เช้าตรู่ของการตื่นนอนที่ไม่ปกติ เนื่องจากตื่นก่อนเวลาเป็นชั่วโมง แต่พอเดินออกมายังห้องรับแขกที่มีโซฟา กลับพบว่าอีกคนตื่นเร็วกว่า แถมไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว
อินถาถอนหายใจพรืด หมุนตัวเดินกลับไปที่เดิม เพื่ออาบน้ำแต่งตัว ก่อนจะกลับออกมาใหม่อีกครั้งก็ตอนฟ้าสว่าง จังหวะนั้นกำลังจะเดินผ่าน เหลือบตามองเห็นกระดาษโน้ตสีเหลืองวางอยู่บนโต๊ะโดยมีรีโมตแอร์ทับไว้
'ขอบคุณมากค่ะ ไว้คราวหน้าพี่จะพาไปทานข้าวนะ'
สาวเจ้าเลิกคิ้วเอียงคอ ทำไมต้องพาทานข้าว เธอไม่ได้อดอยากสักหน่อย พลางสูดลมหายใจยิ้มกว้าง เตรียมตัวไปทำงานต่อ ก่อนจะเดินมุ่งหน้าสู่กล่องลิฟต์ไม่วายยืนจ้องมองประตูห้องของเขา คิดไปเองว่าชายหนุ่มอาจจะอยู่ในนั้น แต่ต้องขมวดคิ้วภายหลังเมื่อนึกขึ้นได้ว่า..
“คีย์การ์ดเขาหายนี่นา..”
จึงจะส่ายศีรษะหนีจากความคิด มุ่งสู่ที่ทำงานตามเดิม
ที่ทำงาน...
แปะ!
“ฮึ่ย”
คนตัวเล็กบนเก้าอี้สำนักงานสะดุ้ง ให้กับฝ่ามือใหญ่ที่จงใจปะทะเข้าหากันเพื่อปลุกให้ตื่นจากการเหม่อลอย
"เป็นอะไรเนี่ย"
เจ้าของมือคือนักรบ เขาถามก่อนคำตอบของเธอจะเป็นต้นเหตุของรอยยิ้มที่หายไป
“รบ เมื่อคืนเขามานอนห้องฉัน”
“ฮะ” ไม่พอ แถมหัวคิ้วขมวดเข้าหากันด้วย “ใคร ?”
ถึงกับลากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามมานั่งข้าง สีหน้าแสดงออกถึงความใคร่รู้สูงสุด อินถาเม้มริมฝีปาก กว่าจะรู้ตัวไม่ควรพูดประโยคนั้นออกไปก็ตอนที่สายไปแล้ว กลายเป็นว่าจะต้องมาเล่าให้ฟังแบบยาวไปอีก
“ก็ คนนั้นแหละ เพื่อนข้างห้องที่เคยบอก”
“เพื่อนข้างห้อง? ที่เป็นผู้ชายอะนะ..เฮ้ย!”
“ชู่ว~ เบาๆสิ แกจะเสียงดังทำไม”
แน่นอนใครฟังก็ต้องตกใจ หากแต่สถานที่ไม่ควรต่อการแหกปาก สาวเจ้าจึงเตือนสติ กระตุกคอเสื้อเข้าหาตัวเองจนเก้าอี้ยก
ได้ผล คนถูกปรามเงียบกริบ แต่ไม่ใช่เพราะเสียงห้ามของเธอ
“จะไม่ให้ตกใจได้ไง อยู่ๆก็เอาผู้ชายมานอนด้วย”
แต่เป็นเรื่องที่เกริ่นขึ้นมา
“เหวอ! ไม่ใช่! ไอ้บ้า ไม่ใช่แบบนั้น" อินถาโบกมือเป็นพัลวัน ท้ายประโยคยื่นหน้าไปกระซิบ “บ้ารึเปล่าเนี่ย ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย”
“แล้วแบบไหน?”
ท่ามกลางการหันมองของเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ที่งงกับท่าทางลนลานของเธอและโวยวายของเขา แต่จับใจความไม่ได้ หญิงสาวเหลือบตามองบน พลางสูดลมหายใจเข้าปอดอีกครั้ง
“โอเค ตั้งใจฟังนะ พูดรอบเดียวไม่ฉายซ้ำ”
และเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดของเมื่อคืนให้เขาฟัง
ระหว่างเล่ากระทั่งจบไม่มีช่วงไหนเลยที่เขาจะเปลี่ยนสีหน้าจากเรียบเฉยเป็นอย่างอื่น ยิ่งแววตาคู่หวานนั้น แสดงออกอย่างชัดเจน เขานั้นไม่พอใจ
“แกว่า..มันแปลกๆปะวะ”
อินถาถามความเห็น บทสรุปเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทว่าคนถูกถามกลับเอนหลังพิงพนักอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง
“มันแปลกตั้งแต่แกไปเจอเขาแล้วอิน”
“ฮะ?”
“แล้วก็แปลกมาเรื่อยๆ จนกระทั่ง..”
“กระทั่ง?”
“แกตื่นมาไม่เจอเขานั่นแหละ เหมือนจงใจทิ้งกลิ่น”
ประโยคหลังนักรบใช้โทนเสียงแผ่วเบา จนเธอต้องโน้มหน้าเข้าไปใกล้
“กลิ่น?" ด้วยสีหน้าฉงน "แกพูดอะไรของแกวะรบ”
“ก็ตามสิ่งที่เธอเล่า หมอนั่นจงใจทิ้งกลิ่นเอาไว้ให้เธอ เหมือนกับว่าหลังจากนี้..เขาจะมาอีกบ่อยๆ”
“แกหมายถึง..”
“อืม”
“ฮะ? พูดอะไร ไม่ใช่หรอก”
“แล้วทำไมต้องหน้าแดงด้วยวะ”
“เอ่อ..”
คนตัวเล็กลบริมฝีปาก คำถามนี้ทำเธอไปไม่ถูก เพิ่งจะสำเหนียกได้ก็ตอนที่สาย ช่างเลือกที่ปรึกษาได้ถูกคนจริงๆ
“แกจะบอกว่าเขา เขามาหยอดฉันเหรอ?”
“ใช่ครับ!”
“จะหยอดได้ไง เขาบาดเจ็บนะ ถ้าสมมุติว่านั่นเป็นแผนก็เก่งเกินไปแล้ว”
“จะบอกรบคิดมากเกินไปว่างั้น?”
“จิตนาการเกินจริงไปเลยมากกว่า”
“แต่เธอก็ชอบ”
"ฮะ!"
“ใช่ไหมล่ะ?”
“รบ~”
เมื่อเขารู้ทัน เธอจึงยานคางยักคิ้วหลิ่วตาให้
“หึ ถึงบอก หมอนั่นน่ะจงใจทำให้เธอสลัดความทรงจำของเมื่อคืนไม่ได้ ก็นี่ไงเก็บมันไม่ไหวจนอินต้องมาถามรบ"
สำหรับนักรบ จะเป็นที่ปรึกษาที่ดีอยู่แล้วเชียว ถ้ารอยยิ้มเผลอไผลของอินถา ไม่ทำให้สีหน้านั้นเปลี่ยนไป กลายเป็นสีหน้าถมึงทึง
“เธอชอบอยู่แล้วนี่ ไม่ใช่เหรอ? ทีนี้ก็ง่ายสำหรับเธอเลย”
“เดี๋ยวนะ แล้วจะใส่อารมณ์เพื่อ?”
ก่อนจะลุกออกจากตรงนั้นไปนั่งโต๊ะทำงานของตัวเองโดยไม่บอกไม่กล่าว
“อ่าว อะไรของเขา อยู่ดีๆก็ฉุนใส่”
ร่างบางพึมพำไล่หลัง สั่นศีรษะเป็นการยุติการโต้วาทีเรื่องนี้ แล้วนั่งทำงานต่อ
เลิกงาน..
