี่ถังนำป้านชาขึ้นมา “ลูกเห็นท่านแม่ดูเหนื่อยล้า ลองจิบชาปี้หลัวชุนดูนะเจ้าคะ กลิ่นหอมชวนผ่อนคลาย” ว่าแล้วก็จัดการรินน้ำชาส่งให้มารดาจิบเพื่อผ่อนคลาย
“เป็นเจ้าที่รู้ความ” หลิ่วลู่เสียนยิ้มพร้อมรับถ้วยชาจากมือบุตรสาวมาดื่มดับกระหาย
จางซูเจียวมองท่าทางกังวลใจของมารดาก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ‘ลูกขอโทษนะเจ้าคะท่านแม่ หากลูกเป็นชายคงไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น’ หากนางหาทางแก้ไขเรื่องนี้ได้เร็วคงเป็นการดี ใครว่าเกิดเป็นลูกสาวขุนนางขั้นสูงจะมีชีวิตที่สวยงาม ชะตากรรมที่สวยหรูพวกนั้นต่างต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อมากมายเพียงใดก็ไม่มีผู้ใดคาดเดาได้
“ท่านแม่ไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ เรื่องทั้งหมดลูกจะหาทางจัดการเอง” จางซูเจียวจับมือมารดาพร้อมส่งสายตาแน่วแน่ให้
“ซูเอ๋อร์เจ้าจะทำการใด บอกแม่ได้หรือไม่” หลิ่วลู่เสียนตกใจกับคำที่บุตรสาวเอ่ยว่าต้องการจัดการด้วยตนเอง “แม่ไม่มีทางเห็นด้วยหากเจ้าจะไปเสี่ยงอันตราย”
“ท่านแม่เชื่อใจลูกนะเจ้าคะ ตระกูลของเราต้องรอดพ้นอันตรายแน่นอน” จางซูเจียวกอดมารดาก่อนจะผละออกมายิ้มบาง มือเรียวกุมมือของมารดา “ท่านแม่อย่าคิดมาก จนทำให้ร่างกายทรุดโทรมนะเจ้าคะ หากท่านล้มป่วยลง ท่านพ่อ ท่านพี่กับลูก คงไม่มีผู้ใดสบายใจ”
“ลูกก็แค่คิดว่าหากอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดเท่านั้นเจ้าค่ะ มิได้มีความคิดซับซ้อนใด ๆ ทั้งสิ้น” จางซูเจียวกล่าวตัดบท จากนั้นจึงเอนซบไปที่ตักของหลิ่วลู่เสียนเพื่อหลบสายตาที่คาดคั้นของมารดา “ตักท่านแม่ดีที่สุดเลย”
“เจ้านี่นะ โตเป็นสาวแล้วยังอ้อนแม่เป็นเด็กอยู่อีก” หลิ่วลู่เสียนลูบเรือนผมสีดำที่นุ่มสลวยไปมาด้วยความอ่อนโยน โดยไม่มีผู้ใดได้เห็นแววตาที่แฝงความมุ่งมั่นของจางซูเจียว
จางเจียวคุณ บุตรชายคนโตของจางเจียวจิ้น แม่ทัพผู้เกรียงไกรแห่งราชสำนัก แม้จะได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สืบทอดทั้งความสามารถด้านบุ๋นและบู๊จากผู้เป็นบิดา แต่ชีวิตในเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยความกดดันและการจับตามองจากทั้งราชสำนักและเหล่าขุนนาง ทำให้เขาเริ่มรู้สึกอึดอัด โดยเฉพาะในช่วงที่มารดาและบิดาของเขาได้ขอลาออกจากราชการ และกลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบที่บ้านบรรพบุรุษในช่วงหนึ่งของหน้าที่ราชการ จางเจียวคุณได้ทำผิดวินัยทางทหารด้วยการละทิ้งค่ายไปโดยพละการ แม้การกระทำดังกล่าวจะมิได้เกิดจากเจตนาร้าย แต่เขาก็ตระหนักดีถึงความผิดพลาดและผลกระทบต่อชื่อเสียงของตนเองและตระกูล ด้วยคุณธรรมของมหารที่บิดาสั่งสอนมา ชายหนุ่มจึงได้ตัดสินใจยื่นฎีกาต่อฮ่องเต้เพื่อขอรับโทษและชดใช้ความผิดด้วยการไปประจำการที่ชายแดนเหนือตำแหน่งแม่ทัพพิทักษ์ชายแดนเหนือนั้นเป็นตำแหน่งสำคัญที่เว้นว่างอยู่ และยังไม่มีผู้ใดที่เหมาะสมเท่ากับจางเจียวคุณ ฮ่องเต้ทรงลังเลใจ เนื่องด้วยพระองค์ต้องการรั้งจางเจียวคุณไว้ที่เมืองหลวง ด้วยความสามารถอันโดดเด่นที่เป็นประโยชน์ต่อราชสำนัก ทว่าตำแหน่งแม่ทัพพิทักษ์ชายแดนได้เว้นว่างลง และในตอนนี้สถานการณ์ในพื้
หลายปีผ่านไปเสมือนความฝัน นับตั้งแต่วันนั้นที่จางซูเจียวและหยางเฟยฮุ่ยได้พบกันและเริ่มต้นชีวิตคู่จนถึงวันนี้ ทั้งสองมีบุตรด้วยกันถึงสี่คนเป็นบุตรชายสามคนและบุตรสาวคนเล็กที่หน้าตาราวกับถอดแบบออกมาจากมารดา ทำให้หยางเฟยฮุ่ยทั้งรักทั้งหวงบุตรสาวเป็นที่สุดณ ห้องอุ่นในเรือนประมุขพรรค ในยามเช้าของวันนึงของฤดูใบไม้ร่วง หิมะสีขาวเริ่มโปรยปรายปกคลุมทั่วยอดเขา จางซูเจียวนั่งอยู่ข้างเตาผิงกำลังนั่งปักเสื้อผ้าให้กับสามีอยู่ภายในห้อง ส่วนบรรดาบุตรสาววิ่งเล่นด้วยกันอยู่ด้านนอกโดยมีเฉินเหว่ยและเฉินจิงคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง “ภรรยา พักผ่อนบ้างเถิด ข้าเห็นเจ้าทำงานตลอดทั้งวันจนไม่เห็นหยุดพัก” หยางเฟยฮุ่ยเดินเข้ามาภายในห้องเห็นคนงามที่แม้กาลเวลาจะผ่านไปหลายปีแล้วก็ยังคงงดงามไม่สร่าง ทำหน้าที่ภรรยาผู้แสนดี เขาเดินเข้าไปใกล้และยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “สามี ข้าไม่ได้เหนื่อยอะไร ข้าทำแล้วมีความสุขมากกว่าทุกสิ่ง เพราะข้าได้ทำให้ท่านกับลูก ๆ ของเรา” ร่างบางยิ้มตอบดวงตางามมองสามีนั่งลงเคียงข้าง ๆ ตนเอง เสียงหัวเราะของลูก ๆ ก็ดังขึ้นจากข้างนอก เมื่อเด็ก ๆ วิ่งเล่นในหิมะ บรรยากาศภายในบ้านเ