เสียงตึงตังไม่ใช่เสียงกำปั้นทุบโต๊ะแต่อย่างใด แต่เป็นการโขกสับของสันแฟ้ม หลังแผ่นกระดาษเป็นปึกขนาดเอสี่ถูกเก็บเข้าไปดังเดิม ตามด้วยเสียงลากของล้อเก้าอี้ และเสียงเจี๊ยวจ๊าวผสานกันของเพื่อนพนักงานซึ่งเก็บอาการไว้ไม่อยู่ เนื่องจากวันนี้เป็นวันศุกร์
“คืนนี้ว่าไง ที่เดิมไหม”
“ได้ดิ หารครึ่งนะ”
“ไม่ ฉันเลี้ยงเอง”
“ว้าว จริงนะ”
“จริงสิ ฉันค้างบ้านแกนะ”
และนี่เป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนาลอยมาให้หล่อนได้ยิน หญิงสาวนั่งอมยิ้มขณะเก็บของ และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่นักรบกำลังจะเดินมาหา ทว่ากลับถูกใครคนหนึ่งที่เดินเร็วกว่าตัดหน้าเสียก่อน
“อินจ๋า~ จะกลับแล้วเหรอ อยู่แก้งานเป็นเพื่อนพี่ก่อนสิ”
พร้อมเสียงแหลมสูงปรี้ดเกือบทะลุเพดาน หน้าที่ยิ้มก่อนหน้านี้เปลี่ยนไปในทันที
“โห พี่ติ๋ว อินจะกลับบ้านแล้วเนี่ย”
“ไม่ได้ไปไหนไม่ใช่เหรอ นะๆ พี่ให้โอทีเธอก็ได้”
“ผมเอาด้วย”
มาใจฟูก็ตอนได้ยินเสียงทุ้มของเพื่อนสนิท ทว่ากลับต้องสิ้นหวังก็ตอนกีรติหันขวับแล้วผลักหัวเขา
“คนเดียวพอ แกน่ะ กลับบ้านไปเลย”
“ได้ไง เดี๋ยวพี่ก็หลอกใช้เพื่อนผมอีก ยิ่งมันหัวอ่อนอยู่ด้วย”
ส่วนประโยคนี้คือเธอที่เป็นฝ่ายหันมองเขา พลางแยกเขี้ยวใส่
“หลอกด่ากันเหรอฮะ”
แต่ได้กลับมาแค่การยักไหล่และขยิบตาให้จากเขา เท่านั้น บอกเป็นนัยๆให้ปฏิเสธ ซึ่งนั่นเขาก็รู้กับเธอยิ่งห้ามยิ่งยุ
“โอเคค่ะ ได้แค่สองทุ่มนะคะ”
“ดีมากจ้า” สร้างความพึงพอใจให้กีรติไม่น้อย “ขอบคุณนะลูก แกนี่ลูกรักแม่จริงๆ”
ท่ามกลางการส่ายหัวล้อเลียนปนเอือมระอาของลูกน้องอีกคน ที่เดินหัวเราะออกไปจากห้อง โดยไม่วายโบกมือลาให้กับเพื่อนหญิง
“เจอกันวันจันทร์ละกัน”
“อื้ม ขับรถดีๆนะรบ”
สองทุ่มสิบห้า
อินถาเดินหน้าบึ้งจากตึกมายังลานจอดรถ หลังแยกกับกีรติหน้าสำนักงาน ความเหนื่อยล้าและเมื่อยไปทั้งตัว ไม่เจ็บเท่ากับการผิดคำพูดของเจ้านายที่มักจะเกิดขึ้น บางทีมีแอบคิดบ้างหรือเป็นเธอที่พลาด เรื่องปฏิเสธคนไม่เป็น รู้เกิดขึ้นบ่อยครั้งแต่เหมือนไม่ชินสักที
ร่างบางแค่นหัวเราะ รู้สึกเวทนากับตัวเองเป็นที่สุด ขณะเดินลากขาใกล้จะถึงรถ พร้อมสายตาพร่ามัวสาเหตุอยู่หน้าจอคอมมาทั้งวัน
แต่แล้ว..
กลับต้องขึงตากว้าง เมื่อระหว่างเดินเห็นใครบางคนยืนอยู่ ในลักษณะใช้แผ่นหลังพิงประตูรถ พลางยกแขนขึ้นดูนาฬิกาบนข้อมือ
ทันทีที่เพ่งมองจนเห็นชัดเจนด้วยความพยายาม ดวงตาคู่สวยที่ว่าพร่ามัวก่อนหน้าก็เปลี่ยนเป็นสว่างจ้าทันที
“คุณพระช่วย”
เขาดึงตัวขึ้นมายืนตระหง่าน มือทั้งคู่ล้วงไปในกระเป๋าหลังเห็นเธอเดินมาแต่ไกล แน่นอนท่าทางนั้นไม่ต้องบอกให้เสียเวลาว่าใครเป็นคนที่เขากำลังรอ
ทว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้ ไม่น่าแปลกใจหรืองงเท่ากับ..
เธอจะรีบเดินไปหาเขาทำไมกัน?
แสงไฟอยู่บนทั้งเชิงเทียน และลอยน้ำยิ่งยกระดับความหรูหรามากขึ้น อินถาไม่รู้แสงสว่างตรงจุดนี้เป็นตัวช่วยขับเสน่ห์ให้กับเธอ ทั้งความสวยและสดใสเขย่าใจคนมอง เลี่ยงเปรียบเทียบกับผู้หญิงหลายคนที่เคยผ่านมาและพามาไม่ได้ หากแต่ข้อเปรียบเทียบนี้จะต้องเก็บไว้ในใจ ให้มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน ภายใต้ใบหน้านิ่งเรียบนั้นสีหน้าอินถาแลดูเปลี่ยนทันที หลังได้ยินคำตอบของคำถามที่ตนใคร่รู้ โชคดีบรรยากาศตอนกลางคืนซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาวท่ามกลางท้องฟ้ามืดมิด ลับกับเสียงไฟจากดวงกลมรอบๆร้านจงใจจัดแต่งให้ดูดีมีสไตล์มากขึ้น และลมเบาหวิวพัดโชย ทำให้การเกี่ยวเส้นผมมาทัดหู ยามปลิวว่อนปกปิดหน้า ไม่ได้ถูกมองว่าเคอะเขินจนดูแย่ แต่ดูน่าค้นหาไปอีกแบบผู้หญิงตรงหน้า เป็นคนเดียวที่ทำให้เขาเสียอาการ ในความสดใสถึงขนาดพกติดสมองไปด้วยทุกที่ ช่วงไหนที่ว่างช่วงนั้นเรื่องราวของเธอจะมาแทรกแซง“ว่ายังไงคะ ได้ไหม? หนูยังไม่ให้คำตอบพี่เลย”ดวงตาคู่สวยเหลือบขึ้นมาจากจานอาหาร หลังถูกยกเสิร์ฟได้สักพัก พร้อมเม้มริมฝีปากแนบสนิท ในหัวปั่นป่วนพอๆกับท้องน้อย ถ้าสมมุติปฏิเสธเขาจะเป็นอย่างไร?ร่างบางคิดหนัก พยายามทบทวนความเป็นจริงระหว่างระยะเ
ชายหนุ่มในคราบเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงขายาวสีดำ กับกระดุมเสื้อถูกปลดออกไปแล้วสองเม็ด ไม่ได้ทำให้ดูแย่ลง กลับกันทำให้เข้าใจง่ายว่าเขาเหนื่อยมาจากงานที่ทำด้วยซ้ำ และการเผยช่องโหว่ของแผงอกเป็นการคลายความร้อนกับความอึดลงอย่างหนึ่งอินถายิ้มน้อยๆเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้า โดยระดับความสูงของเธอเทียมหน้าอกของพอดิบพอดี เพราะระดับต่างกันจึงทำให้ต้องแหงนหน้าขึ้นไปคุย“เอ่อ..” สายตามองผ่านไปยังรถของตัวเองก่อน จึงจะลากกลับมายังใบหน้าหล่อเหลาอีกครั้ง “คุณมารออหนูเหรอคะ”“ใช่ค่ะ”ตอบทันควันแบบไม่ได้คิด คนชะงักไปไม่ถูกกลายเป็นคนที่ถาม เขาเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้เธอไม่เป็นตัวของตัวเองรอบที่ล้าน!“รอทำไมคะ แล้วรู้ได้ยังไงว่าหนูยังอยู่ที่นี่”“เอาคำถามไหนดี ก่อนหรือหลัง”ต่างจากเขาที่ดูสบายๆ ราวกับช่ำชองเรื่องนี้มานาน ดูไม่ประหม่า ควบคุมสถานการณ์ได้ดีและอยู่หมัดนาทีนี้อินถารู้สึกถึงความเล็กภายในตัวเองที่เล็กยิ่งกว่าอะตอมภายใต้เซลล์ประหนึ่งควาร์ก (Quark)ดูเป็นผู้ใหญ่ใจดี ที่ไม่ได้ดีมากขนาดนั้น เข้าถึงง่ายแต่ไม่เปิดโอกาสให้สนิทเอาเป็นว่า เขาคือผู้ใหญ่ที่มีเสน่ห์และน่าค้นหาคนหนึ่ง หากเปรียบด้วยผู้คนตลอดชีวิตยี่
เช้าตรู่ของการตื่นนอนที่ไม่ปกติ เนื่องจากตื่นก่อนเวลาเป็นชั่วโมง แต่พอเดินออกมายังห้องรับแขกที่มีโซฟา กลับพบว่าอีกคนตื่นเร็วกว่า แถมไม่อยู่ตรงนั้นแล้วอินถาถอนหายใจพรืด หมุนตัวเดินกลับไปที่เดิม เพื่ออาบน้ำแต่งตัว ก่อนจะกลับออกมาใหม่อีกครั้งก็ตอนฟ้าสว่าง จังหวะนั้นกำลังจะเดินผ่าน เหลือบตามองเห็นกระดาษโน้ตสีเหลืองวางอยู่บนโต๊ะโดยมีรีโมตแอร์ทับไว้'ขอบคุณมากค่ะ ไว้คราวหน้าพี่จะพาไปทานข้าวนะ'สาวเจ้าเลิกคิ้วเอียงคอ ทำไมต้องพาทานข้าว เธอไม่ได้อดอยากสักหน่อย พลางสูดลมหายใจยิ้มกว้าง เตรียมตัวไปทำงานต่อ ก่อนจะเดินมุ่งหน้าสู่กล่องลิฟต์ไม่วายยืนจ้องมองประตูห้องของเขา คิดไปเองว่าชายหนุ่มอาจจะอยู่ในนั้น แต่ต้องขมวดคิ้วภายหลังเมื่อนึกขึ้นได้ว่า..“คีย์การ์ดเขาหายนี่นา..”จึงจะส่ายศีรษะหนีจากความคิด มุ่งสู่ที่ทำงานตามเดิมที่ทำงาน...แปะ!“ฮึ่ย”คนตัวเล็กบนเก้าอี้สำนักงานสะดุ้ง ให้กับฝ่ามือใหญ่ที่จงใจปะทะเข้าหากันเพื่อปลุกให้ตื่นจากการเหม่อลอย"เป็นอะไรเนี่ย"เจ้าของมือคือนักรบ เขาถามก่อนคำตอบของเธอจะเป็นต้นเหตุของรอยยิ้มที่หายไป“รบ เมื่อคืนเขามานอนห้องฉัน”“ฮะ” ไม่พอ แถมหัวคิ้วขมวดเข้าหากันด้วย “
เสียงร้องมาพร้อมกับเท้าสะดุด ผลของการเดินเร็วจนเกินไป แล้วหยุดชะงักกลางคัน เพราะภาพตรงหน้าคือผู้ชายคนหนึ่งยืนเปลือยล่อนจ้อนอยู่หน้าไม่อาย!สามารถใช้คำนี้ได้เลยอินถาอ้าปากค้างมองตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนขึงตาโตก็ตอนเห็นตรงนั้นประเจิดประเจ้อ“เหวอ!”