เวลาล่วงผ่านไปหลายเดือนแล้วนับตั้งแต่ที่จางซูเจียวได้ขึ้นเป็นฮูหยินของประมุขพรรคเฮ่ยหลางอย่างเป็นทางการ ในยามนี้หน้าท้องของนางป่องนูนอย่างเห็นได้ชัดเจนเนื่องด้วยอายุครรภ์ของนางย่างเข้าเดือนที่เจ็ดแล้ว การเคลื่อนไหวร่างกายของนางในช่วงนี้จึงต้องมีคนคอยดูแลโอบประคองตลอดเวลาเจ้าก้อนแป้งน้อยในครรภ์เริ่มดิ้นทักทายแสดงตนให้บิดามารดารู้ตั้งแต่อายุครรภ์อยู่ในเดือนที่ห้า ในครั้งแรกที่เจ้าตัวน้อยเริ่มดิ้น จางซูเจียวรู้สึกเจ็บครรภ์จนนิ่วหน้า และเพราะไม่เคยมีประสบการณ์นางจึงวิตกจนบ่าวรับใช้พากันแตกตื่นเร่งไปแจ้งท่านประมุขและตามท่านหมอทันทีเมื่อหยางเฟยฮุ่ยทราบข่าวก็ทิ้งทุกสิ่งรุดเร่งมาหาภรรยา ยามเห็นสีหน้ากังวลของสตรีที่รักและมือของนางที่ประคองครรภ์อย่างปกป้องเขาจึงนั่งลงเคียงข้างและโอบกอดนางตลอดเวลาจนท่านหมอเฮ่าทำการตรวจอาการเสร็จ และแจ้งว่าเป็นเพียงการทักทายของทารกน้อยในครรภ์ที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงของเจ้าก้อนแป้งน้อย ความกังวลในใจของทั้งคู่จึงเบาบางลง บรรยากาศที่เคยเคร่งเครียดแปรเป็นชื่นมื่นเปี่ยมสุข รอยยิ้มปรากฎบนในหน้าของทุกคนเมื่อส่งท่านหมอเฮ่าออกไปแล้ว บรรดาสาวใช้จึงถอยออกไปจากห้องอย่
ภัตตาคารฮุ่ยลี้ หลังจากสั่งให้ลี่ถังกลับไปรายงานที่จวนแม่ทัพแล้วจางซูเจียวจึงหันมาไถ่ถามองครักษ์ประจำตัว “อาหารรสชาติเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าอิ่มหรือไม่” จางซูเจียวเอ่ยถามชายหนุ่มที่เอาแต่นิ่งเงียบ “อิ่มขอรับคุณหนู” จางซูเจียวได้ฟังชายหนุ่มถามคำตอบคำมาสักพักแล้วแต่ก็ยังไม่ชินเสียที หญิงสาวขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกถึงความเงียบและบรรยากาศที่เริ่มอึดอัด เหตุใดคนผู้นี้ช่างปากหนักยิ่งหนัก แต่ครั้นจะให้นางชวนคุยก็ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะรับรู้ได้ว่าตนเองนั้นได้ทำให้คุณหนูไม่พึงพอใจเข้าเสียแล้ว “ข้าน้อยขอบคุณคุณหนูสำหรับอาหารมื้อนี้ขอรับ” ก๊อก ๆ “น้ำชามาแล้วขอรับ” เสี่ยวเอ้อส่งเสียงรายงานพลางเดินเข้ามาทำให้ทั้งคู่ต้องหยุดสนทนากันชั่วคราว เมื่อวางกาน้ำชาเรียบร้อยแล้วขอตัวออกไป ก่อนที่ความเงียบอันชวนให้คนทั้งสองอึดอัดจะกลับมาอีกครั้ง อาเอินลุกขึ้นรินน้ำชาจากกาใส่ถ้วยประคองยื่นให้กับจางซูเจียวจากนั้นจึงถอยไปยืนอยู่ด้านข้างเพื่อคุ้มกันตามหน้าที่ “เจ้าก็ดื่มด้วยสิ ชานี้เป็นชาช่วยย่อยอาหาร ดีต่อกระเพาะเชียวน