เธอเบือนหน้าหนีไปทางอื่น หลังตั้งสติได้ว่าไม่ควรจ้องนาน กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ สาบานเลยว่าสิ่งที่เห็นเต็มสองตาเมื่อครู่ จะไม่มีวันลืม“ขอโทษค่ะ พี่ไม่คิดว่าหนูจะกลับมาเร็ว”แล้วถ้าเดินกลับมาช้าจะเป็นยังไงเล่า จะล่องหนหรือหายตัวไปนะหรือ“คุณมีคาถาหายตัวได้รึไงกัน”ร่างบางกัดฟันกรอดเอ่ยเสียงแผ่ว ยังคงยืนหันหลังให้เขาอยู่ คนถูกถามกระตุกยิ้ม กลั้นขำ“ก็จะหันหลังให้ จะไม่ยืนโจ่งแจ้งแบบนี้”“ห๊า..” ถึงกับลืมตาโพลง คิดตามที่เขาพูด เมื่อคิดยังไงก็ไม่ใช่เหตุผลถึงกับคอตก “คุณก็รอหนูกลับมาก่อนก็ได้นี่ ของสงวนแบบนั้นไม่ควรเอาออกมาให้เห็นกันง่ายๆรู้ไหมคะ”“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ไม่ถือ”What??!อินถากะพริบตาถี่ เขาโดนซ้อมจนสมองตีลังกากลับหลังไปแล้วกระมัง“แต่ถาเป็นผู้หญิงนะคะ”“ถ้าอย่างนั้นพี่ขอโทษก็แล้วกัน ขอผ้าเช็ดตัวให้พี่ได้หรือยัง”“ยะ อย่าเข้ามานะคะ”สาวเจ้
“เฮ้ยคุณ!”เธอปล่อยถุงอาหารหลุดมือ พร้อมขึงตาขึ้นกว้าง มากกว่าปกติ ความตกใจลืมหมดแม้ความเย็นชื้นจากสายฝนที่กระหน่ำเทลงไม่ขาดสาย ไม่เหลือพื้นที่แห้งบนเสื้อผ้า แล้วนิ่งทำอะไรไม่ถูก จนเห็นร่างนั้นเริ่มขยับเขยื้อนอีกครั้ง ถึงจะถลาเข้าไปช่วยประคองดึงให้ลุกขึ้นมาส่วนเขาพยายามแหงนหน้า ใช้ม่านตาพร่ามัวที่สายฝนเม็ดใหญ่พรั่งพรูใส่ไม่หยุดมอง ก่อนนิ่วหน้าตอนเธอทำเขาเจ็บ บางทีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลก็สำคัญ เสียดายที่ไม่จดจำสมัยได้เรียน“ตัวคุณหนักมาก ฉันคนเดียวไม่ไหวหรอก ไปตามคนมาช่วยดีกว่า”หมับ!แขนเรียวถูกฉุดรั้งทันทีที่พูดจบ ด้วยแรงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดของเขา“คะ?”ก่อนอ้าปากค้าง หลังเขาส่ายหน้าท้ายที่สุดเป็นเธอที่ต้องพยายาม ดิ้นรนพยุงพาไปยังรถจอดอย่างทุลักทุเล ความหนักของเซลล์ทุกส่วนเป็นอุปสรรคให้ต้องกัดฟันกรอด หลังใช้เท้ายึดพื้นให้มั่นคง เพื่อทรงตัวจังหวะหิ้วปีกเขาลุก“ค่อยๆนะ”“เกิดอะไรขึ้นคะ คนพวกนั้นเป็นใคร มาทำร้ายคุณทำไม”อินถาหันไปถาม ดึงเข็มขัดมาคาดลำตัว เตรียมทำหน้าที่เป็นพลขับ บวกกับความสับสนพยายามไขข้อข้องใจ ให้เหมาะสมไม่คุ้มเสียแก่การตัดสินใจช่วยเหลือเขาด้วยตัวเองแ
ยิ่งใกล้ไตรมาสสุดท้ายงานยิ่งล้นมือ หลายวันมานี้อินถาไม่มีเวลาแม้แต่จะเข้ายิม หรือโผล่หน้าสดไปให้พนักงานร้านกาแฟได้เห็น ชีวิตมีอยู่แค่สองทาง คือทางกลับบ้านกับทางไปทำงาน และสายทุกวัน“ฮ๊าววว~”เสียงหาววอดผสานกับเสียงเสียดสีของก้นแก้วกาแฟเลื่อนผ่านโต๊ะเนื้อไม้มาจอดอยู่ตรงหน้า สาวเจ้าเหลือบมอง พยักหน้ายิ้มบางๆแทนคำขอบคุณ“ขอบใจนะ”“เมื่อคืนดึกหรือ”นักรบทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม ในมือก็ถืออยู่อีกแก้วหนึ่ง“ใช่~ พี่ติ๋วอะดิ แกบ้าจี้อะไรไม่รู้โทรมาสั่งให้แก้งานกะทันหัน กะจะไม่รับสายแล้วนะ แต่ก็กลัวจะเป็นเรื่องด่วนหรือเป็นแกเองที่ขอความช่วยเหลือ”ได้ทีอินถาบ่นใหญ่ ทว่าสายตาไม่ได้จับจ้องคู่สนทนา แต่หรี่ต่ำมองแก้วในมือตัวเอง มองควันที่พวยพุ่งจากความร้อนนั้นอยู่ดีๆในหัวเกิดมีภาพแห่งความทรงจำเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านทำไมกันนะ กับอีแค่ยาไม่กี่แผง ถึงได้มีอิทธิพลทำให้เธอรู้สึกดีได้มากขนาดนี้ ทั้งๆที่เขานั้นก็มีเจ้าของอยู่แล้วอินถาเผลอยิ้ม แอบเข้าข้างตัวเอง แต่ปัจจุบันเขานั้นหายไปเลย ไร้วี่แววแม้แต่เงา เสียงเงียบราวกับไม่มีใครอยู่ในห้องข้างๆในขณะเดียวกันก็ตกเป็นเป้าสายตาของเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อไปด้วย เ
อินถายืนสงบนิ่งให้กับความสับสนของตัวเองที่ได้มาอย่างไม่ทันตั้งตัว ในมือชูถุงยาขึ้น มองมันราวกับเป็นของวิเศษแวบมาจากทิศทางใดไม่รู้สักแห่ง ก่อนจะหันซ้ายหันขวามองหาเขา เจ้าของผู้กระทำนำพา ทว่าทั้งทางเดินพบแต่ความว่างเปล่าความรู้สึกกระดี่ได้น้ำถูกเก็บไว้ในที่ตื้น ชนิดหากไม่รีบทำอะไรสักอย่างอาจโผล่พ้นออกมาให้เห็นได้เนื่องจากยากต่อการควบคุม เธอถึงได้เร่งเปิดประตูแล้วพาตัวเองเข้าไปในห้องนั้น เพื่อกระโดดโลดเต้น ดีใจประหนึ่งถูกรางวัลฉลากกินแบ่งรัฐบาล จิตใต้สำนึกบวกสัญชาตญาณกระซิบบอกให้เข้าข้างตัวเอง สิ่งนี้ที่ถืออยู่อาจเป็นของเขาผู้ชายที่แอบชอบไม่รอช้าหญิงสาวรีบคลี่ปมของมันทันที ก่อนจะหยิบออกมาดูทีละชิ้น เมื่อพบว่าเป็นยารักษาแผลทั้งภายในและภายนอก ก็ขึงตาโต“พระเจ้าคะ..” มือผสานเข้าหากัน แหงนหน้าขึ้น พร้อมยิ้มปลื้มดุจน้ำตาจะไหล ซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้าจูปิเตอร์ “ทรงได้ยินคำขอของอินถาแล้วสินะคะ อินถาสามารถตัดชุดแต่งงานรอได้เลยใช่ไหม งื้อ..”ความตื่นเต้นถึงขนาดหัวเราะดังลั่นห้องอย่างลืมอาย จากนั้นจึงจะเดินไปทิ้งตัวลงกลางเตียง“เฮ้อ สบายใจจัง...”แล้วเผลอหลับไปเพราะความเพลียในที่สุดด้