จากพยานหลักฐานทั้งหมดที่ฮ่องเต้เจี้ยนจางหย่งได้ทรงทอดพระเนตรและทำการไต่สวนด้วยพระองค์เอง องค์รัชทายาทก็มิอาจแก้ต่างอันใดได้อีก จากนั้นทรงมีพระราชโองการสั่งปลดฮองเฮาซีซวนและรัชทายาทเจี้ยนเจี่ยงกั้วให้เป็นสามัญชน ในข้อหาคิดก่อกบฏต่อแผ่นดินส่งอดีตฮองเฮาเข้าตำหนักเย็น ทั้งชีวิตไม่อาจก้าวออกมาเห็นโลกภายนอกได้อีก และส่งอดีตรัชทายาทไปการจองจำที่ตำหนักร้างห่างไกล ณ สุสานหลวงตลอดชีวิต นอกจากนี้ยังมีพระราชโองการปลดราชครูซีฉี ยึดทรัพย์ตระกูลซีทั้งหมด เนรเทศไปใช้แรงงานสร้างกำแพงยังชายแดนห่างไกล มิอาจกลับคืนสู่เมืองหลวงเพื่อรับราชการสืบไป หลังจากเรื่องราวทั้งหมดถูกเปิดโปง ราชสำนักจึงเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เนื่องจากขั้วอำนาจเดิมเกือบทั้งหมดได้ถูกกวาดล้างสิ้นไป ผ่านไปไม่นานฮ่องเต้เจี้ยนจางหย่งก็ออกพระราชโองการแต่งตั้งมิ่งกุ้ยเฟยขึ้นเป็นฮองเฮา สำหรับตำแหน่งรัชทายาทพระองค์นั้นได้เว้นว่างไว้ก่อนโดยไม่สนพระทัยฎีกาจากบรรดาเหล่าขุนนางที่พากันเรียกร้องให้พระองค์ทรงรีบแต่งตั้งโดยอ้างถึงความมั่นคงของแคว้นเจี้ยนทว่าก็เกิดเรื่องที่ทำราชสำนักสั่นคลอนอีกครั้งเนื่องด้วยแม่ทัพใหญ่ของแคว้นเจี้
ท้องพระโรงแคว้นเจี้ยน ฮ่องเต้เจี้ยนจางหย่งประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร พระพักตร์ที่เคร่งเครียดนั้นพาให้บรรยากาศอึมครึม กระแสความกดดันจากโอรสสวรรค์แผ่ลงมายังผู้คนที่ยืนเรียงรายอยู่เบื้องล่าง บรรดาขุนนางทั้งหลายต่างพากันยืนก้มหน้า ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปากพูดออกมาแม้เพียงครึ่งคำ ทำได้แต่เพียงลอบหันหน้าสบตากันไปมาด้วยความตระหนกยามเมื่อเห็นจางเจียวจิ้นและจางเจียวคุนที่ยืนอย่างองอาจอยู่กลางท้องพระโรง เสียงขานจากด้านหน้าท้องพระโรงดังขึ้น หลี่กงกงรีบเดินเข้าไปถวายรายงานยังโอรสสวรรค์ว่าได้นำตัวฮูหยินจางและคุณหนูใหญ่จาง พร้อมทั้งองค์รัชทายาทและผู้ที่เกี่ยวข้องมาถึงแล้ว “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมได้นำตัวฮูหยินจางและบุตรีพร้อมทั้งองค์รัชทายาทมาถึงแล้ว ขณะนี้ทั้งหมดรอเข้าเฝ้าอยู่หน้าท้องพระโรงพะยะค่ะ” “พาตัวเข้ามา” สิ้นเสียงรับสั่งของฮ่องเต้ เจี้ยนเจี่ยงกั้วก็ได้ก้าวเข้ามาภายในท้องพระโรงตามด้วยทหารที่พาสองแม่ลูกและชายในชุดดำอีกผู้หนึ่ง“กระหม่อมเจี้ยนเจี่ยงกั้ว ถวายบังคมเสด็จพ่อ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี” เจี้ยนเจี่ยงกั้วคุกเข่าคำนับเมื่อเห็นบิดาโ