ตลอดการเดินทางระหว่างคอนโดกับสถานที่นัดลูกค้า คนหลังพวงมาลัยเอาที่เหม่อลอย เอาแต่นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ การเจอกันระหว่างเขากับเธอ ที่มันไม่ราบรื่นสักเท่าไหร่ ทำให้สมองเธอปั่นป่วน โชคดีมากไม่เกิดอันตรายใดๆระหว่างเดินทาง แล้วถึงที่หมายอย่างปลอดภัยอินถายกมือลูบหน้า บุคลิกนี้จะมีก็แต่ยามเผลอตอนเรียกสติเท่านั้น เมื่อใดที่เห็นเมื่อนั้นจะรู้ได้ทันทีสาวเจ้ากำลังประหม่า ไร้ความเป็นตัวของตัวเอง และเครียดสะสมมา“บ้าจริง”เธอพึมพำหลังดับเครื่องยนต์ ล็อครถแล้วเดินลงไป แสงแดดจ้าช่วงกลางวันที่ไม่สามารถควบคุมได้เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ปลุกให้เธอตื่น หายสับสนขึ้นมาบ้าง เตือนตัวเองให้เกียรติตัวเองอย่าได้เอาคนนอกเข้ามา แม้ไม่ถึงกับรกสมอง แต่ก็มีผลต่อการทำงาน เนื่องจากอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะต้องเจอลูกค้าแล้วตุบ!เสียงโยนกระเป๋าลงเบาะมาก่อนเจ้าของจะทิ้งตัวนั่ง นักรบที่กำลังนั่งอ่านรายละเอียดงานเพื่อจะทำแทน ถึงกับสะดุ้ง หันขวับมองสีหน้าฉงน“อิน?”“กลับออฟฟิศไปเลย”“ฮะ?”“นี่ไงฉันมาแล้ว”“บอกว่าให้พักไง”ชายหนุ่มยานคาง พลางสายหน้าเอือมระอา ไม่ได้สนใจประโยคทักทาย ไม่พอยังก้มลงอ่านเอกสารต่อ“เรื่องอะไร งานขอ
ห้องที่คุ้นเคย?เจ้าของขนตาแพยาวไร้การเสริมแต่ง กวาดมองไปทั่วห้องก่อนขึงตาโต ชนิดกว้างครั้งแรกในชีวิต ก็ตอนเห็นควันโขมงพร้อมกลิ่นลอยอยู่บนอากาศ บริเวณนอกโดยมีประตูเลื่อนกั้นกลางระหว่างห้องนอนกับระเบียง ด้วยกระจกที่ใสมองเห็นจากข้างในแต่ทึบข้างนอกไร้ผ้าม่านปกคลุม ทำให้เจ้าของควันถูกมองไม่ชัด เขายืนอยู่ในท่าหันหลัง ด้วยสภาพผ้าเช็ดตัวพันรอบเอวอย่างหมิ่นเหม่หญิงสาวก้มมองเลือดบนเตียงสลับกับเขาอยู่หลายรอบ ก่อนกรีดร้องสุดเสียงก็ตอนเขามองข้ามไหล่กลับมา“กรี๊ด!!!!”ครืน ครืน“เฮือก!”เสียงโทรศัพท์ทำคนบนเตียงสะดุ้งตื่น ร่างบางผุดลุกขึ้นนั่งพลางกุมขมับ ไม่ใช่แค่ความตกใจจากฝันเสมือนจริงทำให้เธอปวดหัว แต่เป็นฤทธิ์จากแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปอย่างหนักหน่วงของเมื่อคืนด้วย“บ้าจริง”อินถาลูบหน้า กว่าจะรับโทรศัพท์ได้ปล่อยให้ดังตั้งนาน(เธอ เป็นไงบ้าง)“นะ นักรบ”เสียงแหบพร่าร้องเรียก ปลายสายที่มักจะโทรมาได้จังหวะ และเธอมักจะลืมดูหน้าจอก่อนกดรับทุกที(ฟังจากเสียง น่าจะดูแย่เหมือนกันนะ ไหวไหมเนี่ย ถ้าไม่ไหวลางานก็ได้ เดี๋ยวเรื่องลูกค้าที่นัดไว้วันนี้ รบจะไปแทนเอง)“เดี๋ยวนะ..”หญิงสาวหันมองนาฬิกาบนหัวเตียง